คือท่านทรงเขียนไว้ในตอนแรกว่าท่านถูกดุล เราก็เลยเขวตามท่านไปว่าท่านถูกดุลย์ในสมัยรัชกาลที่ ๗
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ ในยามที่สยามกำลังประสบภาวะทรุดโทรมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจที่ระบาดมาจากโลกตะวันตก รัฐบาลได้ตัดทอนรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปอย่างมากมาย และในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ พระเจ้าอยู่หัวทรงตัดทอนรายจ่ายในราชสำนัก เพื่อเป็นตัวอย่างแก่กระทรวงต่าง ๆ จนในที่สุดต้องปลดข้าราชการออกจากตำแหน่งเป็นจำนวนมาก เพื่อรักษาดุลยภาพทางการเงินของประเทศ ซึ่งเวลานั้นรายรับของแผ่นดินไม่พอกับรายจ่ายประจำปี
ข้าราชการที่ต้องออกจากงานในเวลานั้น เรียกว่าถูกดุลย์ ครั้งแรกที่มีการดุลย์เป็นจำนวนมากคือเมื่อสิ้นปี พ.ศ. ๒๔๖๘ (สมัยนี้นับเป็น พ.ศ. ๒๔๖๙ แล้ว) โดยหลังถวายพระเพลิงพระบรมศพล้นเกล้าฯรัชกาลที่ ๖ เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๔๖๘ เสร็จสรรพ พอวันที่ ๓๑ มีนาคม ท่านที่ทำงานในพระราชสำนักหลายคนก็ถูกดุลย์ก็ต้องเก็บของกลับบ้านเป็นตัวอย่าง
น่าเชื่อว่าพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ท่านจะทรงถูกดุลย์ในช่วงปลายปีนั้นเอง และการที่ท่านถูกออกจากงานครั้งนี้ก็คงจะไม่มีใครกลั่นแกล้งท่านเป็นพิเศษ หน้าที่การงานและสถานภาพข้าราชการของท่านยังไงๆก็อยู่ในข่ายที่ตัดออกได้โดยงานของกระทรวงไม่สะดุดอยู่แล้ว
และคงไม่น่าจะเกี่ยวถึงขนาดเจ้านายพระองค์ใดจะมาทรงชี้นิ้วกำกับให้เอาท่านออก “กุ๊ก”ในความหมายของท่านอาจจะเป็นคณะผู้บริหารชุดเล็กๆของกระทรวงที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาเงื่อนไขว่าใครอยู่ในข่ายที่ปลดไปแล้วกระทรวงยังจะคงทำงานต่อไปได้โดยปกติเท่านั้น สำหรับกระทรวงต่างประเทศแม้เป็นองค์กรเล็กๆ แต่ก็ยังน่าจะมีอยู่ด้วยกันร่วมร้อยที่ถูกดุลย์
ถ้านับเวลางานในครั้งนี้ ท่านก็อยู่มาได้สักสองปีครึ่งก่อนถูกดุลย์
แต่พอมาถึงปรวัติสังเขปที่ท่านแถมในตอนท้ายๆของหนังสือ ท่านระบุพ.ศ.ที่ท่านทรงถูกเลิกจ้างจากกระทรวงการต่างประเทศว่าเป็น ๒๔๖๗ แสดงว่ายังเป็นรัชกาลที่ ๖ ซึ่งตอนนั้นรัฐเริ่มรัดเข็มขัดแล้ว ท่านจึงถูกกุ๊กเฉือนไขมันส่วนเกินทิ้งไปด้วย
สงสัยท่านจะเบลอๆเพราะทรงชราภาพ จึงเอาคำว่าถูกดุลมาใช้ในบริบทนี้ ผมก็พลอยเบลอไปกับท่านด้วย