ดิฉันคิดว่าคุณdaylife เข้าใจผิด "คุณตาคุณยายในวัยเด็ก" ไม่ใช่คุณพ่อคุณแม่ของคุณทิพย์วาณี แต่หมายถึงตัวเธอเองค่ะ,
วันที่ ๑ เมษายน
แต่ก่อนวันปีใหม่ทางราชการของไทยเรานั้น นับวันที่ ๑ เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่ เพราะวันปีใหม่ของไทยเราถือวันสงกรานต์เป็นวันปีใหม่ แต่เป็นการนับทางจันทรคติจึงมีวันที่ไม่แน่นอนนัก จนกระทั่งปี ๒๔๘๕ ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ให้ตรงกับสากลเป็นวันที่ ๑ มกราคม
เมื่อครั้งคุณตาคุณยายยังเป็นเด็ก ๆ อยู่นั้น ยังใช้วันที่ ๑ เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่อยู่ มีเพลงร้องด้วยว่า "วันที่ ๑ เมษายน วันขึ้นปีใหม่แสงสว่างกระจ่างจ้า..." แล้ว ก็มีสร้อยว่า "ยิ้มเถิดยิ้มเถิดนะยิ้ม ยิ้มแย้มแจ่มใส สุขสำราญบานใจ ขอให้สวัสดี" ซึ่งสร้อยนี้ คุณตาและคุณยายจำขึ้นใจอยู่ตลอดมา เพราะเด็ก ๆ ต่างก็ตั้งหน้านับวันรอวันนี้ คือวันที่ ๓๑ มีนาคมและวันที่ ๑ เมษายน
วันนี้ที่ในกรุงเทพฯ จัดให้มีงานใหญ่ที่ท้องสนามหลวงเป็นประจำทุกปี มีงานตั้งแต่คืนวันที่ ๓๑ มีนาคม อากาศดีไม่หนาว ไม่มีน้ำค้าง ไม่มีฝน ผู้คนหลั่งไหลมากันแน่นหลายทาง ด้วยรถราง รถเจ็ก รถยนต์ จากท่าพระจันทร์ ท่าเตียน และเดินมา นั่งรถไฟจากต่างจังหวัดก็มีไม่น้อย มีการออกร้านขายของเล่นของใช้อาหารต่าง ๆ มีการแสดงมหรสพต่าง ๆ มีโขน ลิเก หุ่นกระบอก ลำตัด หนังกลางแปลง ของทางราชการและของเอกชนที่จัดมาแสดงเก็บเงิน
ที่นี่เองเด็ก ๆ อย่างคุณตาและคุณยายพากันตั้งตารอ เพราะจะได้รับเงินแจกให้ไปเที่ยวซื้อของตามใจชอบ คุณยายได้ ๕๐ สตางค์ ส่วนคุณตานั้นได้ ๑ บาท ซึ่งนับว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ที่สุดในปีหนึ่ง ๆ ที่เด็ก ๆ จะมีปัญญามีได้ จึงต้องวาดโครงการไว้ก่อนว่าจะซื้ออะไรกันบ้าง
กลางคืนที่ ๓๑ มีนาคม มีงานจนดึก พอสองยามก็จะมีเสียงเพลงวันที่ ๑ เมษายน ดังลั่นไปทั่วท้องสนามหลวงด้วยลำโพง ๔ ทิศ ดอกไม้ไฟ พลุต่าง ๆ ก็พากันจุดพร้อม ๆ กัน มีไฟพะเนียง กังหัน ช้างร้อง แล้วก็พลุสีต่าง ๆ สว่างไสวทั่วท้องสนามหลวง แสดงว่าเปลี่ยนศักราชใหม่แล้ว คุณตาและคุณยายพยายามข่มใจถ่างตาไว้ไม่ให้หลับ ถึงจะง่วงยังไงก็ไม่ยอมให้หลับ เพราะต้องการจะดูดอกไม้ไฟและพลุสวย ๆ ให้ได้ ดูเสร็จแล้วจึงจะกลับไปนอน ตื่นมาใหม่ตอนเช้า
เมื่อตอนกลางคืนคุณยายยังไม่ได้รับสตางค์แจก จึงเพียงแต่ดูของต่าง ๆ หมายตาเอาไว้เท่านั้น วันที่ ๑ ตอนเช้าไปรับแจกเงิน ก็รีบมาซื้อของที่อยากได้ไว้เมื่อตอนกลางคืน ส่วนคุณตานั้นได้รับเงินแจกตั้งแต่วันสิ้นปีแล้ว จึงรู้สึกเสียใจ มักจะเอาของที่ซื้อไว้บอกขายต่อกับพี่ ๆ น้อง ๆ เพื่อจะเอาเงินไปซื้อของที่อยากได้
คุณยายเป็นเด็กผู้หญิงก็ซื้อของเล่นตามประสาเด็กผู้หญิง มีปิ่นโตเถาเล็ก ๆ น่ารัก พัดขนนกจากอยุธยา นางในหอย เป็นตุ๊กตาชาววังนอนในหอยตลับ กระเป๋าถือใบเล็ก ๆ ชุดหม้อข้าวหม้อแกงจัดเป็นตะกร้า อยู่ในตะกร้าลวดถัก ๆ มีเขียง มีมีด และกระต่ายขูดมะพร้าว กระชอนเล็ก ๆ เข้าชุดกัน ตุ๊กตา เตียงนอน โต๊ะเครื่องแป้ง แต่ที่ขาดไม่ได้ทุกปีก็คือดูละครลิงของคณะ "ปรีดาวานร" ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ถึงแม้ว่าจะซ้ำกันแทบทุกปี คุณยายก็ยังดูได้ ค่าดู ผู้ใหญ่ ๓ สตางค์ เด็ก ๒ สตางค์เท่านั้น
คุณทิพย์วาณีเกิดเมื่อพ.ศ. 2475 ข้อความข้างบนนี้เล่าว่าตอนเธอเด็กๆ ปีใหม่ยังเป็น 1 เมษายนอยู่ มาเปลี่ยนในปี 2485 คือเมื่ออายุ 10 ขวบ
บรรยากาศปีใหม่ 1 เมษายน ที่บรรยายไว้ข้างบนนี้ คือบรรยากาศในช่วง 2475-2484 คุณหนูทิพย์วาณีเที่ยวงานปีใหม่ด้วยความสนุกสนานประสาเด็ก ซื้อของเล่นเล็กๆน้อยๆ ดูหนังกลางแปลง เดินกลับมาที่รถยนต์ซึ่งจอดอยู่ฯลฯ
บรรยากาศทั้งหมดที่ว่านี้ ยังมีมาจนถึงยุคของดิฉัน เพราะสมัยโน้นโลกหมุนช้ากว่าสมัยนี้มาก โดยเฉพาะของเล่นในยุค 2480s ยังมีให้เห็นหลังจากนั้นอีกเป็นสิบๆปี
แต่บรรยากาศเหล่านั้นไม่ใช่ยุคสมัยของหลวงจรูญสนิทวงศ์(หม่อมหลวงจรูญ สนิทวงศ์)บิดาของคุณทิพย์วาณียังเด็กอยู่แน่นอน
คุณหลวงท่านเกิดปี 2438 สมัยคุณหลวงยังเด็ก ประมาณว่า 2438-2448 กรุงเทพยังไม่มีหนังกลางแปลง ไม่มีครีมโซดาขาย รถยนต์ส่วนตัวของประชาชนยังไม่มีค่ะ
มีรถยนต์พระที่นั่งคันแรก ชื่อรถแก้วจักรพรรดิ ส่งมาถึงสยามประมาณปี 2448 ค่ะ