ยกกระทู้คุณ V_Mee ที่เคยตอบในทิปมาลงให้อ่านครับ
ดร.คนแรกที่เป็นคนไทย คือ นายชู เปรียญ สำเร็จการศึกษา Ph.D. ทางด้านการศึกษาจากเยอรมัน นายชู เปรียญ ท่านนี้ เดิมเคยเป็นบวชเป็นสามเณรที่วัดพระเชตุพน สอบได้เป็นเปรียญสามประโยคตั้งแต่เป็นสามเณรเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๙ แล้วลาสิกขา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกไปศึกษาวิชาครูที่ประเทศเยอรมัน สำเร็จการศึกษาชั้น M.A. แล้วคงศึกษาต่อจนจบชั้น Ph.D. ทางการศึกษา เมื่อกลับเข้ามารับราชการ มีหลักฐานว่าในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็น ผู้ดูการพิพิธภัณฑ์ แล้วย้ายไปเป็นพนักงานแต่งตำรา กรมศึกษาหัวเมืองในบังคับบัญชาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส หลักฐานสุดท้ายที่ปรากฏคือ รับราชการในกระทรวงมหาดไทย ต่อจากนั้นไม่ปรากฏหลักฐานว่า ลาออกจากราชการหรือถึงแก่กรรมเมื่อใด ไม่ปรากฏทายาทผู้สืบสกุลหรือหลักฐานเรื่องนามสกุลเลย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นสรรควิสัยนรบดี ทรงเป็นดุษฎีบัณฑิตพระองค์ที่สอง ทรงสำเร็จการศึกษาทางด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยทุบบิงเงน ประเทศเยอรมัน ภายหลังจากนายชู เปรียญ ราวสิบปี ดุษฎีนิพนธ์ที่ทรงทำไว้ชื่อ "Siam's Rural Economy under King Chulalongkorn" เมื่อเสด็จกลับประเทศไทยแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้ารับราชการในกระทรวงมหาดไทย ได้รับพระราชทานยศชั้นที่ ๒ โท (เทียบเท่านายพันโท) แล้วเลื่อนขึ้นมาเป็นลำดับ สุดท้ายทรงเป็น มหาอำมาตย์ตรี (เทียบเท่า พลตรี) ตำแหน่ง ผู้ช่วยราชปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทย สิ้นพระชนม์โดยทรงกระทำอัตวินิบา
มีเอกสารหลักฐานเป็นเอกสารจดหมายเหตุที่เก็บรักษาไว้ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ยืนยันชัดเจนครับว่า นายชู เปรียญ สำเร็จการศึกษา Ph.D. จากเยอรมันแน่นอนครับ
เมื่อนายชู เปรียญสำเร็จการศึกษาชั้น Ph.D. แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตื่นเต้นมาก โปรดให้มีการพระราชทานเลี้ยงพระราชทานแก่นายชู เปรียญ พร้อมกับผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากเยอรมันอีก ๒ คน ในโอกาสนั้นโปรดพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา เป็นเกียรติยศ
ตำแหน่งในสมัยก่อนอย่าดูถูกว่าเป็นตำแหน่งต่ำ ขอได้โปรดคิดถึงสภาพสังคมในยุคนั้นที่เพิ่งเริ่มจัดการศึกษา ผู้ที่มีหน้าที่จัดพิพิธภัณฑ์ก่อนหน้านายชู คือ นายราชารัตยานุหาร (พร บุนนาค) ซึ่งต่อมาได้เป็น เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ เสนาบดีกระทรวงธรรมการ
เมื่อนายชู เปรียญ ย้ายไปเป็นอาจารย์แต่งตำราในกรมศึกษาหัวเมืองนั้น มีลายพระหัตถ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ประทานสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ว่า แต่งตำราแล้วใช้ไม่ได้ จึงขอส่งตัวคือนให้กระทรวงมหาดไทย ไปทำราชการในแผนกอื่น
เรื่องนายชู เปรียญ นี้ กว่าจะหาเอกสารหลักฐานมาปะติดปะต่อกันได้นั้นยากมาก เอกสารที่กล่าวถึงการรับราชการนั้นกระจัดกระจายแทรกอยู่ตามเอกสารเรื่องต่างๆ ไม่มีการบันทึดไว้เป็นเรื่องเฉพาะ ที่สำคัญ คือ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งทรงพระนิพนธ์ประวัติบุคคลต่างๆ ไว้มาก และทรงเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของนายชู เปรียญ ก็มิได้ทรงพระนิพนธ์ถึงประวัตินายชู เปรียญ ไว้เลย จึงคาดว่า คงจะเป็นประเภท "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด"
ที่มา
ปริญญาเอก