ถ้า อ.เทาชมพู อยากฟังเพลงไทย เทียบกับเขมรก็ทำได้โดยเพลงเขมรจะลดเสียงไป 1 ขั้น เช่น ไทยตีเพลงจังหวะซอล ส่วนเขมรก็จะตีจังหวะฟา (ทำนองเพลงเดียวกัน)และเพลงสำเนียงเขมรจะต้องมีเครื่องโทนและปี่กำกับด้วย
ครูดนตรีไทย ได้แต่งเพลงสำเนียงเขมรก็ได้ลดเสียงไป 1 เสียง เนื่องจากปี่เสียงสูงอยู่แล้ว ลดเพื่อจะได้เข้ากับเสียงปี่ครับ
อยากฟังตัวอย่างจากยูทูป คุณ siamese พอจะหามาให้ฟังได้ไหมคะ
มันเป็นลักษณะเพลงสำนเนียงเขมร สำเนียงเวียตนาม สำเนียงมอญ ครับฟังแล้วจะรู้เลยว่าออกไปทางเขมร เหมือนเราฟังคนตรีไทยสำเนียงจีน ก็จะออกสำเนียงเร็วๆ ครับ
เพลงสำเนียงภาษาเริ่มมีขึ้นในสมัยกรุงรัตน์โกสินทร์ เพราะมีการแสดงละครซึ่งเค้าโครงเรื่องนำมาจากต่างชาติ เช่น อิเหนา ราชาธิราช พระลอ พระร่วง เป็นต้น จึงมีการนำเอาเพลงอัตราสองชั้นมาบรรจุสำหรับร้องรำและดัดแปลงสำเนียงภาษาให้ เข้ากับเนื้อเรื่อง จึงเกิดเป็นเพลงสำเนียงภาษาขึ้น เช่น ลาวเจริญศรี เขมรปากท่อ มอญรำดาบ แขกเชิญเจ้า จีนขิมเล็ก เป็นต้น จากพระวินิจฉัยของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นสถิตยธำรงสวัสดิ์ หรือ พระองค์เจ้าชายนวรัตน์ (พ.ศ.๒๓๘๘-๒๔๓๓ : พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ เจ้าคุณจอมมารดาเอม) ซึ่งเป็นผู้ที่สนพระทัยในเรื่องของการละเล่นและดนตรีไทยอย่างมาก ได้ทรงนิพนธ์ทฤษฎีดนตรีไทยกล่าวไว้ในหนังสือ วชิรญาณวิเศษ เล่มที่ ๔ ตั้งแต่หน้า ๑๗๓–๓oo พิมพ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๒ ซึ่งเป็นเอกสารทางวิชาการดนตรีไทยฉบับแรก ทรงกล่าวถึงเรื่องเพลงสำเนียงภาษาไว้ว่า
“เพลงขับร้องมาแต่ภาษาต่าง ๆ เหล่านี้คือเพลงฝรั่งร้องรับด้วยแตรวงใหญ่อย่าง ๑ เพลงจีนร้องงิ้วหุ่นหนังมโหรีประสานเครื่องสายพิณพาทย์อย่างจีนอย่าง ๑ เพลงยวนร้องรำกระถางเปนท่าทางต่าง ๆ ใช้กลองแลรับเปนเครื่องนัดหมายอย่าง ๑ อีกรำดอกบัวร้องลำนำอย่างสยามรับด้วยปี่กลองชะวามีหน้าพาทย์ต่าง ๆ ด้วย อีกอย่าง ๑เพลงเขมรร้องเปนสำเนียงเขมรแต่รับด้วยเสียงดนตรีเหมือนไทยอย่าง ๑ เพลงรามัญร้องรำเรียกว่า ทะแยมอญรับด้วยเครื่องสายพิณพาทย์อย่างมอญอย่าง ๑ เพลงทวายรำร้องคล้อยมอญใช้พิณพาทย์มีเปิ่งมางอย่าง ๑เพลงพม่าร้องรำมักเปนการแห่ลูกหนูฤากระจาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีกลองยาวอย่าง พม่าแต่ทุกวันนี้ใช้บวชนาคเรียกว่าแชยำบ้างเถิดเทิงบ้างอย่าง ๑เพลงลาวแอ่วประสานเสียงแพนเรียกว่า ทางซุ้ม ทางกะเลิง ทางลอดค่ายต่าง ๆ อย่าง ๑แขกพราหมณ์ร้องรับด้วยน้ำเต้าแลซออีกอย่าง ๑ เพลงละครชาตรีฤาหนังตะลุงร้องรับด้วยเครื่องพิณพาทย์อย่างแขกอย่าง ๑เพลงแขกจำอวดเกิดขึ้นไม่ช้านักเรียกว่ายิเกใช้ตีรำมะนาใหญ่ ๆ อย่างเดียวแต่ร้องเล่นหลายเรื่องหลายภาษาอย่าง ๑ อีกร้องเพลงแจวเรือพายเรือตีกันเชียง โล้เรือ ขันฉ้อ ขันกว้าน ถอนสมอ ลากไม้ เหล่านี้ก็มีหลายภาษาอย่าง ๑ หมวดด้วยกันดั่งนี้”
จากพระวินิจฉัยดังกล่าวมุ่งชี้ไปที่การบรรเลงเพลงสำเนียงภาษาเป็นหลักโดยดัด แปลงจังหวะหน้าทับให้เหมาะสมกับทำนองสำเนียงภาษานั้นด้วยจึงต้องมีหน้าทับ เฉพาะ เช่น หน้าทับลาว หน้าทับแขก เป็นต้น บางครั้งยังนำเอาเครื่องประกอบจังหวะมาตีประกอบ เช่น กลองจีน กลองฝรั่ง เพื่อเป็นการเสริมสร้างบรรยากาศการฟังให้เข้าใจเพลงในแต่ละสำเนียงภาษา ชัดเจนขึ้น
ถ้าจะยกตัวอย่างเพลงสำเนียงเขมร ก็เช่น "ระบำไกรลาศสำเริง" เป็นเพลงที่ครูดนตรีไทย ได้ประดิษฐ์แต่งไว้ โดยให้ทั้งเพลงเป็นสำเนียงเขมร อัตราเพลงจะลดไป ๑ เสียงครับ