ปัญจมา
อสุรผัด
ตอบ: 100
|
ตอนที่กลับจากอเมริกาครั้งแรก เจอคนอเมริกันทีไรเขาก็จะชอบถามว่าไปอยู่ที่รัฐไหนมา พอเราตอบว่า “รัฐมินนิโซต้า” คนถามก็มักจะทำสีหน้าแปลก ๆ ใส่ ก่อนที่จะถามต่อว่า “ไปทำไมมินนิโซต้า ยูไม่รู้หรอกหรือว่ามันหนาวขนาดไหน” เสียทุกครั้งไป
รัฐมินนิโซต้านี้ตั้งอยู่ในแถบ Midwestern United States หรือที่เขาเรียกกันสั้นๆ ว่า Midwest ใครอยากรู้ว่าอยู่ตรงไหนก็ดูแผนที่ประกอบก็แล้วกันนะคะ มินนิโซต้าคือรัฐที่มีชื่อย่อว่า MN ที่อยู่บนสุดติดชายแดนแคนาดานั่นแหละ เนื่องจากดินแดนแถบนี้มันไม่ได้รับอิทธิพลจากลมทะเล หน้าหนาวแต่ละทีถึงได้หนาวจับใจ ไอ้อุณหภูมิติดลบ 10 ฟาเรนไฮต์ในฤดูหนาวนี่คนที่นั่นเขาถือเป็นเรื่องปกติค่ะ เพราะลบ 30 ก็เคยมีมาแล้ว ตลอดสามปีที่เราอยู่ที่นั่นเราจึงได้แต่กัดฟันบอกตัวเองว่า “คนที่แคนาดาเขาหนาวกว่าแกอีกนะ แค่นี้อย่าบ่น”
แต่เรื่องความหนาวเย็นของที่นั่นเป็นข้อมูลที่เราไม่มีโอกาสได้รู้ก่อนไป เวลาฝรั่งถามทีไรเลยได้แต่ยิ้มแหยๆ ในความเป็นจริงแล้วจะว่าเราถูกหลอกไปที่นั่นก็คงไม่ถูกต้องเสียทีเดียว แต่เป็นเพราะปัจจัยอะไรหลายๆ อย่างผสมกันมากกว่า หนึ่งในปัจจัยนั้นก็คงเป็นความอ่อนต่อโลกนั่นแหละ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปัญจมา
อสุรผัด
ตอบ: 100
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 12 มิ.ย. 16, 14:50
|
|
เรื่องมันมีอยู่ว่า ตอนอยู่ AFP มีเพื่อนสนิทร่วมหอพักอยู่คนหนึ่ง แฟนเขาไปเรียนโทสถาปัตย์ที่มหาลัยประจำรัฐมินนิโซต้าในเมืองมินนิอาโพลิส เขาก็เลยตามไปอยู่กับแฟนด้วย พอไปถึง เจ๊คนนี้แกก็ส่งโพสต์การ์ดมาให้เราบ่อยๆ เขียนมาทีไรก็ชวนไปเที่ยวที่โน่นตลอด แล้วโพสต์การ์ดเจ๊ส่วนใหญ่ก็มีแต่ทะเลสาบในหน้าร้อน ภูเขาสวย ๆ ที่มีแต่ความเขียวชะอุ่ม บางทีก็มีรูปใบไม้สีแดงสีเหลืองปกคลุมพื้นดินเต็มไปหมด แต่เจ๊แกก็ไม่เคยบ่นให้ฟังสักทีว่ามินนิโซต้านี่มันหนาวพิเศษไปกว่ารัฐอื่น ๆ ในอเมริกายังไง สมัยนั้นอินเตอร์เน็ตก็ยังไม่มี เลยไม่รู้จะไปหาข้อมูลได้ที่ไหน Lonely Planet ก็เล่มนึงเป็นพัน ผู้ช่วยช่างภาพเงินเดือนแค่สองพันที่ไหนจะมีกะตังค์ไปซื้อมาอ่านล่ะ
พอเราเดินทางไปถึงมินนิโซต้าเพื่อเริ่มต้นประสบการณ์โรบินฮู้ดพร้อมด้วยเงินสามร้อยเหรียญในกระเป๋านั่นแหละถึงได้เข้าใจว่า สาเหตุที่เพื่อนไม่เคยบ่นเรื่องความหนาวก็เป็นเพราะเจ๊แกไม่เคยต้องอยู่กับมันนานๆ ไง วันไหนต้องออกจากบ้านไปทำงานแต่เช้า ฝาละมีคนดีของเจ๊ก็จะตื่นขึ้นมาก่อนเวลาที่ภรรยาต้องไปทำงานครึ่งชั่วโมง แล้วเปิดฮีตเตอร์ในรถ ปัดหิมะที่ปกคลุมอยู่หน้ากระจกรถออกไปให้หมด พอเมียขึ้นรถมามันก็อุ่นสบายแล้ว พอเจ๊ไปทำงาน ร้านอาหารที่เจ๊ทำก็มีฮีตเตอร์ตลอด ขากลับคุณสามีตัวอย่างก็ขับรถเปิดฮีตเตอร์อุ่น ๆ มารับอีก เจ๊เลยไม่เคยลิ้มรสชาติของความหนาว ดังนั้นเจ๊เลยไม่เคยบ่นให้เพื่อนที่อยู่ทางเมืองไทยได้ยิน สรุปว่าเป็นความโง่ของเราเองที่ไม่ถามก่อน
ทีนี้พออยู่ไปได้สองเดือน เพื่อนดันต้องย้ายตามแฟนไปรัฐไหนก็จำไม่ได้ เพราะพอแฟนเขาเรียนจบแล้วก็ไปได้งานที่นั่น เราเลยต้องหาบ้านใหม่ โชคดีที่ก่อนไป เพื่อนนักข่าวอเมริกันที่อยู่เมืองไทยคนหนึ่งเขาได้โทร. ไปฝากฝังครอบครัวเขาที่มินนิอาโพลิสให้ช่วยดูแลเราด้วย เราเลยมีคนขับรถพาไปดูห้องแบ่งเช่าตามบ้านต่าง ๆ ที่เจ้าของเขาลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เพราะเราทำงานเสิร์ฟอาหาร เงินเดือนน้อย ไม่มีตังค์เช่าอพาร์ตเมนท์อยู่เอง รวมทั้งไม่มีประวัติการชำระหนี้ที่จะเอาใช้ประกอบการขอเช่าอพาร์ตเมนท์ใครด้วย เลยต้องหาห้องแบ่งเช่าถูก ๆ ไม่ไกลจากที่ทำงานอยู่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปัญจมา
อสุรผัด
ตอบ: 100
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 12 มิ.ย. 16, 14:51
|
|
ใครที่เคยหาบ้านเช่าหรือจะซื้อบ้านของตัวเองสักหลังคงจะเข้าใจเป็นอย่างดีว่ามันวุ่นขนาดไหนเวลาต้องไปดูบ้านแต่ละที่ โดยเฉพาะถ้าเรามีเวลาน้อย ต้องรีบหา และต้องทำงานประจำเต็มเวลา แถมคนขับรถที่พาเราไปดูก็ยังว่างไม่ตรงกับเราอีก เพราะเขาเองก็มีงานประจำเหมือนกัน ดังนั้น เวลาที่เรามีจริง ๆ จึงน้อยมาก เลยต้องรีบตัดสินใจ พอมีเจ้าของบ้านใจดีคนหนึ่ง โทร.ไปปุ๊บรีบขับรถมารับเราไปดูบ้านของเขาปั๊บ แถมยังพูดจาดี๊ดี ไม่ไว้ตัวเหมือนเจ้าของบ้านบางคน แล้วก็อุตส่าห์จะช่วยขนย้ายของให้เราด้วย เราก็เลยตัดสินใจเช่าบ้านพ่อหนุ่มคนนี้ทันที วางเงินมัดจำไปเรียบร้อยแล้วก็หนีตาม เอ๊ย ไม่ใช่ ย้ายของเข้าบ้านเขาทันที
บ้านหลังที่ว่านี้อยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารประเภทซื้อกลับบ้าน (take-out) ที่เราทำอยู่เท่าไหร่ มีสี่ห้องนอน เจ้าของครอบครองห้องนอนและบริเวณชั้นสองทั้งชั้น ส่วน roommate คือเรากับผู้เช่าอีกสองคนที่เรายังไม่เคยเห็นหน้า ต่างก็มีห้องของตัวเองอยู่ชั้นล่าง ห้องน้ำมีสองห้อง ห้องชั้นบนก็เจ้าของเขายึดแน่นอนอยู่แล้ว ส่วนข้างล่างนั้นเป็นห้องที่เรากับผู้เช่าอีกสองคนต้องใช้ร่วมกัน (ตอนแรกที่ฟังอย่างนี้ก็ไม่ค่อยจะติดใจอะไร พอย้ายเข้าไปแล้วนั่นแหละถึงได้เข้าใจว่าข้อเสียมันอยู่ตรงไหน)
คืนแรกที่เรานอนก็ไม่มีอะไร เพราะความที่เจ้าของบ้านเขาท่าทางใจดี เลยรู้สึกว่าน่าจะอยู่ได้ จะรู้สึกแปลก ๆ นิดหนึ่งก็ตอนที่พบว่า ประตูห้องนอนกับประตูห้องน้ำชั้นล่างมันล็อคไม่ได้ ตั้งใจว่าเช้าวันรุ่งขึ้นจะบอกเจ้าของบ้านสักหน่อย
แต่พอตื่นเช้าขึ้นมา ไอ้ที่ว่าน่าจะพออยู่ได้ก็เริ่มจะดูคล้าย ๆ ฝันร้ายขึ้นมารางๆ เพราะเราได้เจอกับผู้เช่าอีกหนึ่งคนซึ่งก่อนจะย้ายเข้าไปนั้นยังไม่เคยพบ มาจ๊ะเอ๋กันก็ตอนที่ต่างฝ่ายต่างก็ลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าในครัวกินก่อนออกไปทำงานในตอนเช้านั่นแหละ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปัญจมา
อสุรผัด
ตอบ: 100
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 12 มิ.ย. 16, 14:52
|
|
อย่าถามเลยนะว่าพ่อหนุ่มคนนี้มันชื่ออะไร จำไม่ได้หรอก นานมากแล้ว รู้แต่ว่า หลังจากแนะนำตัวกันแล้วเราก็ต้องนั่งคุยกันตามธรรมเนียมของเพื่อนร่วมบ้านที่ดี เราเลยได้ทราบว่าผู้เช่าคนนี้เขาทำงานอยู่ที่เบอร์เกอร์คิงไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ ระหว่างคุยเราก็สังเกตว่า คุณพี่คนนี้แกมีสายตาที่ออกจะล่อกแล่กมาก แล้วสายตาแกก็ดูเหมือนจะจับอยู่แต่ที่หน้าอกของเราเสียเป็นส่วนใหญ่ พอเราเริ่มจะเอามือมาปิดร่างกายท่อนบนของตัวเอง เป็นการแสดงให้แกเห็นว่าเราเริ่มจะจับสายตาของแกได้ แกก็ลุกขึ้นแล้วบอกว่า “ผมไปทำงานแล้วนะ อาจจะไม่เจอคุณตอนเย็น เพราะผมคงกลับค่ำ มีนัดกับจิตแพทย์หลังเลิกงาน”
ได้ยินปั๊บ อิฉันก็เย็นวาบขึ้นมาตรงสันหลังเชียวค่ะคุณขา อ้าว...ตกลงคุณพี่มีปัญหาทางจิต! ไม่ทราบไปรักษาโรคชอบมองหน้าอกผู้หญิงรึเปล่า รึคุณพี่เป็นยิ่งกว่านั้น คิดมาถึงตรงนี้ก็เริ่มนึกถึงหนังฝรั่งเกี่ยวกับฆาตกรโรคจิตที่เคยดูตอนอยู่เมืองไทย แล้วก็ไพล่ไปนึกถึงพ่อแม่พี่น้องที่จากมา ถ้าพรุ่งนี้ตรูกลายเป็นศพถูกหั่นเป็นท่อน ๆ ฝังดิน จะมีใครทางเมืองไทยสงสัยถามหาตรูบ้างไหมเนี่ย แล้วตอนมาก็ดันไม่บอกใครเลย แค่ส่งโพสต์การ์ดให้พ่อใบเดียวตอนมาถึงเท่านั้น
ความวัวยังไม่ทันหายค่ะ ความควายก็มาถึงในค่ำคืนนั้น พออิฉันกลับถึงบ้านอาบน้ำเสร็จ กำลังเตรียมตัวจะเข้านอน คุณพี่เจ้าของบ้านก็เปิดประตูผลัวะเข้ามาในห้องเราโดยที่ไม่เคาะก่อน “จะนอนแล้วเหรอ เป็นไงบ้าง พออยู่ได้ไหม”
พี่ไทยกำลังนอนอยู่ใต้ผ้าห่มในชุดนอนบางๆ ถึงกับต๊กกะใจ อุแม่เจ้า นี่ถ้าเจ้าของบ้านมันนึกพิเรนทร์อะไรขึ้นมา จะย่องเข้าหาเราตอนกลางคืน ตรูจะเอาอะไรไปสู้กับมันฟะ ตัวมันใหญ่ยังกะยักษ์วัดแจ้ง คิดสะระตะดูกี่รอบก็รู้ว่าเราเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่ ๆ แทนที่จะด่าเลยเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานตอบคุณพี่ไปทันทีว่า “สบายดีทุกอย่างจ้ะ แต่ง่วงมากเลย พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้า ราตรีสวัสดิ์นะจ๊ะ”
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปัญจมา
อสุรผัด
ตอบ: 100
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 12 มิ.ย. 16, 14:54
|
|
ตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา โรบินฮู้ดหญิงก็ได้แต่นอนกอดมีดปังตอที่ขอยืมมาจากร้านอาหารที่ตัวเองทำอยู่ทุกคืนไป กะว่าไม่ใครก็ใครต้องเลือดโชกกลับไปแน่ ๆ ถ้าดันพิเรนทร์มาย่องเข้าหาตรูตอนดึก ๆ เวลาเข้านอน อาจจะไม่ถึงขนาดจุดธูปแล้วคีบไว้ที่นิ้วเท้าแบบตี๋ใหญ่โจรในตำนาน แต่ก็ไม่ค่อยจะหลับได้สนิทนัก เพราะกลัวตื่นไม่ทันป้องกันตัวเองในกรณีคับขัน ใครมาเจออย่างนี้แล้วยังประสาทแข็งอยู่ได้จะขอยกมือไหว้
หนึ่งอาทิตย์ที่อยู่บ้านนั้นเป็นหนึ่งอาทิตย์ที่รันทดมาก จะนอนจะอาบน้ำแต่ละทีก็กลัวไปหมดว่าจะมีใครถือวิสาสะผลักประตูเข้ามาตอนที่เราไม่อยู่ในสภาพที่จะป้องกันตัวเองได้หรือเปล่า สุดท้ายทนไม่ได้ก็เลยโทร.ไปบอกน้องชายเพื่อนนักข่าวให้ช่วยกันหาบ้านให้ใหม่ แต่ปิดเป็นความลับมากเพราะกลัวเจ้าของบ้านจะรู้ เวลาจะโทร.ไปหาใครเรื่องบ้านก็ให้แต่เบอร์ที่ร้าน เพราะโทรศัพท์และเครื่องตอบรับโทรศัพท์ที่บ้านเช่าปัจจุบันมันอยู่ในห้องทำงานชั้นสองของเจ้าของบ้าน พอหาบ้านใหม่ได้แล้วก็นัดแนะให้เจ้าของบ้านใหม่มารับที่บ้านเดิมในวันที่ไม่ได้ไปทำงาน กลับมาถึงบ้านก็เก็บข้าวเก็บของแบบไม่ให้ใครที่เปิดประตูเข้ามาในห้องตอนเราไม่อยู่รู้ได้ว่าเรากำลังจะย้ายออก เพราะกลัวฆาตกรโรคจิตมันจะชิงลงมือก่อนเราได้ย้าย
วันที่ย้ายจริง ใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ มาก เพราะไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะอยู่บ้านหรือเปล่า เพราะเขาเคยบอกเราว่าปกติจะทำงานกะกลางคืน ถ้าอยู่ พี่แกต้องเห็นเราทยอยหิ้วกระเป๋าเดินทาง กล่อง และถุงสัมภาระต่างๆ ออกจากบ้านทางประตูหน้าแน่ ๆ เลยต้องค่อย ๆ ย่องเอาของออกจากประตูหลังบ้านทีละชิ้นสองชิ้นตามกำลัง กระเป๋าเดินทางเก่าๆ ที่หอบมาจากเมืองไทยด้วยมันก็ดันมีล้อ ลากแล้วเสียงดังมาก อิฉันก็ต้องค่อย ๆ หิ้วถูลู่ถูกังออกมาตามทางเดิน พอเลยบ้านออกมาสัก 3-4 หลังแล้วค่อยลาก ตอนนั้นกลัวมากว่าคนข้างบ้านจะเห็นแล้วสงสัยว่าเจ๊คนนี้ทำไมถึงย่องออกทางประตูหลัง เกิดมีใครโทร.คิดว่าสาวไทยเป็นนักย่องเบาแล้วโทร.ไปบอกเจ้าของบ้านหรือตำรวจตอนยังย้ายของไม่เสร็จ ตรูซวยแน่ เพราะฉะนั้น ครึ่งชั่วโมงที่ปฏิบัติการย้ายของออกจากบ้านนี่ ประสาทจะแหลกเอาเจ้าค่ะ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวประกอบหนังสยองขวัญที่กำลังจะโดนเฟร็ดดี้ ครูเกอร์หั่นเป็นศพยังไงยังงั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปัญจมา
อสุรผัด
ตอบ: 100
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 12 มิ.ย. 16, 14:55
|
|
ตอนไปดูบ้านใหม่และนัดแนะกับเจ้าของบ้านให้มารับ เราก็ดันไปให้ที่อยู่จริง ๆ กับเขาไว้ พอให้ไปแล้วนึกขึ้นมาได้ว่า เกิดเขามาถึงแล้วเดินมากดกริ่งประตูเรียก แผนปฏิบัติการของโรบินฮู้ดไทยคงล้มเหลวแน่ เลยโทร.ไปบอกเขาว่าบ้านเราอยู่ตรงหัวมุมของสี่แยก ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วอยู่กลาง ๆ ซอย แล้วก็ทยอยเอาของไปวางไว้หน้าบ้านที่หัวมุม ตอนนั้นห่วงหน้าพะวงหลังมาก เกิดขณะที่เราเดินกลับมาหิ้วของที่เหลือมีคนมาแฮฟของที่เราวางไว้ตรงหัวมุม อิฉันคงหมดตัวแน่ สุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือกก็ต้องเสี่ยงดวงเอา โชคดีที่ละแวกบ้านที่อยู่ตอนนั้นมันไม่ใช่บริเวณที่มีอาชญากรรมเยอะ ก็เลยไม่มีใครมาแฮฟของที่สาวไทยวางทิ้งไว้ริมถนน นี่ถ้าไปทำแบบนี้ในกรุงเทพฯ อาจจะไม่มีอะไรเหลือ
แต่เพราะชีวิตคนเรามักจะต้องเผชิญกับ Murphy’s Law เสมอ (แปลว่าอะไรที่แย่ ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ มันจะต้องเกิดขึ้นกับเราแน่ๆ) การย้ายของที่เต็มไปด้วยอุปสรรคก็เลยมีแต่เรื่องให้หวาดเสียว ขณะที่เรากำลังย่องกลับเข้าบ้านมาเก็บของที่เหลือนั่นเอง หูก็แว่วได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่บ้านดังเป็นกริ่งสุดท้าย จากนั้นเครื่องตอบรับโทรศัพท์ก็ส่งเสียงบี๊บ แล้วคนที่อยู่ปลายสายก็ฝากข้อความไว้กับเครื่องว่า
“สวัสดีค่ะ คุณปัญจมา นี่ลินดานะคะ ขอโทษด้วยที่อาจจะไปรับสายกว่าที่นัดกันสัก 15 นาที บังเอิญต้องแวะไปเปลี่ยนรถที่ออฟฟิศสามีก่อน เพราะลืมไปว่ารถที่ตัวเองขับนี่เป็นรถเล็ก ไม่มีที่พอสำหรับขนของและกระเป๋าเดินทางของคุณน่ะค่ะ หวังว่าคงไม่เป็นปัญหานะคะ แล้วเจอกันค่ะ”
วินาทีนั้นเองที่นึกขึ้นมาได้ว่า เราดันไปให้เบอร์บ้านกับเจ้าของบ้านคนใหม่ไว้ เพราะเขาบอกว่า “เผื่อมีอะไรวันย้ายของจะได้โทร.ติดต่อกันได้” เพราะตอนนั้นไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร ซวยล่ะสิตรู ซวยสองต่อด้วย ไม่ใช่ต่อเดียว ต่อแรกก็คือเครื่องตอบรับโทรศัพท์ที่ส่งเสียงดังให้ได้ยินกันไปทั้งบ้านเนี่ย มันอยู่ชั้นสองซึ่งเป็นที่อยู่ของเจ้าของบ้าน ถ้ามันอยู่บ้านป่านนี้มันคงได้ยินข้อความที่เจ้าของบ้านคนใหม่ฝากไว้แล้ว! ต่อที่สองคือต้องรออีกตั้ง 15 นาที! พระเจ้าช่วยลูกช้างด้วยเถิด นี่ถ้าใครคนใดคนหนึ่งในบ้านเกิดกลับมาตอนนี้แล้วมาเห็นเรานั่งจับเจ่ารออยู่ที่หัวมุมสี่แยกพร้อม ๆ กับข้าวของมากมาย มันก็รู้หมดสิว่าเรากำลังจะย้ายออก นึกไปถึงตรงนี้แล้วในสมองก็มีแต่ภาพยักษ์วัดแจ้งกำลังลากถูลู่ถูกังโรบินฮู้ดสาวที่ถูกมัดมือไพล่หลังให้กลับเข้าบ้านของตัวเอง ขณะที่หนุ่มโรคจิตเบอร์เกอร์คิงกำลังลับมีดรออยู่ในห้องใต้ดิน! ไม่ได้การเสียแล้ว เราต้องทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนที่ฆาตกรโรคจิตมันจะรู้ตัว
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 มิ.ย. 16, 19:20 โดย เทาชมพู »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปัญจมา
อสุรผัด
ตอบ: 100
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 12 มิ.ย. 16, 14:56
|
|
คิดได้ดังนั้นก็ค่อย ๆ กวาดตาไปรอบ ๆ เพื่อหาร่องรอยของเจ้าของบ้านว่าอยู่หรือเปล่า แล้วก็มองผ่านหน้าต่างออกไปเพื่อดูว่ารถคุณพี่จอดอยู่หน้าบ้านไหม แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเพราะจำรถของแกไม่ได้อยู่ดี รู้แต่ว่าเป็นรถกระบะสีดำๆ เท่านั้น แล้วไอ้รถกระบะสีดำนี่มันใช่ว่าจะมีคันเดียวในละแวกนั้นเสียเมื่อไหร่ เมื่อไม่สามารถจะตัดสินได้จากรถที่จอดอยู่ริมทางเดิน เลยค่อยๆ ย่องขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน ระหว่างย่องก็เงี่ยหูฟังไปด้วยว่ามีเสียงเคลื่อนไหวอะไรไหม แล้วก็นึกว่าถ้าตรูเจอเจ้าของบ้านบนชั้นสอง ตรูจะเอาเรื่องอะไรไปโกหกมันดีว่าเพราะอะไรถึงย่องขึ้นมาบนชั้นที่มันอยู่ เดี๋ยวยักษ์วัดแจ้งเข้าใจผิดว่าหญิงไทยใจกล้าย่องเข้าหากลางวันแสกๆ ละก็ ซวยต่อที่สามแน่ ๆ ตรู
ไม่ต้องบอกก็เดาได้ใช่ไหมคะว่าตอนนั้นอิฉันกลัวขนาดไหน เหงื่องี้ตกซิกยังกะอยู่ในเตาอบ พอแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนอยู่บนชั้นสองชัวร์ก็ต้องรีบสอดส่ายสายตามองหาเครื่องตอบรับโทรศัพท์ เพราะยังไม่รู้อยู่ดีว่าเจ้าของบ้านจะอยู่ในห้องเก็บของใต้ดินหรือเปล่า ถ้าเกิดมันอยู่ แล้วมันเดินกลับขึ้นมาบนห้องตอนปฏิบัติการยังไม่เสร็จ อิฉันคงตายแน่ แล้วห้องทำงานมันก็โคตรจะรกเลย กระดาษกองสุม ๆ อยู่มุมโน้นมุมนี้เต็มไปหมด กว่าจะหาเครื่องตอบรับโทรศัพท์ได้ก็เหงื่อแตก พอเจอแล้วก็รีบกดหาข้อความที่เจ้าของบ้านใหม่เขาฝากไว้ แล้วก็ลบมันออกไปจากเครื่อง ก่อนจะรีบวิ่งแจ้นลงมาชั้นล่างแล้วหยิบกระเป๋าใบสุดท้ายในห้องออกมาเพื่อเตรียมตัวเผ่นแน่บ
ยังไม่จบนะเจ้าคะ ด้วยความที่พ่อแม่เคยสั่งสอนมาบ้างว่าไม่ให้เอาเปรียบใคร ความคิดหนึ่งมันเลยแว่บขึ้นมาในหัวสมองตอนกำลังสะพายกระเป๋าจะออกจากบ้านว่า ไอ้ที่กำลังทำอยู่เนี่ยจริง ๆ แล้วมันก็ไม่ยุติธรรมต่อเจ้าของบ้านสักเท่าไหร่ เลยตัดสินใจใช้เวลา 5 นาทีสุดท้ายที่อยู่บ้านนั้นเขียนจดหมายลา พร้อม ๆ กับฝากเงินให้อีกต่างหาก 30 เหรียญ ให้มันเอาไปลงโฆษณาหา roommate ใหม่ จะได้ไม่มีอะไรติดค้างกัน (30 เหรียญสมัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อนนี่มันเยอะนะเจ้าคะ สมัยนั้น ค่าลงโฆษณาส่วนใหญ่จะอยู่ที่ราวๆ 25 เหรียญต่อสัปดาห์เอง)
ขณะกำลังก้มหน้าก้มตาเขียนจดหมายลาอยู่ที่เก้าอี้รับแขกนั่นเอง ไอ้หนุ่มโรคจิตเบอร์เกอร์คิงมันก็เปิดประตูเดินเข้าบ้านมา! ด้วยความว่องไวปานกามนิตหนุ่ม สาวไทยเตะกระเป๋าสะพายที่วางอยู่บนพื้นไปแอบใต้โต๊ะเพื่อไม่ให้เบอร์เกอร์คิงเห็น แล้วเงยหน้าขึ้นเซย์ฮัลโหลกับมันราวกับว่าไม่มีอะไรผิดปกติ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปัญจมา
อสุรผัด
ตอบ: 100
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 12 มิ.ย. 16, 14:58
|
|
“หวัดดีจ้ะ”
“สบายดีเหรอ แล้ววันนี้ไม่ไปทำงานรึไง” เบอร์เกอร์คิงทักตอบ แต่ประโยคถัดไปนี่สิทำเอาพี่ไทยหนาว “เออ...ที่หัวมุมตรงสี่แยกน่ะ เขามีการาจเซลส์รึไงเนี่ย (garage sales การขายของเลหลังแบบการเปิดท้ายรถขายของในเมืองไทย) ไอเห็นมีสัมภาระอะไรเต็มทางเดินไปหมด”
“ไม่รู้เหมือนกัน” สาวไทยตอบอย่างซื่อใสไร้เดียงสา “นี่กำลังจะออกไปหาข้าวกิน เดี๋ยวจะไปแวะดู...แล้วเจอกันนะ”
พอเบอร์เกอร์คิงเดินคล้อยหลังไป เราก็รอให้มันปิดประตูห้องนอนก่อนแล้วค่อยวางจดหมายลงบนโต๊ะกินข้าว ก่อนจะเผ่นแน่บอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อไปนั่งหง่าวรอเจ้าของบ้านคนใหม่ที่หัวมุมสี่แยกอีก 10 นาที ในขณะที่ใจก็ตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ว่าปฏิบัติการหนีฆาตกรโรคจิตในครั้งนี้จะจบลงแบบไหนกันแน่ ระหว่างนั่งรอก็หาทางหนีทีไล่ไว้ด้วยเผื่อเบอร์เกอร์คิงเกิดอยากจะออกมาดูการาจเซลส์กับเขาบ้าง พอเห็นรถกระบะสีดำ ๆ กำลังมุ่งหน้ามาที่สี่แยกแต่ละทีก็ทำเป็นมองโน่นมองนี่หันหลังให้ถนน เขาจะได้ไม่เห็นหน้าเรา เรียกว่าเป็น 10 นาทีที่ยาวนานที่สุดในชีวิตว่างั้นเถอะ
พอเจ้าของบ้านใหม่มาถึง โรบินฮู้ดสาวก็รีบขนของขึ้นรถเขาอย่างว่องไวเลยล่ะค่ะ เรี่ยวแรงไม่รู้มาจากไหน ยังกับคนที่ยกตู้เย็นหนีไฟไหม้ยังไงยังงั้น เสร็จแล้วก็วิ่งไปนั่งข้างคนขับโดยไม่รอช้า เพื่อให้เขาขับออกไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
จบค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 13 มิ.ย. 16, 06:36
|
|
คุณปัญจมาเล่าเรื่องได้น่าตื่นเต้นมาก น่าจะนำไปสร้างเป็นละคร "บ้านเช่าเขย่าขวัญ"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 13 มิ.ย. 16, 10:57
|
|
สนุกครับ, เรื่องราวจากการ"ปรุงแต่ง" ของคุณปัญจมา ถึงรสเข้มข้นจนแทบจะใจสั่น,เหงื่อซึมไปด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปัญจมา
อสุรผัด
ตอบ: 100
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 13 มิ.ย. 16, 17:53
|
|
"บ้านเช่าเขย่าขวัญ" นี่เหมาะมากค่ะ 555 แต่ทราบไหมคะว่าท่านอาจารย์เทาชมพูท่านไม่เชื่อเอาจริงๆ ว่าคนเขียนหนีออกมาแบบเงียบๆ ตอนเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟังครั้งแรกใน Facebook เมื่อหลายปีก่อน ท่านถามว่า "ไปแอบฆ่าฝรั่งฝังดินไว้ที่เมืองนอกแล้วหนีกลับมาเมืองไทยหรือเปล่า บุคลิกอย่างเธอ ฝรั่งไม่น่ารอด" อะไรประมาณนั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 13 มิ.ย. 16, 18:35
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
superboy
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 13 มิ.ย. 16, 19:57
|
|
หายใจไม่ทันครับ อ่านแล้วลุ้นตามสุดชีวิต เก่งมากครับที่อยู่รัฐมินนิโซต้าได้ถึง 3 ปี เป็นผมคงร้องให้แงแน่เลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|