ไหนจะโศกถึงพระมิ่งมงกุฏจอม ไหนจะผอมเพื่อนยากจะจากวัง
กลอนวรรคหลัง น่าจะเป็นกุญแจไขปัญหาว่า ทำไมหนึ่งองค์กับหนึ่งนางที่ว่านี้ต้องจากกัน หลังจากกรมพระราชวังบวรฯสิ้นพระชนม์ วันที่จากกันก็มีกำหนดว่า เป็นวันหลังจากมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพแล้ว
ธรรมเนียมในยุครัตนโกสินทร์มีอยู่ว่า เมื่อวังหน้าสิ้นพระชนม์ไป บุคคลที่ต้องประสบความเปลี่ยนแปลงโยกย้ายคือข้าราชบริพาร ขุนนางวังหน้าจะต้องย้ายไปสังกัดวังหลวง เป็นอย่างนี้ทุกรัชกาล ส่วนเจ้านายวังหน้าฝ่ายหน้าก็ยังประทับอยู่ในวังขององค์เองตามปกติ เจ้านายฝ่ายในก็ยังอยู่ในวังหน้าเหมือนเดิม จนถึงรัชกาลที่ 5 เมื่อสิ้นกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ หลังจากนั้นพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้เจ้านายฝ่ายในของวังหน้าที่เหลือน้อยองค์แล้ว ย้ายไปประทับรวมกับเจ้านายฝ่ายในของวังหลวง
ชาววังหน้าอีกพวกหนึ่งที่ต้องย้ายเมื่อสิ้นเจ้านาย คือบรรดานางในที่มิได้เป็นเจ้าจอม ฝ่ายเจ้าจอมในรัชกาลที่ 1-3 ยังคงอยู่ในวังตามเดิม จนถึงรัชกาลที่ 4 จึงโปรดให้ออกจากวัง กลับไปอยู่กับญาติพี่น้องหรือมีสามีใหม่ได้ หากว่าไม่มีพระองค์เจ้า แต่นางในอย่างนางข้าหลวง หรือพนักงานหญิงทั้งหลาย (ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่จะขึ้นเป็นเจ้าจอมหม่อมห้ามได้ หากยังมิได้เป็น) เมื่อไม่มีเจ้านาย พ่อแม่ก็สามารถมารับกลับไปอยู่บ้าน เพื่อจัดการให้ออกเรือนมีสามีไปให้เป็นฝั่งเป็นฝา เพราะไม่มีเจ้านายเป็นที่พึ่งแล้ว
ดิฉันจึงสันนิษฐานว่า "แฟน"ของผู้นิพนธ์ คือนางในที่มิใช่เจ้าจอม อยู่ในวังหน้ามาได้เพื่อทำหน้าที่สักอย่างตามความรับผิดชอบ จนเสร็จงานพระราชพิธี หมดหน้าที่แล้ว ก็ต้องออกจากวังกลับไปบ้านพ่อแม่ ไม่มีทางหลีกเลี่ยง
ด้วยเหตุนี้ จึงล่ำลาอาลัยอาวรณ์กันหนักหนา ผู้นิพนธ์ยังต้องอยู่ในวังหน้าต่อไป ออกไปไหนไม่ได้ เพราะเป็นเจ้านายฝ่ายใน ส่วนอีกฝ่ายก็ต้องกลับออกไปอยู่บ้าน ไม่มีโอกาสอยู่ร่วมกันอีก