จาก 28 มกราคม ซึ่งป็นวันยุติกรณีพิพาทอินโดจีน ไปจนถึง 8 ธันวาคม 2484 ซึ่งเป็นวันที่ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบก เวลาเกือบจะทั้งปีนี้ถือว่าเป็นยุคเฟื่องที่สุดของชายชื่อแปลก ท่านได้เลื่อนยศจากพลตรีเป็นจอมพลไปแล้ว คนก็เรียกว่าท่านจอมพลบ้าง ท่านผู้นำบ้าง คราวนี้ท่านอยากเป็นสมเด็จเจ้าพญา ภรรยาของท่านซึ่งได้เป็นท่านผู้หญิงที่อายุน้อยมากแค่36ปีเศษไปแล้ว พันเอกหญิงก็ได้เป็นแล้ว คราวนั้นเกือบจะได้เป็นสมเด็จเจ้าพญาหญิง หากท่านปรีดีมิได้โต้คัดค้านเสียงแข็งในที่ประชุมค.ร.ม.ว่าขัดต่ออุดมคติของคณะราษฎร จอมพลพิบูลไม่พอใจมาก เลยเสนอให้ที่ประชุมเลือกเอาสองทาง คือทางหนึ่งตกลงตามแผนสถาปนาฐานันดรเจ้าศักดินาอย่างใหม่ หรือไม่ก็ต้องเลือกทางที่สอง เวนคืนบรรดาศักดิ์เดิมทุกคน รัฐมนตรีส่วนมากเลือกทางเวนคืน จอมพลพิบูลจึงเสนอว่า เมื่อเวนคืนบรรดาศักดิ์แล้ว ผู้ใดจะใช้ชื่อและนามสกุลเดิม หรือเปลี่ยนนามสกุลตามชื่อบรรดาศักดิ์ที่เป็นอยู่ก็ได้ ตัวท่านเองได้เปลี่ยนนามสกุลจากขีตตะสังคะมาเป็นพิบูลสงคราม แต่ชื่อแปลกก็แปลกไปหน่อยเลยย่อเสียนิด เป็นจอมพล ป.พิบูลสงคราม คนเรียกสั้นๆว่าจอมพลป. ดังนั้นในกระทู้นี้ ผมจึงจะปรับปรุงให้ทันสมัยด้วยการเรียกท่านว่าจอมพลป. แทนหลวงพิบูลนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ในคดีดำที่ ๔๒๒๖/๒๕๒๑ นายปรีดี พนมยงค์ โจทก์ยื่นฟ้องนายรอง ศยามานนท์ ศาสตราจารย์ทางประวัติศาสตร์ จำเลย กรณีที่ศาสตราจารย์ผู้นั้นบิดเบือนประวัติศาสตร์ หมิ่นประมาทใส่ความ ซึ่งในที่สุดจำเลยรับผิดตามฟ้องนั้น คำบรรยายฟ้องตอนหนึ่งมีดังนี้
“เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๔๘๔ ได้มีพระราชกฤษฎีกาแต่งตั้งให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด และพลโทมังกร พรหมโยธี เป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ต่อมาอีก ๖ วัน คือ ในวันที่ ๑๘ เดือนเดียวกันนี้ ก็ได้มีกฤษฎีกาเพิ่มเติมอีกฉบับหนึ่งว่า ให้จอมพลพิบูลฯ มีอำนาจสิทธิ์ขาดผู้เดียวในการสั่งทหารสามเหล่าทัพ อันเป็นอำนาจพิเศษยิ่งกว่าผู้บัญชาการทหารสูงสุดอื่น ๆ
ครั้นต่อมาในปลายเดือนพฤศจิกายนนั้นเอง คือก่อนที่ญี่ปุ่นจะรุกรานไทย ในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ จอมพลพิบูลฯ ได้เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้บัญญัติกฎหมายยกเลิกบรรดาศักดิ์ไทยเดิม โดยสถาปนา ‘ฐานันดรศักดิ์’ (Lordship) ตามแบบฝรั่งขึ้นใหม่ คือ ดยุก, มาควิส, เคานท์, ไวสเคานท์, บารอน ฯลฯ โดยตั้งศัพท์ใหม่ขึ้นเพื่อใช้สำหรับฐานันดรศักดิ์เจ้าศักดินาใหม่ คือ สมเด็จเจ้าพญา, ท่านเจ้าพญา, เจ้าพญา, ท่านพญาฯลฯ ส่วนภรรยาของฐานันดรเจ้าศักดินาใหม่นั้นให้เติมคำว่า ‘หญิง’ ไว้ข้างท้าย เช่น ‘สมเด็จเจ้าพญาหญิง’
แต่หลวงวิจิตรวาทการเสนอให้เรียกว่า ‘สมเด็จหญิง’ และฐานันดรเจ้าศักดินาให้มีคำว่า ‘แห่ง’ (of) ต่อท้ายด้วยชื่อแคว้นหรือบริเวณท้องที่ เช่น สมเด็จเจ้าพญาแห่งแคว้น... พญาแห่งเมือง... ฯลฯ ทำนองฐานันดรศักดินายุโรป เช่น ดยุก ออฟ เบดฟอร์ด ฯลฯ ฐานันดรเจ้าศักดินาใหม่นี้ให้แก่รัฐมนตรีและข้าราชการไทยตามลำดับตำแหน่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์สายสะพาย เช่น จอมพลพิบูลฯ ได้รับพระราชทานสายสะพายนพรัตน์ ก็จะได้ดำรงฐานันดรเจ้าศักดินาเป็น ‘สมเด็จเจ้าพญาแห่ง...’
ฐานันดรเจ้าศักดินาใหม่นั้นทายาทสืบสันตติวงศ์ได้เหมือนในยุโรปและญี่ปุ่น อันเป็นวิธีการซึ่งนักเรียนที่ศึกษาประวัติศาสตร์นายพลนโปเลียน โบนาปาร์ต ทราบกันอยู่ว่า ท่านนายพลผู้นั้นได้ขยับขึ้นทีละก้าวทีละก้าว จากเป็นผู้บัญชาการกองทัพแล้วเป็นกงสุลคนหนึ่งในคณะกงสุล ๓ คนที่มีอำนาจสิทธิ์ขาดปกครองประเทศฝรั่งเศส ครั้นแล้วนายพลนโปเลียน โบนาปาร์ต ก็เป็นกงสุลผู้เดียวตลอดกาลซึ่งมีสิทธิ์ตั้งทายาทสืบตำแหน่ง
รัฐมนตรีที่เป็นผู้ก่อการฯ จำนวนหนึ่งรวมทั้งโจทก์ด้วยนั้น ได้คัดค้านจอมพลพิบูลฯ ว่าขัดต่ออุดมคติของคณะราษฎร อันเป็นเหตุให้จอมพลพิบูลฯ ไม่พอใจ ท่านจึงเสนอให้ที่ประชุมเลือกเอาสองทาง คือทางหนึ่งตกลงตามแผนสถาปนาฐานันดรเจ้าศักดินาอย่างใหม่ ทางที่สองเวนคืนบรรดาศักดิ์เดิมทุกคน
รัฐมนตรีส่วนข้างมาจึงลงมติในทางเวนคืนบรรดาศักดิ์เดิม เมื่อจอมพลพิบูลฯ แพ้เสียงข้างมากในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว ท่านจึงเสนอว่าเมื่อเวนคืนบรรดาศักดิ์เก่าแล้ว ผู้ใดจะใช้ชื่อและนามสกุลเดิม หรือเปลี่ยนนามสกุลตามชื่อบรรดาศักดิ์เดิมก็ได้
โจทก์กับรัฐมนตรีส่วนหนึ่งกลับใช้ชื่อและนามสกุลเดิม แต่จอมพลพิบูลฯ เปลี่ยนนามสกุลเดิมของท่านมาใช้ตามราชทินนามว่า ‘พิบูลสงคราม’ และรัฐมนตรีบางท่านก็ใช้ชื่อเดิม โดยเอาสกุลเดิมเป็นชื่อรอง และใช้ราชทินนามเป็นนามสกุล ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งชื่อและนามสกุลยาวๆ แพร่หลายจนทุกวันนี้”
พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา อดีตประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ให้การเป็นพยานในคดีอาชญากรสงคราม ที่มีจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นจำเลย มีความตอนหนึ่งรับกันกับคำฟ้องของนายปรีดีข้างต้น ดังนี้
“ตอนที่ จอมพล ป. นำให้มีการลาออกหรือให้พ้นจากบรรดาศักดิ์กันนั้น ขุนนิรันดรชัยได้มาทาบทามข้าพเจ้าว่า จะได้มีการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์กันใหม่เป็นสมเด็จเจ้าพญาชายบ้าง สมเด็จเจ้าพญาหญิงบ้าง และขุนนิรันดรชัยถูกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการ โดยยึดหลักเกณฑ์ว่า ผู้ที่ได้สายสะพายนพรัตน์จะได้เป็นสมเด็จเจ้าพญาชาย ซึ่งมีจอมพล ป. คนเดียวที่ได้สายสะพายนั้น เมื่อตั้งสมเด็จเจ้าพญาชายแล้ว เมียของผู้นั้นก็ได้เป็นสมเด็จเจ้าพญาหญิงตามไปด้วย
ข้าพเจ้า รู้สึกว่า จอมพล ป. นั้น กระทำการเพื่อจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินเสียเอง แล้วภรรยาจอมพล ป. ก็มีความมักใหญ่ใฝ่สูงทำนองเดียวกันเอารูปไปฉายในโรงหนังให้คนทำความเคารพโดยมีการบังคับ ในการทำบุญวันเกิดก็ทำเทียมวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระเจ้าแผ่นดิน เช่น มีตราไก่กางปีกประดับธงทิวทำนองเดียวกับตราครุฑหรือตราพระบรมนามาภิไธยย่อ และได้สร้างเก้าอี้ขึ้นในทำนองเดียวกับเก้าอี้โทรนของพระเจ้าแผ่นดินเว้นแต่ใช้ตราไก่กางปีกแทนตราครุฑเท่านั้น...”
http://www.pridiinstitute.com/autopage/show_page.php?h=12&s_id=5&d_id=8&page=2&start=1