ทันทีที่มีเวลาก้าวขึ้นเรือนไทย ก็ตามกระทู้นี้ทันทีค่ะ
แม่แช่มดูจะค้าขายรุ่งเืรืองรวดเร็ว โดยอาศัยฝีมือชาววัง และ การสนับสนุนของคนรัก จึงได้เปรียบ
ผิดกับแม่ช้อยที่กลับบอกว่า ฝีมือชาววังแำละทำของขายก็ต้องดีเลิศ เป็นผลให้แม่ช้อยค้าขายไม่รุ่งเรืองเท่า
อาจะเป็นได้ทีี่่แม่ช้อยริค้าขายเอาเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำก็เป็นได้
ในสายตาคนตะวันตก ได้กล่าวถึงยุคสมัยที่แม่แช่มค้าขายไว้ดังนี้
The last decade of King Chulalongkorn’s long reign was as nearly utopian as our world has seen. There was no poverty as in other lands; no one could freeze or starve because the monasteries afforded free shelter in their salas. There was reward for intelligent endeavor. The humblest born could earn a title of nobility. The aged were honored and cared for. Children were taught to honor priest, teacher, and parent in that order. Their heritage from ancient times was a gracious dignity and charm inherent in free people. They were a peace within and without their borders. They were friendly to the stranger and tolerant of foreigners’ outlandish ways, Whether Hindu, Muslim, Chinese or European.
(page 54 “Siam Was Our Home” A narrative memoir of Ednar Bruner Bulkley’s years in Thailand in the early 1900’s.)
ในช่วงทศวรรษสุดท้ายของรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวจุฬาลงกรณ์ซึ่งทรงครองสิริราชสมบัติมาเป็นเวลายาวนานนี้ สยามเปรียบเสมือนเมืองในฝัน(Utopia) ที่ปรากฏแก่สายตาชาวโลก ไม่มีความยากจนในแผ่นดินแห่งนี้เหมือนดังเช่นที่แผ่นดินอื่น ไม่มีผู้ใดต้องหนาวตายหรืออดอาหารจนตาย เพราะตามวัดจะมีศาลา ไว้ใช้เป็นที่พักพิงแก่คนยากไร้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย มีรางวัลให้แก่ผู้ที่พยายามศึกษาหาความรู้ แม้ผู้ที่มีฐานะต่ำต้อยที่สุดก็มีโอกาสที่จะได้รับยศถาบรรดาศักดิ์ คนชราได้รับความเคารพและดูแลเอาใจใส่ เด็กๆ ได้รับการอบรมสั่งสอนให้เคารพพระภิกษุ ครูบาอาจารย์ และพ่อแม่ตามลำดับ มรดกทางวัฒนธรรมที่มีมาแต่โบราณกาลนับเป็นเกียรติภูมิและเป็นเสน่ห์ที่สืบทอดอยู่ในสายเลือดของคนที่เป็นไท พวกเขาอยู่กันอย่างสงบสุข เป็นมิตรกับคนต่างถิ่น และยอมรับวิถีชีวิตที่แตกต่างของชนชาตอื่นๆไม่ว่าจะเป็นฮินดู มุสลิม จีน หรือ ยุโรป (หน้า 80 “สยามคือบ้านของเรา” โดยเอ็ดน่า บรูเน่อร์ บัลค์ลีย์ แปลโดย “เด็กวัฒฯ รุ่น 100”)
Although Bangkok at the turn of the century was a Shangri-La of peace and plenty, with the splendors of court life in its very midst, royalty going in and out unprotected and unselfconscious, it was also totally devoid of the sordid and distressing poverty common in most of the other great cities of the world.
(page 75 “Siam Was Our Home” A narrative memoir of Ednar Bruner Bulkley’s years in Thailand in the early 1900’s.)
กรุงเทพฯในช่วงต้นศตวรรษนี้ (คริสต์ศตวรรษที่ 20) เป็นแดนสวรรค์แห่งความสงบสุขและความอุดมสมบูรณ์ โดยมีชีวิตอันหรูหราของราชสำนักเป็นจุดศูนย์กลาง เหล่าพระราชวงศ์สามารถเสด็จไปไหนมาไหนได้โดยไม่ต้องมีทหารคุ้มกันและไม่ต้องแสดงพระองค์ นอกจากนี้ กรุงเทพฯยังเป็นเมืองที่ปราศจากความยากจนข้นแค้นชนิดที่ทำให้ผู้คนหยาบคายไร้ศีลธรรมจรรยาหรือเห็นแก่ตัว ซึ่งมักจะพบเห็นอยู่เสมอในมหานครอื่น ๆ ทั้งหลายในโลกนี้ แต่กระนั้น สภาพความเป็นอยู่ในภมิอากาศเขตร้อนก็ยังคงเป็นสิ่งที่โหดร้ายเหลือแสนสำหรับชาวตะวันตกอยู่ดี
(หน้า 115 “สยามคือบ้านของเรา” โดยเอ็ดน่า บรูเน่อร์ บัลค์ลีย์ แปลโดย “เด็กวัฒฯ รุ่น 100
สนใจที่คุณฮั่นปิง กล่าวไว้ว่า
ทั้งนี้ ไปเจอเอกสารฉบับหนึ่ง ว่าด้วยเมืองจีนบันทึกถึงการพัฒนาประเทศของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
นั่งอ่านด้วยความตื่นเต้น และแกมยากลำบาก เพราะว่าเป็นภาษาโบราณ
นอกเรื่องไปนิด แต่ก็ยังอยู่ในเค้าของสี่แผ่นดิน
มีโอกาสแปลมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ พ่อฉิมก็เป็นคนเชื้อสายจีนมิใช่หรือ