เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์ไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: Ruamrudee ที่ 28 ก.พ. 11, 20:26



กระทู้: จมื่น - เจ้าหมื่น
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 28 ก.พ. 11, 20:26
เนื่องจากมีประเด็นเกี่ยวกับคำ จมื่น - เจ้าหมื่น ที่น่าสนใจมากพอที่จะแยกออกเป็นกระทู้ใหม่ จึงขออนุญาตแตกออกมาไว้ที่นี่นะครับ (Admin)


กระทู้นี้ มีครบเครื่องจริง ๆ นะคะ ตั้งแต่เรื่องเจ้าชาย เจ้าจอม ชามกระเบื้อง หุ่นกระบอก งิ้ว จนถึงวิธีผัดหอยกระพง

ต้องขอความรู้จากคุณหลวงเล็กสักเรื่องเถอะค่ะ ด้วยไม่รู้จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ผ่านตามาบ่อย ๆ คือ

เรื่องตำแหน่งมหาดเล็กค่ะ

มีระดับชั้นและชื่อเรียกกันอย่างไรบ้าง หุ้มแพร จางวาง อะไรพวกนี้ค่ะ และ

วังหน้ามีมหาดเล็กไหมคะ

ปัจจุบัน ตำแหน่งนี้ยังมีไหมคะ เปลี่ยนชื่อเป็นอย่างไร หรือ เทียบเท่ากับตำแหน่งอะไร

ขออภัยอาจารย์เทาชมพูค่ะ หากคำถามนี้ออกนอกเรื่องวังหน้าไป

สยามในยุดรัชกาลที่ 4 ต่อต้นรัชกาลที่ 5 เป็นยุคที่ดิฉันนึกไม่ถึงจริง ๆ ว่า เราเคยเจริญมากขนาดที่พระราชวงศ์ชั้นสูง ตรัสภาษาต่างประเทศได้ดี เจ้าจอมหม่อมห้ามก็เป็นผู้ใฝ่รู้และ มีพระปรีชา มีสิทธิเสรีภาพไม่แพ้ผู้ชาย

เราเคยมีวังหน้าที่ต่อเรือรบได้ มีการสร้างเครื่องจักรกลขึ้น อ่านแล้วสนุกเหมือนฝันไปนะคะ

  


กระทู้: เจ้าชายยอร์ช วอชิงตัน แห่งสยาม กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ วังหน้าพระองค์สุดท้าย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.พ. 11, 20:41
เคยเขียนเรื่อง บรรดาศักดิ์มหาดเล็ก ไว้ อ่านได้ที่นี่ค่ะ
http://www.vcharkarn.com/varticle/168

บรรดาศักดิ์มหาดเล็ก

ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ตำแหน่งงานมหาดเล็กในพระบรมมหาราชวัง ถือเป็นบันไดสำคัญขั้นแรกในหมู่ชายหนุ่มลูกผู้ดีเมื่อเข้าสู่ราชการ เนื่องจากจะมีโอกาสอยู่ใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดินให้ทรงใช้สอย และมีโอกาสรู้เห็นการงานสำคัญๆของบ้านเมือง ถ้าหากว่าทำตัวดีมีความสามารถจนเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย ต่อไปก็จะโปรดเกล้าฯให้เลื่อนไปสู่ตำแหน่งสูงๆได้ง่ายกว่าข้าราชการสังกัด อื่นๆ

บรรดาศักดิ์มหาดเล็กมีหลายระดับ เริ่มต้นตั้งแต่เป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นเข้าเป็นมหาดเล็กธรรมดาเสียก่อน แล้วก็เลื่อนขึ้นเป็นมหาดเล็กชั้นรองหุ้มแพร มีคำนำหน้าว่า "รอง" นำหน้า ต่อจากนั้นก็คือ "มหาดเล็กหุ้มแพร"

คำว่า "มหาดเล็กหุ้มแพร" มีผู้อธิบายกันไปหลายทาง ในที่นี้ขอใช้คำอธิบายของพระมหาเทพกษัตรสมุห มหาดเล็กในรัชกาลที่ ๖ ว่าเป็นตำแหน่งมหาดเล็กที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง โดยพระราชทานพระแสงดาบที่ใช้แพรสีแดงหุ้มที่ฝักดาบ มีปลอกเงินรัดเป็นเปลาะ ทำนองเดียวกับธรรมเนียมการแต่งตั้งแม่ทัพนายกองมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนรัตน โกสินทร์/ มหาดเล็กหุ้มแพรมักจะมีวัยตั้งแต่ ๒๐ ปีขึ้นไป กำลังหนุ่มแน่นทำงานได้คล่องแคล่ว เดิมมีบรรดาศักดิ์อยู่ ๑๒ ชื่อคล้องจองกันคือ

๑)นายสนิท ๒)นายเสน่ห์ ๓)นายเล่ห์อาวุธ
๔)นายสุดจินดา ๕)นายพลพ่าย (มาถึงรัชกาลที่ ๖ ทรงเปลี่ยนเป็นนายพลพ่าห์) ๖)นายพลพัน
๗)นายชัยขรรค์ ๘)นายสรรค์วิชัย ๙)นายพินัยราชกิจ
๑๐)นายพินิจราชการ ๑๑)นายพิจิตร์สรรพการ ๑๒)นายพิจารณ์สรรพกิจ

นายสุดจินดาคนที่มีชื่อเสียงอยู่ในพงศาวดารเป็นมหาดเล็กสมัยพระเจ้าเอกทัศ กษัตริย์องค์สุดท้ายของอยุธยา หนีรอดตายเมื่อครั้งเสียกรุงไปได้ เข้ารับราชการจนได้เป็นเจ้าพระยาสุรสีห์สมัยธนบุรี ต่อมาในรัชกาลที่ ๑ คือกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท


มหาดเล็กรับใช้ทั้งหมดแบ่งการทำงานออกเป็น ๔ เวร คือเวรศักดิ์ เวรสิทธิ์ เวรฤทธิ์ เวรเดช แต่ละเวรมีการทำงานแตกต่างกันไป
เวรศักดิ์ อยู่เวรยามเฝ้าเครื่อง,รับใช้ตลอดเวลาที่พระมหากษัตริย์มิได้ประทับอยู่ฝ่าย ใน และเชิญเครื่องตามเสด็จทั่วไป มีหลวงนายศักดิ์ หรือหลวงศักดิ์นายเวร เป็นหัวหน้าเวร
คุณเปรม พระเอกสี่แผ่นดิน ตอนเปิดตัวออกโรงเป็นครั้งแรก อายุ ๒๓ ปี เป็นมหาดเล็กเวรศักดิ์
เวรสิทธิ์ ดูแลรับผิดชอบพระราชทรัพย์สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ตลอดจนพระที่นั่ง และบริเวณพระราชวัง มีหลวงนายสิทธิ์หรือหลวงสิทธิ์นายเวร เป็นหัวหน้าเวร
ประมาณ ๒๐ ปีก่อน เรามีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนหนึ่งชื่อพลเอกสิทธิ์ จิรโรจน์ หนังสือพิมพ์มติชนเรียกท่านอย่างล้อๆว่า "หลวงนายสิทธิ์" ก็เอาชื่อมาจากมหาดเล็กนายเวรนี่แหละค่ะ
เวรฤทธิ์ ดูแลรับผิดชอบพระราชยานพาหนะ ไม่ว่าจะเป็นช้าง ม้า เรือ รถ ต้องรับผิดชอบให้อยู่ในสภาพที่พร้อมเมื่อทรงใช้ทุกเมื่อ หลวงนายฤทธิ์หรือหลวงฤทธิ์นายเวร เป็นหัวหน้าเวร

พลายชุมพลเมื่อปราบจระเข้เถรขวาดได้แล้ว พระพันวษาก็รับเข้าวังไปใช้สอยไว้วางพระทัย จนได้เลื่อนขึ้นเป็นหลวงนายฤทธิ์ มีบทบาทอยู่ในขุนช้างขุนแผนตอนพลายเพชรพลายบัวออกศึก (ทั้งสองลูกชายพระไวยหลานปู่ขุนแผน) แต่เป็นตอนที่ไม่มีอยู่ในเสภาฉบับหอพระสมุด

เวรเดช มีหน้าที่ฝึกหัดอบรมมหาดเล็กใหม่ ทางด้านงาน กิริยา วาจามารยาทและการใช้ราชาศัพท์ ตลอดจนรับผิดชอบเรื่องหนังสือเข้าออกต่างๆ ถ้าหากว่าพระมหากษัตริย์จะทรงใช้มหาดเล็กออกไปติดต่องาน ต่างพระเนตรพระกรรณภายนอกก็จะทรงใช้มหาดเล็กเวรนี้ หลวงนายเดชหรือหลวงเดชนายเวร เป็นหัวหน้าเวร

สูงขึ้นไปจากนายเวร คือหัวหมื่นมหาดเล็ก มี ๔ บรรดาศักดิ์คือ จมื่นสรรเพชญภักดี จมื่นเสมอใจราช จมื่นไวยวรนารถ และจมื่นศรีสรรักษ์ เดิมเรียกว่า "จมื่น" มาเปลี่ยนเป็น " เจ้าหมื่น" ในรัชกาลที่ ๖ นี้เอง

บุคคลเหล่านี้เรียกกันอย่างไม่เป็นทางการว่า "คุณพระนาย" ไม่เรียก "คุณจมื่น" หรือ "คุณเจ้าหมื่น"

บรรดาศักดิ์พงศาวดารสมัยอยุธยาบันทึกชื่อจมื่นศรีสรรักษ์ พี่ชายของเจ้าจอมเพ็งและเจ้าจอมแมนพระสนมคนโปรดในพระเจ้าเอกทัศ จมื่นศรีฯคนนี้อาศัยบารมีน้องสาวฉ้อราษฎร์บังหลวงให้ราษฎรเดือดร้อน จนพระเจ้าอุทุมพรเมื่อสึกออกมารบกับพม่า ทรงทนไม่ได้ ขอตัวจากพระเชษฐาไปลงโทษโบยและเอาตัวเข้าคุกเสียพักใหญ่ กว่าพระเจ้าเอกทัศจะไปขอตัวให้รอดออกจากคุกมาได้


ส่วนจมื่นศรีสรรักษ์ในวรรณคดี มีบทอยู่ในขุนช้างขุนแผน เป็นผู้เกื้อกูลอุปถัมภ์พลายงามจนกระทั่งได้ถวายตัวรับราชการ และจมื่นศรีฯคนนี้เองก็ร่วมมือกับพลายชุมพลปราบเถรขวาดในตอนจับเสน่ห์นาง สร้อยฟ้า

จมื่นไวยวรนารถคือบรรดาศักดิ์ใหม่ของพลายงามเมื่อเสร็จจากทำศึกเชียงใหม่ มีความดีความชอบมากก็ได้เลื่อนรวดเดียวขึ้นเป็นหัวหมื่นมหาดเล็กคู่กับจมื่น ศรีฯ ไม่ต้องผ่านตามลำดับขั้นอย่างคนอื่นๆ

ส่วนมหาดเล็กวังหน้ามีระเบียบการบังคับบัญชาแบบเดียวกับมหาดเล็กวังหลวง แต่มีชื่อและบรรดาศักดิ์เรียกแยกออกไปโดยเฉพาะ หนึ่งในมหาดเล็กหุ้มแพรวังหน้าสมัยต้นรัตนโกสินทร์คือกวีเอกของไทยชื่อนาย นรินทรธิเบศร์(อิน) เจ้าของ "นิราศนรินทร์" อันได้ชื่อว่าเป็นยอดโคลงสี่สุภาพไม่มีบทกวีประเภทเดียวกันเทียบได้มาจนทุก วันนี้
**************
เรื่องจางวาง เชิญคุณหลวงเล็ก


กระทู้: เจ้าชายยอร์ช วอชิงตัน แห่งสยาม กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ วังหน้าพระองค์สุดท้าย
เริ่มกระทู้โดย: art47 ที่ 28 ก.พ. 11, 21:34
อาจารย์เทา ขอโทษเถิดครับที่ผมต้องแย้ง


สูงขึ้นไปจากนายเวร คือหัวหมื่นมหาดเล็ก มี ๔ บรรดาศักดิ์คือ จมื่นสรรเพชญภักดี จมื่นเสมอใจราช จมื่นไวยวรนารถ และจมื่นศรีสรรักษ์ เดิมเรียกว่า "จมื่น" มาเปลี่ยนเป็น " เจ้าหมื่น" ในรัชกาลที่ ๖ นี้เอง


เท่าที่ทราบมา คำว่า "เจ้าหมื่น" นั้น ใช้มาตั้งแต่รัชกาลที่ 4 แล้วนะครับ ไม่ใช่เพิ่งเปลี่ยนมาใช้เมื่อรัชกาลที่ 6
ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 4 ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์
เรื่องทรงตั้งและแปลงนามบรรดาศักดิ์ขุนนาง

กรมมหาดเล็ก ทรงใหม่ ที่จางวาง พระยามนตรีสุริยวงศ์ พระยาวรพงศ์พิพัฒน์ ภายหลังตั้งใหม่ พระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์
พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ พระยาประสิทธิศุภการ ...................................
หัวหมื่นมหาดเล็ก เดิมเป็นจมื่น ก็แปลงว่า เจ้าหมื่น นายจันมีชื่อ แปลงว่า นายฉัน นายจิตร แปลงว่า นายชิต

และราชกิจจานุเบกษาสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ใช้ "เจ้าหมื่น" แล้วครับ ไม่ได้ใช้ "จมื่น"


กระทู้: เจ้าชายยอร์ช วอชิงตัน แห่งสยาม กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ วังหน้าพระองค์สุดท้าย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.พ. 11, 21:42
บทความนี้เขียนเมื่อหลายปีมาแล้ว จำไม่ได้ว่าหลักฐานเรื่องเปลี่ยนชื่อจากจมื่นเป็นเจ้าหมื่น ในรัชกาลที่ ๖   ดิฉันไปเอามาจากหนังสือเล่มไหน
ขอบคุณที่แก้ไขให้ค่ะ
ไปค้นเพิ่มเติม  เจอในประวัติเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล)ว่า
"ว่ากันว่า ตำแหน่งหัวหมื่นมหาดเล็ก ซึ่งเดิมเรียกว่า ‘จมื่น’ คือ จมื่นสรรพเพธภักดี จมื่นเสมอใจราชจมื่นไวยวรนารถ และจมื่นศรีสรรักษ์ นั้น เพิ่งจะเปลี่ยนมาเรียกว่า ‘เจ้าหมื่น’ ในรัชกาลที่ ๔ นี้ เนื่องจากนายเพ็งมีฐานะดังที่ออกพระโอษฐ์ว่า เป็น ‘ลูกบุญธรรม’ ซึ่งจะโปรดฯตั้งให้เป็นเจ้าก็ผิดราชธรรมเนียมประเพณี เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ โปรดฯให้นายเพ็งเป็นหัวหมื่นมหาดเล็ก ซึ่งทรงเปลี่ยนคำว่า ‘จมื่น’ เป็น ‘เจ้าหมื่น’ "

http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetail.asp?stauthorid=13&stcolcatid=2&stcolumnid=1114&stissueid=2463


กระทู้: เจ้าชายยอร์ช วอชิงตัน แห่งสยาม กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ วังหน้าพระองค์สุดท้าย
เริ่มกระทู้โดย: luanglek ที่ 01 มี.ค. 11, 08:36
ผมคิดเล่นๆ  นะครับว่า   เดิม  จมื่น  คงจะกร่อนมาจาก  จ่าหมื่น
หมายถึง  ขุนนางยศ จ่า ที่มีศักดินา ๑๐๐๐๐ ไร่   ขุนนางที่ยศจ่า
ในทำแหน่งนาพลเรือนมีศักดินาไม่สูงนัก  แค่ไม่กี่ร้อยไร่
แต่จ่าในกรมมหาดเล็กนั้นเป็นตำแหน่งหัวหน้าเวรมหาดเล็ก ถือว่าสำคัญมาก
มีหน้าที่รับผิดชอบมาก  จึงได้รับศักดินาสูงกว่ายศจ่าปกติ  (อันนี้เดานะครับ
อาจจะผิดได้มาก)

พอมาสมัยรัชกาลที่ ๔  ทรงแก้ไข  ชื่อหรือคำที่แปลหรือฟังไม่เป็นภาษา 
จมื่น ก็เลยกลายเป็น  เจ้าหมื่น  ไป   แต่ยศ  จมื่น  ในตำแหน่งข้าราชการอื่น
อย่างตำแหน่งพระตำรวจหลวงก็ยังคงอยู่   มี จมื่นสมุหพิมาน  เป็นต้น


ส่วนชั้น มหาดเล็ก  "หุ้มแพร"  นั้น  ไม่แน่ใจว่า  สมเด็จกรมพระยาดำรง
กับสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศฯ  ได้ทรงเล่าไว้ในสาส์นสมเด็จบ้างหรือเปล่า

ส่วนจางวาง  สำหรับกรมมหาดเล็ก  ถือว่าเป็นตำแหน่งผู้กำกับบังคับบัญชาการมหาดเล็กทั้งปวง
เสมอด้วยเจ้ากรม  จางวางในกรมมหาดเล้กจึงมียศสูงเป็นพระยา หรือ เจ้าพระยา

แต่ถ้าเป็นจางวางในกรมที่เจ้ากรมเป็นผู้บังคับบัญชาการ   
จางวางจะเป็นตำแหน่งเกียรติยศ  สำหรับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่สูงอายุ
จึงได้รับดปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่ปรึกษาราชการและกำกับราชการในกรมนั้น
แต่ราชการจางวางอย่างนี้ มีหน้าที่ไม่หนักมาก  เพราะสูงอายุแล้ว

ตอบเท่านี้ก่อน   เพราะต้องไปปฏิบัติหน้าที่นอกที่ทำงานทั้งวันแล้วครับ ;D


กระทู้: เจ้าชายยอร์ช วอชิงตัน แห่งสยาม กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ วังหน้าพระองค์สุดท้าย
เริ่มกระทู้โดย: Bhanumet ที่ 01 มี.ค. 11, 10:07
ผมเคยเข้าใจว่า

ที่ ร. ๔ ทรงเปลี่ยน จมื่น กรมมหาดเล็ก เป็น เจ้าหมื่น นั้น

เพื่อให้แตกต่างจาก จมื่น กรมอื่น ๆ เช่น กรมพระตำรวจหลวง

เพราะ จมื่น กรมมหาดเล็กนั้น ศักดิ์สูงกว่าคุณพระ เป็นรองเพียง จางวางมหาดเล็ก ที่เป็น พระยา
เมื่อได้เลื่อนก็มักเลื่อนเป็น พระยา เลย

ส่วน จมื่น กรมพระตำรวจหลวง นั้น ศักดิ์ยังต่ำกว่าคุณพระ เพราะเจ้ากรมพระตำรวจ บางท่านเป็นเพียงคุณพระ
เมื่อ จมื่น กรมพระตำรวจ ได้เลื่อนขึ้น ก็มักเป็นที่คุณพระก่อน

จมื่น กรมมหาดเล็ก กับ จมื่น กรมพระตำรวจ ต่างกันดังนี้
ในสมัย ร. ๔ จึงให้เปลี่ยน จมื่น กรมมหาดเล็ก เป็น เจ้าหมื่น

ทั้งนี้ ตามความเข้าใจของผม

ผมคิดเล่นๆ  นะครับว่า   เดิม  จมื่น  คงจะกร่อนมาจาก  จ่าหมื่น
หมายถึง  ขุนนางยศ จ่า ที่มีศักดินา ๑๐๐๐๐ ไร่

ส่วนเรื่อง จมื่น มาจาก จ่าหมื่น นั้น  ผมว่าเข้าเค้ามากทีเดียว
ในเอกสารโบราณ บางทีก็เห็นสะกดว่า จหมื่น หรือ จะหมื่น (ถ้าจำไม่ผิดนะจ๊ะ อิ :-X)

เพียงแต่คงไม่ได้หมายความว่า จ่า ที่มีศักดินา ๑๐๐๐๐ (จ่านาหมื่น)

ผมคิดว่า หมายความถึง จ่าที่เป็นหัวหน้าคนหนึ่งหมื่น ทำนองเป็นคำยกย่อง ให้สูงกว่าจ่าธรรมดา
หรือมิฉะนั้น ก็เป็น จ่าของหมื่น คือ สูงกว่า หัวสิบ หัวพัน หัวหมื่น ซึ่งเป็นตำแหน่งชั้นประทวน

แต่ในสมัยโบราณ  เป็นบรรดาศักดิ์ชั้นสูง   เพราะ ต้นอยุธยา จตุสดมภ์ ก็เป็นแค่ ขุน

และในทางล้านนา ก็เห็นใช้ตัวเลขเช่นนี้ เป็นบรรดาศักดิ์ (หรือจะคล้ายกับศักดินาด้วย ???)
เช่น กษัตริย์ ก็เป็น พญาล้านนา กือนา (สองแสนนา) แสนเมืองมา
ขุนนาง ก็เช่น แสนฟ้าเรื่อ หมื่นด้งนคร หมื่นโลกสามล้าน หมื่นหาญแต่ท้อง

ด้วยเหตุนี้ จึงสันนิษฐานว่า จมื่น มาจาก จ่าหมื่น อันมีที่มาจากบรรดาศักดิ์ไทโบราณ ที่เป็นระบบตัวเลข
น่าจะทำนองว่า เป็นหัวหน้าคนจำนวนเท่าไหร่  หรือภายหลังเป็นการบอกศักดิ์ของขุนนางทำนองศักดินา
มากกว่าที่จะหมายถึง จ่านาหมื่น (จ่า ศักดินา ๑๐๐๐๐)


กระทู้: เจ้าชายยอร์ช วอชิงตัน แห่งสยาม กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ วังหน้าพระองค์สุดท้าย
เริ่มกระทู้โดย: luanglek ที่ 01 มี.ค. 11, 12:40
ผมคิดเล่นๆ  นะครับว่า   เดิม  จมื่น  คงจะกร่อนมาจาก  จ่าหมื่น
หมายถึง  ขุนนางยศ จ่า ที่มีศักดินา ๑๐๐๐๐ ไร่

ส่วนเรื่อง จมื่น มาจาก จ่าหมื่น นั้น  ผมว่าเข้าเค้ามากทีเดียว
ในเอกสารโบราณ บางทีก็เห็นสะกดว่า จหมื่น หรือ จะหมื่น (ถ้าจำไม่ผิดนะจ๊ะ อิ :-X)

เพียงแต่คงไม่ได้หมายความว่า จ่า ที่มีศักดินา ๑๐๐๐๐ (จ่านาหมื่น)

ผมคิดว่า หมายความถึง จ่าที่เป็นหัวหน้าคนหนึ่งหมื่น ทำนองเป็นคำยกย่อง ให้สูงกว่าจ่าธรรมดา
หรือมิฉะนั้น ก็เป็น จ่าของหมื่น คือ สูงกว่า หัวสิบ หัวพัน หัวหมื่น ซึ่งเป็นตำแหน่งชั้นประทวน

แต่ในสมัยโบราณ  เป็นบรรดาศักดิ์ชั้นสูง   เพราะ ต้นอยุธยา จตุสดมภ์ ก็เป็นแค่ ขุน

และในทางล้านนา ก็เห็นใช้ตัวเลขเช่นนี้ เป็นบรรดาศักดิ์ (หรือจะคล้ายกับศักดินาด้วย ???)
เช่น กษัตริย์ ก็เป็น พญาล้านนา กือนา (สองแสนนา) แสนเมืองมา
ขุนนาง ก็เช่น แสนฟ้าเรื่อ หมื่นด้งนคร หมื่นโลกสามล้าน หมื่นหาญแต่ท้อง

ด้วยเหตุนี้ จึงสันนิษฐานว่า จมื่น มาจาก จ่าหมื่น อันมีที่มาจากบรรดาศักดิ์ไทโบราณ ที่เป็นระบบตัวเลข
น่าจะทำนองว่า เป็นหัวหน้าคนจำนวนเท่าไหร่  หรือภายหลังเป็นการบอกศักดิ์ของขุนนางทำนองศักดินา
มากกว่าที่จะหมายถึง จ่านาหมื่น (จ่า ศักดินา ๑๐๐๐๐)


หมายความว่า  จมื่น  จาก  จ่าหมื่น   เพราะเป็นหัวหน้าคนเรือนหมื่น  กระนั้นหรือ?
มีหลักฐานหรือไม่   ถ้าคุมคนเป็นหมื่น  ก็เป็นระดับเจ้าเมืองหรือแม่ทัพใหญ่แล้วล่ะครับ

เราอาจจะต้องไปดูระบบการคุมคนในดินแดนอื่นที่ไม่ใช่อยุธยา อย่างล้านนา สิบสองปันนา
ไทยใหญ่  ฯลฯ  ผมยังสงสัยว่า  มหาดเล็กวังหลวงมี ๔ เวร  (ศักดิ์ สิทธิ์ ฤทธิ์ เดช)
ถ้าคิดเล่นๆ ว่า  เคยมีมหาดเล็กเรือนหมื่นคน   เราต้องสร้างวังใหญ่ขนาดไหน
กิจการหน้าที่มหาดเล็กมีมากเพียงใดที่ต้องใช้คนเรือนหมื่น   
มหาดเล็กเวรหนึ่ง น่าจะอยู่ในหลักสิบหลักร้อย  (เวรหนึ่งไม่น่าจะเกิน ๒๐๐ )
ไม่น่าจะถึงหมื่นไปได้   แม้จะเรื่องชนเชื้อไท-ไตเหมือนกัน
แต่จะเอามาเทียบกันทุกเรื่องไม่ได้นะครับ  วิถีวัฒนธรรมลางเรื่องก็ต่างไปตามกลุ่มเหมือนกัน
พึงระวังให้มากนะครับ

ศักดินาในกฎหมายตราสามดวงเป็นตัวเลขสมมติ
จะมีบทบาทก็ต่อเมื่อนำไปใช้ในทางกฎหมาย   
ไม่ได้มีบทบาทในเชิงรูปธรรม  การถือกำลังคน
หรือถือที่ดินอย่างที่คนชั้นหลังเข้าใจกัน




กระทู้: เจ้าชายยอร์ช วอชิงตัน แห่งสยาม กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ วังหน้าพระองค์สุดท้าย
เริ่มกระทู้โดย: Bhanumet ที่ 01 มี.ค. 11, 14:22
หมายความว่า  จมื่น  จาก  จ่าหมื่น   เพราะเป็นหัวหน้าคนเรือนหมื่น  กระนั้นหรือ?
มีหลักฐานหรือไม่   ถ้าคุมคนเป็นหมื่น  ก็เป็นระดับเจ้าเมืองหรือแม่ทัพใหญ่แล้วล่ะครับ

เราอาจจะต้องไปดูระบบการคุมคนในดินแดนอื่นที่ไม่ใช่อยุธยา อย่างล้านนา สิบสองปันนา
ไทยใหญ่  ฯลฯ  ผมยังสงสัยว่า  มหาดเล็กวังหลวงมี ๔ เวร  (ศักดิ์ สิทธิ์ ฤทธิ์ เดช)
ถ้าคิดเล่นๆ ว่า  เคยมีมหาดเล็กเรือนหมื่นคน   เราต้องสร้างวังใหญ่ขนาดไหน
กิจการหน้าที่มหาดเล็กมีมากเพียงใดที่ต้องใช้คนเรือนหมื่น  
มหาดเล็กเวรหนึ่ง น่าจะอยู่ในหลักสิบหลักร้อย  (เวรหนึ่งไม่น่าจะเกิน ๒๐๐ )
ไม่น่าจะถึงหมื่นไปได้   แม้จะเรื่องชนเชื้อไท-ไตเหมือนกัน
แต่จะเอามาเทียบกันทุกเรื่องไม่ได้นะครับ  วิถีวัฒนธรรมลางเรื่องก็ต่างไปตามกลุ่มเหมือนกัน
พึงระวังให้มากนะครับ

ศักดินาในกฎหมายตราสามดวงเป็นตัวเลขสมมติ
จะมีบทบาทก็ต่อเมื่อนำไปใช้ในทางกฎหมาย    
ไม่ได้มีบทบาทในเชิงรูปธรรม  การถือกำลังคน
หรือถือที่ดินอย่างที่คนชั้นหลังเข้าใจกัน






คุณหลวงเข้าใจผมผิดแล้ว
ผมไม่เคยมีความคิดเลยว่า  ต้องมี "นา" หรือ คุม "คน" จริง ๆ
(ถึงแม้อาจจะเป็นความจริงก็ได้ เพราะก็ไม่มีใครเกิดทัน ทุกอย่างล้วนสันนิษฐาน และเราก็เลือกที่จะเชื่อตามข้อสันนิษฐานที่พิจารณาแล้วมีเหตุ มีผล)
ผมไม่เคยคิด หรือ กล่าวเช่นนั้น  ถ้าคำพูดของผมทำให้คิดเช่นนั้น ก็ขออภัย

ที่ยกตัวอย่างล้านนา นั้น  คือ ประเด็น  ใช้จำนวน (ตัวเลข) เป็นเครื่องบอกสถานะทางสังคม
เช่น ล้าน กือ แสน หมื่น  ในทำนอง บรรดาศักดิ์  หรือ ศักดินา (คือ ศักดิ์ของบุคคล ไม่ใช่จำนวนนาที่ครอบครองจริง ๆ)
เป็นคำเรียกยกย่องเปรียบเปรยว่า มีที่นาจำนวนมาก หรือ เป็นหัวหน้าคนจำนวนมาก
ไม่ได้มีที่นา หรือเป็นหัวหน้าคนจำนวนเท่านั้นจริง ๆ เป็นทำนองอติพจน์

เช่นในอยุธยา มี หัวหมู่ (หัวหน้าหมู่?) หัวสิบ (หัวหน้าสิบคน?) หัวปาก? หัวพัน (หัวหน้าพันคน) หัวหมื่น (หัวหน้าหมื่นคน)
เป็นคำเรียกยกย่อง ใช้เป็นชื่อตำแหน่ง ไม่ได้หมายความว่าคุมคนเท่านั้นจริง ๆ

และยังมีบรรดาศักดิ์ชั้นประทวน คือ  พัน หมื่น จ่า  ซึ่งมีความหมายในทำนอง หัวหน้า มากกว่า จำนวนคนที่คุม
(ซึ่งในอยุธยาตอนต้น หมื่น เป็นบรรดาศักดิ์ชั้นสูง เหมือนทางล้านนา เพราะจตุสดมภ์ ยังเป็นเพียง ขุน
คำว่า พญา (พระยา) ยังคงมีความหมายเป็น ราชา ใช้เรียกกษัตริย์ต่างเมือง ก่อนจะถูกนำมาเป็นบรรดาศักดิ์
ทำให้ พัน หมื่น ถูกลดเป็นเป็นเพียงบรรดาศักดิ์ระดับล่าง
ในอดีตย้อนไปไกลกว่านั้น ขุน หลวง พญา น่าจะใช้กับ "เจ้า" ผู้ครองเมือง ทำนอง ราชา)


เพียงแต่สะท้อนที่มาให้เห็นถึงวัฒนธรรมไทโบราณ ว่าใช้ จำนวน (ตัวเลข) เป็นบรรดาศักดิ์ หรือเครื่องบอกสถานะทางสังคม
โดยยกธรรมเนียมล้านนาเป็นตัวอย่างประกอบ

และวัฒนธรรมนี้ อาจเป็นต้นเค้าของ "ศักดินา" ในสมัยอยุธยา ที่กำหนดศักดิ์ของคนด้วย จำนวน (ตัวเลข) นา
โดยไม่จำเป็นต้องครอบครองที่นาจำนวนเท่านั้นจริง ๆ

ด้วยเหตุที่กล่าวมาทั้งหมดนี้
ผมจึงคิดว่า จมื่น มาจากคำว่า จ่าหมื่น จริง ดังที่คุณหลวงเล็กว่า
แต่ไม่เห็นด้วยว่ามาจาก จ่าศักดินา ๑๐๐๐๐ (จ่านาหมื่น)
แต่น่าจะมาจาก คำว่า จ่า และ หมื่น ที่เป็นคำใช้เรียก หัวหน้า มาแต่เดิม
เป็น จ่าหมื่น คือ จ่าของหมื่น อันสูงกว่าหมื่นธรรมดา
หรือ จ่า (หัวหน้า) ของคนหนึ่งหมื่น อันเป็นคำเรียกยกย่อง

แม้คำว่า หมื่น ในที่นี้ และ ศักดินา อาจจะมีต้นเค้ามาจากธรรมเนียมไทโบราณเช่นเดียวกัน
ในเรื่องการกำหนดศักดิ์ของคนด้วย จำนวน (ตัวเลข) ไม่ว่าจะยึดโยงกับที่นา หรือกำลังคน

แต่ผมไม่คิดว่า จ่าหมื่น จะหมายถึง "จ่า ที่มีศักดินา ๑๐๐๐๐ ไร่" ครับ
เพราะไม่มีเหตุผลให้เชื่อเช่นนั้น หัวหมื่นมหาดเล็ก ก็มีศักดินา ไม่ถึง ๑๐๐๐๐
หรือจะว่าเป็นทำนองอติพจน์ ผมก็ยังคิดว่าเหตุผลยังไม่หนักแน่นนัก
 :)


กระทู้: เจ้าชายยอร์ช วอชิงตัน แห่งสยาม กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ วังหน้าพระองค์สุดท้าย
เริ่มกระทู้โดย: luanglek ที่ 01 มี.ค. 11, 16:33
ผมจึงคิดว่า จมื่น มาจากคำว่า จ่าหมื่น จริง ดังที่คุณหลวงเล็กว่า
แต่ไม่เห็นด้วยว่ามาจาก จ่าศักดินา ๑๐๐๐๐ (จ่านาหมื่น)
แต่น่าจะมาจาก คำว่า จ่า และ หมื่น ที่เป็นคำใช้เรียก หัวหน้า มาแต่เดิม
เป็น จ่าหมื่น คือ จ่าของหมื่น อันสูงกว่าหมื่นธรรมดา
หรือ จ่า (หัวหน้า) ของคนหนึ่งหมื่น อันเป็นคำเรียกยกย่อง


แม้คำว่า หมื่น ในที่นี้ และ ศักดินา อาจจะมีต้นเค้ามาจากธรรมเนียมไทโบราณเช่นเดียวกัน
ในเรื่องการกำหนดศักดิ์ของคนด้วย จำนวน (ตัวเลข) ไม่ว่าจะยึดโยงกับที่นา หรือกำลังคน

แต่ผมไม่คิดว่า จ่าหมื่น จะหมายถึง "จ่า ที่มีศักดินา ๑๐๐๐๐ ไร่" ครับ
เพราะไม่มีเหตุผลให้เชื่อเช่นนั้น หัวหมื่นมหาดเล็ก ก็มีศักดินา ไม่ถึง ๑๐๐๐๐
หรือจะว่าเป็นทำนองอติพจน์ ผมก็ยังคิดว่าเหตุผลยังไม่หนักแน่นนัก
 :)

อยากฟังคำอธิบายข้อความที่ขีดเส้นใต้เพิ่มเติมอีก
ว่าทำไมจึงคิดเช่นนั้น   จ่าของหมื่น   คืออะไร ถ้าในบริบทของมหาดเล็ก

และ "จ่า (หัวหน้า) ของคนหนึ่งหมื่น อันเป็นคำเรียกยกย่อง"
ไม่ทราบว่าพอจะมีตัวอย่างหรือหลักฐานอันใด
ที่พอจะทำให้สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเช่นนั้นได้บ้าง

ผมคิดต่อไปเล่นๆ ว่า  จ่าหมื่น เท่ากับ แสน  ของล้านนาหรือเปล่า
ถ้าเท่ากัน  จ่าหมื่น  ก็คือ ยศแสนของไทยฝ่ายใต้ 
และยศ  หัวสิบ หัวปาก หัวพัน (พัน) หมื่น  แสน  อาจจะเป็นยศที่ตั้งขึ้น
เพื่อกำหนดลำดับสูงต่ำของชั้นยศโดยเอาหลักของตัวเลขจำนวนนับมาใช้
เหมือนกันกับ นาย ขุน หลวง พระ  พระยา  เจ้าพระยา  ก็ได้กระมัง
ดดยที่อยุธยาเป็นไทยใต้ที่รวมเอาวัฒนธรรมต่างๆ เข้าผนวกไว้ด้วยกัน
เลยมีลำดับชั้นยศที่เป็นทั้งตัวเลขและไม่ใช่หลักตัวเลข

ความคิดของคุณภาณุเมศร์น่าสนใจ   ผมยังอยากรู้ต่อ
เชิญอธิบายต่อเถิดอยากฟัง   ผมก็คิดของผมไปเรื่อยๆ 
หลักฐานรับรองความคิดยังไม่มี   โอกาสผิดมีสูง


กระทู้: เจ้าชายยอร์ช วอชิงตัน แห่งสยาม กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ วังหน้าพระองค์สุดท้าย
เริ่มกระทู้โดย: Bhanumet ที่ 01 มี.ค. 11, 17:16
อยากฟังคำอธิบายข้อความที่ขีดเส้นใต้เพิ่มเติมอีก
ว่าทำไมจึงคิดเช่นนั้น   จ่าของหมื่น   คืออะไร ถ้าในบริบทของมหาดเล็ก

และ "จ่า (หัวหน้า) ของคนหนึ่งหมื่น อันเป็นคำเรียกยกย่อง"
ไม่ทราบว่าพอจะมีตัวอย่างหรือหลักฐานอันใด
ที่พอจะทำให้สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเช่นนั้นได้บ้าง

๑. เรื่องมาจากคำว่า จ่าของหมื่น (ไม่แน่ว่า จมื่น อาจจะมาจาก เจ้าหมื่น ก็ได้นะครับ  ;D) ผมเดาว่า มีที่มาก่อนที่จะเป็น จมื่น มหาดเล็ก (รวมถึง กรมพระตำรวจ)
กล่าวคือ เมื่อมี หมื่น หลาย ๆ คน  ก็อาจจะมีหัวหน้าคอยกำกับ (หัวหมื่น ???)  เรียกว่า จ่าหมื่น แล้วเพี้ยนกลายเป็น จมื่น ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์สูงกว่า หมื่น ธรรมดา
ในสมัยโบราณ (ยุคที่จตุสดมภ์ยังเป็นแค่ ขุน) ผู้ได้บรรดาศักดิ์พิเศษเช่นนี้ อาจจะมีเฉพาะผู้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท
ดังนั้น เมื่อการปกครองเปลี่ยนไป บรรดาศักดิ์ จมื่น จึงมีอยู่แค่ในกรมมหาดเล็ก และ กรมพระตำรวจ ซึ่งเป็นกรมที่มีความใกล้ชิดและรักษาความปลอดภัยของพระมหากษัตริย์
ที่น่าสังเกตคือ จมื่น กรมมหาดเล็ก เป็น "หัวหมื่นมหาดเล็ก"

แต่ที่ผมสงสัย คือ ทำไมเรียก จมื่น กรมมหาดเล็ก (เจ้าหมื่น) ว่า คุณพระนาย  เป็นเพราะว่าสูงกว่า จมื่น กรมพระตำรวจ หรือไม่
ทำนองว่าอยู่ระดับเดียวหรือสูงกว่าคุณพระ เพราะถ้าได้เลื่อนขึ้นอีกก็เป็น พระยา แล้ว


๒. เรื่อง "จ่า (หัวหน้า) ของคนหนึ่งหมื่น อันเป็นคำเรียกยกย่อง" อันนี้ เดาจาก เมื่อมี พัน หมื่น
ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์ ที่น่าจะมีที่มาจากการยกย่อง ทำนองว่าเป็น หัวหน้าของคนหนึ่งพัน หัวหน้าของคนหนึ่งหมื่น  (ซึ่งคงจะไม่มีคนในควบคุมมากขนาดนั้นจริง ๆ)
เมื่อคิดตามหลักการนี้ จ่าหมื่น จึงอาจเป็นคำยกย่อง ว่าเป็น จ่า (หัวหน้า) ของคนหมื่นคน
ความหมายเดียวกะ หัวหมื่น (จมื่น กรมมหาดเล็ก เป็น หัวหมื่นมหาดเล็ก)
แต่ที่ไม่ใช้ หัวหมื่น หรือ หมื่น (เช่น หัวหมื่นไวยวรนาถ หมื่นศรีสรรักษ์) เพราะ ในชั้นหลัง หมื่น หรือ หัวหมื่น เป็นบรรดาศักดิ์ชั้นประทวนไปแล้ว



ผมคิดต่อไปเล่นๆ ว่า  จ่าหมื่น เท่ากับ แสน  ของล้านนาหรือเปล่า
ถ้าเท่ากัน  จ่าหมื่น  ก็คือ ยศแสนของไทยฝ่ายใต้ 
และยศ  หัวสิบ หัวปาก หัวพัน (พัน) หมื่น  แสน  อาจจะเป็นยศที่ตั้งขึ้น
เพื่อกำหนดลำดับสูงต่ำของชั้นยศโดยเอาหลักของตัวเลขจำนวนนับมาใช้
เหมือนกันกับ นาย ขุน หลวง พระ  พระยา  เจ้าพระยา  ก็ได้กระมัง
ดดยที่อยุธยาเป็นไทยใต้ที่รวมเอาวัฒนธรรมต่างๆ เข้าผนวกไว้ด้วยกัน
เลยมีลำดับชั้นยศที่เป็นทั้งตัวเลขและไม่ใช่หลักตัวเลข

เห็นด้วยครับ

และข้อสังเกตที่ว่า จ่าหมื่น คือ แสน นั้น
น่าสนใจมากครับ  เป็นไปได้ ๆ
 :o


กระทู้: เจ้าชายยอร์ช วอชิงตัน แห่งสยาม กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ วังหน้าพระองค์สุดท้าย
เริ่มกระทู้โดย: luanglek ที่ 02 มี.ค. 11, 10:48
๑. เรื่องมาจากคำว่า จ่าของหมื่น (ไม่แน่ว่า จมื่น อาจจะมาจาก เจ้าหมื่น ก็ได้นะครับ  ;D)
ผมเดาว่า มีที่มาก่อนที่จะเป็น จมื่น มหาดเล็ก (รวมถึง กรมพระตำรวจ)
กล่าวคือ เมื่อมี หมื่น หลาย ๆ คน  ก็อาจจะมีหัวหน้าคอยกำกับ (หัวหมื่น ???) 
เรียกว่า จ่าหมื่น แล้วเพี้ยนกลายเป็น จมื่น ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์สูงกว่า หมื่น ธรรมดา


ในสมัยโบราณ (ยุคที่จตุสดมภ์ยังเป็นแค่ ขุน) ผู้ได้บรรดาศักดิ์พิเศษเช่นนี้
อาจจะมีเฉพาะผู้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท
ดังนั้น เมื่อการปกครองเปลี่ยนไป บรรดาศักดิ์ จมื่น จึงมีอยู่แค่ในกรมมหาดเล็ก
และ กรมพระตำรวจ ซึ่งเป็นกรมที่มีความใกล้ชิดและรักษาความปลอดภัยของพระมหากษัตริย์
ที่น่าสังเกตคือ จมื่น กรมมหาดเล็ก เป็น "หัวหมื่นมหาดเล็ก"

ข้อความขีดเส้นใต้ข้อความแรก   
ในพระอัยการตำแหน่งนาพลเรือน  ผมยังไม่พบว่ามีขุนนางยศหมื่นในหมู่มหาดเล็กแม้แต่คนเดียว
มีก็แต่ นาย  หลวง  จมื่น (ศักดินา ๑๐๐๐ ไร่)  ถ้าจมื่น คือ จ่าหมื่น ที่หมายถึงหัวหน้าของขุนนางยศหมื่น
ก็ปลงใจเชื่อไม่สนิท   เพราะยังไม่เคยพบหลักฐานว่ามีขุนนางยศ หมื่น ในหมู่มหาดเล็ก เวรใด
หรือแม้แต่การตั้งมหาดเล็กชั้นหลังก็คงไม่มีมหาดเล็กยศ หมื่น  ถ้ามีก็คงน้อยมาก 
และเอาไปอ้างไม่ได้ว่าแต่ก่อนนี้ มีมหาดเล็กยศหมื่นมาก่อน  เว้นแต่มีหลักฐานมายืนยันข้อสันนิษฐาน


ข้อความขีดเส้นใต้ข้อความที่สอง
มีเอกสารที่ยืนยันได้หรือไม่ว่า  สยามเคยมีเสนาบดีจตุสดมภ์มียศชั้นขุน มาก่อน
นี่ไม่ได้ถามเล่นๆ นะครับ  เพราะถ้าเสนาบดีมียศขุน   ขุนนางยศหมื่นก็นับว่าสูงมาก
แต่การกล่าวลอยๆ ย่อมไม่น่าเชื่อถือ  ต้องมีหลักฐานประกอบด้วยจึงจะเชื่อว่ามีจริง
และเป็นหลักฐานอยุธยาสุโขทัยจะดีมาก


อ้างถึง
แต่ที่ผมสงสัย คือ ทำไมเรียก จมื่น กรมมหาดเล็ก (เจ้าหมื่น)
ว่า คุณพระนาย  เป็นเพราะว่าสูงกว่า จมื่น กรมพระตำรวจ หรือไม่
ทำนองว่าอยู่ระดับเดียวหรือสูงกว่าคุณพระ เพราะถ้าได้เลื่อนขึ้นอีกก็เป็น พระยา แล้ว

อันนี้ผมเดาโดยสังเกตจากตำแหน่งนาพลเรือนสมัยอยุธยาว่า
มหาดเล็กมีบรรดาศักดิ์ ชั้นยศต่ำสุดในทำเนียบ  คือ นาย  ศักดินา  ๔๐๐/๕๐๐  ไร่
ถ้าเทียบกับขุนนางในกรมอื่นแล้ว  นาย  ในกรมมหาดเล็ก 
มีศักดินาเท่ากันหรือใกล้เคียงกับขุนนางยศ หมื่น หรือ ขุน ในกรมต่างๆ

มหาดเล็กมีบรรดาศักดิ์  ชั้นยศสูงขึ้นมาอีกชั้น นายจ่า  ศักดินา  ๖๐๐  ไร่
ถ้าเทียบกับขุนนางในกรมอื่นแล้ว  นายจ่า  ในกรมมหาดเล็ก 
มีศักดินาเท่ากันกับขุนนางยศ ขุน ในกรมใหญ่ๆ

มหาดเล็กมีบรรดาศักดิ์  ชั้นยศสูงขึ้นมาอีกชั้น นาย  ศักดินา  ๘๐๐  ไร่
ถ้าเทียบกับขุนนางในกรมอื่นแล้ว  นาย  ในกรมมหาดเล็ก 
มีศักดินาเท่ากันกับขุนนางยศ ขุน หรือ หลวง ในกรมต่างๆ
นี่เองที่ทำให้เรียกมหาดเล็กชั้นนี้ว่า  หลวงนาย  เช่น  หลวงนายสิทธิ์  เป็นต้น
ในชั้นต่อมาภายหลัง  ได้เปลี่ยนเป็นใช้ยศ หลวง แทน นาย
เพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนกับยศนายมหาดเล็กระดับรองๆ ลงไป

มหาดเล็กมีบรรดาศักดิ์  ชั้นยศสูงขึ้นมาอีกชั้น จมื่น ศักดินา  ๑๐๐๐ ไร่
ถ้าเทียบกับขุนนางในกรมอื่นแล้ว  จมื่น  ในกรมมหาดเล็ก 
มีศักดินาเท่ากันกับขุนนางยศ ขุนที่เป็นเจ้ากรม
หรือ หลวง ที่เป็นปลัดทูลฉลองในบางกรม หรือบางทีก็เทียบเท่า
ชั้นยศ พระ ในบางกรม อย่าง พระพิพัทโกษา  ราชปลัดทูลฉลองกรมพระคลัง
เมื่อเทียบลำดับยศมหาดเล็กกับชั้นยศกรมอื่นๆ 
จมื่น ก็น่าจะเทียบได้กับยศ พระ นั่นเอง  อันน่าจะเป็นที่มา
ที่คนมักเรียก จมื่นไวยวรนาถ ว่า พระนายไวย  นั่นเอง

ส่วนจางวางมหาดเล็กนั้น  เมื่อ จมื่น เทียบกับยศขุนนางกรมอื่น
เท่ากับพระแล้ว  จางวางก็ต้องได้ยศที่สูงกว่า พระ  ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาการ
ก็ต้องได้ชั้นยศที่  พระยา 

ในข้อที่ว่า จมื่น มหาดเล็ก  สูงกว่า  จมื่น กรมพระตำรวจ หรือไม่นั้น
แน่นอนครับ  จมื่น มหาดเล็ก ศักดินา  ๑๐๐๐  ไร่
จมื่น กรมพระตำรวจ  ศักดินา  ๘๐๐  ไร่ (เทียบชั้น หลวงนาย มหาดเล็ก)
สูงกว่ากันดังนี้



กระทู้: จมื่น - เจ้าหมื่น
เริ่มกระทู้โดย: Bhanumet ที่ 02 มี.ค. 11, 12:31
๑. เรื่องมาจากคำว่า จ่าของหมื่น (ไม่แน่ว่า จมื่น อาจจะมาจาก เจ้าหมื่น ก็ได้นะครับ  ;D)
ผมเดาว่า มีที่มาก่อนที่จะเป็น จมื่น มหาดเล็ก (รวมถึง กรมพระตำรวจ)
กล่าวคือ เมื่อมี หมื่น หลาย ๆ คน  ก็อาจจะมีหัวหน้าคอยกำกับ (หัวหมื่น ???) 
เรียกว่า จ่าหมื่น แล้วเพี้ยนกลายเป็น จมื่น ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์สูงกว่า หมื่น ธรรมดา


ในสมัยโบราณ (ยุคที่จตุสดมภ์ยังเป็นแค่ ขุน) ผู้ได้บรรดาศักดิ์พิเศษเช่นนี้
อาจจะมีเฉพาะผู้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท
ดังนั้น เมื่อการปกครองเปลี่ยนไป บรรดาศักดิ์ จมื่น จึงมีอยู่แค่ในกรมมหาดเล็ก
และ กรมพระตำรวจ ซึ่งเป็นกรมที่มีความใกล้ชิดและรักษาความปลอดภัยของพระมหากษัตริย์
ที่น่าสังเกตคือ จมื่น กรมมหาดเล็ก เป็น "หัวหมื่นมหาดเล็ก"

ข้อความขีดเส้นใต้ข้อความแรก   
ในพระอัยการตำแหน่งนาพลเรือน  ผมยังไม่พบว่ามีขุนนางยศหมื่นในหมู่มหาดเล็กแม้แต่คนเดียว
มีก็แต่ นาย  หลวง  จมื่น (ศักดินา ๑๐๐๐ ไร่)  ถ้าจมื่น คือ จ่าหมื่น ที่หมายถึงหัวหน้าของขุนนางยศหมื่น
ก็ปลงใจเชื่อไม่สนิท   เพราะยังไม่เคยพบหลักฐานว่ามีขุนนางยศ หมื่น ในหมู่มหาดเล็ก เวรใด
หรือแม้แต่การตั้งมหาดเล็กชั้นหลังก็คงไม่มีมหาดเล็กยศ หมื่น  ถ้ามีก็คงน้อยมาก 
และเอาไปอ้างไม่ได้ว่าแต่ก่อนนี้ มีมหาดเล็กยศหมื่นมาก่อน  เว้นแต่มีหลักฐานมายืนยันข้อสันนิษฐาน


ข้อความขีดเส้นใต้ข้อความที่สอง
มีเอกสารที่ยืนยันได้หรือไม่ว่า  สยามเคยมีเสนาบดีจตุสดมภ์มียศชั้นขุน มาก่อน
นี่ไม่ได้ถามเล่นๆ นะครับ  เพราะถ้าเสนาบดีมียศขุน   ขุนนางยศหมื่นก็นับว่าสูงมาก
แต่การกล่าวลอยๆ ย่อมไม่น่าเชื่อถือ  ต้องมีหลักฐานประกอบด้วยจึงจะเชื่อว่ามีจริง
และเป็นหลักฐานอยุธยาสุโขทัยจะดีมาก


๑.ผมเองก็ไม่เคยกล่าวว่า  ตามพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน มีบรรดาศักดิ์ หมื่น ในกรมมหาดเล็ก
แต่ผมกล่าวว่า "...ผมเดาว่า มีที่มาก่อนที่จะเป็น จมื่น มหาดเล็ก (รวมถึง กรมพระตำรวจ)
กล่าวคือ เมื่อมี หมื่น หลาย ๆ คน  ก็อาจจะมีหัวหน้าคอยกำกับ (หัวหมื่น )  เรียกว่า จ่าหมื่น แล้วเพี้ยนกลายเป็น จมื่น ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์สูงกว่า หมื่น ธรรมดา
ในสมัยโบราณ (ยุคที่จตุสดมภ์ยังเป็นแค่ ขุน) ผู้ได้บรรดาศักดิ์พิเศษเช่นนี้ อาจจะมีเฉพาะผู้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท
ดังนั้น เมื่อการปกครองเปลี่ยนไป บรรดาศักดิ์ จมื่น จึงมีอยู่แค่ในกรมมหาดเล็ก และ กรมพระตำรวจ ซึ่งเป็นกรมที่มีความใกล้ชิดและรักษาความปลอดภัยของพระมหากษัตริย์

ที่น่าสังเกตคือ จมื่น กรมมหาดเล็ก เป็น "หัวหมื่นมหาดเล็ก"...


๒. มาจากข้อสันนิษฐานของนักประวัติศาสตร์หลายท่านที่ผมเคยอ่านมา ว่าก่อนจะมีสมุหกลาโหม สมุหนายก
ซึ่งเป็นผลจากการปฏิรูปการปกครองรวมอำนาจสู่ศูนย์กลางสมัยพระบรมไตรโลกนาถ นั้น
จตุสดมภ์เป็นเพียง ขุนเมือง ขุนวัง ขุนคลัง ขุนนา และบรรดาศักดิ์สูงสุดของขุนนางคือ ขุน
ส่วนในพงศาวดารที่ว่า เจ้าเสนาบดี ไปเชิญเจ้านครอินทร์มาเสวยราชย์ต้นอยุธยานั้น
หมายถึง "เจ้า" ที่เป็นเสนาบดี
ก่อนจะกล่าวถึงหลักฐาน ขอกล่าวว่า ข้อสันนิษฐานนี้น่าเชื่อถือ เพราะเรา "ริบ" หรือ "รับ" บรรดาศักดิ์และราชทินนาม จากที่อื่นมา
เช่น คำว่า สมเด็จจากเขมร  นามสนมเอกทั้ง ๔ คือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ก็น่าจะมาจากสุโขทัย 

เมื่อก่อน ขุน หลวง พระ พญา น่าจะใช้กับเจ้า โดย ขุน กับ พญา นั้น มีหลักฐานอยู่เยอะ ว่าเป็นระดับเจ้าครองนครหรือราชา
แต่เมื่ออยุธยายึดเมืองประเทศราชได้มากขึ้น ตำแหน่งเหล่านี้ ก็ค่อย ๆ กลายเป็นขุนนางโดยปริยาย
มีจารึกที่สุโขทัย พ.ศ. ๑๙๕๙-๖๐ คือ จารึกวัดสรศักดิ์ ออกนามเจ้ากรุงสุโขทัยว่า ออกญาธรรมราชา
เพราะในขณะนั้น สุโขทัยเป็นประเทศราชอยุธยาแล้ว  พญา ที่เคยเป็น ราชา ก็เริ่มกลายเป็นเพียงแค่เจ้าเมือง เป็นบรรดาศักดิ์ ขุนนาง

คำว่าเจ้า นั้น ใช้กับ เจ้า มาโดยตลอด  แต่ปลายอยุธยา ก็มาใช้กับขุนนาง เป็นเจ้าพระยา  จนถึงรัตนโกสินทร์ ก็มีสมเด็จเจ้าพระยา
ในทำเนียบ ปลัดทูลฉลองกรมใหญ่เป็นแค่ขุน  แต่ในชั้นหลัง ๆ เช่น ในกรุงรัตนโกสินทร์นี้  ก็ขึ้นไปถึงระดับพระยาโดยมาก
อาจด้วยภาระหน้าที่ที่มากขึ้น สังคมมีขนาดใหญ่และซับซ้อนขึ้น  นั่นเอง

ว่าง ๆ จะลองไปหาข้อมูลจากเว็บนี้เพิ่มเติม ครับ
ฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย (http://www2.sac.or.th/databases/jaruk/th/main.php)

แล้วก็จะลองหาพงศาวดารฉบับปลีก (ฉบับวิกเกอรีและฉบับอุบลศรี) มาอ่านดู

ว่าบรรดาศักดิ์ขุนนางยุคนั้นเป็นอย่างไร  แต่ที่เคยพบมานั้น  ไม่มีสูงกว่า พญา เลย
และเท่าที่เห็น ในช่วงแรก ๆ พญา มักใช้ถึงเจ้าเมืองที่เป็นเชื้อเจ้าเดิม

เคยอ่านในพงศาวดารทางล้านนา  แม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้ (อยุธยา)  ช่วงเจ้าสามพญา ถึง พระบรมไตรโลกนาถ
ถ้าไม่เป็นเจ้า  ก็เป็นแค่ ขุน ทั้งสิ้น


กระทู้: จมื่น - เจ้าหมื่น
เริ่มกระทู้โดย: luanglek ที่ 02 มี.ค. 11, 14:58

๑.ผมเองก็ไม่เคยกล่าวว่า  ตามพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน มีบรรดาศักดิ์ หมื่น ในกรมมหาดเล็กแต่ผมกล่าวว่า "...ผมเดาว่า มีที่มาก่อนที่จะเป็น จมื่น มหาดเล็ก (รวมถึง กรมพระตำรวจ)
กล่าวคือ เมื่อมี หมื่น หลาย ๆ คน  ก็อาจจะมีหัวหน้าคอยกำกับ (หัวหมื่น )  เรียกว่า จ่าหมื่น แล้วเพี้ยนกลายเป็น จมื่น ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์สูงกว่า หมื่น ธรรมดา
ในสมัยโบราณ (ยุคที่จตุสดมภ์ยังเป็นแค่ ขุน) ผู้ได้บรรดาศักดิ์พิเศษเช่นนี้ อาจจะมีเฉพาะผู้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท
ดังนั้น เมื่อการปกครองเปลี่ยนไป บรรดาศักดิ์ จมื่น จึงมีอยู่แค่ในกรมมหาดเล็ก และ กรมพระตำรวจ ซึ่งเป็นกรมที่มีความใกล้ชิดและรักษาความปลอดภัยของพระมหากษัตริย์

ที่น่าสังเกตคือ จมื่น กรมมหาดเล็ก เป็น "หัวหมื่นมหาดเล็ก"...



คุณไม่ได้กล่าวอันนี้ผมทราบ   และผมก็ไม่ได้อ้างว่าคุณกล่าว
ผมบอกแต่ว่า  ตามพระอัยการนั้น ซึ่งหมายถึงอ้างถึงตัวผมเองเป็นคนอ้างถึงเอกสารนี้
เพื่อพิจารณาความเห็นของคุณ   

สิ่งที่ต้องพิสูจน์  คือ  เคยมีขุนนาง ยศ จ่าหมื่น หรือ จมื่น  ที่
ไม่ได้อยู่สังกัดมหาดเล็กและพระตำรวจจริงหรือไม่

ถ้าให้เหตุผลว่า
"ในสมัยโบราณ (ยุคที่จตุสดมภ์ยังเป็นแค่ ขุน)
ผู้ได้บรรดาศักดิ์พิเศษเช่นนี้ อาจจะมีเฉพาะผู้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท
ดังนั้น เมื่อการปกครองเปลี่ยนไป บรรดาศักดิ์ จมื่น
จึงมีอยู่แค่ในกรมมหาดเล็ก และ กรมพระตำรวจ
ซึ่งเป็นกรมที่มีความใกล้ชิดและรักษาความปลอดภัยของพระมหากษัตริย์"

ทำไมกรมที่มีหน้ารักษาความปลอดภัยและรับใช้ใกล้ชิดพระมหากษัตริย์เหมือนกัน
อย่าง กรมอาษาหกเหล่า กรมทวนทอง กรมเขนทอง  กรมสนมทหาร
กรมทนายเลือก กรมรักษาพระองค์ กรมวังนอก/ใน ฯลฯ  จึงไม่มีขุนนางยศ จมื่น บ้าง
หรือว่ากรมเหล่านี้  อายุการก่อตั้งน้อยกว่ากรมทั้งสองนั้น 


อ้างถึง
ก่อนจะกล่าวถึงหลักฐาน ขอกล่าวว่า ข้อสันนิษฐานนี้น่าเชื่อถือ
เพราะเรา "ริบ" หรือ "รับ" บรรดาศักดิ์และราชทินนาม จากที่อื่นมา
เช่น คำว่า สมเด็จจากเขมร  นามสนมเอกทั้ง ๔ คือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ก็น่าจะมาจากสุโขทัย 

ท้าวศรีจุฬาลักษณ์  เป็นการรับคืนกลับมาที่เดิม  เพราะศรีจุฬาลักษณ์ที่ไปอยู่สุโขทัยนั้น
ก็คือเชื้อสายเจ้าจากละโว้อโยธยาที่ไปผูกสัมพันธ์แต่งงานกับเชื้อสายเจ้าสุโขทัย

ว่ากันว่า  พญา นั้น น่าจะอิทธิพลวัฒนธรรมมอญ  เท็จจริงอย่างไร  ยังไม่มีเวลาตรวจสอบ

เอาเป็นว่าที่คุณยกมาผมเชื่อคุณ ส่วนเอกสารที่คุณให้อ่านนั้น
ผมจะกลับไปค้นมาอ่าน   


กระทู้: จมื่น - เจ้าหมื่น
เริ่มกระทู้โดย: Bhanumet ที่ 02 มี.ค. 11, 15:47
ท้าวศรีจุฬาลักษณ์  เป็นการรับคืนกลับมาที่เดิม  เพราะศรีจุฬาลักษณ์ที่ไปอยู่สุโขทัยนั้น
ก็คือเชื้อสายเจ้าจากละโว้อโยธยาที่ไปผูกสัมพันธ์แต่งงานกับเชื้อสายเจ้าสุโขทัย   

ที่คุณหลวงยกมา  ก็พึ่งมานึกขึ้นได้ว่าจริง
เพราะตามจารึก ข้าทาสบริวารของท้าวศรีจุฬาลักษณ์ จากชื่อบรรดาศักดิ์แล้ว เป็นขุนนางอยุธยา
แสดงว่า ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ที่ไปเป็นมเหสีที่สุโขทัยนั้น ไปจากอยุธยา

แต่ในทางกลับกัน ก็น่าเชื่อได้ว่า ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ที่มาเป็นสนมอยุธยาในหลายรัชกาลนั้น
มาจากเมืองเหนือ (วงศ์พระร่วง)

เท่าที่พบจารึกตอนนี้ ที่เก่าที่สุด คือ จากอยุธยา ไปเป็นมเหสีเมืองเหนือ
ในสมัยหลัง จึงกลายเป็นจากเมืองเหนือ มาเป็นพระสนมเอก (หรือมเหสี) อยุธยา

ว่ากันว่า  พญา นั้น น่าจะอิทธิพลวัฒนธรรมมอญ  เท็จจริงอย่างไร  ยังไม่มีเวลาตรวจสอบ   

เคยได้ยินว่าตรงกับ พินยา ของมอญ แต่ไม่ทราบรายละเอียดว่า จริงหรือไม่ หรือใครรับใครไป หรือรับมาจากที่อื่น

เข้าใจว่า เจ้า นั้น เป็นคำไทย และน่าจะมีรากมาจาก ไท-กะได
ขุน หลวง ท้าว ก็น่าจะเป็นคำไทด้วยกระมัง???

 

สิ่งที่ต้องพิสูจน์  คือ  เคยมีขุนนาง ยศ จ่าหมื่น หรือ จมื่น  ที่
ไม่ได้อยู่สังกัดมหาดเล็กและพระตำรวจจริงหรือไม่ 


หาดูจากอากู๋ พบ "จ่าหมื่น" เพียง "เพี้ยจ่าหมื่น" ในพงศาวดารเมืองหลวงพระบาง เมื่อประมาณปี ๒๔๐๐
เพี้ย คือ พญา
เพี้ยจ่าหมื่น คือ พญาจ่าหมื่น




คิดไปคิดมา เป็นได้หรือไม่ว่า จมื่น มาจาก เจ้าหมื่น หรือ คำอื่น
ท่านใดมีเหตุผลสนับสนุนที่มาอื่นบ้างหรือไม่ครับ


กระทู้: จมื่น - เจ้าหมื่น
เริ่มกระทู้โดย: luanglek ที่ 02 มี.ค. 11, 16:41
แต่ในทางกลับกัน ก็น่าเชื่อได้ว่า ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ที่มาเป็นสนมอยุธยาในหลายรัชกาลนั้น
มาจากเมืองเหนือ (วงศ์พระร่วง)

เท่าที่พบจารึกตอนนี้ ที่เก่าที่สุด คือ จากอยุธยา ไปเป็นมเหสีเมืองเหนือ
ในสมัยหลัง จึงกลายเป็นจากเมืองเหนือ มาเป็นพระสนมเอก (หรือมเหสี) อยุธยา


ตรงที่ขีดเส้นใต้  ขอดูหลักฐานหน่อยได้ไหม
อันนี้ไม่ใช่ประโยชน์ของผม แต่เป็นประโยชน์ของผู้ติดตามอ่าน

สิ่งที่ต้องพิสูจน์  คือ  เคยมีขุนนาง ยศ จ่าหมื่น หรือ จมื่น  ที่
ไม่ได้อยู่สังกัดมหาดเล็กและพระตำรวจจริงหรือไม่ 


หาดูจากอากู๋ พบ "จ่าหมื่น" เพียง "เพี้ยจ่าหมื่น" ในพงศาวดารเมืองหลวงพระบาง
เมื่อประมาณปี ๒๔๐๐
เพี้ย คือ พญา  เพี้ยจ่าหมื่น คือ พญาจ่าหมื่น


กรุณาคัดมาให้ทัศนาหน่อยเถิด   เราควรพิจารณาบริบทที่ใช้ด้วย
อายุของเอกสารก็สำคัญ   พงศาวดารหัวเมืองส่วนใหญ่ที่ราชสำนักรวบรวมไว้
และให้กรมพระอาลักษณ์เก็บรักษา  เพิ่งแต่งหรือเขียนกันในสมัยรัตนโกสินทร์เสียมาก
จะใช้อ้างอิงต้องระมัดระวัง    มิฉะนั้นอาจจะมีหมัดอัปเปอร์คัตสอยร่วงได้ง่ายๆ
ถ้าได้แถวๆ ล้านนาก็น่าจะดี   เพราะมีความสัมพันธ์กันสมัยอยุธยาตอนต้นมาก
ถ้าต้องเอื้อมไปถึงหลวงพระบาง  เกรงว่าจะฝ่าป่าดงพงพีไปถึง


กระทู้: จมื่น - เจ้าหมื่น
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 05 มี.ค. 11, 01:04
เข้ามาลงชื่ออีกคนครับ
ไม่ค่อยมีความเห็นนะครับ หนังสืออ้างอิงไม่มีในมือ
เพิ่งจะกลับจากเดินทางข้ามแดนมา
แต่ใหนๆเข้ามาแล้ว ก็เอาเสียหน่อย

อ้างถึง
อ้างจาก: luanglek ที่  02 มี.ค. 11, 14:58
ว่ากันว่า  พญา นั้น น่าจะอิทธิพลวัฒนธรรมมอญ  เท็จจริงอย่างไร  ยังไม่มีเวลาตรวจสอบ   

เคยได้ยินว่าตรงกับ พินยา ของมอญ แต่ไม่ทราบรายละเอียดว่า จริงหรือไม่ หรือใครรับใครไป หรือรับมาจากที่อื่น

เข้าใจว่า เจ้า นั้น เป็นคำไทย และน่าจะมีรากมาจาก ไท-กะได

เอามาจากวิกี้ นี่แหละครับว่า
"Binnya" was the highest title of royalty in Mon language.
และยิ่งไปกว่านั้น
ถ้าย้อนไปดูรายพระนาม พระราชาแห่งรามัญเมาะตะมะ-หงสาวดี(หรือราชอาณาจักรพะโค)จะเห็นได้ว่า
Wareru· Hkun Law · Saw O · Saw Zein · Zein Pun · Saw E · Binnya E Law · Binnya U

มาขออ่านออกเสียงกันหน่อยนะครับ
Wareru หรือ ฟ้ารั่ว / ฟ้าหะหรู ท่านนี้ รู้จักกันดีครับ คือ "มะกะโท" นั่นเอง
Hkun Law  ผมขออ่านว่า ขุนเลาะ(ลอดหรือลอกก็ไม่รู้)ขอเรียกง่ายว่าขุนลอนะครับ เป็นน้องชายของ"ฟ้าหะหรู"(ฟ้ารั่ว)  ขุนลอ เป็นลูกครึ่งไทใหญ่-มอญ ครับ
Saw O, Saw Zein,  Saw E    ผมก็ขออ่านว่า เจ้าอ้า..ว(อ้าย) เจ้าเช(ง) เจ้าเอ่(เอก) หลานเหลนของขุนลอ  ซึ่งเป็นลูกครึ่งไทใหญ่-มอญ ทั้งนั้น
Binnya E Law  พินยา เอ่.. เลาะ...  เป็นลูกเสี้ยวไปแล้วครับ ไทใหญ่ ๑ ส่วน มอญ ๓ ส่วน

แล้วต่อมาจะเห็นพัฒนาการชัดเจนว่า พระราชาแห่งรามัญจะเป็น พินยา แทบทั้งสิ้น

Binnya U       ราชาธิราชว่า  พระยาอู่ (พระเจ้าช้างเผือก)
Binnya Nwe         "        พระยาน้อย   (ราชบุตรพระยาอู่)หรืออีกพระนามหนึ่งคือพระเจ้าราชาธิราช
Binnya Dhammaraza  (ไม่ปรากฎในราชาธิราช แต่ในประวัติศาสตร์ว่า เป็นราชบุตรองค์โต ครองราชย์ต่อจากพระเจ้าราชาธิราช)
Binnya Ran         "         พระยารามราชบุตร (ราชบุตรของพระยาน้อยหรือพระเจ้าราชาธิราช) ตามประวัติศาสตร์บอกว่าครองราชย์ต่อจาก"พินยาธรรม(ะ)ยาซา"
Binnya Kian        "         พระยาเกียรราชบุตร                "                               (ในราชาธิราชเขียนว่า ครองราชย์ต่อจากพระเจ้าราชาธิราช)
ฯลฯ

ขอเสริมอีกนิดครับ
Saw Binnya  ท่านยาขอบทับศัพท์ว่า สอพินยา
คำนี้ อาจจะตรงกับคำว่า เจ้าพระยา ก็ได้ครับ

ในเรื่องของคำว่า จมื่น จ่าหมื่น เจ้าหมื่น  ผมขอสงวนความเห็นไว้ก่อนครับ
ขอกลับบ้านไปค้นฟ้า(คว้าดาว) เอ๊ย!! ค้นคว้า อีกสักพัก
ขออภัยคุณ luanglek และคุณ Bhanumet รวมถึงท่านอื่นๆ ไว้ก่อนนะครับ


 ;D
 


กระทู้: จมื่น - เจ้าหมื่น
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 05 มี.ค. 11, 08:12
คำว่า "เจ้าหมื่น" นี้มิได้ใช้เฉพาะในกรมมหาดเล็กหลวงครับ
ตำแหน่งหัวหมื่นมหาดเล็กวังหน้า  รวมทั้งในพระราชสำนักสมเด็กพระพันปีหลวง  ก็เป็น จมื่นเหมือนกัน
เมื่อจัดระเบียบราชการกรมมหาดเล็กในรัชกาลที่ ๗  มีการเวนคืนบรรดาศักดิ์ชั้นนายเวร หรือรองหัวหมื่นที่ต้องออกจากราชการ  ก็มีการเปลี่ยนบรรดาศักดิ์
หลวงสิทธิ์  นายเวร (แจ่ม  สุนทรเวช)  เป็นจมื่นอมรดรุณารักษ์
หลวงฤทธิ์  นายเวร (เฉลิม  เศวตนันทน์)  เป็นจมื่นมานิตย์นเรศร์
ตำแหน่งหัวหมื่นมหาดเล็กในพระราชสำนักสมเด็จพระพันปีหลวง

ส่วนคำว่าเจ้าหมื่นมาจากคำใดนั้น  สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคเหนือ  ได้กล่าวถึงลำดับศักดิ์ของพลเมืองและขุนนางล้านนาตามที่ปรากฏใน “มังรายศาสตร์” หรือ “กฎหมายพระญามังราย”  ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดของอาณาจักรล้านนา โดยเรียงลำดับสายการบังคับบัญชาตามลำดับจากต่ำไปหาสูง ดังนี้
ไพร่ ๑๐ คน    ให้อยู่ในบังคับบัญชาของนายสิบ ๑ คน
นายสิบ ๒ นาย  ให้อยู่ในบังคับบัญชาของนายห้าสิบ ๑ คน
นายห้าสิบ ๒ นาย  ให้อยู่ในบังคับบัญชาของนายร้อย ๑ คน
นายร้อย ๑๐ นาย  ให้อยู่ในบังคับบัญชาของเจ้าพัน ๑ นาย
เจ้าพัน ๑๐ นาย  ให้อยู่ในบังคับบัญชาของเจ้าหมื่น ๑ นาย
เจ้าหมื่น ๑๐ นาย  ให้อยู่ในบังคับบัญชาของเจ้าแสน ๑ นาย

นอกจากนั้นในเอกสารบางฉบับยังมีการกล่าวถึงตำแหน่ง  “เจ้าล้าน” ว่า เป็นตำแหน่งสูงสุดของขุนนาง ล้านนารองลงมาจากพญาผู้เป็นเจ้าเมืองด้วย  


กระทู้: จมื่น - เจ้าหมื่น
เริ่มกระทู้โดย: piyasann ที่ 07 มี.ค. 11, 07:49
มีเรื่องเกียวข้อง ขอคัดลอกมาให้อ่านกันครับ

จาก หนังสือ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ ขุนตำรวจเอก พระมหาเทพกษัตรสมุห (เนื่อง สาคริก) ต.ม.,ว.ป.ร.,ป.ป.ร. ณ เมรุ วัดมกุฏกษัตริยาราม วันเสาร์ที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๑  หน้า ๑๖๘ - ๑๖๙

บรรดาศักดิ์ประจำฉะเพาะหมาดเล็กใกล้ชิด มีดังนี้ -

      ยศ                        บรรดาศักดิ์
๑.  หัวหมื่น. ๑             เจ้าหมื่นสรรเพชรญ์ภักดี
         "                  เจ้าหมื่นเสมอใจราช
         "                  เจ้าหมื่นไวยวรนาถ
         "                  เจ้าหมื่นศรีสรรักษ์

ความเป็นมา
๑. บรรดาศักดิ์ชั้น เจ้าหมื่น คำนี้ในประเทศไทยมีอยู่ ๔. ชื่อเท่านั้น. ส่วนชั้น ขุน. หลวง. พระ. พระยา. เจ้าพระยา. นั้นมีจำนวนมากจนไม่มีใครนับได้   ผู้ใหญ่ที่รู้ดีได้เล่าให้ฉันฟังว่า. ถ้านับเวลาหลังตั้งแต่ก่อนรัชกาลที่ ๔ ขึ้นไป บรรดาศักดิ์เป็น จมื่น เช่นหนังสือเรื่อง ขุนช้างขุนแผน. ซึ่งสุนทรภู่. แต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๒ มีตัวเอกชื่อ จมื่นไวยวรนาถ. เป็นต้น นัยว่าแต่เดิมเป็นที่ แม่ทัพ ต้นเหตุที่จะทรงเปลี่ยน จมื่น เป็น เจ้าหมื่น ก็เพราะมีเรื่องเล่าว่า-

ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔ ยังทรงผนวชอยู่นั้น รู้สึกไม่แน่พระราชหฤทัยว่า. จะได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติต่อจากรัชกาลที่ ๓. เท่าใดนัก. บังเอิญขณะนั้นมีมหาดเล็กรับใช้ที่เฉลียวฉลาดองพระองค์คนหนึ่ง (ดูเหมือนชื่อโต) ได้ถวายบริการถูกพระราชหฤทัยยิ่งนัก --

เช่นคอยดูขณะที่เห็นทรงพระบรรทม(จำวัด) เวลาเที่ยง. ก็จะรอเวลาตีกลองเพลไว้ จนเห็นว่าทรงตื่นพระบรรทมเมื่อใด ก็จะตีกลองเพลเชิญเสด็จเสวยพระกระยาหารทันที.

พระองค์ทรงชมเชยศิษย์หัวหน้าหมาดเล็กถึงความรอบรู้เฉลียวฉลาดผู้นี้บ่อยครั้ง.

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่มหาดเล็กผู้นี้กราบบังคมทูลเป็นเชิงถวายความบันเทิงว่า-

"เกรงด้วยเกล้าฯ ว่า ถ้าต่อไปภายหน้าพระองค์ได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้วจะทรงลืมข้าเก่าของพระองค์เสียเท่านั้น"
พระองค์ขณะนั้นมิไดทรงคาดการณ์ว่าจะได้ทรงลาผนวชมาเสวยราช จึงทรงรับสั่งกับมหาดเล็กคนโปรดผู้นั้นว่า.

"เออ! ถ้าข้าได้เป็นพระเจ้าอยู่หัวเมื่อใด ข้าจะตั้งเองให้เป็นเจ้า"
ครั้นต่อมาได้เสด็จขึ้นครองราช. มหาดเล็กผู้นั้นก็กราบบังคมทูลทวง ตามที่ได้เคยลั่นพระโอฐไว้.

จึงทรงแก้คำว่า จมื่น ให้เปน. เจ้าหมื่น.มีคำว่า เจ้า นำหน้า. และทรงแต่งตั้งให้มหาดเล็กผู้นั้นได้เป็นที่ เจ้าหมื่นสรรเพชรญ์ภักดี. สืบแต่นั้นเป็นต้นมา


กระทู้: จมื่น - เจ้าหมื่น
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 09 มี.ค. 11, 09:06
กราบขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาให้ความรู้ค่ะ

ระยะนี้ดิฉันไม่ค่อยมีเวลาว่างมาตามอ่าน แต่ไม่ทิ้งค่ะ เพราะอะไรที่ถาม คือ สนใจจริง ๆ นะคะ

เพิ่งจะทราบว่า พระยา มาจาก ภาษา มอญ Biya ทำให้นึกถึง ผู้ชนะสิบทิศ "สอพินยา" คงจะเป็น พระยา คนหนึ่ง

เรื่อง เจ้าหมื่น และ ศักดินา คงไม่ได้หมายถึงมีนาเป็นหมื่นเท่ากับชื่อยศเป็นแน่
เหมือนยศทหาร นายพล นายพัน ทุกวันนี้ ไม่ได้มีทหารเป็นสมบัติส่วนตัว
เป็นแต่ขอบเขตอำนาจบังคับบัญชาเท่านั้น

ตำแหน่ง "พระยานรรัตน์ราชมานิต" เคยนึกว่า มีแต่เจ้าคุณ นรฯ ที่บวชอยู่วัดเทพศิรินทร์เพียงผู้เดียว
ความรู้ใหม่จากกระทู้นี้ บอกว่า ไม่ใช่

จางวาง คือผู้บังคับบัญชามหาดเล็ก หรือ หัวหน้า มหาดเล็กนั่นเอง
ดังนั้น จางวางทั่ว พาทยโกศล คงเป็นหัวหน้ามหาดเล็กที่คุมงานด้านดนตรี ใช่ไหมคะ

ยังเหลือตำแหน่ง หุ้มแพร ที่ไม่ทราบว่า คือ ตำแหน่งใด
ต้องเอาดอกไม้ธูปเทียนมาไหว้ครู คุณหลวงเล็ก  เพื่อขอความรู้ค่ะ
คุณครูกรุณาเมตตาด้วยนะคะ :) :) :)

ขอบพระคุณ Admim ที่แยกประเด็นออกมาเป็นกระทู้ การจัดเก็บเรื่องราวไว้ศึกษา จะสะดวกมากขึ้นค่ะ
 


กระทู้: จมื่น - เจ้าหมื่น
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 09 มี.ค. 11, 09:27
เรื่องยศศักดิ์ บรรดาศักดิ์ ศักดินา (ของข้าราชสำนัก) ขุนตำรวจเอก  เนื่อง สาคริก บันทึกไว้ว่า

 “ในสมัยก่อนรัชกาลที่ ๔ เมื่อพระเจ้าแผ่นดินจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งมหาดเล็กคนใดเป็นผู้บังคับกองร้อยทหาร ก็จะโปรดเกล้าฯพระราชทานพระแสงดาบที่มีฝักหุ้มแพรสีแดง มีปลอกเงินรัดเป็นปล้อง ๆ มีคำจารึกตำแหน่งและชื่อไว้ที่โกร่งดาบด้านใน”

และยังบันทึกต่อไปอีกว่า

 “ภายหลัง ที่ผู้นั้นออกจากที่เฝ้าฯแล้วผู้ที่พากันแสดงความยินดีด้วยในตอนนั้น มักจะใช้สรรพนามเรียกท่านผู้นั้นว่า ออกหุ้มแพร เช่นเดียวกับออกขุน ออกหลวง ฯลฯ เป็นต้น”

ทีนี้ว่าถึงท่านปลายเชือก ตำแหน่งหัวหมื่นมหาดเล็ก มีด้วยกัน ๔ ท่าน คือ

๑. เจ้าหมื่นสรรพเพธภักดี (หรือบางทีเขียนว่าสรรพเพธภักดี)

๒. เจ้าหมื่นศรีสรรักษ์

๓. เจ้าหมื่นเสมอใจราช

๔. เจ้าหมื่นไวยวรนารถ

หัวหมื่นทั้ง ๔ ท่าน นี้ถือศักดินา ๑,๐๐๐ ไร่เท่ากัน เทียบยศทหารปัจจุบัน (สมัย ร.๖) เท่ากับชั้นนายพันเอก

(ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ยศทหารมีคำว่า ‘นาย’ นำหน้า เช่นนายพลตรี นายพันตรี นายร้อยตรี)

บรรดาศักดิ์ชั้นยศหัวหมื่นทั้ง ๔ นี้ ก่อนสมัยรัชกาลที่ ๔ ใช้ว่า ‘จมื่น’ เช่นเดียวกันกับจมื่น ในกรมกองอื่น ๆ

แต่ศักดินา ‘จมื่น’ ของหัวหมื่นมหาดเล็กนั้นสูงกว่า ศักดินาของจมื่นกรมกองอื่นอยู่หลายร้อยไร่ การเรียกขานก็ยกย่องเรียกว่า ‘คุณพระนาย’ เฉพาะหัวหมื่นมหาดเล็กเท่านั้น ซึ่งโดยธรรมดาแล้วผู้น้อยจะเรียกว่า ‘คุณพระนาย’ ผู้เหนือกว่ามักเรียกว่า ‘พระนาย’ ส่วนจมื่นโดยทั่วๆไปเคยได้ยินเรียกกันว่า ‘คุณจมื่น’

ถึงรัชกาลที่ ๔ เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วจึงโปรดฯให้เรียกหัวหมื่นมหาดเล็กว่า ‘เจ้าหมื่น’

ด้วยเหตุผลสองนัยคือ

นัยหนึ่ง เล่ากันว่า เมื่อยังทรงผนวชอยู่ในรัชกาลที่ ๓ ทรงรับเลี้ยงนายเพ็ง เสมอดังราชบุตรบุญธรรมออกพระโอษฐ์ไว้ว่า หากเสด็จครองราชย์จะโปรดฯให้เป็นเจ้าครั้นเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว โปรดฯให้นายเพ็งเป็นหัวหมื่นมหาดเล็ก จึงทรงแก้คำว่า ‘จมื่น’ เป็น ‘เจ้าหมื่น’

ส่วนอีกนัยหนึ่งว่า คงจะทรงพระราชวินิจฉัยว่า ตำแหน่งหัวหมื่นมหาดเล็กนั้น สูงกว่า จมื่นกรมกองอื่น ไม่น่าจะมียศ ‘จมื่น’ อย่างเดียวกัน จึงแยกกันเป็น ‘เจ้าหมื่น’ และ ‘จมื่น’

(‘เจ้าหมื่น’ อยู่ระหว่างพระและพระยา จากเจ้าหมื่นขึ้นไปเป็นพระยา ส่วน ‘จมื่น’ อยู่ระหว่างหลวงและพระ จากจมื่นขึ้นไปจึงเป็นพระ)

อนึ่งเคยมีผู้สงสัยชื่อ หรือบรรดาศักดิ์มหาดเล็ก จมื่นมานิตย์นเรศท่านจึงเรียงไว้ให้ทราบตามทำเนียบในรัชกาลที่ ๖ จากต่ำขึ้นไปหาสูง ดังนี้

๑. มหาดเล็กชั้นต้น เรียกว่า เด็กชา

๒. เลื่อนขึ้นเป็นพันเด็กชา ตรี โท เอก และ พันจ่าเด็กชา

๓. แล้วเป็นมหาดเล็กสำรอง เทียบว่าที่นายร้อยตรี (ชั้นสัญญาบัตร)

๔. เป็นมหาดเล็กวิเศษ เทียบเท่าชั้นนายร้อยตรี

๕. ชั้นนายรอง เทียบเท่านายร้อยโท มีบรรดาศักดิ์ เช่น นายรองกวด นายรองขัน ฯลฯ ทั้งหมด ๒๐ ตำแหน่ง

๖. ชั้นหุ้มแพร เทียบเท่านายร้อยเอก มีหุ้มแพรต้นเชือก ๔ นาย คือ นายกวดหุ้มแพร นายขันหุ้มแพร นายฉันหุ้มแพร นายชิดหุ้มแพร ทั้ง ๔ นาย ถือศักดินา ๕๐๐ ไร่ หุ้มแพรนอกนั้นศักดินา ๔๐๐ ไร่ หุ้มแพร รวมทั้งหมด ๒๐ นาย

๗. แล้วจึงจะขึ้นไปถึงชั้นนายจ่า ๔ คือ นายจ่ายวด นายจ่ายง นายจ่ารง นายจ่าเรศ ถือศักดินา ๖๐๐ ไร่ (ต้องมีคำว่า ‘นาย’ นำหน้าเสมอ)

๘. แล้วก็ชั้นรองหัวหมื่น ๔ คือ หลวงศักดิ์ นายเวร หลวงสิทธิ์ นายเวร หลวงฤทธิ์ นายเวร หลวงเดช นายเวร ถือศักดินา ๘๐๐ ไร่ เรียกกันโดยทั่วไปว่า ‘คุณหลวงนาย’ หรือ ‘หลวงนาย’

๙. ชั้นหัวหมื่น ๔ ดังที่เล่ามาแล้วข้างต้น ถือศักดินา ๑,๐๐๐ ไร่

๑๐. ยศจางวางมหาดเล็ก คือ เจ้ากรมมหาดเล็ก บรรดาศักดิ์เป็นพระยาหรือเจ้าพระยาแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ

จาก บทความเรื่อง ‘ท่านปลายเชือก' โดย  จุลลดา ภักดีภูมินทร์
นิตยสารสกุลไทย ฉบับที่ ๒๖๒๙ ปีที่  ๕๑ ประจำวัน อังคารที่  ๘ มีนาคม  ๒๕๔๘

http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetailsql.asp?stcolumnid=3665&stissueid=2629&stcolcatid=2&stauthorid=13
 


 




กระทู้: จมื่น - เจ้าหมื่น
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 09 มี.ค. 11, 19:05
วันนี้มีโอกาสคุยกับผู้ใหญ่ในสกุลโชติกเสถียร 
ท่านออกนาม พระมหามนตรีศรีองครักษ์สมุห (ฉัตร  โชติกเสถียร) ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ของท่านว่า "พระนาย" ตลอด
เพราะเมื่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ สวรรคต  คุณพระมหามนตรีฯ ท่านยังเป็นหลวงเดช นายเวร  และได้เลื่อนเป็นคุณพระนาย  จะเป็นเจ้าหมื่นอะไรก็ลืมถามมา  ซึ่งถัดจากนั้นท่านจะต้องเลื่อนเป็นพระยาจางวางมหาดเล็ก  แต่ที่ไม่ได้เลื่อนเป็นพระยานั้น  พระมหาเทพกษัตรสมุห (เนื่อง  สาคริก) ท่านเล่าว่า ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๗ มีรับสั่งว่า สองคนนี้อายุยังน้อย  ถ้าจะเป็นพระยาก็จะหนุ่มไป (คุณพระมหาเทพฯ ท่านว่าเวลานั้นก็สามสิบกว่าแล้ว)  จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้ทั้งสองท่านนี้โอนจากกรมมหาดเล็กไปอยู่กรมพระตำรวจ  พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น "พระมหา"  ทั้งสองคน  คือ  ให้เป็นใหญ่กว่าคุณพระทั้งหลาย  เพราะเป็นถึง "พระมหา"  หรือเตรียมเป็นพระยา  แต่เกิดเปลี่ยนแปลงการปกครองเสียก่อนทั้งสองท่านเลยอดเป็นพระยาด้วยประการฉะนี้

ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง  คนรุ่นใหม่เห็นราชทินนาม พระมหาเทพกษัตรสมุห  ก็หลงคิดว่าเป็นพระราชาคณะฐานานุกรมสมเด็จพระสังฆราช  เพราะพระราชาคณะปลัดฐานานุกรมสมเด็จพระสังฆราชวัดบวรนิเวศนั้นจะมีราชทินนามว่า พระมหานายก  พระจุลนายก  วัดราชบพิธ เป็น พระมหาคณิศร  พระจุลคณิศร  เป็นต้น  คุณพระมหาเทพฯ ท่านเล่าว่า ลางคราวท่านก็มีคนมาอาราธนาท่านเจ้าคุณมหาเทพไปร่วมงานบำเพ็ญกุศล  โดยเข้าใจไปว่าคุณพระมหาเทพฯ เป็นพระราชาคณะชั้น "เจ้าคุณ" 


กระทู้: จมื่น - เจ้าหมื่น
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 09 มี.ค. 11, 19:12
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงพระราชบันทึกทำเนียบนามข้าราชการกรมมหาดเล็กไว้ตามลำดับ ดังนี้

ทำเนียบข้าราชการ
ในกรมมหาดเล็กและกรมขึ้น

กรมมหาดเล็ก
นามชั้นผู้ใหญ่
จางวาง  (นา ๓๐๐๐)

พระยาวรพงษ์พิพัฒน์
พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ
สองตำแหน่งนี้กำหนดขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ ๔

พระยานรรัตนราชมานิต
พระยานรฤทธิ์ราชหัช
พระยาศิริสัตย์สถิต
พระยาวรสิทธิเสวิวัตร์
สี่ตำแหน่งนี้กำหนดขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ ๔

พระยาประเสริฐศุภกิจ
พระยาประสิทธิ์ศุภการ
พระยาบำรุงราชบริพาร
พระยาบริหารราชทานพ
สี่ตำแหน่งนี้กำหนดขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ ๖

จางวางผู้ช่วย (นา ๒๐๐๐)
พระยาบำเรอบริรักษ์
พระยาภักดีภูบาล

ปลัดจางวาง (นา ๑๐๐๐)
พระดรุณรักษา
พระพลัษฎานุรักษ์
สี่ตำแหน่งนี้กำหนดขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ ๔

(ยังมีต่อ)


กระทู้: จมื่น - เจ้าหมื่น
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 09 มี.ค. 11, 19:17
มหาดเล็กรับใช้
(ทำเนียบวังหลวงเดิม)


หัวหมื่น (นา ๑๐๐๐)
   เจ้าหมื่นสรรเพธภักดี
   เจ้าหมื่นศรีสรรักษ์
   เจ้าหมื่นไวยวรนารถ
   เจ้าหมื่นเสมอใจราช

นายเวร (นา ๘๐๐)
   หลวงศักดิ์
   หลวงสิทธิ์
   หลวงฤทธิ์
   หลวงเดช

จ่า (นา ๖๐๐)
              นายจ่าเรศ
                  นายจ่ารง
                  นายจ่ายง
                  นายจ่ายวด

หุ้มแพร (ต้นเชือก นา ๕๐๐  นอกนั้น ๔๐๐)
นายกวด
นายขัน
นายฉัน
นายชิด
สี่นามนี้เป็นต้นเชือก

นายสนิท
นายเสน่ห์
นายเล่ห์อาวุธ
นายสุจินดา
นายพลพ่าย
นายพลพัน
นายไชยขรรค์
นายศัลยวิไชย

นามมหาดเล็กทั้งหมดนี้มีพระราชบันทึกว่าเป็นนามที่มีมาแต่กรุงเก่า  แต่ "นายฉัน" นั้นเปลี่ยนมาจาก "นายจันมีชื่อ"  และ "นายชิด" เปลี่ยนมาจากนายจิตรเสน่ห์"

นายเสนองานประภาษ
นายสนองราชบรรหาร
นายบำเรอบรมบาท
นายบำรุงราชบทมาลย์
นายพิจารณสรรพกิจ
นายพิจิตรสรรพการ
นายพิไนยราชกิจ
นายพินิจราชการ
นามชุดนี้  มีพระราชบันทึกว่า ล้นเกล้าฯรัชกาลที่ ๔ ทรงคิดขึ้นใหม่

นายรอง (นา ๓๐๐)
นายรองกวด
นายรองขัน
นายรองฉัน
นายรองชิด
นายรองสนิท
นายรองเสน่ห์
นายรองเล่ห์อาวุธ
นายรองสุจินดา
นายรองพลพ่าย
นายรองพลพัน
นายรองไชยขรรค์
นายรองศัลยวิไชย
นายรองเสนองานประภาษ
นายรองสนองราชบรรหาร
นายรองบำเรอบรมบาท
นายรองบำรุงราชบทมาลย์
นายรองพิจารณสรรพกิจ
นายรองพิจิตรสรรพการ
นายรองพิไนยราชกิจ
นายรองพินิจราชการ


กระทู้: จมื่น - เจ้าหมื่น
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 09 มี.ค. 11, 19:25
(ทำเนียบวังน่าเดิม)

หัวหมื่นผู้ช่วย  (เทียบชั้นนายเวร)
จมื่นมหาดเล็ก
จมื่นเด็กชาย
สองตำแหน่งนี้มีพระราชบันทึกว่า มีมาในทำเนียบครั้งกรุงเก่า

จมื่นมหาสนิท
จมื่นจิตรเสน่ห์
สองตำแหน่งนี้มีพระราชบันทึกว่า ตั้งขึ้นใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์

นายเวรผู้ช่วย  (เทียบชั้นจ่า)
หลวงชิตภูบาล
หลวงชาญภูเบศร
สองตำแหน่งนี้มีพระราชบันทึกว่า มีมาในทำเนียบครั้งกรุงเก่า

หลวงเสน่ห์รักษา
หลวงมหาใจภักดิ์
สองตำแหน่งนี้มีพระราชบันทึกว่า ตั้งขึ้นในภายหลัง

จ่าผู้ช่วย  (เทียบชั้นหุ้มแพร)
นายจ่าเนตร
นายจ่านิตย์
นายจ่าสรวิชิต
นายจ่าจิตรนุกูล

หุ้มแพรผู้ช่วย  (เทียบชั้นนายรอง)
นายราชจินดา
นายสุริยาวุธ
นายสุดจำลอง
นายฉลองไนยนารถ
นายราชจำนง
นายทรงใจรักษ์
นายพิทักษ์ราชา
นายปรีดาราช
นายภักดีนารถ
นายราชบริรักษ์
นายจงใจภักดิ์
นายรักษ์ภูมินทร์
นายนรินทร์ธิเบศร์
นายนเรศร์ธิรักษ์
นายราชาภักดิ์
นายรักษ์ภูวนารถ
นายบำเรอราชา
นายนราภิบาล
นายพิศาลสรรพกิจ
นายจิตร์ปรีชา

(ทำเนียบใหม่)    (ตั้งขึ้นในรัชกาลที่ ๖)
รองหัวหมื่น (นา ๘๐๐)
   จมื่นเทพดรุณาทร
   จมื่นอมรดรุณารักษ์
   จมื่นวสุศักดิ์การัณย์
   จมื่นสุรพันธาทิตย์


กระทู้: จมื่น - เจ้าหมื่น
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 09 มี.ค. 11, 19:27
หุ้มแพรพิเศษ

น่าที่อาลักษณ์

นายจำนงราชกิจ  (นา ๕๐๐)
นายลิขิตสารสนอง     (ว.ป.ร.) 
นายจำลองราชสาสน   (ว.ป.ร.)

น่าที่ภูษามาลา
นายราชวุธาทร  (นา ๕๐๐)

น่าที่ฟังคดีศาลหลวง
นายหัศบำเรอ  (นา ๕๐๐)

น่าที่พิเศษ
นายภัณฑ์ภักดี
นายวรกิจบรรหาร
นายวรการบัญชา

ตำแหน่งฃ้าหลวงเดิม
พระยาเทพทวาราวดี  (เจ้ากรมฃ้าหลวงเดิม)
พระยาบุรีนวราษฐ  (ปลัดกรมฃ้าหลวงเดิม)
หลวงชาญชาติเกไดสวรรย์ (สมุห์บาญชีฃ้าหลวงเดิม)

ราชทินนามที่มีวงเล็บ ว.ป.ร. ต่อท้าย  หมายถึงนามที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ทรงคิดขึ้นใหม่


กระทู้: จมื่น - เจ้าหมื่น
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 10 มี.ค. 11, 00:06
ขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ความกระจ่างค่ะ เริ่มมองเห็นระบบยศชัดเจนขึ้นมาก
ชื่อต่าง ๆ ที่เคยนึกว่าเป็นชื่อคน ชื่อบรรดาศกดิ์ทั่วไป ที่แท้ก็เป็นตำแหน่งมหาดเล็กทั้งนั้น


กระทู้: จมื่น - เจ้าหมื่น
เริ่มกระทู้โดย: monologa ที่ 15 มี.ค. 11, 14:01
กว่่าจะได้เป็นเจ้าหมื่นนี่ลำบากไม่ใช่้เล่นเลยนะครับเนี่ย