สัปดาห์ที่แล้ว คุณเทาชมพูเล่าเรื่อง มารี คอเรลลี อัจฉริยะที่ถูกลืม ไว้ และได้เอ่ยถึง นักเขียนอีกท่านหนึ่งไว้ ทางเราสองคนจึงมาไขที่ ขยักไว้ต่อนะเจ้าคะ...
เมื่อก่อนข้าพเจ้าเคยเขียนถึงเวอร์จิเนีย วูลฟ์ไว้ว่า เป็นนักประพันธ์สตรีวิกลจริต ที่วงวรรณคดียอมรับว่าเป็นอัจฉริยะ ถ้าพูดไว้เพียงแค่นี้ ก็ออกจะไม่ยุติธรรมนัก เพราะเหมือนกับว่านักวรรณคดีนี่พิกล ทีคนดีๆไม่นับถือ กลับไปยกย่องคนบ้า ความจริงแล้วนอกเหนือจากความวิกลจริต เวอร์จิเนีย วูลฟ์นับว่ามีคุณสมบัติหลายอย่างที่สมควรได้รับการยกย่องทีเดียว
เวอร์จิเนีย สตีเฟน เกิดเมื่อ๒๕ มกราคม ค.ศ.๑๘๘๒ ในครอบครัวชนชั้นกลางผู้มีอันจะกินในลอนดอน ชีวิตวัยต้นดำเนินไปแบบกุลสตรีในยุคนั้น คือ ได้เล่าเรียนเขียนอ่านพอได้ เรียนวาดเขียน เย็บปักถักร้อย ร้องเพลงและลีลาศ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นในการเข้าสังคม จุดหมายปลายทางของสตรีสมัยนั้น คือการแต่งงานมีเหย้ามีเรือนไป ไม่ใช่ไปเรียนมหาวิทยาลัย หรือมีอาชีพแข่งกับผู้ชาย แต่เวอร์จิเนียมีความคิดแปลกไปจากคนอื่น ตรงที่เธอรักการอ่านหนังสือ เมื่อมีความรู้จากตำรับตำรามากเข้า ก็ไม่อยากจะจำกัดชีวิตไว้เพียงแค่นั้น เธอได้ท่องเที่ยวไปในยุโรป รู้จักผู้คนที่มีความรู้และได้เข้าสังคมมากขึ้น หลังจากสมรสกับ เลียวนาร์ด วูลฟ์ ผู้มีชื่อเสียงทั้งทางการเมือง และเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ เวอร์จิเนียก็เขียนหนังสือเรื่อยมา ทั้งนวนิยาย บทความ และบทวิจารณ์วรรณคดีต่างๆ รวมทั้งเชกสเปียร์และนักเขียนผู้มีชื่อเสียงในยุคเดียวกัน
ผลงานของเวอร์จิเนีย วูลฟ์ได้รับความนิยมในหมู่ผู้มีความรู้ ส่วนการโจมตีจากนักวิจารณ์ก็มี ในฐานะที่เธอเขียนเกี่ยวกับสิทธิและความคิดของสตรี เพราะสมัยนั้นเป็นสมัยที่สตรีเริ่มตื่นตัวทางสังคม อย่างไรก็ตามเวอร์จิเนีย วูลฟ์ ไม่ได้เคราะห์ร้ายเท่า แมรี่ คอเรลลี เรื่องของเธอไม่ใช่เรื่องรักอันเต็มไปด้วยแสงสีพิสดาร หรือปรัชญาทางศาสนาที่แสดงความใฝ่ฝันละเมอเพ้อพก ส่วนใหญ่เป็นเรื่องแสดงจุดหมายอันลึกล้ำของชีวิต เธอได้คิดและแสวงหาหลักความจริงแบบปรัชญาสมัยใหม่ แต่ถึงกระนั้นเธอได้ป้องกันสิทธิของนักประพันธ์สตรีโดยยืนยันว่า ผู้หญิงทุกคน มีสิทธิฝันและเขียนตามแนวของตัวเอง ไม่ใช่สิทธิของนักวิจารณ์จะตำหนิว่าอ่อนหัดหรือเปิ่นเทิ่นด้วยประการใด
นักวิจารณ์ปัจจุบันถือว่า เวอร์จิเนีย วูลฟ์ได้ริเริ่มแนวการเขียนแบบใหม่ขึ้นอย่างน้อย ๒ ด้าน เธออาจไม่ใช่นักเขียนคนแรกในโลกที่เขียนแบบนี้ แต่เป็นคนแรกที่ย้ำให้เห็นความสำคัญ และเรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงแนวการประพันธ์เข้าสู่ยุคใหม่คือยุคต้นศตวรรษที่ ๒๐
อย่างแรก คือการเน้นในด้านการเขียน เข้าถึงชีวิตจิตใจความคิดความอ่านของตัวละครในเรื่อง เวอร์จิเนียวิจารณ์นักเขียนคนอื่นๆ เช่นอาโนลด์ เบนเนตต์ ไว้ในบทความชื่อ “มิสเตอร์เบนเนตต์และมิสซิสบราวน์” ว่าพวกนี้มองข้ามสิ่งสำคัญที่สุดในการเขียน คือการเข้าถึงจิตใจตัวละคร การเขียนตัวละครนั้นไม่ใช่ เพียงเขียนบรรยาย รูปร่าง หน้าตา พฤติการณ์ หรือแสดงนิสัยออกมาเพียงอย่างเดียว ถ้านางเอกพระเอกก็มีแต่ความดี จิตใจเมตตากรุณา ซื่อตรงรักเดียวใจเดียว กล้าหาญอดทน หรือตัวผู้ร้ายก็มีแต่เลวหยาบช้าสามานย์ คดโกง มีแต่ตัณหาราคะโดยตลอด ตัวละครตัวไหนขี้หึง ก็มีแต่หึงตลอดเรื่อง หรือขลาดตลอดเรื่อง ความจริงแล้ว ความคิดจิตใจของตัวละครนั้น ควรจะได้เขียนออกมาให้ตลอด แสดงให้เห็นเหมือนเป็นคนจริงๆที่มีถูกมีผิด มีอารมณ์รักโลภโกรธหลงอย่างปุถุชน มีความอ่อนไหว หรือเข้มแข็งแล้วแต่เรื่องที่ประสบ ไม่ใช่แต่ว่าอธิบายแต่พฤติการณ์โลดโผนเท่านั้น หรือจำกัดขอบเขตลงไปเลยว่า ตัวละครตัวนี้ดีหรือเลว ความดีชั่วมีอยู่ในทุกคน และตัวละครก็ควรมีทั้งข้อดีข้อบกพร่องเช่นกัน
นับตามมาตรฐานนี้ อาจพอเข้าใจได้ว่าทำไมนวนิยายบันลือโลกตั้งหลายเรื่อง จึงไม่ได้ติดอันดับวรรณคดีกับเขา เรื่องผจญภัยอย่างหนึ่งละที่ติดอันดับยาก เพราะความสำคัญไปอยู่ที่เหตุการณ์ เช่นเรื่องนักสืบก็ไปอยู่ที่ใครเป็นฆาตกร เรื่องผีสางต่างๆก็อยู่ที่พระเอกจะพานางเอกรอดมาได้หรือไม่ ตัวละครเช่นเจมส์บอนด์ แดรกคิวล่า หรือนางเอกหนังกำลังภายในนี้ ไม่มีวันได้ติดอันดับเพราะความสำคัญไปอยู่ที่บทบาทโลดโผนหมด เจ้าตัวแทบจะไม่ได้แสดงความคิดออกมาเลย อย่างที่สองก็คือเรื่องรักหวานชื่นของหนุ่มสาว ประกอบด้วยพระเอกนางเอกที่ดีทุกด้าน ตัวผู้ร้ายเลวทุกด้าน ซึ่งมีตัวอย่างอยู่มากมายทั้งในนวนิยายไทยและฝรั่ง
ตัวละครในนวนิยายไทยปัจจุบันที่ข้าพเจ้าเห็นว่า พอใกล้เคียงความคิดของเวอร์จิเนีย วูลฟ์ก็คือ ดำในเรื่อง “ข้าวนอกนา” เป็นชีวิตของเด็กลูกครึ่งนิโกรแม่ไทย ที่ถูกกดดันจากสิ่งแวดล้อมให้ถลำลึกลงไป บวกกับนิสัยซึ่งผู้แต่งบอกไว้ว่า ได้มาจากสายเลือดชนผิวดำ ซึ่งมักจะมีอารมณ์รุนแรงกระด้างทั้งด้านรักและชัง การที่เด็กคนนั้นถูกทิ้งขว้าง ถูกรังเกียจเหยียดหยาม เติบโตอย่างลุ่มๆดอนๆมีแต่สิ่งชวนให้ใจแตก นิสัยก็กระด้าง โลดโผน รักอิสระ ไม่คิดหน้าคิดหลังอยู่แล้ว ชีวิตย่อมจะไปทางแนวนี้ แต่ดำก็ยังมีนิสัยของมนุษย์ ที่แสวงหาความรักและความอ่อนโยนมาหล่อเลี้ยงจิตใจ ความรักที่มีต่อแม่และผู้ชายสองคนในชีวิต เป็นลักษณะธรรมดาของมนุษย์ไม่ว่าดีเลวอย่างไรก็ต้องมีความ