จะขอต่อไปเรื่องอาหารของคณะเด็กเล็กเมื่อครั้งกระโน้น (2498-2501)
วันเสาร์หรืออาทิตย์ที่มาเยี่ยมครั้งต่อไปก็เลยจะมีการนำอาหารพวกก๋วยเตี๋ยวบะหมี่มาด้วย พอนานวันเข้าเด็กก็มักจะอายที่นั่งกินอย่างมีความสุขอยู่แต่เพียงตนเอง คิดถึงเพื่อนที่มีพ่อแม่อยู่ห่างไกลจนเกือบจะไม่ได้มาเยี่ยมเลย ก็จะขอให้พ่อแม่ซื้อมาฝากเพื่อนด้วย แล้วก็เรียกเพื่อนมานั่งด้วย ซึ่งเพื่อนก็เกรงใจไม่อยากมาร่วมวงกินเสร็จก็รีบหลีกออกไป สุดท้ายเพื่อนก็ขอไม่มาร่วมวงด้วย ท้ายที่สุดเด็กก็จะมาพบพ่อแม่เพียงระยะเวลาสั้นๆและไม่เอาของกินอะไร หากจะมีก็ขอเพียงของกินเล่นแห้งๆที่พอจะนำไปฝากเพื่อนได้บ้าง ทำแบบแอบๆ เพราะครูห้ามไม่ให้ทำ ก็เลยมีคำว่า ของเถื่อน ที่เด็กมักจะเอาไปซุกซ่อนเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า
ผมอยู่เด็กเล็กคนละคณะกับคุณตั้ง จึงไม่เข้าใจเรื่องที่เล่าว่าการเอาของที่พ่อแม่มาเยี่ยมไปกินกับเพื่อนๆนั้น ครูห้ามไม่ให้ทำ
คณะเด็กเล็กจะอนุญาตให้ผู้ปกครองมาเยี่ยมลูกได้สัปดาห์ละ ๒ ครั้ง คือวันพฤหัส บ่ายสามถึงบ่ายสี่ กับวันอาทิตย์ตั้งแต่สิบโมงเช้า จนถึงบ่ายสี่เช่นกัน คณะเด็กเล็ก ๓ ของผมอนุญาตให้ตลอดช่วงเวลานั้นเด็กจะนั่งทานของที่พ่อแม่หอบหิ้วมาเยี่ยมด้วยกันกับครอบครัวก็ได้ หรือจะเอาอาหารนั้นมานั่งล้อมวงทานกับเพื่อนๆ ครูไม่ห้าม
กรณีย์ของผม หลังจากผ่านพ้นช่วงแรกๆที่กินอะไรไม่ลง แม่มาก็จะอ้อนกลับบ้านท่าเดียวไปแล้ว หลังแม่กลับก็จะนำอาหารมาล้อมวงกับเพื่อนๆที่มีของเยี่ยม โดยไม่ลืมร้องเรียกเพื่อนที่เป็นเด็กต่างจังหวัดไม่มีใครมาเยี่ยมให้เข้ามาร่วมวงด้วยทุกครั้ง ซึ่งก็ไม่เคยเห็นมีใครอิดออด ของกินแต่ละวงก็จะหมดลงในเวลารวดเร็วก่อนกำหนดที่ครูห้ามไว้ว่าหลังจากนั้นก็ห้ามนำอาหารมาทานอีก
ส่วนของที่เก็บได้ เช่น แม๊กกี้หรือน้ำพริกเผาอะไรนั้่น หลังวันเยี่ยมเห็นมีวางไว้ทุกสำรับ ไม่กี่วันก็เหลือแต่ขวดเปล่า ทุเรียนกวนก็เช่นกัน แรกๆก็ถ้อยทีถ้อยแบ่งกันกับเพื่อนใกล้ตัว แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนสนิทกันทั่วแล้ว เวลาแกะห่อก็ต้องคอยกันมือที่พุ่งเข้ามาจากสาระพัดทิศ อย่างน้อยตัวเองต้องกัดให้ได้หนึ่งคำจึงจะสมศักดิ์ศรีเจ้าของ
ส่วนพวกที่แอบซ่อนขนมไว้ในตู้เสื้อผ้า ไม่เคยเห็นว่าครูจะจับได้ เพราะส่วนใหญ่แล้วเพื่อนๆจะจับได้เสียก่อน มีผลต่างกันเล็กน้อย คือถ้าถูกครูจับได้ก็คงถูกริบไป ถ้าเพื่อนจับได้ ตนเองก็อาจจะได้กินสักชิ้นสองชิ้น เป็นที่เฮฮากันไป