"เพราะดนตรีเป็นภาษาสวรรค์ ส่วนถ้อยคำและโคลงฉันท์เป็นเพียงภาษามนุษย์"
ตรงนี้ตัวแทนของรุ้งขอมั่วเอาคำของอุไรวรรณที่กล่าวตอบรุ้ง ว่าทำไมความสามารถในทางประพันธ์จึงเป็นเหตุขัดขวางให้รู้รสดนตรี เพลงที่มีความไพเราะห์ด้วยตัวของมันเอง ถ้าใส่เนื้อร้องลงไปเมื่อไร ก็เป็นการทำลายคุณค่าเมื่อนั้น
ตรงนี้ผมเห็นใจอุไรวรรณนะครับ นักดนตรีมีโสตสัมผัสที่ละเอียดอ่อนไม่เหมือนใคร มิฉะนั้นบีโธเฟนจะแต่งซิมโฟนีหมายเลข9ยามที่หูหนวกสนิทได้หรือ นักดนตรีฟังเพลงหนี่งแล้ว บางคนจะหลับตาเห็นไปทั่วท้องฟ้ามหาสมุทรสุดจักรวาล แต่พอกวีเอาเนื้อร้องไปลงบรรยายชมจันทร์ แม้จะซาบซึ้งตรึงจิตเพียงใด ก็เท่ากับไปล้อมกรอบมโนภาพของเขาไว้แค่นั้นเอง เขาย่อมไม่ชอบแน่
ส่วนรุ้งน่ะ เออออห่อหมกไปด้วยเพราะเห็นมีคำไขอยู่ในชีววิทยาที่รุ้งศึกษาผ่านตา ตามเนื้อความที่ท่านอาจารย์ยกมา ตัวแทนของรุ้งไม่ทราบหรอกครับว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ตอนเรียนชั้นมัธยมก็สอบวิชาชีววิทยาตก แต่ถ้าถามหลักการว่าทำไมจึงเชื่อ ไม่ทราบว่าที่วิสัชนาไว้ข้างบนจะพอรับได้หรือเปล่า
ส่วนในเรื่องสมมตินั้น ถ้ามีคนบรรยายเล่าเรื่องทะเลเรื่องเดียวกัน พร้อมกัน ให้คนสองคนฟัง คนหนึ่งเป็นกวี อีกคนหนึ่งเป็นคีตกวี เป็นทะเลอันตาร์กติก ไม่เคยไปเคยเห็นด้วยกันทั้งคู่ แต่ผลิตผลงานจากความบรรดาลใจมาเสนอผู้ชมจนได้ เราเสพย์แล้วก็ต้องให้ค่าก่อนซีครับ ว่าของใครโดนใจ รู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมากว่ากัน
ผมว่ารุ้งคงไม่กล้าลงความเห็น ไม่ว่าจะโดยหลักชีววิทยาหรือหลักใดก็ตาม ว่าครูเอื้อประสาทไวกว่าสุนทรภู่ เพราะครูเอื้อเป็นนักดนตรี สุนทรภู่เป็นกวี ต้วแทนของรุ้งคงไม่ต้องให้ปากคำในเรื่องนี้นะครับ
ระหว่างรอรุ้ง อ่านตรงนี้แล้วไม่คล้อยตาม ดิฉันอาจเป็นสันดานชอบกลนัก คืออันว่าเพลงรัก ดิฉันก็รู้ว่าเพลงรัก จากนั้นอะไรที่ท่วงทำนองคล้ายกัน ก็จะฟังแล้วเป็นเพลงรัก เพลงปลุกใจก็ต้องเคยได้รับประสบการณ์มาแล้วว่าเป็นเพลงปลุกใจ จึงจะคิดตามได้เป็นเช่นนั้น
อันว่าฟังคลื่นกระทบฝั่งไปสิบรอบ ไม่บอกว่าคลื่นกระทบฝั่ง ดิฉันก็ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงคลื่น
ดิฉันจึงเห็นว่า ความสามารถของผู้ประพันธ์ก็สำคัญ แต่มันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้สัมผัสด้วย ว่าชำนาญการด้านไหน จะสามารถเสพอะไรได้อรรถรสมากกว่ากัน