ในเดือน ๑๒ ปีชวด อัฐศก จ.ศ.๑๑๗๘ (พ.ศ. ๒๓๕๙) มีโจทก์ฟ้องว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (บุญศรี) วัมหาธาตุ พระญาณสมโพธิ (เค็ม) วัดนาคกลาง และพระมงคลเทพมุนี (จีน) วัดหน้าพระเมรุ กรุงเก่า ประพฤติผิดวินัยข้อเมถุนปาราชิกมาช้านานจนมีบุตรหลายคน จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นรักษรณเรศ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) กับพระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงพิจารณาไต่สวนชำระได้ความเป็นจริงดังที่โจทกัน จึงมีรับสั่งให้นำพระราชาคณะทั้ง ๓ ลาสึกจากพระแล้วนำไปจำคุก การณ์ครั้งนั้นเป้นเหตุอื้อฉาวมากที่พระราชาคณะผู้ใหญ่หลายรูปต้องปาราชิกาบัติ รัชกาลที่ ๒ ทรงพระวิตกถึงพระศาสนามาก จึงทรงเผดียงให้สมเด็จพระสังฆราช (มี) และสมเด็จพระพนรัต (อาจ หรือ อาด) วัดสระเกศ แต่งหนังสือ โอวาทานุสาสนี แสดงข้อวัตรปฏิบัติของพระภิกษุแจกจ่ายไปตามวัดต่างๆ เพื่อให้เป็นกฎสำหรับพระทั้งสงฆมณฑล (เหตุการณ์นี้เป็นเหตุให้ กรมหมื่นศรีสุเรนทร์ ทรงแต่งโคลงทอดบัตรสนเท่ห์ ว่าร้ายเจ้านายทั้งสองที่ตัดสินชำระความครั้งดังกล่าวด้วย)
โคลงนั้นก็คือ
ไกรสรพระเสด็จได้ สึกชี
กรมเจษฎาบดี เร่งไม้
พิเรนทรแม่นอเวจี ไป่คลาศ
อาจพลิกแผ่นดินได้ แม่นแม้นเมืองทมิฬ
http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetail.asp?stcolumnid=603&stissueid=2428&stcolcatid=2&stauthorid=13พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ คงจะกริ้วในบาทสุดท้าย ซึ่งเป็นเสมือนแช่งบ้านเมือง โดยเฉพาะคำว่า ‘พลิกแผ่นดิน’ โปรดฯให้ค้นหาตัวผู้ทิ้งหนังสือ ได้ตัวกรมหมื่นศรีสุเรนทร์
ในพระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ ๒ จดเรื่องนี้ไว้ว่า
“ครั้งนั้นกรมหมื่นศรีสุเรนทร์ ซึ่งเป็นศิษย์นายสี พุทธโฆษาจารย์ไม่เห็นด้วย ก็ทิ้งหนังสือเป็นคำโคลงหยาบช้าต่อตระลาการกระทบกระทั่งถึงพระเจ้าแผ่นดินด้วย จึงโปรดให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคลพิจารณาหนังสือทิ้ง กรมพระราชวังได้ประชุมพระราชวงศานุวงศ์ กับนักปราชญ์ที่รู้กาพย์ กลอนโคลง พิจารณาก็ลงเนื้อเห็นว่าเป็นสำนวนฝีโอษฐ์กรมหมื่นศรีสุเรนทร์แน่แล้ว จึงรับสั่งให้หากรมหมื่นศรีสุเรนทร์มาซักถามก็ไม่รับ จึงให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนถามจึงได้รับเป็นสัตย์ กรมหมื่นศรีสุเรนทร์ทนอาชญาไม่ได้ ก็สิ้นชีพในพิม แล้วมิได้บาดหมายให้ถอดชื่อเหมือนอย่างหม่อมเหมน ข้าราชการเพ็ดทูลลางคนก็ออกพระนามว่า พระองค์เจ้าคันธรศบ้าง ออกพระนามว่ากรมหมื่นศรีสุเรนทร์บ้าง”
หลังจากชำระความกรมหมื่นศรีสุเรนทร์แล้ว เกิดมีผู้ทิ้งหนังสือในพระบรมมหาราชวัง หยาบช้าถึงองค์พระเจ้าแผ่นดินทีเดียว ความในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๒ ว่า
“ครั้นชำระความกรมหมื่นศรีสุเรนทร์แล้ว ก็มีผู้ทิ้งหนังสือหยาบช้าในพระราชวัง โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เป็นตระลาการพิจารณาให้ค้นลายมือเจ้า แลเจ้าจอมทุกเรือนเอามาสอบกับหนังสือทิ้ง ก็ถูกลายมือพระองค์เจ้ากระษัตรี ซึ่งเป็นภคคินีของพระองค์เจ้าสุริยวงศ์ ได้ไล่เลียงไต่ถามพระองค์เจ้ากระษัตรีก็ยังหารับไม่ จึงมีพระราชดำรัสให้ลงพระราชอาญา จำไว้ที่หลังห้องพระสุคนธ์ พระองค์เจ้ากระษัตรีได้ให้โขลนที่คุมนั้นไปซื้อกระดาษดินสอมาให้ ได้เขียนหนังสือที่นั่น แล้วใช้ให้คล้ายบุตรีพระสิริโรท เอาไปทิ้งที่ท้องพระโรงอีกครั้งหนึ่ง
คล้ายคนนี้เป็นคนรำ แต่ได้พระราชทานให้เป็นบุตรของพระองค์เจ้ากระษัตรี จึงได้มาเยี่ยมเยือนพระองค์เจ้ากระษัตรี ตระลาการถามก็รับทั้งสองคน”
จากการค้นทุกตำหนักทุกเรือนเมื่อเกิดความหนังสือทิ้งของพระองค์เจ้ากษัตรี เลยจับเพลงยาวนายช้อยได้ที่เรือน หม่อมเจ้าองุ่นในกรมหลวงนรินทรรณเรศ (กรมหลวงนรินทรรณเรศ เป็นพระโอรสที่ ๓ ใน สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี สมเด็จพระพี่นางพระองค์ใหญ่ ในรัชกาลที่ ๑ เป็นต้นราชสกุลนรินทรางกูล ณ อยุธยา
หม่อมเจ้าองุ่นทิ้งหนังสือหยาบช้าซ้ำอีก
ครั้งนั้นจับเรื่องชู้สาวในพระราชวัง ผิดกฎมณเฑียรบาลได้อีกหลายราย โปรดเกล้าฯให้ลงพระราชอาญาประหารชีวิต ตั้งแต่พระองค์เจ้ากษัตรี หม่อมเจ้าองุ่น และหญิงชายอีก ๘ คน เฉพาะพระองค์เจ้ากษัตรี นั้น ให้ทุบด้วยท่อนจันทน์ตามราชประเพณี