ธสาคร
|
ความคิดเห็นที่ 225 เมื่อ 09 ธ.ค. 16, 02:26
|
|
ขอบพระคุณ คุณnavarat.c ที่ทำให้ผมกลับเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง ก็ท่านเจ้าของเสียง ใช้สรรพนามแทนผู้ฟังว่า เด็กๆ ผมเลยพลอยรู้สึกว่าตัวเองเป็นหนึ่งในบรรดาเด็กที่กำลังล้อมวงฟังผู้ใหญ่เล่าเรื่อง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 226 เมื่อ 09 ธ.ค. 16, 08:08
|
|
ความจริงเสียงของแม่จะเนิบกว่าในไฟล์นี่โหลดลงมานี่หน่อยหนึ่งนะครับ จังหวะจะพอดีๆที่จะเกิดสมาธิในการฟังได้ง่าย
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 227 เมื่อ 14 ธ.ค. 16, 18:58
|
|
กลับมาจาก ตจว.แล้วครับ หาช่องเข้ากระทู้นี้ไม่ได้ก็เลยจะขอแทรกเข้าไปดื้อๆแบบไม่ค่อยจะสุภาพนัก แบบแทนที่จะค่อยๆเบียดเข้าไป
ก็จะขอเล่าต่อเรื่องเกี่ยวกับวัดญาณสังวรรามวรมหาวิหารที่ได้เล่าค้างไว้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 228 เมื่อ 14 ธ.ค. 16, 19:46
|
|
เรื่องราวของวัดญาณสังวรารามฯตามที่มีปรากฎอยู่ตามสื่อทั่วๆไปนั้น ไม่ค่อยจะมีรายละเอียดให้มากนัก อันที่จริงแล้วชื่อของวัดเริ่มเป็นที่รู้จักต่อสาธารณะก็เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับการจะแกะสลักพระองค์ใหญ่ที่หน้าผาเขาชีจรรย์ บรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างหรือพัฒนาวัดที่มีการบันทึกกันก็จึงเป็นกลุ่มบุคคลที่เข้ามาในภายหลังจากที่วัดมีการตัดสินใจว่าจะเดินหน้าอย่างจริงจัง(เป็นทางการ)กับแกะสลักพระที่เข้าชีจรรย์ หลังจากที่ได้มีการถกความเห็นกันเป็นการภายในหลากหลายประเด็นมาเป็นเวลานานประมาณ 10 ปี ซึ่งผมได้เข้าไปเกี่ยวข้องก็ในช่วงเวลานี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 229 เมื่อ 14 ธ.ค. 16, 20:45
|
|
การถกความเห็นต่างๆเป็นไปในลักษณะการสนทนาเป็นวงเล็กๆ ก็มีสมเด็จพระญาณสังวรฯ นายทหารเรือท่านหนึ่ง ตัวผม บางครั้งก็มีท่านรองอธิบดีกรมศิลปากร และพระอีกรูปหนึ่ง วงสนทนาก็เป็นแบบง่ายๆ ไม่เป็นพิธีรีตรอง ผมรู้สึกสมผัสได้จากข้อความและความเห็นที่สมเด็จพระญาณสังวรฯได้แสดงออกมาในทุกครั้ง ว่าต้องมีการสื่อสารระหว่างองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระญาณสังวรฯอยู่เป็นกิจวัตรประจำในเรื่องราวต่างๆและซึ่งลึกลงไปถึงในระดับรายละเอียดเลยทีเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 230 เมื่อ 15 ธ.ค. 16, 18:11
|
|
ก็คงจะเริ่มสัมผัสกับภาพลางๆเกี่ยวกับพัฒนาการของวัดญาณสังวรารามกันแล้วนะครับ
ท่านที่เคยเข้าไปเที่ยววัดและบริเวณพื้นที่รอบๆคงจะสังเกตเห็นได้ว่า พื้นที่ดังกล่าวมีการพัฒนาอย่างมีระบบ ผ่านกระบวนการคิดและการออกแบบตามพื้นฐานทางวิชาการสาขาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มวิชาสถาปัตยกรรม วิศวกรรม และแม้กระทั่งทางศาสนา เราจะเห็นมีการสร้างโรงพยาบาล มีการสร้างอ่างเก็บน้ำ มีการสร้างถนนหนทางที่วางทอดตัวไปแบบไม่ขัดตา ยังคงเห็นพื้นที่สวนคั่นระหว่างที่ตั้งวัดกับพระพุทธรูปแกะสลักที่หน้าผาเขาชีจรรย์ ฯลฯ
ภาพที่ดูจะบ่งบอกออกมาก็คงน่าจะต้องเป็นพื้นที่พิเศษ เป็นพื้นที่ในลักษณะ self sufficient
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 231 เมื่อ 15 ธ.ค. 16, 19:01
|
|
ใช่ครับ ผมได้รับรู้จากสมเด็จพระญาณวังวรฯว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงมีพระประสงค์จะมีสถานที่ๆมีความสงบและเรียบง่ายสำหรับการเจริญธรรมของพระองค์ในช่วงเวลาที่พระองค์ทรงเข้าสู่วัยชราภาพ
_/\_ _/\_ _/\_
ซึ่งสาธารณะชนส่วนมากจะรับรู้เรื่องราวในลักษณะอื่นว่า เป็นวัดของสมเด็จพระญาณสังวรฯและจะเป็นสถานที่ใช้ทรงงานขององค์พระพุทธเจ้าอยู่หัวเมื่อได้เสด็จออกทรงงานในพื้นที่ภูมิภาคนั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 232 เมื่อ 15 ธ.ค. 16, 20:20
|
|
ในช่วงที่ผมเข้าไปเกี่ยวข้องช่วงแรกๆ พระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์นั้นสร้างเสร็จแล้ว ส่วนหินแกรนิตที่จะนำมาแกะสลักเป็นพระพุทธบาทสำหรับมหามณฑบพุทธบาท ภปร.สก. นั้น ยังอยู่ในช่วงที่กำลังได้พบหินแกรนิตขนาดที่ต้องการในพื้นที่ จ.จันทบุรี
เมื่อผมได้รับรู้ว่าได้มีการรายงานต่อพระพุทธเจ้าอยู่หัวในทันทีที่มีการยืนยันว่าได้มีการพบหินแกรนิตขนาดใหญ่พอที่จะมาแกะสลักเป็นพระพุทธบาทและรายละเอียดต่างๆแล้ว ผนวกกับได้รับรู้ว่า จุดตำแหน่งที่ตั้งต่างๆของอาคารและพุทธสถานที่สักการะต่างๆของวัดนั้น มาจากการถกกันระหว่างองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระญาณสังวรฯ ซึ่งทุกตำแหน่งที่ตั้งของถาวรวัตถุต่างๆมีความสัมพันธ์กันหมด (เช่น องค์พระที่จะแกะสลักที่หน้าผาเขาชีจรรย์จะผินพระพักตร์ไปทิศใด สัมพันธ์กับองค์พระเจดีย์ฯเช่นใด กับอาคารหลักเช่นใด และกับพระพุทธบาทเช่นใด)
ก็คงจะคิดเป็นอื่นใดไม่ได้มากนัก วัดนี้เป็นวัดที่พระราชาและพระสังฆราชาร่วมกันสร้างขึ้นมา ส่วนสำหรับผมเป็นการส่วนตัวนั้น ผม เชื่อว่าเป็นวัดของพระพุทธเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงสร้างขึ้นมา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 233 เมื่อ 16 ธ.ค. 16, 19:00
|
|
ในเรื่องของการแกะสลักพระที่เขาชีจรรย์นั้น เรื่องจริงๆโดยย่อก็เป็นดังนี้
ด้วยที่เขาชีจรรย์มีความสูงที่เห็นโดดเด่นอยู่ในพื้นที่ย่านนั้น ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมและสามารถมองเห็นได้จากวัด โดยเฉพาะมองเห็นส่วนที่เป็นหน้าผาของเขาซึ่งเกิดมาจากการทำการระเบิดและย่อยหินต่อเนื่องตลอดมานานหลายปี พื้นที่ของเขาชีจรรย์อยู่ในเขตทหารเรือ และซึ่งการระเบิดและย่อยหินนั้นก็เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ของ ทร.
สมเด็จพระญาณวังวรฯทรงเห็นว่าการระเบิดและย่อยหินต่อไปเรื่อยๆก็มีแต่จะทำลายทรัพยากรธรรมชาตืและลดทอนความสวยงามของพื้นที่ในองค์รวมลงไป และเห็นว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ประโยชน์เฉพาะทางแต่เดิมนั้น ให้เป็นประโยชน์ในรูปแบบสาธารณะได้ และก็ยังคงเป็นการรักษาธรรมชาติอีกด้วย ซึ่งสมเด็จพระญาณฯเห็นว่าน่าจะใช้วิธีการแกะสลักพระที่หน้าผาเขาชีจรรย์นั้น นี่คือแรกที่มาของเรื่องที่ผมเข้าไปเกี่ยวข้องเมื่อเช้าวันหนึ่ง อันเป็นผลจากความเห็นของพระพุทธเจ้าอยู่หัวที่ทรงเสนอต่อสมเด็จพระญาณฯเมื่อค่ำคืนก่อนเมื่อเวลาประมาณ 21 น. ว่าควรจะให้กรมทรัพยากรธรณีไปสำรวจตรวจดูสภาพของหินเสียก่อน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 234 เมื่อ 16 ธ.ค. 16, 19:25
|
|
ความมุ่งหมายแต่เดิมที่แท้จริงของการแกะสลักพระที่เขาชีจรรย์นั้น จึงมิใช่เพื่อการจะให้ได้มาซึ่งพระพุทธรูปแกะสลักองค์ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ด้วยพื้นที่ของหน้าผาในส่วนที่สามารถมองเห็นได้จากบริเวณพื้นที่ของวัดญาณฯนั้น สามารถแกะสลักพระพุทธรูปทรงนั่งที่มีความสมส่วนระหว่างหน้าตักกับความสูงได้ในขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 235 เมื่อ 16 ธ.ค. 16, 20:44
|
|
รายงานการไปสำรวจหินของเขาชีจรรย์ของผมนั้น ได้ทำให้มีการถกกันในเรื่องของการแกะสลักพระต่อมาอีกนานหลายปี ความเห็นต่างๆที่มีการถกกันนั้น ผมทราบว่าพระพุทธเจ้าอยู่หัวได้ทรงรับทราบอยู่ตลอดเป็นระยะๆ
การถกความเห็นในวงเล็กๆที่ผมได้กล่าวถึงนั้น ก็มีเรื่องของความเป็นไปได้ต่างๆ ไล่เรียงมาตั้งแต่การแกะสลักเป็นองค์พระแบบลอยตัว แบบนูนสูง และแบบนูนต่ำ ค่อยๆถกกันไปทั้งลักษณะรูปทรงขององค์พระและปัญหาที่จะเกี่ยวข้องตามมาทางเทคนิคต่างๆ ค่อยๆประสานถามความเห็นจากบุคคลและหน่วยงานเชี่ยวชาญทางวิชาการเฉพาะทางต่างๆ ผมรู้สัมผัสได้ว่าเรื่องทั้งหลายนี้พระพุทธเจ้าอยู่หัวได้ทรงรับทราบและมีความเห็นผ่านมาทางสมเด็จพระญาณสังวรฯลงมา
ความเห็นและความร่วมมือแบบจริงๆจังๆเกี่ยวกับเรื่องการแกะสลักพระนี้ ได้รับอย่างเต็มที่จากบุคคลและหน่วยงานต่างๆก็เมื่อสมเด็จพระญาณสังวรฯได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้ว ส่วนผมนั้นก็ค่อยๆถูกกันให้ห่างออกไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธสาคร
|
ความคิดเห็นที่ 236 เมื่อ 17 ธ.ค. 16, 16:38
|
|
ขอบคุณครับที่กรุณาเล่าให้ฟัง ยาวดีครับ..ผมชอบ ทีแรกนั้นก็สงสัยอยู่แล้วว่า ด้วยบารมีของสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร หากจะสร้างองค์พระให้งดงามกว่าในปัจจุบัน ก็น่าจะทำได้ แล้วนี่ยังมีพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศเข้ามาเสริมอีกแรงหนึ่ง เลยยิ่งฉงนหนัก บอกตรงๆว่าเห็นพระพุทธรูปเขาชีจรรย์ครั้งแรก นึกในใจว่า "นี่เสร็จแล้วหรือ? หรือว่าเป็นภาพร่างบนหินเพื่อรอการแกะสลักเป็นประติมากรรมนูนสูงต่อไปในอนาคต" ๙๙๙๙๙๙๙๙๙ ๙๙๙๙๙๙๙๙๙ ๙๙๙๙๙๙๙๙๙ รออ่านตอนจบนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 237 เมื่อ 17 ธ.ค. 16, 19:30
|
|
ผมเชื่อว่าทุกคนคงจะมีความรู้สึกและฉงนเช่นเดียวกับคุณธสาคร ที่จริงแล้วผมตั้งใจจะข้ามเรื่องราวของส่วนนี้ไป แต่เมื่อท่านผู้อ่านมีความสนใจ ก็จะขอขยายความออกไปอีกตามสมควร
เป็นความตั้งใจของสมเด็จพระญาณสังวรฯ (และน่าจะเป็นของพระพุทธเจ้าอยู่หัวด้วย) ที่จะดำเนินโครงการต่างๆเกี่ยวกับวัดญาณฯที่ไม่แตกต่างไปจากวิถีปกติที่สามัญชนเขาทำกัน ก็คือบนพื้นฐานของศรัทธาธรรมมากกว่าบนฐานของอำนาจ ผู้ประสานงานการดำเนินการทั้งหมดของฝ่ายวัด ก็เป็นพระสงฆ์ นายทหารเรือและแม้ตัวผมเองผมที่มีตำแหน่งเพียงระดับกลาง จึงทำให้เอกชนและหัวหน้าส่วนราชการทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารต่างก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ว่าพระพุทธเจ้าอยู่หัวได้ทรงเข้ามาเกี่ยวข้องและทรงมีพระราชดำริหรือความเห็นในเรื่องที่ได้มาติดต่อประสานและขอความเห็นต่างๆ
ผมกล่าวถึงเรื่องนี้ได้อย่างเต็มปาก เพราะเคยเข้าไปร่วมอยู่ในหลายกรณี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
ninpaat
|
ความคิดเห็นที่ 239 เมื่อ 18 ธ.ค. 16, 16:29
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|