เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์ไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: werachaisubhong ที่ 08 ก.ค. 10, 10:59



กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: werachaisubhong ที่ 08 ก.ค. 10, 10:59
มาตั้งกระทู้ใหม่นะครับ แบบว่าผมได้อ่านผ่านๆมาบ้างว่าชื่อจังหวัดต่างๆนั้นมีที่มาและมีชื่อดังเดิมกว่าจะมาเป็นชื่อจังหวัดในทุกวันนี้


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: werachaisubhong ที่ 08 ก.ค. 10, 11:15
เอาภาคเหนือก่อนนะครับ

จังหวัดเชียงใหม่
ชื่อเดิม นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่,เวียงพิงค์

จังหวัดเชียงราย
ชื่อเดิม เวียงชัยนารายณ์

จังหวัดน่าน
ชื่อเดิม เมืองน่าน,ภูเพียงแช่แห้ง

จังหวัดพะเยา
ชื่อเดิม เมืองพะเยา,ภูกามยาว

จังหวัดแพร่
ชื่อเดิม เวียงโกศัย

จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ชื่อเดิม บ้านร่องสอน

จังหวัดลำปาง
ชื่อเดิม เขลางค์นคร,กุกกุฏนคร

จังหวัดลำพูน
ชื่อเดิม นครหริภุญไชย

จังหวัดอุตรดิตถ์
ชื่อเดิม ทุ่งยั้ง


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ก.ค. 10, 11:36
บางตอนเกี่ยวกับจังหวัดที่คุณสุจิตต์ วงษ์เทศ เขียนลงนสพ. มติชน หลายครั้งครับ

ร้อยเอ็ด

              ร้อยเอ็ด คือ ร้อยเอ็ด มิใช่ สิบเอ็ด หรือ 10+1

        ร้อยเอ็ดนี้ น่าจะสรุปขั้นต้นได้ตามที่อาจารย์พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ปราชญ์แห่งกรมศิลปากร อธิบายไว้ว่า
               หมายถึง “ทวารวดี” จะขอยกมาดังนี้

         ทวาร วดี เป็นการเขียนอย่างภาษาบาลี ถ้าเขียนอย่างสันสกฤต เขียนว่า ทวารวติ ซึ่งมีคำแปลที่ชัดเจน
เป็นอย่างเดียวดังนี้ ทวาร = ช่อง, ประตู / วดี, วติ = รั้ว, กำแพง

        ดังนั้น คำว่า ทวารวดี เมื่อแปลตามรูปศัพท์ จึงแปลว่า เมืองที่มีประตูเป็นกำแพง ซึ่งหากจะคิดโดยชื่อว่า
มีความหมายตามรูปศัพท์จริงๆ เมืองเมืองนี้ก็จะมีหน้าตาประหลาด เพราะมีประตูเป็นจำนวนมากมาย อาจจะนับจำนวน
ได้ถึงพันประตูก็คงได้…

     “…การถือความหมายตามรูป ศัพท์ของชื่อ ทวารวดี คงจะไม่ถูกนัก แต่หากพิจารณาเทียบกับชื่อเมืองร้อยเอ็ดประตู
จะให้ความหมายถึงการเป็นเมืองศูนย์กลางที่มีอำนาจครอบคลุมออกไปโดยรอบสารพัด ทิศเช่นเดียวกัน…”

      … เรื่องเมืองร้อยเอ็ดประตู จะมีเนื้อหาเป็นปรัมปราคติ กล่าวถึงการสร้างเมือง และเรื่องราวของกรุงศรีอยุธยา
กับเมืองร้อยเอ็ดประตูคู่กันโดยตลอด อย่างน้อยพระยาศรีไชยชมพู ผู้เรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ จะต้องคุ้นเคยกับชื่อเต็ม
ของกรุงศรีอยุธยา จึงได้นำความหมายของชื่อกรุงศรีอยุธยา คือ ทวารวดี มาดัดแปลงให้เป็นภาษาพื้นเมืองว่า ร้อยเอ็ดประตู
         ดังนั้น ชื่อเมืองทวารวดี กับเมืองร้อยเอ็ดประตู จึงมีความหมายอย่างเดียวกัน ที่เหมือนกับจะบอกชาวโลกว่า
ศูนย์กลางของจักรวาลอยู่ที่นี่”


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ก.ค. 10, 11:39
และ

         ร้อยเอ็ด สะกดเป็นลายลักษณ์อักษรว่าร้อยเอ็ด (ไม่ได้เขียนเป็นตัวเลข 101) มีความหมายกว้างๆรวมๆว่า
                 บ้านเมืองใหญ่โตมโหฬารราวเมืองทวารวดี ที่มีการติดต่อบ้านเมืองห่างไกลไปทางบกทางทะเล
ทั้ง 10 ทิศ ราวกับมีประตูเปิดรับสิบสองภาษานานาประเทศร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ มีความเป็นมาย่อๆดังนี้

ราว 3,000 ปีมาแล้ว มีคนตั้งหลักแหล่งอยู่ทางทุ่งกุลาร้องไห้ ทั้งในเขตร้อยเอ็ดและในเขตใกล้เคียงโดยรอบ
        คนพวกนี้และพวกอื่นที่จะทยอยเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งหลักแหล่งทางทุ่งกุลาล้วนเป็นบรรพชนคนไทยกับคนร้อยเอ็ดทุกวันนี้

ราว 2,000 ปีมาแล้ว หรือราวหลัง พ.ศ. 500 กลุ่มชนที่มีหลักแหล่งทางทุ่งกุลาร้องไห้ต้มเกลือสินเธาว์
        ทำภาชนะดินเผา แล้วถลุงเหล็ก เริ่มมีพิธีทำศพเป็นลักษณะเฉพาะ คือขุดกระดูกคนตายที่ฝังเปื่อยเน่าแล้วมาบรรจุ
ภาชนะดินเผารูปหม้อกับรูปแค็ปซูล แล้วทำพิธีอีกครั้งหนึ่ง ถือเป็นต้นเค้าให้เกิดพิธีศพในโกศ กับเก็บกระดูกใส่ภาชนะต่างๆ
ในสมัยหลังๆสืบจนปัจจุบัน

ราว 1,500 ปีมาแล้ว หรือราวหลัง พ.ศ. 1000 กลุ่มชนแถบทุ่งกุลามีมากขึ้น เพราะมีคนจากบ้านเมือง
            ทางทิศตะวันออก เช่น กวางตุ้ง-กวางสีในจีน, เวียดนาม, ลาว, ฯลฯ เคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งหลักแหล่งเพิ่มเติม
ทำให้ต้องก่อบ้านสร้างเมือง มีคูน้ำกำแพงดินอยู่บริเวณตัวจังหวัดร้อยเอ็ดปัจจุบัน
           ระยะนี้มีพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์จากลุ่มน้ำเจ้าพระยาในวัฒนธรรมทวารวดีแพร่หลายเข้ามา ส่งผลให้
บริเวณร้อยเอ็ดและใกล้เคียง มีวัฒนธรรมแบบทวารวดี เช่น มีพระธาตุพนม, มีรัฐในเวียงจัน ฯลฯ แล้วเป็นเหตุให้
ต่อไปข้างหน้าจะมีชื่อ ร้อยเอ็ด เลียนแบบเมืองทวารวดีอันศักดิ์สิทธิ์ในมหากาพย์ของอินเดีย

          พระราชาในวัฒนธรรมพราหมณ์นามจิตรเสน มีศูนย์กลางอำนาจอยู่ในบ้านเมืองทางลุ่มน้ำชี-มูล บริเวณ
ยโสธร-อุบลราชธานี มีอำนาจเหนือแหล่งเกลือสินเธาว์กับแหล่งเหล็กทางบ่อพันขัน อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
แล้วส่งเกลือและเหล็กเป็นสินค้าทางไกลถึงทะเลสาบกัมพูชา ทำให้เมืองร้อยเอ็ดสำคัญขึ้น แล้วเติบโตขึ้น

ราว 1,000 ปีมาแล้ว หรือราวหลัง พ.ศ. 1500 ขอมจากเมืองพระนครในกัมพูชาแผ่อำนาจเข้ามา ทำให้มีปราสาท
         แบบขอมและวัฒนธรรมขอมอยู่บริเวณขอบทุ่งกุลา เขตร้อยเอ็ด และทั่วดินแดนอีสาน

ราวหลัง พ.ศ. 1600 ผู้คนอีสานเคลื่อนย้ายไปเป็นประชากรแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยา ร้อยเอ็ดลดความสำคัญ
           ทำให้ประชากรลดลง บางแห่งรกร้างไป

ราวหลัง พ.ศ. 1800 แรกมีคนเรียกตัวเองว่า คนไทย อยู่ทางลุ่มน้ำเจ้าพระยา เช่น รัฐอโยธยา, รัฐสุพรรณภูมิ,
          รัฐสุโขทัย, ฯลฯ โดยระบุว่ามีบรรพชนเป็น ไทยน้อย พูดภาษาลาว อยู่ทางลุ่มน้ำโขง-อีสาน ขณะนั้น
ร้อยเอ็ดเป็นส่วนหนึ่งของรัฐโคตรบูตร(เวียงจัน)

ราวหลัง พ.ศ. 2000 แรกเขียนตำนานพระธาตุพนมเป็นลายลักษณ์อักษร ระบุเมืองสาเกตเป็นบ้านเมืองร้อยเอ็ดโบราณ
          แสดงความสำคัญเกี่ยวข้องกับพระธาตุพนม เริ่มมีผู้คนกลุ่มใหม่เรียกตัวเองว่า ลาวจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง
ทยอยเคลื่อนย้ายมาตั้งหลักแหล่งในอีสาน และบริเวณเมืองร้อยเอ็ด

พ.ศ. 2442 ยกเลิกชื่อ ลาว เช่น มณฑลลาวกาว เปลื่ยนชื่อเป็น มณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนราษฎรให้เรียกว่า
          เป็นชาติไทยบังคับสยาม

พ.ศ. 2482 เปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นประเทศไทย มีผลให้คนทั่วประเทศเป็นไทย รวมทั้งเมืองร้อยเอ็ดกับ
           คนร้อยเอ็ดก็กลายเป็นไทยนับแต่นั้นเป็นต้นมา

ทั้งหมดนี้ผมเขียนจากความทรงจำ ไม่ได้ค้นคว้าวิจัยเป็นระบบ จึงอาจมีข้อบกพร่องผิดผลาดได้ แต่เล่าให้เป็นตัวอย่างย่อๆ
เบื้องต้นเท่านั้น เพื่อให้ชาวร้อยเอ็ดพิจารณา


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: luanglek ที่ 08 ก.ค. 10, 13:12
อ้างถึง
ทวาร วดี เป็นการเขียนอย่างภาษาบาลี ถ้าเขียนอย่างสันสกฤต เขียนว่า ทวารวติ ซึ่งมีคำแปลที่ชัดเจน
เป็นอย่างเดียวดังนี้ ทวาร = ช่อง, ประตู / วดี, วติ = รั้ว, กำแพง

        ดังนั้น คำว่า ทวารวดี เมื่อแปลตามรูปศัพท์ จึงแปลว่า เมืองที่มีประตูเป็นกำแพง ซึ่งหากจะคิดโดยชื่อว่า
มีความหมายตามรูปศัพท์จริงๆ เมืองเมืองนี้ก็จะมีหน้าตาประหลาด เพราะมีประตูเป็นจำนวนมากมาย อาจจะนับจำนวน
ได้ถึงพันประตูก็คงได้…

     “…การถือความหมายตามรูป ศัพท์ของชื่อ ทวารวดี คงจะไม่ถูกนัก แต่หากพิจารณาเทียบกับชื่อเมืองร้อยเอ็ดประตู
จะให้ความหมายถึงการเป็นเมืองศูนย์กลางที่มีอำนาจครอบคลุมออกไปโดยรอบสารพัด ทิศเช่นเดียวกัน…”


การวิเคราะห์ศัพท์  ทวารวดี  ขึ้นต้นนั้นยังไม่ถูกต้อง   

ทวารวดี  เป็นคำภาษาสันสกฤต  มาจาก  ทฺวาร  (ประตู)  เติมปัจจัย  วตฺ  เป็น  ทฺวารวตฺ  เป็นคำวิเศษณ์  แปลว่า   มีประตูมาก   (ไม่ใช่  มีประตู  เฉยๆ)   ทีนี้  เมื่อนำมาเป็นชื่อเมือง    เมืองในภาษาสันสกฤตมักจะเป็นคำนามเพศหญิง  ลงท้ายด้วย  อี   เช่น  ไวศาลี   สาวัตถี  อวันตี  เป็นต้น   ฉะนั้น   ทฺวารวตฺ  เมื่อเป็นชื่อเมือง  ก็ต้องท้าย อี  เป็น  ทฺวารวตี   แปลว่า  เมืองที่มีประตูมาก   อันหมายถึงเมืองที่มีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศไปมาหาสู่อยู่เสมอ  ถนนทุกสายมุ่งตรงมาที่เมืองนี้

คำว่า  ทฺวารวตี  ถ้าเป็นในภาษาบาลี  น่าจะเขียน เป็น  ทฺวารวนฺตี   วตฺ ปัจจัย  ในภาษาสันสกฤต  ตรงกับ  วนฺต  ปัจจัยในภาษาบาลี   

การที่ไปแยกวิเคราะห์ว่า  ทฺวาร (ประตู)  กับ  วติ  (กำแพง /รั้ว)  นั้น เป็นเพราะคนวิเคราะห์ไม่รู้วิธีการสร้างคำในภาษาบาลีสันสกฤตดีพอ  จึงใช้การแยกศัพท์จากการเปิดพจนานุกรมไทย  แล้วเผอิญมีคำว่า  วดี  วติ  ที่ต้องการ อยู่ในพจนานุกรม แปลว่า  กำแพง  หรือ รั้ว  ก็หยิบมาวิเคราะห์ตามความเห็นของตน   ทั้งที่  คำว่า  วติ  วดี  ในภาษาไทย  ใช้ว่า  วัติ  และเท่ามีใช้ในภาษาไทย  เป็นคำที่สมาสท้ายคำอื่น  มี  ราชวัติ  เป็นต้น

เมืองทวารวดีในอินเดีย  ยังมีชื่ออื่นที่แปลเหมือนกันคือ  ทวารกะ


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: werachaisubhong ที่ 08 ก.ค. 10, 13:25
กรุงเทพมหานคร เมืองบางกอก
กระบี่ เมืองปกาไสย
กาฬสินธุ์ บ้านแก่งสำโรง
กำแพงเพชร เมืองชากังราว เมืองนครชุม
ขอนแก่น เมืองขามแก่น
จันทบุรี เมืองเพนียด เมืองกาไว เมืองจันทบูร
ฉะเชิงเทรา เมืองแปดริ้ว
ชลบุรี บางปลาสร้อย
ชัยนาท เมืองแพรก เมืองสรรค์
ชัยภูมิ บ้านหลวง บ้านโนนน้ำอ้อม
เชียงราย เวียงชัยนารายณ์
เชียงใหม่ นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ หรือ เวียงพิงค์
ตรัง เมืองควนธานี เมืองทับเที่ยง
ตราด บางพระ เมืองกราด หรือ เมืองตราด
ตาก เมืองฉอด เมืองระแหง
นครนายก บ้านนา เมืองนายก
นครปฐม ศรีวิชัย นครชัยศรี
นครพนม เมืองธาตุพนม เมืองมรุกขนคร
นครราชสีมา เมืองเสมา เมืองโคราดปุรา (โคราช)
นครศรีธรรมราช เมืองตามพรลิงค์ ศิริธรรมนคร ศรีธรรมราช
นครสวรรค์ เมืองพระบาง เมืองชอนตะวัน เมืองปากน้ำโพ
นนทบุรี บ้านตลาดขวัญ
นราธิวาส มะนาลอ บางนรา เมืองระแงะ
น่าน เมืองนันทบุรี หรือ วรนคร เมืองภูเพียงแช่แห้ง
เดียวมาต่อีกครับ


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: werachaisubhong ที่ 08 ก.ค. 10, 13:26
มาต่อละครับ

บุรีรัมย์ เมืองแปะ
ปทุมธานี เมืองสามโคก
ประจวบคีรีขันธ์ เมืองบางนารม หรือ เมืองนารัง
ปราจีนบุรี เมืองพระรถ เมืองศรีมโหสถ หรือ เมืองอวัธยปุระ
ปัตตานี เมืองตานี
พระนครศรีอยุธยา กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา เมืองอโยธยา
พะเยา เมืองภูกามยาว หรือ เมืองพยาว และ เมืองพะเยา
พังงา เมืองภูงา หรือ บ้านกระพูงา
พิจิตร เมืองโอฆะบุรี เมืองสระหลวง
พิษณุโลก เมืองสองแคว
เพชรบุรี เมืองพริบพรี หรือ เมืองเพชรพลี
เพชรบูรณ์ เมืองศรีเทพ เมืองเพชรบุรี หรือ พีชบุรี
แพร่ เมืองพลนคร หรือ เมืองพล ต่อมาเปลี่ยนเป็น เวียงโกศัย
ภูเก็ต เมืองถลาง
มหาสารคาม บ้านลาดกุดนางใย
แม่ฮ่องสอน บ้านร่องสอน (ต่อมาเรียกเพี้ยนเป็น แม่ฮ่องสอน)
ยโสธร บ้านสิงห์ท่า เมืองยศสุนทร
ร้อยเอ็ด สาเกตนคร
ลพบุรี เมืองละโว้
ลำปาง เขลางค์นคร กุกกุฏนคร
ลำพูน นครหริภุญชัย
ศรีสะเกษ เมืองขุขันธ์
สกลนคร เมืองหนองหานหลวง เมืองสกลทวาปี
สงขลา เมืองสทิง เมืองสทิงพระ เมืองสิงหลา
สมุทรปราการ เมืองพระประแดง
สมุทรสงคราม เมืองแม่กลอง
สมุทรสาคร เมืองสาครบุรี เมืองท่าจีน เมืองมหาชัย หรือ เมืองโกรกกรากมหาชัย
สิงห์บุรี เมืองสิงห์
สุพรรณบุรี เมืองทวารวดีศรีสุพรรณภูมิ เมืองพันธุมบุรี เมืองอู่ทอง
สุราษฎร์ธานี เมืองไชยา บ้านดอน
สุรินทร์ เมืองประทายสมันต์
หนองคาย บ้านไผ่
หนองบังลำภู เมืองหนองบัวลุ่มภู่ นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน
อ่างทอง เมืองวิเศษชัยชาญ
อุดรธานี บ้านหมากแข้ง
อุตรดิตถ์ บางโพท่าอิฐ
อุทัยธานี เมืองอุทัย เมืองสะแกกรัง
อุบลราชธานี บ้านดอนมดแดง


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 08 ก.ค. 10, 13:38
มหาสารคาม บ้านลาดกุดนางใย

ถ้าว่ากันตามที่มาของชื่อ มหาสารคามแล้ว คงมาจากชื่อ บ้านลาดกุดยางใหญ่ ซึ่งเป็นชื่อที่แพร่หลายมากกว่า บ้านลาดกุดนางใย

กุดยางใหญ่ หรือกุดนางใย เป็นแหล่งน้ำสำคัญในช่วงแรกตั้งเมืองมหาสารคาม อยู่ทางด้านตะวันออกของตัวเมืองมหาสารคาม ติดกับวิทยาลัยอาชีวศึกษามหาสารคาม

ในช่วงราว พ.ศ. ๒๔๐๒ พระขัติยวงษา (จัน) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดได้มอบหมายให้ท้าวมหาชัย (กวด) บุตรอุปฮาช (สิง) และท้าวบัวทอง บุตรอุปฮาช (ภู) พาผู้คนจากเมืองร้อยเอ็ด มาหาที่ตั้งเมืองใหม่ ท้าวบัวทองเห็นว่าบริเวณบ้านลาดริมฝั่งแม่น้ำชีน่าจะเป็นบริเวณที่เหมาะจะตั้งเมือง ส่วนท้าวมหาชัย (กวด) เห็นว่าบริเวณบ้านจาน ซึ่งอยู่ระหว่างหนองกระทุ่ม (บริเวณสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจังหวัดมหาสารคาม) กับกุดยางใหญ่น่าจะเหมาะสม ดังในใบบอกของพระขัติยวงษา(จัน) ที่มีไปยังกรุงเทพ ขอตั้งบ้านลาดกุดยางใหญ่ เป็นเมือง ท้าวมหาชัย (กวด)ได้เป็นพระเจริญราชเดช เจ้าเมือง ท้าวบัวทองได้เป็นอรรคฮาช ท้าวไชยวงษา (ฮึง) เป็นอรรควงษ์

คำว่า กุดยางใหญ่ จึงน่าเป็นที่มาของชื่อเมือง กล่าวคือ ในสารตราเจ้าพระยาจักรีที่มีมาถึงพระขัติยวงษา เจ้าเมืองร้อยเอ็ด ลงวันอังคาร ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีฉลู สัปตศก ซึ่งตรงกับวันอังคารที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๐๘ เรื่องการขนานนามบ้านลาดกุดยางใหญ่ เป็นเมืองมหาสาลคามนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว แนวทางการตั้งชื่อเมืองก็มักจะหาเค้าเงื่อนจากชื่อเดิมบ้าง หรือสิ่งสำคัญของบริเวณนั้นบ้าง แล้วตั้งชื่อใหม่เป็นภาษาบาลีหรือสันสกฤต ๒ - ๓ ชื่อ แล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯ ให้ทรงเลือกเพียง ๑ ชื่อ แล้วพระราชทานไปยังหัวเมืองใหม่นั้น
 
มหาสาลคาม คำนี้มาจาก มหา = ใหญ่  สาล = ต้นยาง เพราะในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานรุ่นเก่า ระบุว่า ต้นสาละคือต้นไม้ยืนต้นประเภทต้นรัง ต้นยาง  และคาม = กุด  แท้จริง กุด หมายความถึงบริเวณที่ลำน้ำไหลมาสิ้นสุด แต่ราชสำนักกรุงเทพฯ เข้าใจว่า กุด คือ กุฏิ หรือที่อยู่อาศัย (ดังกรณีตั้งบ้านกุดลิง เป็นเมืองวานรนิวาส เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๔ ) ต่อมาจึงได้เปลี่ยนเป็น มหาสารคาม จนถึงทุกวันนี้

เรียบเรียงโดย ธีรชัย บุญมาธรรม

http://kanchanapisek.or.th/oncc-cgi/text.cgi?no=15863


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ก.ค. 10, 15:14
ต่อชื่อจังหวัดที่เคยติดตามด้วยความสนใจครับ

ปทุมธานี    

                        ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้า          พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี
                        ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี       ชื่อปทุมธานีเพราะมีบัว

              จังหวัดปทุมธานีเป็นถิ่นฐานบ้านเมืองมาไม่น้อยกว่า 300 ปี นับตั้งแต่รัชสมัย
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
               พ.ศ. 2202 มังนันทมิตรได้กวาดต้อนครอบครัวมอญ เมืองเมาะตะมะ อพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร
สมเด็จพระนายรายณ์มหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ครอบครัวมอญเหล่านั้นไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านสามโคก
              ต่อมาในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ชาวมอญได้อพยพหนีพม่าเข้ามาอีกเป็นครั้งที่ 2
พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านเรือนที่บ้านสามโคกเช่นกัน
              และในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ก็ได้มีการอพยพชาวมอญครั้งใหญ่
จากเมืองเมาะตะมะ เรียกว่า "มอญใหญ่" ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ชาวมอญบางส่วนตั้งบ้านเรือน
อยู่ที่บ้านสามโคกเช่นเดียวกัน จากชุมชนขนาดเล็ก บ้านสามโคกจึงกลายเป็น เมืองสามโคก ในเวลาต่อมา

              ต่อมาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2358 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงโปรดเกล้าฯ
ให้เปลี่ยนชื่อเมืองสามโคก เป็น เมืองประทุมธานี และ
             เมื่อ พ.ศ. 2461 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ใช้คำว่า "จังหวัด"
แทน "เมือง" และให้เปลี่ยนการสะกดชื่อใหม่จาก "ประทุมธานี" เป็น "ปทุมธานี" กลายเป็น จังหวัดปทุมธานี


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ก.ค. 10, 15:29
ฉะเชิงเทรา        
        
          “ฉะเชิงเทรา” กับ “แปดริ้ว” คือสองชื่อที่เรียกขานเมืองนี้ “ฉะเชิงเทรา” เป็นชื่อที่ทางราชการ
             ส่วน “แปดริ้ว” เป็นภาษาชาวบ้านใช้เรียกกันมาช้านาน
        
แปดริ้ว       ได้ชื่อจากขนาดอันใหญ่โตของปลาช่อนที่ชุกชุมเมื่อนำมาแล่ จะต้องแล่ถึงแปดริ้ว
                หรือไม่ก็ว่ามาจากนิทานพื้นบ้านเรื่อง "พระรถเมรี" เล่าว่ายักษ์ฆ่านางสิบสองแล้ว
ชำแหละศพออกเป็นชิ้น ๆ รวมแปดริ้ว ทิ้งลอยไปตามลำน้ำท่าลาด
 
(ไม่ทราบว่ามีเวอร์ชั่นนางสิบสองถูกฆ่าด้วย เพราะที่ได้ยินจะเป็นถูกควักลูกตาและจับขังคุก)

ฉะเชิงเทรา     มีต้นเค้าหนึ่งมาจากหนังสือชุมนุมพระนิพนธ์ภาคปกิณกะ ภาค 1 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
                    ซึ่งมีความพาดพิงถึงเมืองฉะเชิงเทราว่า

                “...ชื่อบ้านเมืองเหล่านี้เป็นชื่อไทยบ้าง ชื่อเขมรบ้าง เป็นสองชื่อทั้งไทยทั้งเขมรบ้าง
                      อย่างเมืองฉะเชิงเทราเป็นชื่อเขมร แปดริ้วเป็นชื่อไทย...”
              นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีบางท่านจึงมีความเห็นว่า “ฉะเชิงเทรา” น่าจะเพี้ยนมาจากคำเขมร
ว่า “สตึงเตรง” หรือ “ฉ่ทรึงเทรา” ซึ่งแปลว่า “คลองลึก”


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ก.ค. 10, 15:34
(คำว่าคลองในภาษาเขมรนี้ยังปรากฏอยู่ในภาคใต้ด้วยที่

           ชื่อ ต.จะทิ้งพระ อ.สทิงพระ ใน จ.สงขลา จิตร ภูมิศักดิ์ อธิบายว่าในเอกสารโบราณ เช่น
ตำราพระกัลปนาวัดเมืองพัทลุง พ.ศ. 2242 เรียกว่า “ฉทิงพระ” ชื่อ “จะทิ้งพระ”หรือ “สทิงพระ”
ในชื่อตำบลอำเภอดังกล่าว จึงมาจากชื่อ “ฉทิงพระ” หรือ “จทิงพระ” เป็นคำภาษาเขมรโบราณ แปลว่า แม่น้ำพระ
หรือ คลองพระ (พระในภาษาเขมร หมายถึง พระพุทธรูป ไม่ใช่พระภิกษุ)
         คำ “จทิง” หรือ “ฉทิง” เป็นภาษาเขมรโบราณ หมายถึง คลอง หรือแม่น้ำ ปัจจุบันใช้เป็น “สทึง”
แต่ชาวบ้านลืมชื่อเดิมเสียแล้ว จึงแต่งนิทานขึ้นมาว่า มีคนจะเอาพระทิ้งที่คลองนั้น เลยเรียกว่าคลองจะทิ้งพระ และ
ตำนานอื่นๆ ที่เกี่ยวกับจะเอาพระธาตุหรือเอาพระมาทิ้งไว้

          นอกจากนี้ยังมีชื่อหมู่บ้านตำบล อีกแห่งหนึ่งในแถบนั้นชื่อ "จะทิ้งหม้อ” หรือ “สทิงหม้อ” ใน อ.สิงหนคร
ชื่อนี้ในเอกสารเก่าๆ เรียก “จทิงถมอ” ซึ่งเป็นคำภาษาเขมรโบราณอีกเช่นกัน แปลว่า คลองหิน ซึ่งตรงนั้นก็มีชื่อ “คลองสทิงหม้อ” อยู่ด้วย

ส่วนคำเขมร ลึก - เทรา > ไทย - ชำเรา)

ความเห็นนี้คงอาศัยเหตุผลทางภูมิศาสตร์ด้วย เพราะเมืองฉะเชิงเทราตั้งอยู่สองฝั่งแม่น้ำบางปะกง
เมืองนี้อยู่ในอำนาจการปกครองขิงขอมมาก่อน เป็นไปได้ว่า ชาวเมืองในสมัยโบราณอาจจะเรียกแม่น้ำบางปะกง
ว่า “คลองลึก” หรือคลองใหญ่ ตามลักษณะที่มองเห็น และด้วยอิทธิพลเขมรจึงไดเรียกชื่อแม่น้ำ
เป็นภาษาเขมรว่า “สตรึงเตรง” หรือ “ฉ่ทรึงเทรา” เรียกไปนานๆ ก็เพี้ยนกลายเป็น “ฉะเชิงเทรา”
เมืองที่อยู่บนฝั่งแม่น้ำก็พลอยได้ชื่อว่า “ฉะเชิงเทรา” ไปด้วย

        อย่างไร ก็ตาม คนจำนวนมากมักมีความเห็นต่างไปว่า ชื่อ “ฉะเชิงเทรา” น่าจะเพี้ยนจาก “แสงเชรา”
หรือ “แซงเซา” หรือ “แสงเซา” อันเป็นชื่อเมืองที่สมเด็จพระบรมราชาธิราชเสด็จไปตีได้ ตามที่พงศาวดาร
ฉบับหลวงประเสริฐกล่าวไว้มากกว่า เพราะการออกเสียงใกล้เคียงกันมาก
        ยิ่งเมื่อประกอบความคิดที่ว่า เมืองตั้งขึ้นในตอนต้นกรุงศรีอยุธยา อันเป็นเวลาที่ชื่อเสียงเรียงนามต่างๆ
น่าจะเป็นคำไทยหมดแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน อย่างนนทบุรี นครไชยศรี
และสาครบุรี ซึ่งล้วนแต่มีเชื้อสายไทยอิทธิพลอินเดีย ยิ่งทำให้น่าเชื่อว่าเมืองนี้ไม่ใช่คำเขมร หากแต่เป็นคำไทย
ที่เพี้ยนมาจากชื่อเมืองในพงศาวดารนี่เอง


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: Hotacunus ที่ 10 ก.ค. 10, 04:37
สวัสดีครับทุกท่าน หลังจากที่ไม่ได้เข้ามานาน  ;D

สวัสดีครับคุณ SILA เรื่องชื่อเมืองฉะเชิงเทรา ผมค่อนข้างเชื่อว่า มาจากคำเขมร ส่วนชื่อ "แสงเชรา" ในพงศาวดารนั้น ในทางกลับกัน ผมคิดว่า ผู้บันทึก จดเสียงเพี้ยนจากคำเขมร มาเป็น แสงเชรา ตามที่หูคนไทยสมัยนั้นคุ้นเคยครับ


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: Hotacunus ที่ 10 ก.ค. 10, 05:05
เพชรบุรี  ภาษาปากเรียกว่า เมืองพริบพรี หรือ เมืองเพชรพลี (ทำนองเดียวกับ ราด-ลี = ราชบุรี) ชื่อเมืองเพชรบุรี น่าจะผูกมาจากภาษาสันสกฤตว่า วัชรปุระ ซึ่งชื่อนี้มีปรากฎอยู่ในรายนามเมืองต่างๆ ที่ปราสาทพระขรรค์ (ถ้าจำไม่ผิด จะเป็นสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ นะครับ ราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๘ มีบางท่านแย้งว่า รายชื่อต่างๆ นี้ อาจเป็นเมืองในเขตเขมรมากกว่า) ต่อมา ชื่อนี้จึงแผลงเป็น พัชรบุรี (ว แผลงเป็น พ และ ป แผลงเป็น บ) และเป็น เพชรบุรี ในเวลาต่อมา ภาษาปากคงกร่อนเป็น พัด-บุ-ลี, เพด-บุ-ลี, เพด-พลี, พริบ-พรี ซึ่งไม่ควรเป็นต้นคำของคำว่า เพชรบุรี

กรณีเอาชื่อที่เพี้ยนแล้ว มาตั้งเป็นต้นกำเนิดชื่อ มีตัวอย่างให้เห็นเช่น ชื่อบางกอก กล่าวคือ ในช่วงที่มีการประมวณความรู้เรื่องต้นกำเนิดคำว่าบางกอก มีบางท่าน (จำไม่ได้แล้วว่าใคร  :-[) เสนอแนวคิดว่า บางกอก อาจเพี้ยนมาจาก หม่างก๊อก ซึ่งเ็ป็นคำที่คนจีนใช้เรียกกรุงเทพฯ .... หรือ อีกกรณี ไปจับเอา ชื่อที่ฝรั่งเขียนบนแผนที่ว่า bancok (น่าจะเขียนประมาณนี้ครับ จำไม่ได้แล้ว) แล้วไปตีความว่า ถอดมาจาก บ้านเกาะ หรือ บ้านโคก ...     


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: Hotacunus ที่ 10 ก.ค. 10, 05:56
เรื่องการศึกษาผูกชื่อเมืองนี้น่าสนใจมากครับ ต้องขอขอบคุณ คุณ weerachaisubhong ที่เปิดประเด็น

เท่าที่ผมติดตามเรื่องนี้มา (หกปีที่แล้ว  :-[) ดูเหมือนว่า ชื่อเมืองที่เป็นคำบาลี-สันสกฤต ของทางภาคเหนือ จะแปลงชื่อพื้นเมือง ให้เป็นคำแขก ที่เห็นชัดคือ

เชียงใหม่ ก็แปลงเป็น นวนคร (นพนคร)
เมืองแม่ปิง (เมืองที่ตั้งอยู่ริมน้ำปิง) ก็แปลงเป็น พิงค์นคร หรือ นครพิงค์

กำแพงเพชร ก็แปลงเป็น วัชรปราการ (ชื่อเดิมของกำแพงเพชร ตามจารึกเรียก นครชุม ตามพงศาวดารเรียก ชากังราว)

บางชื่อ ก็ไม่มีร่องรอยของชื่อถิ่น หรือ มีก็เลื่อนๆ เช่น สุโขทัย และ ศรีสัชนาลัย

ส่วนชื่อจังหวัดทางภาคกลาง - ภาคอีสาน - ใต้ บางจังหวัด (หรือ อำเภอ) มีหลักฐานว่า เป็นชื่อเดิมตั้งแต่สมัยเขมรเรืองอำนาจ เช่น

พิมาย - วิมายะ
อยุธยา - อโยธยา
ลพบุรี - ลวปุระ (ต่อมาแผลงเป็น ลพบุรี ภาษาปากว่า ละโว้ .... ชื่อนี้ ผมค่อนข้างเชื่อว่า ละโว้ เพี้ยนมาจาก ละวะ (ปุระ) ... แต่ก็เป็นไปได้ที่ผูกมาจากชื่อถิ่นว่า ละโว้ หรือ คำอะไรซักคำ ซึ่งถ้าใช่ก็คงเป็นภาษามอญโบราณ) ตามรูปศัพท์แล้ว ลว คือ พระลพ ราชบุตรของพระราม ดังนั้น ลวปุระ ก็คือ เมืองของพระลพ
นครชัยศรี / นครปฐม - ในจารึกหลักที่ ๒ กล่าวถึงการบูรณะพระเจดีย์องค์ใหญ่มากที่เมืองร้างชื่อ "นครพระกฤษณ์" ซึ่งหมายถึง ทวารกะ / ทวารวดี ไมเคิล ไรท์ เชื่อว่า นครพระกฤษณ์ นี้ หมายถึง เมืองโบราณนครปฐม อันเป็นที่ตั้งขององค์พระองค์เจดีย์
สุพรรณบุรี - สุวรรณปุระ ชื่อสันสกฤตนี้ มีรายนามอยู่ในจารึกปราสาทพระขรรค์ ชื่อที่จารึกหลักที่ ๑ บันทึกไว้คือ สุพรรณภูมิ และจารึกของพญาลิไทบันทึกไว้คือ สุพรรณภาว ส่วนชื่อภาษาปากมีหลายชื่อ เช่น พันพูม พันธุม (บุรี) สองพันบุรี (จระเข้) สามพัน ชื่อภาษาปากเหล่านี้ ผมเชื่อว่า เพี้ยนมาจากชื่อ สุพรรณภูมิ ครับ

สุราษฎร์ธานี - มีแม่น้ำตาปี เป็นแม่น้ำสำคัญ .... น่าสนใจว่า ใครเป็นผู้ตั้งชื่อทั้งของจังหวัด และแม่น้ำ ? ตั้งแต่เมื่อไหร่ เรียกกันมาตั้งแต่สมัยไหน ? เพราะว่า ชื่อทั้งสองนี้ ช่างพ้องต้องกันกับ เมืองสุรัต และแม่น้ำตาปี ในรัฐคุชราต ของประเทศอินเดีย

ไชยา - เป็นอำเภอในจังหวัดสุราษฏร์ธานี แต่มีหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญเกี่ยวกับวัฒนธรรมศรีวิชัย ... นักวิชาการไทยรุ่นก่อนๆ หลายท่าน เชื่อว่า ไชยา เป็นชื่อที่กร่อนมาจาก ศรีวิชัย (ศรี) วิ-ไช-ยา, ไช-ยา ... (อาจ กร่อนมาจาก ชัยปุระ ก็ได้เช่นเดียวกัน  :-\) ไม่มีหลักฐานประเภทจารึก ที่ยืนยันแนวคิดนี้ แต่ในจารึกรุ่นพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เรียกเมืองไชยานี้ว่า ครหิ

นครศรีธรรมราช - น่าจะเป็นชื่อที่ผูกขึ้นใหม่ หลายจากที่กษัตริย์ผู้ครองเมืองยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาจากลังกาแล้ว จึงผูกชื่อเมืองล้อกันกับ พระเจ้าโศกมหาราช ผู้เป็นธรรมราช ดังนั้น ชื่อ ศรีธรรมโศก จึงปรากฎเป็นนามกษัตริย์ของเมืองนี้หลายพระองค์ น่าสังเกตว่า ในตำนานสร้างเมืองสุโขทัย (จำไม่ได้แล้วว่า อยู่ในประชุมพงศาวดารภาคที่เท่าไหร่) จะอ้างถึงชื่อศรีธรรมโศกด้วยว่าเป็นต้นวงศ์พระปทุมสุริยวงศ์ ต้นวงศ์พระร่วง ... นั่นเป็นนิทาน  ;D ... แต่หลักฐานปฐมภูมิก็สร้างความประหลาดใจให้ไม่น้อย เนื่องจาก จารึกดงแม่นางเมือง พบที่จังหวัดนครสวรรค์ จารึกด้วยภาษาเขมร และ บาลี ระบุถึงราชาที่มีพระนามว่า ศรีธรรมโศก .... ช่วงแรกรับพุทธศาสนาจากลังกาของทั้ง นครศรีธรรมราช และ สุโขทัย (ก่อนวงศ์พระร่วง ?) น่าจะมีความเชื่อในเรื่องชื่อ ศรีธรรมราช ศรีธรรมโศก เหมือนกัน ... คติศรีธรรมราชนี้ ทางสุโขทัย ได้ฟื้นฟูขึ้นอีกครั้งในสมัยพญาลิไท โดยการผูกนามพระองค์เป็น มหาธรรมราช

ชื่อภาษาปาก หรือ ชื่อเพี้ยนของนครศรีธรรมราช นี้ คือ ลิกอร์ (Ligor) ซึ่งคงเพี้ยนมาจากคำว่า นอกอร์ หรือ นะกอร์ หรือ นิกอร์ เหตุเนื่องจากพ่อค้าต่างชาติสมัยนั้น (น่าจะราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘) ฟังและออกเสียง "น" เป็น "ล" ... ดังนั้น ลิกอร์ จึงไม่ควรถือว่า เป็นชื่อเดิมของนครศรีธรรมราช แต่ต้องถูกจัดอยู่ในบัญชีชื่อเพี้ยนตามหูฝรั่ง-แขก-จีน  :D

ชื่อที่เก่ากว่า "นครศรีธรรมราช" คือ ชื่อตามภาษาสันสกฤตที่ว่า "ตามพรลิงค์" มีหลักฐานยืนยัน ทั้งในจารึก และจดหมายเหตุจีน  


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: werachaisubhong ที่ 10 ก.ค. 10, 08:41
ชื่อเดิมของจังหวัดนครสวรรค์
นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่านครสวรรค์มีชื่อปรากฏมาตั้งแต่ก่อนสุโขทัยเป็นราชธานี มีชื่อในศิลาจาลึกของสุโขทัย โดยเรียกว่า เมืองพระบาง เป็นเมืองหน้าด่านที่สำคญในการทำศึกสงคราม ตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี กระทั่งถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ภายหลังเรียกชื่อว่า เมืองชอนตะวัน  และเปลี่ยนเป็น นครสวรรค์ ในที่สุด แต่ชาวบ้านโดยทั่วไปเรียกกันว่า เมืองปากน้ำโพ ในประวัติศาสตร์มีหลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่า นครสวรรค์ เคยเป็นเมืองเกษตรกรรมมาตั้งแต่ยุคต้นประวัติศาสตร์ เป็นศูนย์กลางของการคมนาคม เป็นที่ตั้งของกลุ่มชนชาวจีนที่มาทำมาค้าขายระหว่างประเทศ


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: werachaisubhong ที่ 10 ก.ค. 10, 09:19
ชื่อเดิมของจังหวัดแพร่
ชื่อ เวียงโกศัย น่าจะมาจากชื่อดอยที่เป็นที่ตั้งขององค์พระธาตุช่อแฮ ซึ่งเป็นพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านคู่เมืองแพร่ คือ ดอยโกสิยธชัคบรรพต หมายถึง ดอยแห่งผ้าแพร เมืองแพล เป็นชื่อที่ปรากฎ ในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราชหลักที่ 1 ด้าน ที่ 4 โดยคำว่า แพล น่าจะมาจากศรัทธาของ ชาวเมืองที่มีต่อพระธาตุช่อแพร หรือช่อแฮที่สร้างขึ้น ภายหลังการสร้างเมืองต่อมาจึงได้เรียกชื่อ เมืองของตนว่า เมืองแพล และได้กลายเสียงเป็นเมืองแพร่ปัจจุบัน

ชื่อเดิมของจังหวัดน่าน
เมืองน่าน มีที่มาของชื่อปรากฏในตำนานพระอัมภาคว่า " นันทสุวรรณนคร " ส่วนในหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ เรียกเมืองน่านว่า " กาวราชนคร " นัยว่าเป็นแค้วนของกาว อันหมายถึง ชนชาติที่อาศัยอยู่ในแค้วนน่านแต่ดึกดำบรรพ์ และในตำนานเก่าๆ เรียกเมืองน่านอีกคำหนึ่งว่า " กาวน่าน " ต่อมามีการเรียกชื่อเมืองน่านว่า " นันทบุรี " หรือ " นันท บุรีศรีนครน่าน " เข้าใจว่า เป็นยุคสมัยที่พระพุทธศาสนา และภาษาบาลีเฟื่องฟูในล้านนา ที่มาของชื่อเมืองน่าน มาจากชื่อแม่น้ำน่าน อันเป็นที่ตั้ง ของเมืองที่อยู่บนสองฟากฝั่งแม่น้ำน่าน ชื่อของเมืองน่าน ได้ปรากฏในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง เรียกว่า เมืองน่าน คือ ตั้งแต่แรกตั้งเมืองใหม่ ณ ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน
เมืองน่าน แม้จะมีการเรียกชื่อใหม่ว่า " นันท บุรี " หรือ" นันทบุรีศรีนครน่าน " ซึ่งใช้กันในทางราชการในสมัยโบราณและศุภอักษรนามนันทบุรี เป็นนามที่ไฟเราะ และมีความหมายมงคลนาม แต่ก็มีหลายพยางค์และเรียกยาก จึงกลับมานิยมเรียก นามเมืองตามเดิมว่า " เมืองน่าน " ตลอดจนถึงปัจจุบัน

ชื่อเดิมจังหวัดลำปาง
คำว่า "กุกกุฏขคร" แปลว่าเมืองไก่ โดยมีเรื่องเล่า เหตุผลที่ได้ชื่อนี้คือ เมื่อสมัยครั้งพุทธกาลบริเวณเมืองลำปางมีการตั้งชุมชนแล้ว แต่ยังไม่มีชื่อเมือง พระพุทธเจ้าที่เสด็จมาโปรดสัตว์ที่เมืองนี้ เรื่องรู้ถึงพระอินทร์ พระอินทร์ก็เกรงว่าชาวบ้านที่นี่จะตื่นไม่ทันใส่บาตรพระพุทธเจ้า จึงได้ทำการเนรมิตไก่ขาวให้มาขันปลุกชาวบ้านให้มาใส่บาตรพระพุทธเจ้าทัน ทำให้ไก่ขาวเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดลำปาง

ชื่อเดิมจังหวัดลำพูน
หริภุญชัยนคร แปลว่า "เมืองที่พระพุทธเจ้าเคยเสวยลูกสมอ" (หริ แปลว่า สมอ ส่วน ภุญชัย แปลว่า เสวย นคร แปลว่า เมือง)





กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ก.ค. 10, 10:47
         สวัสดีครับ จะรออ่านความเห็นจากคุณ Hotacunus อีก

จังหวัดที่มีบทความเห็นเรื่องชื่อมากมายชวนมึน 

ภูเก็ต

           ข้อสันนิษฐานชื่อเดิม - ถลาง

                 ในยุคก่อนประวัติศาสตร์  เชื่อกันว่ามนุษย์ชนกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานบนเกาะถลาง  คือ 
พวกเงาะ (Negritos) ซึ่งน่าจะเป็นพวกเดียวกับเซมัง  ซาไก  อาศัยอยู่ตามบนเกาะที่กระจัดกระจาย
อยู่ในทะเลอันดามัน  ต่อมาก็มีพวกชนชาวมอญได้แผ่ขยายลงมาจากเมืองพะโค (Pegu) มาอยู่บริเวณนี้
ชนสายหนึ่งของพวกนี้  คือ  เซลัง (Selung หรือ Salon)
                ที่บางความเห็นกล่าวว่าเป็นคำพม่าที่ใช้เรียกชนพวก semang เซมัง ว่า "เซลัง"
                นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่ามีคำพม่าเรียกชาวเลเผ่ามาซิง (มอแกล๊น มอแกน อาศัยอยู่ตามเกาะต่าง ๆ
ตามชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียและทะเลอันดามัน) ว่า ฉลาง แล้วไทยอาจเรียกเพี้ยนมาเป็นถลาง       

              พวกนักเดินเรือจากแถบอินเดียใต้  และอ่าวเบงกอล  เข้ามาค้าขายและขุดหาแร่ดีบุก
ที่บริเวณตักโกละ (คงจะได้เปลี่ยนชื่อเป็น ตะกั่วป่า ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง) รู้จักเกาะถลางในฐานะที่
เป็นส่วนหนึ่งของตักโกละ - ตะกั่วป่าตั้งแต่ครั้งนั้น

             ภูเก็ตปรากฏชื่อในปี พ.ศ. 700 บันทึกโดยนักสำรวจชาวกรีกชื่อ ปโตเลมี กล่าวถึงเกาะใหญ่
ทางทิศตะวันตกขอแหลมมาลายูและเรียกชื่อว่า จังซีลอน (JUNK CEYLON)
             ซึ่งมีผู้อธิบายว่าเพี้ยนมาจากคำว่า จ็อง สาลัง โดยคำว่า จ็อง ในภาษามาเลย์หมายถึงแหลม ตรงกับลักษณะ
ของเกาะภูเก็ตที่เป็นแหลมยื่นออกมา ส่วนคำว่า สาลัง เป็นคำที่เพี้ยนตามเสียงของคนมาเลย์ ที่พยายามออกเสียง
คำว่าถลางซึ่งเป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกกัน


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ก.ค. 10, 10:54
ส่วนบางความเห็นกล่าวว่า

                   เกาะถลาง หรือ Junk Ceylon สมัยโบราณเป็นจุดสำคัญที่เรือสำเภา (Junk)
จากประเทศตะวันตกจะต้องผ่านเพื่อไปสู่แหลมมลายู ชาวมลายู (ซึ่งเป็นเจ้าทะเลยิ่งกว่าใครอื่นในสมัยนั้น)
จึงเรียกเกาะถลางว่า ยงซีลัง (Jong Silang) ซึ่งหมายถึง จุด หรือสถานที่ ชุมทาง หรือ
ทางผ่านของเรือเดินสมุทร ซึ่งส่วนใหญ่คือเรือสำเภาที่ชาวมลายูเรียก ยง (Jong) และชาวอังกฤษเรียก จังก์ (Junk)
ฝรั่งถ่ายทอดสำเนียงภาษามลายูจากยงซีลัง (Jong Silang) มาเป็น จังซีลอน  
            
                  ส่วนฝรั่งเศสเรียก Jong Silang หรือ Junk Ceylon ว่า ยองสะลัม (Jonsalam)
ปรากฏตามหลักฐานประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชว่าด้วยสนธิสัญญา
การค้าขายระหว่างกรุงศรีอยุธยากับประเทศฝรั่งเศส    
                 จากสนธิสัญญาฉบับนี้ ทำให้ได้รู้ว่าเกาะถลางสมัยนั้น กรุงศรีอยุธยาเรียกว่า เมืองถลางบางคลี

ชื่อถลาง หรือ Junk Ceylon ยังมีคำอธิบายที่มาเพิ่มเติมอีกว่า
 
                 ตั้งแต่สมัยอยุธยาเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า เกาะถลาง หรือ สลาง สมัยนั้นพื้นที่อาจเป็นแหลม
มีหญ้าคาขึ้นทั่วไป ชาวมลายูเลยเรียกแหลมหญ้าคาว่า อุยังลาแล ( อุยัง  - แหลม, ลาแล - หญ้าคา)
ต่อมาชาวต่างประเทศเรียกเสียงเพี้ยนเป็น อุยังลาลาง-อุยังสะลาง และเขียนเป็น จังซีลอน เพื่อให้ใกล้เคียงกับ
เกาะซีลอนหรือเกาะลังกา ต่อมาคำว่าสะลาง กลายเสียงเป็น สะลาง-ฉลาง และ ถลาง ตามลำดับ


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ก.ค. 10, 10:56
และ -           ฝรั่งคนหนึ่งคาดเดาไว้ว่า พวกโปรตุเกสเดินเรือมาถึงเกาะนี้ก่อนฝรั่งชาติอื่น
          ถามชาวมลายูว่าชื่ออะไร แขกคงเข้าใจว่าถามแหลมที่เรือจอดอยู่จึงตอบไปว่า "อุยงสะลัง" คือแหลมถลาง
ฝรั่งจึงเข้าใจว่าเกาะนี้ชื่อ อุยงสะลัง
                อังกฤษได้คำนี้มาจากโปรตุเกส อีกชั้นหนึ่งจึงออกเสียง ยองก์ หรือ ยังก์ ซึ่งแปลว่า "ตะเภา"
ส่วนสะลังนั้น อังกฤษคงฟังคล้ายเกาะลังกาซึ่งฝรั่งเรียกว่า "เล้ง" หรือ "เซลอน" ในภาษาอังกฤษ
เลยเอาคำสะลังเป็นเซลอน เกาะถลางจึงกลายเป็น "ยังก์เซลอน"
               
               นอกจากนี้ยังมีคุณหลวงอภิบาล กล่าวว่าเมืองถลาง แปลว่า "เมืองกาง" คือการตั้งขึ้นกลางป่า
แต่ล้นเกล้ารัชกาลที่หกไม่เห็นด้วย ทรงเห็นว่าอังกฤษเรียกเกาะนี้ว่า ยังก์เซลอน คำว่า ยังก์ ไม่ทราบว่ามาอย่างไร
แต่เซลอนมาจากถลาง คนไทยชอบเอา "ก" หรือ "ต" เป็น "ส" เช่น ถนนเป็นสนน ตะพานเป็นสะพาน
คำถลางเรียกเป็น สลาง ฝรั่งฟังไม่ถนัด เรียกเป็นเซลอน
      นอกจากนี้ยังมีบุคคลสันนิษฐานไปต่างๆ นานา บ้างว่ามาจากคำว่าอ่าวฉลอง เกาะฉลามบ้าง ทองหลางบ้าง เป็นต้น


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ก.ค. 10, 10:59
ภูเก็ต - ภูเก็จ

               พบหลักฐานเกี่ยวกับการเรียกขานดินแดนแห่งนี้ของชาวทมิฬว่า “มณีคราม” ซึ่ง หมายถึง เมืองแก้ว
(หลักฐานปรากฏเมื่อ พ.ศ. 1568) ซึ่งมีความหมายตรงกับชื่อ  "ภูเก็จ"  (หมายถึงภูเขาแก้ว) ที่ปรากฏใน
จดหมายเหตุเมืองถลาง ฉบับที่ 1 ในปีพ.ศ 2328 และได้มีการเรียกขานเรื่อยจนกลายเป็น ภูเก็ต

             นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อว่า “ภูเก็ต”นั้นเพี้ยนมาจากภาษามลายูคือ“บูกิ๊ต” ซึ่งแปลว่าภูเขา

             ส่วนคุณสุนัย ราชภัณฑารักษ์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตเห็นว่า

              ทางตะวันตกของเกาะนี้ มีสภาพเป็นเทือกเขาใหญ่น้อยลาดลงริมทะเล ถ้ามองจากท้องทะเลด้านนี้
ก็มองเห็นเป็นภูเขาไปทั้งเกาะ และ คำว่าภูเก็ตนั้นภาษาชาวพื้นเมืองเรียกว่าบูเก๊ะ เกาะที่แลเห็นเป็นภูเขาทอดยาว
ออกมาในทะเลจึงคงจะถูกเรียก "เกาะบูเก๊ะ"
             และโดยที่ฝรั่งออกเสียงคำหนักที่ลงท้ายด้วยสระไม่มีตัวสะกดไม่ค่อยชัดก็เลยออกเสียงเป็น "บูเก๊ต"
แล้วต่อมาก็กลายเป็น บูเก็ต หรือ ภูเก็ต ตามสำเนียงไทยไป     
           
                ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตั้งเป็นมณฑลภูเก็ต เมื่อ พ.ศ.2435
และ พ.ศ.2476 ได้มีการจัดระเบียบราชการเป็นจังหวัด และอำเภอ ได้ยกเลิกมณฑลภูเก็ตและเปลี่ยนมา
เป็นจังหวัดภูเก็ตแต่นั้นมา


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ก.ค. 10, 11:02
            เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ได้ทรงพระราชนิพนธ์
จดหมายเหตุประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ ร.ศ. 128 ตอนหนึ่ง ทรงวิจารณ์ถึงคำว่า “ภูเก็จ”
               โดยใช้นามแฝงว่า นายแก้วมีความว่า

             "เกาะภูเก็จนี้เดิมเรียกว่า เกาะถลาง...เพราะเป็นชื่อเก่ากว่าภูเก็จเป็นอันมาก อังกฤษเรียกว่า ยั้งเซลอน
.....เมืองภูเก็จนั้นเป็นเมืองที่เพิ่งจะมีขึ้นใหม่ ๆ ผมดูว่าน่าจะมาจากภาษามลายูว่า "บูกิต" แปลว่า เขา
แล้วจึงแปลงมาเป็น "พูเก็ต" ต่อมา บางทีจะมีใครที่มีความรู้ภาษาไทยดีๆ มาคิดเขียนสะกดตัวเสียใหม่ ว่า "ภูเก็จ"
ให้สำเนียงคงอยู่อย่างเดิม แต่ให้มีคำแปลขึ้น คือผสมคำว่า "ภู" แปลว่า เขา กับ "เก็จ" แปลว่า ฝั่ง เข้าด้วยกัน....."

           


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ก.ค. 10, 11:04
ภูเก็ต VS ภูเก็จ

               กรณีการผลักดันการกลับมาใช้ชื่อ ภูเก็จ อีกครั้ง
               ผศ.สมหมาย ปิ่นพุทธศิลป์ อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ประธานกลุ่มผู้สนใจประวัติศาสตร์เมืองภูเก็จ
อธิบายว่า
      
                “คำว่า “ภูเก็จ” ที่ใช้ จ.จานสะกด แปลว่าภูเขาแก้ว แผ่นดินแก้ว หรือแผ่นดินเพชร หรืออะไรก็ได้
ที่เป็นอัญมณี ที่ความหมายเป็นอย่างนั้นเพราะ ภู แปลว่า ภูเขาหรือแผ่นดิน ส่วน เก็จ แปลว่า แก้วหรืออัญมณี
ความหมายมันแปลได้อยู่สองนัย นัยแรก หมายถึงแผ่นดินที่มีเพชร อีกความหมาย หมายถึง แผ่นดินที่มีค่า
แล้วถามว่าเพชรมีจริงไหม ก็มีจริงในประเทศไทยมีเพชรอยู่ 2 จังหวัด คือเพชรที่พังงาและที่ภูเก็ต
      
                 “แต่ยุคอย่างพวกเรา เราจะเห็นภูเก็ต สะกดด้วย ต.เต่าเสมอ เมื่อเห็นคำว่า ภูเก็ต ต.เต่า ก็เข้าใจว่า
ภูเก็ต ต.เต่าเป็นสิ่งที่เราใช้มาตลอด จนวันหนึ่งเราไปค้นหนังสือเอกสารทุกชิ้นของภูเก็ตสมัยก่อนรัชกาลที่ 5
มาใช้ภูเก็จ สะกดด้วย จ.จานทั้งสิ้น เราก็กล่าวหาคนโบราณว่าทำไมไม่มีโรงเรียนหรือไงเขียนผิดกันจัง
แต่ในที่สุดเราก็ทราบว่าเขาใช้ จ.จาน สะกดมาโดยตลอด”

                อ.สมหมาย เล่าต่อว่า คำว่า ภูเก็จ จ.จาน สะกด ปรากฏหลักฐานครั้งแรกเมื่อประมาณ 225 ปีก่อน
น่าจะปรากฏชัดเจนในปี พ.ศ.2328 เราได้เห็นคำว่า “ภูเก็จ” ในจดหมายของท่านผู้หญิงจันหรือ
ท้าวเทพกระษัตรี ที่เขียนไปถึงกัปตันฟรานซิส ไล้ท์ (พระยาราชกปิตัน) กล่าวถึงเรื่องคุณเทียน ประทีป ณ ถลาง
(บุตรท้าวเทพกระษัตรี) ได้รับพระราชทานตำแหน่ง พระยาเพชรคีรีศรีพิชัยสงครามรามคำแหง อันแปลว่า ผู้ครองเมืองภูเขาแก้ว      


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ก.ค. 10, 11:06
              นอกจากนี้ยังมีหลักฐานอื่นๆอีก เช่น พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ครั้งดำรงพระยศพระบรมโอรสาธิราช กราบบังคมทูลรายงานกิจการเหมืองแร่ในมณฑลภูเก็จ ครั้งเสด็จ
หัวเมืองปักษ์ใต้ ร.ศ.128, หนังสือราชการเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการเขียนถึงพระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ
ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลภูเก็จ, ตราประทับของกระทรวงมหาดไทยประจำมณฑลภูเก็จ, เครื่องบินประจำ
มณฑลภูเก็จ และภาพแผนที่ระวาง เขียนโดยกรมแผนที่ทหารก็ใช้คำว่า “ภูเก็จ” จ.จานสะกด
           
               “เดิมคำว่า “ภูเก็จ” จ.จาน ใช้มาตลอด แต่ในช่วงเวลาประมาณต้นรัชกาลที่ 6 คำว่า “ภูเก็ต”
ต.เต่าเริ่มเข้ามา ภูเก็จ จ.จาน ซึ่งแปลว่าแผ่นดินแก้วแผ่นดินอัญมณี ก็หายไปกลายเป็นภูเก็ต ต.เต่า
โดยไม่ทราบสาเหตุ
               เพียงแต่เราสมมติฐานกันเอาไว้ว่าน่าจะมาจากการที่เราไปเขียนติดต่อกับชาวต่างชาติ
เป็นภาษาอังกฤษก่อนว่า Phuket เมื่อเขียนไปแบบนั้นเมื่อต้องการสื่อสารกันในประเทศไทยเราไปแปลผิด
กลายเป็น ตัว ต.เต่า ก็เลยใช้ตัว ภูเก็ต ต.เต่าสะกดมาโดยตลอด


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ก.ค. 10, 11:09
           “ผู้รู้ที่สามารถในภาษามาลายู ติดต่อกับมาลายูได้ เขาก็ได้ศึกษาภาษาซึ่งกันและกัน ในภาษามาลายู
เขาใช้คำว่า “บูเก๊ะ” (หรือที่รู้จักกันดีว่าบูกิ๊ต) แปลว่า ภูเขา เมื่อแปลว่าภูเขา เลยเข้าใจว่า บูเก๊ะ กับคำว่า ภูเก็ต
คือคำเดียวกัน เราจึงแปลคำว่าภูเก็ตแปลว่าภูเขาเฉยๆ กลายเป็นว่าเมื่อเรารู้ว่า ภูเก็จ ตัวเดิมที่ใช้ จ.จานสะกด
เราถือว่าวันนี้เราใช้ภาษามาลายู ภูเก็ต เลยเป็นอาณานิคมทางภาษาให้มาลายูมาเกือบ 100 ปี ในการเสียเอกราช
ทางภาษาให้มาลายู เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงมันไม่ชัดเจนไม่ได้มีการประกาศไว้ เพียงแต่ค่อยๆเปลี่ยนไป
       
             จนปัจจุบันราชการใช้คำว่า “ภูเก็ต” ต.เต่าสะกดหมด ดังนั้นผู้ที่ศึกษาเรื่องพวกนี้จึงมีโอกาสได้เห็นเท่านั้น
ถ้านักเรียนเขียน “ภูเก็จ” ด้วยตัว จ.จานสะกด เพราะไปเห็นของจริงที่เขียนไว้ด้วย จ.จานสะกด มาส่งคุณครู
ก็ต้องถูกเรียกมาตีมือเพราะในปัจจุบันถือว่าเขียนผิด” ผศ.สมหมายเล่าแบบหยิกแกมหยอก


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ก.ค. 10, 11:13
ส่งท้ายชื่อ ภูเก็ต ด้วยเรื่องราวที่ไม่น่าพึงใจในยุคโลกแคบ เมื่อคำว่า

               phuket ในปัจจุบันนี้ได้กลายไปเป็นคำแสลงตะวันตกที่ไม่น่ายินดีเลย เพราะ

จาก urban dict.

                 "phuket thailand"

           it's a line used in the film Juno as an interjection, because Phuket kinda sounds like 'F*** it'.
       


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ก.ค. 10, 17:56
ราชบัณฑิตฯหรือหน่วยราชการไหนก็ตาม   กำหนดการถอดตัว ภ  เป็น Ph   กลายเป็นเรื่องจี้เส้นที่คนไทยหัวเราะไม่ออกมาพักใหญ่แล้ว    แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีการแก้ไขให้ดีขึ้น
เข้าใจว่าไทยถอดตัวสะกดแบบโรมัน  แต่ในเมื่อเป็นอักษรอังกฤษ  คนอังกฤษและอเมริกันเขาออกเสียงแบบอังกฤษ  ตัวสะกด Ph เป็นเสียง F  Prince Philip ก็คือเจ้าชายฟิลิป   ไม่ใช่เจ้าชายพิลิป     
เมื่อมาเจอคำว่า Phuket ที่เราสะกดจากคำว่า ภูเก็ต   ฝรั่งก็หัวร่อกันงอหาย เพราะมันออกเสียงว่า fookit หรือ fooket   ซึ่งดันไปคล้ายกับคำด่าหยาบๆของฝรั่งว่า F*** it  อย่างที่คุณศิลาบอกไว้ข้างบนนี้ละค่ะ

เกาะ พีพี สะกดว่า Phi Phi  ฝรั่งออกเสียงว่า ฟีฟี    เรื่องนี้น่าเห็นใจ  เพราะถ้าสะกดตรงตัวว่า pee pee  จะแปลว่า ฉี่


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: ศศิศ ที่ 10 ก.ค. 10, 23:02
สวัสดีครับผม ไม่ได้ขึ้นเรือนนานเลย... ยังคึกคักเช่นเดิมนะครับผม

ขอพูดถึงเมืองลำพูนเสียหน่อย

ศ.ดร.อุดม รุ่งเรืองศรี ได้สรุปชื่อเมืองเดิมไว้คือ "หริปุญไชย" แปลว่า เทพชุมนุม

ภายหลังในยุคของการเขียนตำนาน จึงกลายเป็น หริภุญชัย ไปเสีย

ส่วนคำว่า "ลำพูน" เป็นการผิดพลาดของทางราชการมากกว่า เพราะคนท้องถิ่นไม่เคยเรียกเมืองนี้ว่า ลำพูน เลย มีแต่เรียกว่า หละปูน ซึ่ง อ.ชัปนะ ปิ่นเงินว่า กลายมาจากคำว่า เลียะปุน ในภาษามอญโบราณ



กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: srisiam ที่ 10 ก.ค. 10, 23:22
เป็นเช่นนั้นจริงๆ.


สถานีขนส่งสายเหนือ หมอชิต........ออกเสียงภาษาอังกฤษแล้วคล้ายถามเขาว่า  เอากี้เพิ่มไหม?

ฝรั่งคนหนึ่งแซวทันทีที่เห็นป้าย ดอนเจดีย์ พนมทวน  Don Che Di   ดอนชีดาย


หัวเราะไม่ออกซีเรา
 :( :(


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 28 ก.ค. 10, 10:02
อ้างถึง
สุราษฎร์ธานี - มีแม่น้ำตาปี เป็นแม่น้ำสำคัญ .... น่าสนใจว่า ใครเป็นผู้ตั้งชื่อทั้งของจังหวัด และแม่น้ำ ? ตั้งแต่เมื่อไหร่ เรียกกันมาตั้งแต่สมัยไหน ? เพราะว่า ชื่อทั้งสองนี้ ช่างพ้องต้องกันกับ เมืองสุรัต และแม่น้ำตาปี ในรัฐคุชราต ของประเทศอินเดีย

      สัปดาห์ก่อน รายการ รู้ รัก ภาษาไทย เสนอคำ (จังหวัด) สุราษฎร์ธานี และ ตาปี
ขอยกมาดังนี้ ครับ

            สุราษฏร์ธานี

          สุราษฎร์ธานี เป็นชื่อจังหวัดสำคัญในภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย เป็นเมืองเก่าตั้งแต่ครั้งอาณาจักรศรีวิชัย
และเป็นเมืองผ่านตามเส้นทางการค้าสายไหม.
     
        สุราษฎร์ธานี มาจากคำว่า สุราษฎร์ แปลว่า แว่นแคว้นอันงดงาม กับคำว่า ธานี แปลว่า เมือง.
ดังนั้นชื่อจังหวัดนี้จึงแปลว่า เมืองซึ่งเป็นดินแดนอันงดงาม.

        จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามประวัติกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ
ประพาสมณฑลปักษ์ใต้ และได้ประทับ ณ เนินเขาใกล้กับเมืองพุนพินทรงเห็นภูมิประเทศงดงาม
เปรียบได้กับเมือง สุราษฺฏฺร (อ่านว่า สุ -ราส-ตฺระ) ของอินเดียซึ่งตั้งอยู่บนแม่น้ำตาปี
จึงพระราชทานนามเมืองนี้ว่า สุราษฎร์ธานี  เมื่อ ๒๙ กรกฎาคม ๒๔๕๘ และพระราชทานชื่อแม่น้ำ
ที่ไหลผ่านเมืองสุราษฎร์ธานีว่า แม่น้ำตาปี.

          อาณาจักร สุราษฺฏฺร (สุ -ราส-ตฺระ) ปรากฏหลักฐานอ้างถึงตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๖
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นคุชราช (อ่านว่า คุด-ชะ -ราด) ประเทศอินเดีย.

------------------------------

ค้นเน็ทดูประวัติสั้นๆ ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี -

             สุราษฎร์ธานี เป็นเมืองเก่าแก่ ที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ชนพื้น เมือง ได้แก่
พวกเซมัง และมลายูดั้งเดิม ชึ่งอาศัยอยู่ ในเขตลุ่มน้ำหลวง (แม่น้ำตาปี) และบริเวณอ่าวบ้านดอน
ก่อนที่ชาวอินเดียจะอพยพเข้ามา ตั้งหลักแหล่ง และเผยแพร่วัฒนธรรม ดังปรากฏหลักฐาน
ในชุมชนโบราณที่ อ. ท่าชนะ อ.ไชยา เป็นต้น
               พุทธศตวรรษที่ 13 มีหลักฐานปรากฏว่าเมืองนี้ได้รวมกับอาณาจักรศรีวิชัย
เมื่ออาณาจักรนี้เสื่อมลง จึงแยกออกเป็น 3 เมือง คือ เมืองไชยา เมืองท่าทอง และเมืองคีรีรัฐ
ขึ้นต่อเมืองนครศรีธรรมราช
              ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้ย้ายเมืองท่าทองมาตั้งที่บ้านดอน
และยกฐานะเป็นเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ พระราชทานนามว่าเมือง"กาญจนดิษฐ์"

           ครั้นเมื่อมีการปกครองแบบมณฑล ได้รวมเมืองทั้งสามเป็นเมืองเดียวกันเรียกว่า เมืองไชยา
ต่อมา พ.ศ. 2458 รัชกาลที่ 6 โปรดฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองไชยา มาเป็นเมืองสุราษฎร์ธานี แปลว่า เมืองแห่งคนดี
(ความหมายชื่อเมืองต่างจากบทรายการ รู้ รัก ภาษาไทย)


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 28 ก.ค. 10, 10:03
              ตาปี

            แม่น้ำตาปีเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในภาคใต้ ต้นน้ำเกิดจากแอ่งน้ำบนภูเขาหลวง
ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ไหลลงสู่อ่าวไทยที่อำเภอเมืองฯ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จึงเรียกแม่น้ำหลวง
ตามชื่อภูเขาต้นน้ำ เมื่อผ่านบ้านพุมเรียงก็เรียกแม่น้ำบ้านพุมเรียง เมื่อผ่านเมืองท่าข้ามก็เรียกแม่น้ำท่าข้าม.
         แต่ภายหลังพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามใหม่ว่าแม่น้ำตาปี
ตามชื่อแม่น้ำในอินเดียซึ่งไหลผ่านอาณาจักรโบราณชื่อ สุราษฺฏฺร (อ่าน สุ-ราด-สฺตฺระ)
ซึ่งทรงดัดแปลงมาเป็นชื่อจังหวัดสุราษฎร์ธานีในคราวเดียวกัน

           ชื่อ ตาปี เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า หญิงผู้มีความร้อนแรง ด้วยตำนานกล่าวว่า
แม่น้ำนี้เป็นธิดาของพระอาทิตย์ซึ่งมีรัศมีร้อนแรง. ชาวฮินดูเชื่อว่าเพียงรำลึกถึงแม่น้ำตาปี
บาปของบุคคลก็หมดสิ้นไปได้


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 28 ก.ค. 10, 17:19
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงแสดงความเห็นส้วนพระองค์ในเรื่องชื่อ "ภูเก็ต" หรือ "ภูเก็จ"  ไว้ในหนังสือพิมพ์ไทยโดยทรงใช้พระนามแฝงว่า "นักเรียนอีกคน ๑" ดังนี้

ฃ้พเจ้าได้เห็นศัพท์วินิจฉัยของ "นักเรียนเก่า" ซึ่งลงในหนังสือพิมพ์ไทยตั้งแต่เมื่อวันพฤหัสบดีที่  ๒๑  กันยายนแล้ว  แต่เพราะเหตุบางอย่างซึ่งไม่จำจะต้องอธิบายในที่นี้  ฃ้าพเจ้ามิได้มีโอกาศส่งความเห็นแย้งท่านก่อนนี้

บัดนี้ฃ้าพเจ้าขออนุญาตส่งความรู้เห็นมายังท่าน  เพื่อจะได้เพิ่มความรู้ในทางศัพท์ขึ้นบ้าง

คำว่า "ภูเก็ต" นั้น  ฃ้าพเจ้าได้ทราบว่า มาจากคำภาษามลายูว่า "บูกิต" แปลว่า "ภูเขา".  ดังนี้จึ่งเขียนนามเมืองคล้อยตามว่า "ภูเก็ต"

ส่วนการที่ตัวสกดมากลายเปนตัว "จ" ไปนั้น  จะเปนไปเมื่อใดฃ้าพเจ้าก็ไม่ทราบ  และผู้ซึ่งแปลงจะได้แปลงด้วยความจงใจหรือเปนแต่เขียนตามบุญตามกรรมก็หาทราบไม่

แต่ถึงจะแปลมาอย่างไรๆ ก็ตาม  คำว่า "ภูเก็จ" นี้  ฃ้าพเจ้าได้...แปลดูบ้างแล้วเหมือนกัน  แต่ฃ้าพเจ้าตั้งเกณฑ์เอาว่าเปนคำ....ภาษาไทย  ไม่ใช่ภาษาบาลีหรือสันสกฤต  คือคำว่า "ภู" แปลว่า ...หรือเฃา  คำว่า "เก็จ" แปลว่า "ฝั่ง"  เช่นอย่างในจินตกวีนิพนธ์....บ่อยๆ ว่า "ธำมรงค์เรือนเก็จเพ็ชร์พราย" ฉนี้เปนต้น  แต่นี่  แต่นี่...เล่นเท่านั้น  เพราะไม่มีหลักฐานอะไรที่จะแสดงว่า ท่านผู้ที่เปลี่ยนนามเมือง "ภูเก็จ" สกด "จ" นั้น  จะได้ตั้งใจเช่นนี้หรือไม่

ส่วนตัวฃ้าพเจ้าเองออกพอใจจะเชื่อฃ้างข้อที่ว่า นามเมืองภูเก็ต...มาจากคำ "บูกิต" ภาษามลายู  เพราะฉนั้นฃ้าพเจ้าจึ่งเขียนนามเมืองนี้สกด "ต" เสมอ

นักเรียนอีกคน ๑

ตรง.....ที่ละไว้  อ่านต้นฉบับไม่ออกครับ  ไม่มีนัยอะไรแอบแฝงครับ


กระทู้: ที่มาของชื่อจังหวัดในประเทศไทย
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 29 ก.ค. 10, 09:25
ผศ. สมบูรณ์ แก่นตะเีคียน มีความเห็นว่า คำว่า "ภูเก็ต" น่าจะมาจากคำว่า "ภูการ์" (Pukar) ซึ่งเป็นเมืองท่าในอินเดียใต้ ในสมัยเดียวกับเมืองกมรา (กำมะรา) และที่เป็นไปได้คือมาจากคำว่า "ภูเกจ"  ซึ่งชาวพื้นเมืองเรียกชาวโปรตุเกส

http://www.phuketcity.info/wizContent.asp?wizConID=159&txtmMenu_ID=7