ในกรุงเก่านั้น มีวัดภูเขาทองอยู่วัดหนึ่งทางเหนือพระราชวัง สมเด็จพระราเมศวรพระราชโอรสของพระเจ้าอู่ทองเป็นผู้สร้างเมื่อ พ.ศ. ๑๙๓๐ ภายหลังสร้างกรุงเก่าแล้ว ๒๗ ปี ถึงกรุงเทพฯ พระมหานครนี้ ในรัชกาลที่ ๓ ทรงพระราชปรารภจะสร้างพระปรางค์อีกองค์หนึ่งทางฝั่งพระนคร จึงโปรดให้พระยาศรีพิพัฒย์รัตนราชโกษาเป็นแม่กอง ก่อฐานถมดินและลงรากเข็ม แต่ดินทางแถววัดสระเกศเป็นที่ลุ่ม ไม่ตั้งรากฐานให้แน่นหนาได้ จึงรับงานนั้นไว้ด้วยพูนดินไว้ก่อน
ถึงรัชกาลที่ ๔ โปรดให้ก่อพระเจดีย์บนเนินนั้น และเรียกว่าพระบรมบรรพต-ในทางราชการ แต่สามัญชนเรียกว่า ภูเขาทอง ยังไม่ทันเสร็จก็สิ้นรัชกาล รัชกาลที่ ๕ จึงโปรดเกล้าให้เจ้าพระยาพิพัฒน์รัตนโกษา(แพ บุนนาค) ซึ่งเป็นผู้ทำการก่อสร้างค้างมาแต่ในรัชกาลที่ ๔ ให้ทำการก่อสร้างต่อไปให้สำเร็จได้ในพงศ. ๒๔๒๑ แล้วโปรดเกล้าให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุโดยกระบวนแห่จากพระบรมมหาราชวัง ไปตั้งพิธีมณฑลแล้วเสด็จพระราชดำเนินไปทรงบรรจุพระบรมธาตุนั้น ในพระเจดีย์องค์ใหญ่บนยอดภูเขาทอง ในวันพฤหัสบดี เดือนอาย แรม ๑๐ ค่ำ ปีฉลู ตรงกับทางสุริยคติคือวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๒๑
การเล่นฉลองในงานสมโภชภูเขาทองนี้มีหลายอย่าง ดังมีรายละเอียดอยู่ในราชกิจจานุเบกษาดังนี้
๑. ละครของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิงหนาทราชดุรงคฤทธิ์
๒. หุ่นจีนของพระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง
๓. พิณพาทย์ของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง วง ๑
๔. พิณพาทย์ของเจ้าพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา วง ๑
๕. พิณพาทย์ของเจ้าพระยามหามนตรีศรีองครักษ์ วง ๑
๖. พิณพาทย์ของพระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง วง ๑
๗. พิณพาทย์ของพระยาพิไชยบุรินทรา วง ๑
๘. พิณพาทย์ของจมื่นสรรเพชญ์ภักดี วง ๑
ทำให้เห็นว่าข้าราชการในสมัยก่อนนั้น ได้เอาใจใส่ในศิลปะอยู่มิใช่น้อย หรือจะเป็นการครองชีพไม่สูงจึงเลี้ยงผู้คนได้เป็นจำนวนมากก็เป็นได้
บางส่วนจาก
ภูเขาทอง พระนิพนธ์หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล