จ้อ
|
ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อ 15 มี.ค. 04, 19:21
|
|
มีบทความของคุณ มุกหอมวงษ์เทศเขียนไว้ในมิติชนสุดสัปดาห์เกี่ยวกับโหมโรง คิดว่าน่าสนใจเลยคัดบางส่วนมาให้อ่านกันครับ
---------------------------------------------- อันที่จริงแล้ว ปี่พาทย์ไม้แข็งและขนบการให้ระนาดเอกเป็น "พระเอก" ที่ดุดันเกรี้ยวการดทั้งเขื่องและข่มทั้งพลิ้วและไหว ทั้งสะบัดทั้งขยี้อย่างโลดโผนแหวกแนวนั้น (หรือการกลายเป็นการแสดงฝีมืออย่าง Virtuoso) ไม่ได้มีมาแต่โบราณและในประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวและเขมร แต่เริ่มมาในสมัยรัตนโกสินทร์ หรือโดย ครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะนั่นเอง
ทางระนาดอย่างนี้สร้างสรรค์ก็จริง แต่ก็ส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อวัฒนธรรมดนตรีไทยหลายๆ อย่างด้วยกัน
เช่นการระนาดไม้แข็งของวงปี่พาทย์ทั่วไปนั้นหากพูดอย่างทางสุนทรียะของเสียแล้ว ต้องถือว่า(ประทานโทษ) หนวกหู และ "กลบ" เสียงดนตรีชนิดอื่นที่ไม่มีพลังทางเสียงและแนวการเล่นที่โดดเด่นเท่า
คนทั่วไปที่ฟังปี่พาทย์ก็จะได้ยินแต่ ระนาดเอกกับปี แทบไม่มีทางจะเงี่ยหูให้ได้ยินฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ระนาดทุ้มได้เลย
การประสมเสียงวงด้วยการคำนึงถึงสุนทรียศาสตร์ของ "การฟัง" จึงหายไป หรือไม่เคยได้รับความสนใจ ปรับปรุง แก้ไข และพัฒนาต่อไป
การฟังจึงอยู่แต่ในหมู่นักดนตรีและผู้เชี่ยวชาญกันเอง และดนตรีปี่พาทย์ก็จะจำกัดอยู่แต่ในบริบทของการเล่นประกอบการแสดง พิธีกรรม และการประชันขันแข่งในหมู่คนวงในเองเท่านั้นอย่างน่าเสียดาย ทั้งๆที่ดนตรีจะสืบต่อย่างมีพลังในสังคมได้นั้นต้องมี "ผู้ฟังสาธารณะ" ไม่ใช่มีแต่ผู้เล่น
นอกจากฝู้ฟังรุ่นใหม่แล้ว สิ่งที่วงการดนตรีไทยน่าจะพัฒนาควบคู่ไปด้วยเพื่อมิให้มีแต่วัฒนะรรมระนาดเอกที่ง่ายต่อการล้ำไปเป้นความกร่าง คือวัฒนธรรมระนาดทุ้ม หรือวัฒนธรรมฆ้องวง ซึ่งมีสุ้มเสียงที่เสนาะโสต และแนวทำนองที่มีชั้นเชิงลูกเล่นแพรวพราว ซึ่งถ้าทำให้วงปี่พาทย์เป็นดนตรีเพื่อ "การฟัง" จริงๆได้ ก็อาจจะขยายวัฒนธรรมการฟังดนตรีไทยไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่ -------------------------------------------------- เป็นที่รู้กันว่า นอกจากปัจจัยทางการเมืองภายนอกและขบวนการถ่ายทอดที่เข้มงวดแล้ว สิ่งกีดขวางพัฒนาการของวงการดนตรีไทยอย่างสำคัญคือ ขนบการมี"ครู"ที่"แรง"และ การ"หวง"วิชา ทั้งๆที่ครูหวงประดิษฐ์ฯ เป็นผู้ "แหกขนบ" ที่สร้างสรรค์อย่างแท้จริงและไม่หวงวิชามิใช่หรือ
ฉากสุดท้ายที่ "ผู้พัน" ล่าถอยไปจากบ้านของ "ท่านครูศร" อย่างยอมจำนนต่อเสียงระนาดอันมหัศจรรย์นั้น เป็นฉากที่มีพลังที่ทิ้งทายต่อผู้ชมว่าในที่สุดตัวแทนของอำนาจรัฐก็จะพ่ายต่อศิลปะ คงมีผู้ชมน้ำตาคลออยู่ไม่น้อย
นี่เป็นพลังของภาษาหนัง แต่ความเป็นจริงคงไม่ใช่
|