เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33587
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อ 17 มี.ค. 24, 10:28
|
|
รายได้ของพระคลังข้างที่ ยังคงติดลบอยู่เป็นจำนวนมากในปลายรัชกาลที่ 6 เพราะพระเจ้าอยู่หัวทรงนำพระราชทรัพย์ไปใช้ในกิจการที่เป็นประโยชน์ของแผ่นดิน แต่ไม่ได้งอกเงยในเชิงเศรษฐกิจ เช่นกิจการเสือป่า พระราชทานที่ดินของพระคลังข้างที่จำนวน 1,309 ไร่ ที่อำเภอปทุมวัน เพื่อจัดตั้งจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ซื้อตึกและที่ดินริมถนนสามเสน แล้วพระราชทานให้กระทรวงนครบาลจัดตั้ง “วชิรพยาบาล” เป็นต้น เมื่อสิ้นรัชกาล พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลดรายจ่ายของพระคลังข้างที่ ด้วยการยุบหน่วยงานในราชสำนักไปเป็นจำนวนมาก เมื่อสยามถูกกระทบด้วยเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ก็ทรงลดรายจ่ายของพระคลังมหาสมบัติด้วยการตัดงบประมาณของแต่ละกระทรวงด้วยวิิธี "ดุลยภาพ" ข้าราชการ คือให้ข้าราชการบางส่วนออกจากงานโดยไม่มีเบี้ยหวัดบำนาญ เพื่อประหยัดงบประมาณแผ่นดิน แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศได้ กลับก่อความไม่พอใจให้ข้าราชการที่ได้รับผลกระทบกระเทือน ประกอบกับนักเรียนไทยที่ไปเรียนต่างประเทศมีความนิยมเลื่อมใสระบอบการปกครองแบบใหม่ของยุโรป ที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ จึงนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองในพ.ศ. 2475 นายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้เสนอเค้าโครงเศรษฐกิจแบบใหม่แก่สยามประเทศ หนึ่งในนั้นคือการเก็บภาษีมรดก ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2475 มีการเสนอ"ร่างพระราชบัญญัติอากรมฤดกฯ" ต่อที่ประชุมคณะกรรมการราษฎร พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ในฐานะประธานคณะกรรมการราษฎร (นายกรัฐมนตรี) จึงเสนอร่างกฎหมายนี้ให้แก่ที่สภาฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33587
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อ 20 มี.ค. 24, 12:44
|
|
แต่ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังไปไม่ถึงไหน พระยามโนฯ ก็ถูกพระยาพหลหลหยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎร์ รัฐประหารยึดอำนาจจนพ้นตำแหน่งไปก่อน ร่างกฎหมายภาษีมรดกจึงค้างเติ่งอยู่จน พ.ศ. 2476 ก่อนได้รับการพิจารณาอีกครั้ง ใจความสำคัญของร่างพ.ร.บ.นี้คือการเก็บภาษีพระราชทรัพย์อันเป็นพระราชมรดก รวมทั้งรายได้จากพระคลังข้างที่ด้วย โดยมีหลักว่าพระราชทรัพย์ใด ๆ ที่เป็นพระราชมรดกตกทอดไปยังผู้อื่นจะต้องเสียภาษีมรดก เว้นแต่ผู้สืบราชสมบัติที่ได้รับพระราชมรดกนั้น ไม่เสียภาษีมรดก แปลง่ายๆคือเงินทองของพระมหากษัตริย์ที่จะสืบทอดต่อไปยังพระราชโอรสธิดาหรือพระราชนัดดาต้องเสียภาษี พระราชบัญญัติฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบของสภาฯ เมื่อยื่นทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ 7 เพื่อให้ทรงลงพระปรมาภิไธย แต่พระองค์ได้เสด็จฯ ออกจากประเทศตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2477 เพื่อรักษาพระวรกาย การรับรองกฎหมายจึงเป็นหน้าที่ของสมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33587
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อ 01 เม.ย. 24, 09:50
|
|
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ มีพระราชประสงค์ให้แก้ไขเพิ่มเติมว่า “พระราชทรัพย์สินใด ๆ ที่เป็นพระราชมฤดกไปยังผู้อื่นนอกจากผู้สืบราชสมบัติต้องเสียอากรมฤดก นอกจากนั้นเป็นพระราชทรัพย์ฝ่ายพระมหากษัตริย์ ไม่ต้องเสียอากรมฤดก” แต่ข้อนี้ไม่ใช่ความต้องการของสภา ที่จะยื่นมือเข้ามาจัดการกับพระคลังข้างที่ หรืออีกนัยหนึ่งทรัพย์สินเงินทองของพระมหากษัตริย์ จึงมีการอ้างจากสภาว่า พระราชประสงค์นี้ทำไม่ได้ เพราะขัดกับกฎหมายมาตรา 38 และ 39 ของรัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ที่กำหนดให้พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจเพียงแต่จะทรงลงหรือไม่ลงพระปรมาภิไธยในร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาจากรัฐสภาแล้วภายในเวลา 1 เดือนเท่านั้น ไม่มีพระราชอำนาจที่จะแก้ไขเนื้อหาของกฎหมาย
ทางออกของสภาที่ผ่านมติของคณะรัฐมนตรีจึงส่งตัวแทนไปเข้าเฝ้าผู้สำเร็จราชการฯ เพื่อชี้แจง แปลอีกทีคือเกลี้ยกล่อมให้ทรงยอมลงพระปรมาภิไธยโดยไม่แก้ไขอะไร เรียกว่าแล้วแต่สภาจะกำหนด
ผลคือพระเจ้าอยู่หัวก็ยังไม่ทรงยินยอมอยู่ดี รัฐบาลจึงเอาร่างกลัับไปสภาฯ ผลปรากฎว่า สภาฯ ลงมติด้วยคะแนนเสียงข้างมาก ไม่ให้แก้ไขเนื้อหาของร่างพระราชบัญญัติอากรมฤดกฯ กล่าวคือรัฐบาลเห็นอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33587
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 18 เมื่อ 03 เม.ย. 24, 11:00
|
|
สมเด็จพระปกเกล้าฯทรงทราบดีว่ารัฐบาลเริ่มยื่นมือเข้ามาขอเอี่ยวกับพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อจะแบ่งส่วนหนึ่งเอาไปจัดการเอง ส่วนที่ว่าจะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติหรือประโยชน์ส่วนตนก็ทรงมองได้ไม่ยาก จึงแสดงความในพระทัย จากบันทึกส่วนพระองค์ลงวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2477 ความว่า
“ภาษีมฤดกนี้ ฉันมีความคิดเห็นอยู่นานแล้วว่า เป็นภาษีที่ยังไม่ควรมีในประเทศสยาม เพราะอาจให้ผลร้ายมากกว่าผลดี แต่ก่อนนี้ฉันคิดว่าจะ veto พระราชบัญญัติเสียทีเดียว แต่ ม.จ. วรรณไวทยากรร้องขอกับฉันว่า อย่าให้ veto พระราชบัญญัติเลย เพราะจะเก็บแต่เล็กน้อย และมีไว้เพื่อ social justice…(หาก Veto) จะทำให้เกิดการแตกร้าวกันขึ้นในระหว่างตัวฉันกับรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎร จึงได้ตกลงว่าจะปล่อย ทั้งที่ไม่เห็นชอบด้วยเลย โดยหวังว่าอาจเปลี่ยนแปลงได้…
ฉันจำจะต้องขอให้มีบทยกเว้นพระราชทรัพย์ของพระมหากษัตริย์ เฉพาะส่วนที่ได้มาจากการสืบสันตติวงศ์เสียจากภาษีนี้ เพราะถ้าไม่มีข้อยกเว้นเช่นนี้จะเป็นการลำบากอย่างยิ่ง เพราะเป็นการยากที่จะแยกได้ว่าอะไรเป็นของส่วนพระองค์ อะไรเป็นของแผ่นดินด้วยปนเปเช่นนี้มานานแล้ว นอกจากนี้หากเก็บภาษีมฤดกจากพระมหากษัตริย์ ย่อมเป็นการทำลายฐานะของพระองค์ และต่อไปก็จะไม่สามารถดำรงพระเกียรติยศไว้ให้สมควรเป็นที่เชิดชูของชาติได้”
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33587
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อ 17 เม.ย. 24, 14:46
|
|
เมื่อร่างกฎหมายยังไม่ลงตัวกันสักที รัฐบาลจึงตัดสินใจนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ซึ่งได้เปิดประชุมสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาว่าจะทำตามพระราชประสงค์หรือไม่ ในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2477 ผลปรากฎว่า สภาฯ ลงมติด้วยคะแนนเสียงข้างมาก ไม่ให้แก้ไขเนื้อหาของร่างพระราชบัญญัติอากรมฤดกฯ ปลายเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2477 คณะรัฐมนตรีมีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อยกร่างกฎหมายฉบับใหม่ว่าด้วยการยกเว้นภาษีอากรอันเกี่ยวแก่พระราชสมบัติฝ่ายพระมหากษัตริย์ ในขณะเดียวกัน พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี ได้ส่งจดหมายลงวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2477 กราบทูลเรื่องการแต่งตั้งกรรมาธิการยกร่างกฎหมายใหม่นี้ และถวายคำมั่นแด่พระองค์ว่า รัฐบาลจะเสนอร่างกฎหมายใหม่นี้แก่สภาฯ ในการประชุมสมัยสามัญ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2477 ดูรูปการณ์ก็เหมือนกันว่า รัฐบาลอะลุ่มอล่วย ไม่เอาร่างกฎหมายเดิมแล้ว แต่ร่างฉบับใหม่ขึ้นมาเพื่อเสนอแก่สภา มองเผิินๆก็เหมือนว่าจะยอมทำตามประราชประสงค์ เพราะถ้าไม่ทำแล้วก็คงไม่ร่างกฎหมายใหม่ขึ้นมาให้เสียเวลา แต่ผลก็หาเป็นเช่นนั้นไม่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33587
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อ 17 เม.ย. 24, 14:51
|
|
เหตุการณ์จริงเป็นอย่างไร เห็นได้จากโทรเลขที่ทรงส่งให้แก่ผู้สำเร็จราชการฯ ลงวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2477 ว่า “เขา(หมายถึงรัฐบาลพระยาพหลฯ) ทำให้หม่อมฉันเซ็น พ.ร.บ. อากรมฤดก ด้วยวิธีหลอกลวง เขาทำให้หม่อมฉันเข้าใจว่าจะเสนอพระราชบัญญัติใหม่แถลงความหมายแห่งพระราชสมบัติส่วนพระมหากษัตริย์ตามนัยที่หม่อมฉันได้วางไว้ออกใช้เป็นกฎหมายให้เร็วที่สุดที่จะเร็วได้…ร่างพระราชบัญญัตินี้ควรร่างขึ้นได้ภายในเวลาครึ่งชั่วโมง แทนที่จะทำเช่นนั้น กลับตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อร่างพระราชบัญญัติ [ว่าด้วยการยกเว้นภาษีอากร อันเกี่ยวแก่พระมหากษัตริย์] นี้ ซึ่งจะทำให้หม่อมฉันอยู่ในฐานะเช่นเดียวกับฐานะของพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษ สภาพการเช่นนี้หม่อมฉันจะยอมรับไม่ได้ สภาพการณ์ของทรัพย์สมบัติของกรมพระคลังข้างที่ในประเทศสยามไม่เหมือนกับพระราชทรัพย์ส่วนพระมหากษัตริย์ของอังกฤษ หม่อมฉันเห็นว่า เป็นความพยายามที่จะดึงเอาความครอบครองกรมพระคลังข้างที่ไปจากหม่อมฉัน วิธีการเช่นนี้อาจเป็นที่พึงพอใจสำหรับผู้อื่น แต่ไม่ใช่สำหรับหม่อมฉัน และหม่อมฉันก็คงจะต้องทักท้วงพระราชบัญญัติฉบับนี้อีก"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33587
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 21 เมื่อ 18 เม.ย. 24, 18:52
|
|
ที่สมเด็จพระปกเกล้าฯทรงเห็นว่าเป็นวิธีหลอกหลวง เกิดจากรัฐบาลไม่ได้ร่างกฎหมายใหม่ตามที่ทรงวางแนวไว้ กลับกลายเป็นว่าร่างกฎหมายใหม่นี้ เอื้อให้รัฐบาลยื่นมือเข้าไปจัดการกับพระราชทรัพย์ในพระคลังข้างที่ได้ถนัดยิ่งขึ้น ผลคือทำให้ทรงกลับกลายเป็นว่า “มีฐานะเช่นเดียวกับฐานะของพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษ” คือพระราชทรัพย์ที่มีอยู่กลายเป็นของรัฐ ทั้งๆเป็นพระราชทรัพย์ของราชตระกูลพระมหากษัตริย์มาก่อน พระเจ้าอยู่หัวทรงดูออกว่าต่อไป รัฐบาลและรัฐสภาคงจะไม่ยอมประนีประนอมตามข้อเรียกร้องหลาย ๆ ข้อของพระองค์ ผลคือพระมหากษัตริย์ก็คงจะอยู่ในฐานะหุ่น ไม่สามารถทำอะไรจัดการอย่างใดได้ แม้แต่พระราชทรัพย์ที่ตกทอดกันมาในราชตระกูลดังนั้น หนทางข้างหน้าคือก็จะทรงสละราชสมบัติ เพราะไม่มีประโยชน์อันใดที่จะอยู่ต่อไป เรื่องที่ทำให้สะเทือนพระทัยอีกเรื่องคือ กรณีพระพิบูลย์ไอศวรรย์ (เปรียบ สุจริตกุล) ฟ้องกรมพระคลังข้างที่หลัง พ.ศ. 2475 ให้จ่ายเงินเลี้ยงชีพตามพินัยกรรมของรัชกาลที่ 6 ซึ่งถูกยกเลิกโดยรัชกาลที่ 7 สมเด็จพระปกเกล้าฯทรงเห็นว่าหากคดีนี้พระคลังข้างที่เป็นฝ่ายแพ้ ก็จะทรงสละราชสมบัติ เพราะการจัดการบริหารพระคลังข้างที่อยู่ในพระราชอำนาจ ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงว่าไม่ทรงมีอำนาจหน้าที่จะจัดการพระคลังข้างที่อีก ก็เท่ากับทรงถูกลิดรอนสิทธิ์ที่เคยเป็นของพระองค์เอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33587
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อ 24 เม.ย. 24, 13:59
|
|
ความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯและรัฐบาลไม่ได้มีเพียงเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว แต่รวมเรื่องการเมืองด้วย จนนำไปสู่การตัดสินพระทัยสละราชสมบัติในวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2478 ภายหลังจากการเจรจาต่อรองที่ข้อเรียกร้องต่าง ๆ ของพระองค์ถูกปฏิเสธจากรัฐบาล
เในปี 2478 นั้นเอง รัฐบาลได้เสนอกฎหมายพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ การจัดระเบียบคือรัฐบาลจัดการแบ่งทรัพย์สินที่เคยขึ้นกับพระมหากษัตริย์เสียใหม่ โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ "ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน", "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" และ "ทรัพย์สินส่วนพระองค์"
รัฐบาลให้คำอธิบายว่า 1 "ทรัพย์สินส่วนพระองค์" คือของส่วนพระองค์ที่ทรงมีอยู่ก่อนขึ้นครองราชย์ หรือทรงได้รับมาจากบุคคลอื่นๆ ที่มิได้เป็นพระมหากษัตริย์ในพระราชวงศ์จักรี ถือเป็นของส่วนพระองค์ ทรงมีสิทธิทำอะไรกับมันก็ได้โดยอิสระ พูดอย่างชาวบ้านคือทรัพย์สินส่วนตัว 2 "ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน" คือพระราชวังเป็นต้น คือทรัพย์สินที่ติดหรือตั้งอยู่บนส่วนของแผ่นดิน ถ้าเป็นภาษาชาวบ้านคือบ้านที่ปลูกอยู่บนที่ดินที่ไม่ใช่ของเอกชน 3 "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" คือทรัพย์ที่สืบทอดมาในพระราชวงศ์ จะทรงดำเนินใดๆ ได้ก็เพื่อประโยชน์ของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ภาษาชาวบ้านคือมรดก แต่ต่างจากกฎหมายมรดกที่ใช้กับประชาชนตรงที่ประชาชนมีสิทธิ์ใช้มรดกของตนไปในเรื่องอะไรก็ได้ไม่จำกัด เช่น จะใช้เฉพาะส่วนตัว หรือแจกจ่ายคนอื่น จะซื้อจะขายกับใคร จะเปลี่ยนสภาพมรดกไปเป็นอะไรก็ได้ แต่สำหรับพระมหากษัตริย์ จะทรงใช้ทรัพย์สินส่วนนี้ได้เพื่อประโยชน์ของราชตระกูลเท่านั้น ข้อ 3 เดิมนั้นอยู่ในการดูแลของกรมพระคลังข้างที่ แต่รัฐบาลออกพระราชบัญญัติ เพื่อโยกย้ายการดูแลมาอยู่ในกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล เมื่อพรบ. ฉบับนี้ประกาศใช้ กรมพระคลังข้างที่ถูกลดบทบาทมาเป็น "สำนักงานพระคลังข้างที่" อยู่ภายใต้การดูแลของนายกรัฐมนตรีโดยตรง มีการตั้งสำนักงานทรัพย์สินฯ ขึ้นมาดูแลทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มีสถานะเป็นกรม สังกัดกระทรวงการคลัง มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานที่ปรึกษา ดังนั้น หน่วยงานที่ชื่อว่า "สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" ถึงแม้ว่าชื่อทำให้ชวนเข้าใจว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเจ้าของ รายได้จากสนง.เป็นทรัพย์สินในพระองค์ ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33587
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อ 11 พ.ค. 24, 14:00
|
|
พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2491 กำหนดให้มีคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการอื่นอีกไม่น้อยกว่า 4 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และจะทรงแต่งตั้งหนึ่งคนในจำนวนนี้ให้เป็นผู้อำนวยการสำนักงานฯ รัฐบาลไม่ได้เก็บสำนักงานทรัพย์สินฯไว้เฉยๆ แต่นำรายได้จากสำนักงานฯ ไปลงทุนในธุรกิจต่างๆ โดยคณะกรรมการฯเป็นผู้จัดการ พระมหากษัตริย์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งด้านบริหาร และไม่ได้รับผลประโยชน์แต่อย่างใด เงินทองที่เป็นกำไรจากการลงทุนตกเป็นของรัฐทั้งหมด เป็นอย่างนี้มาตลอดรัชกาลที่ 9 ดังนั้น การรวมรายได้จากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เข้าเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ ดังที่ปรากฏในสื่อต่างประเทศบางฉบับ จึงเป็นความเข้าใจผิด อันอาจจะเกิดจากชื่อหน่วยงานทำให้เข้าใจเป็นเช่นนั้น
จนกระทั่งปี 2560 คณะ คสช.จึงได้ออกกฎหมาย ถวายสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ อันเป็นทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่ต้น คืนกลับไปสู่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33587
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 24 เมื่อ 11 พ.ค. 24, 14:21
|
|
ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2561 คณะรัฐมนตรีได้เสนอ ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. ... คือให้มีการเปลี่ยนชื่อสำนักงานจาก สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็น สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และเปลี่ยนโครงสร้างของสำนักงานทรัพย์สินฯ กำหนดให้สำนักงานทรัพย์สินฯ มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า "คณะกรรมการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์" ประกอบด้วย ประธานกรรมการและกรรมการอื่นซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย และในจำนวนนี้จะได้ทรงแต่งตั้งกรรมการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์คนหนึ่งเป็นผู้อำนวยการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ทำหน้าที่กรรมการและเลขานุการ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33587
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 25 เมื่อ 12 พ.ค. 24, 16:21
|
|
จากพ.ร.บ.นี้ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่อยู่ในความปกครองของรัฐบาล จึงถูกถวายคืนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อจะทรงมีพระราชวินิจฉัยเกี่ยวกับการดูแลรักษาและจัดหาผลประโยชน์ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย ในการนี้ ก็มีการเปลี่ยนแปลงว่าทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์มาอยู่ในรูปแบบหุ้นของบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้นให้มีการเสียภาษีอากรทุกประเภทเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการอันเกี่ยวเนื่องกับทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ก็เพื่อจะได้ทรงสืบสานพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชต่อไป ดังที่ได้ดำเนินมาตั้งแต่เริ่มต้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|