เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 25 26 [27] 28 29 ... 31
  พิมพ์  
อ่าน: 22920 รำลึกถึงดาวเสียงต่างชาติต่างภาษาที่ดับแสงไปแล้ว [2]
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 390  เมื่อ 29 ม.ค. 24, 18:21



นี่คือหนึ่งในเพลงโปรดของผม  คือโปรดมาตั้งแต่เด็ก ๆ  เป็นฉบับของ Agnes Chan  ต่อมาเมื่อผมเริ่มเข้าวงการเพลงก็พบเพลงนี้ในฉบับเทป cassette มันเป็นต้นฉบับคือเสียงร้องของวง The New Seekers นี้ซึ่งฟังแล้วเพราะกว่าหลายขุม  ผมอยากได้แผ่นเสียงแต่ตอนนั้นหาไม่ได้น่าจะเป็นเพราะร้านขายแผ่นเสียงมีน้อย  ที่ไปบุกค้นมาก็ไม่มีแผ่นของวงฯ นี้ขาย  ผมทนุถนอมเพลงนี้ในตลับเทปมาก  ไม่กล้าฟังบ่อยกลัวเทปยืดหรือพันกัน 

จนผมปีกกล้าขาแข็ง  ทุกครั้งที่ไปเมืองนอกผมจะไปตามหาซื้อเพลงนี้  และซื้อได้ในครั้งหนึ่ง  เมื่อกลับมาบ้านผมรีบเปิดฟัง  ปรากฏว่ามันไม่ใช่ฉบับที่ติดอยู่ในใจผมตั้งแต่เด็ก   ก็เกิดอาการเซ็งเป็ดเป็นธรรมดา  ต้องรอไปเมืองนอกครั้งหน้าไปหาใหม่

กว่าจะหาได้มันก็เริ่มเข้ายุคซีดีแล้ว  อย่างที่สมาชิกของวงฯ รำพึง  แผ่นซีดีรวมเพลงของวงฯ นี้มีหลากหลายมาก  แต่ซีดีแต่ละแผ่นหุ้มด้วยแผ่นพลาสติกกันคนมือบอนแกะดูข้างใน  ผมก็เลยไม่อยากเสี่ยงซื้อมา  กลัวจะเหมือนแผ่นเสียงที่เคยซื้อมาผิด  อีกทั้งราคาแพงก็แพง  เลยเจาะจงไปหาจากแผ่นเสียงเก่าที่สามารถเปิดฟังได้แทน (ที่ไม่ซื้อตั้งแต่ตอนแรกเพราะไม่รู้จักตลาดแผ่นเสียงมือสอง  จนเมื่อมีเพื่อนฝรั่ง  พวกมันจึงพาผมไปลุย  หูยยย... สนุกฮ่ะ)

เพราะมันเป็นแผ่นเสียงมือสอง  จึงไม่มีแผ่นพลาสติกหุ้มเหมือนของใหม่  ผมจึงสามารถลองฟังก่อนได้  นึกไม่ถึงว่าเพลงนี้อัดหลายครั้งมาก  แต่ละครั้งก็มีความแตกต่างกันไป  บางฉบับก็สั้น  บางฉบับก็ยาว  ทำไมก็ไม่รู้  แต่ความพยายามอยู่ที่ไหน  ความสำเร็จอยู่ที่นั่น  ในที่สุดผมก็ได้แผ่นเสียงของวงฯ นี้ที่มีเพลง Circles ในฉบับที่ผมต้องการ  รวมเวลาของความพยายามกว่า 20 ปีเชียวละ  เรื่องความบ้านี่ต้องยกให้ผม  ใครที่ตามงานของผมมาตลอดคงจะชิน

เมื่อกลับมาบ้านผมรีบออกหาคนที่สามารถถ่ายเพลงจากแผ่นเสียงลงเป็นแผ่นซีดีได้จะได้เก็บเอาไว้  พอถึงยุค file เสียงผมก็ถ่ายลงเพื่อเก็บไว้อีก  ประมาณว่ารถหายยังไม่ประสาทเสียเท่าเพลงนี้หาย  ฉบับที่ติดอยู่ในใจผมนั้นมีความยาวที่สุด  และเด่นตรงตอนต้นเพลงที่แยกเสียงซ้ายขวาไขว้กันไปมา  จังหวะกลองเพราะมากกับตอนท้ายกระหึ่มด้วยเครื่องดนตรีผสมการร้องประสานเสียงและเสียงตบมือ  อ้ะ... เชิญฟัง (ไม่ถูกใจอย่าค่อนขอด  เป็นความชอบส่วนบุคคล)


เสียงฝ่ายชายยังคนเดิมคือ Peter Doyle

มีต่อ... อีกนิด...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 391  เมื่อ 30 ม.ค. 24, 18:18

ไหน ๆ ก็เอ่ยถึงวง The New Seekers แล้ว  ก็จะนำเสนอเพลงอื่น ๆ ของวงฯ ที่เคยได้ยินจากวิทยุในบ้านเรา  Peter Doyle ก็ยังคงร้องในเพลงเหล่านี้  เพียงแต่ไม่แยกเด่นออกมา



(2 เพลงนี้เป็นการนำงานของ Melanie (เพิ่งลงไปเมื่อกี้นี้เอง) มาร้องใหม่  ผมว่าเพราะกว่าต้นฉบับนะ



(นี่ก็เป็นงานของ Melanie)




(นี่เป็นอีก 2 เพลงที่ผมได้ยินมาก่อนหน้าจากเสียงของ Agnes Chan)


Peter Doyle อยู่กับวงจนถึงปี 1973  ช่วงนั้นเป็นช่วง peak ของวงฯ  singles ที่ออกมาล้วนเพราะ ๆ ทั้งนั้น


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 392  เมื่อ 31 ม.ค. 24, 18:40

นักร้องอีกคนหนึ่งที่พ่อเอ่ยถึง  พ่อเล่าว่าสมัยรบอยู่ที่เวียดนาม  เพื่อนทหารฝรั่งเคยเปิดเพลงของนักร้องคนนี้ให้ฟังและบอกว่าที่อเมริกาเธอดังมากโดยเฉพาะเพลงนี้  พ่อบอกว่าตอนอยู่เมืองไทยไม่เคยได้ยิน  มาถึงยุคผม  ผมจำไม่ได้ว่าเคยได้ยินเพลงของเธอทางรายการ golden oldies รึเปล่า  แต่เคยอ่านบทความที่พาดพิงถึงเพลงนี้บ่อย ๆ  ผมเพิ่งมาได้ยินในยุค youtube


(เพลงที่ว่าคือเพลงแรก Rock and roll waltz)


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 393  เมื่อ 01 ก.พ. 24, 18:46

ผมรู้จัก Marilyn Monroe มาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ  จำได้ดีว่าวิทยุเปิดเพลงที่เธอร้องชื่อ River of no return (1954) เป็นประจำ  มันเป็นเพลงที่เพราะมาก  เพลงนี้เปิดบ่อยจนผมสามารถร้องได้โดยไม่ต้องหาเนื้อเพราะเธอเอ่ยได้ชัดมาก  ตอนนั้นนึกว่าเธอเป็นทั้งนักร้องและนักแสดง  พอโตขึ้นมีปูมอันดับเพลงของ Joel Whitburn  ผมไม่สามารถหาชื่อเธอในฐานะนักร้องได้  ผลออกมาว่าเพลงนี้ที่เคยได้ยินนั้นเธอร้องในหนังชื่อเดียวกัน



ความจริงเธอร้องเพลงเยอะ  แต่ที่ผมคุ้นเป็นเพลงที่เธอร้องและร่วมเล่นในหนังเสียทั้งนั้น  นี่จากหนัง Some like it hot (1959) เป็นหนังที่ดูสนุกมาก  แสนจะบันเทิง



จากหนัง Gentlemen prefer blondes (1953)



จากหนัง There’s no business like show business (1954)



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 394  เมื่อ 02 ก.พ. 24, 19:06

ตอนเด็ก ๆ วิทยุเปิดเพลง It’s a sin to tell a lie ให้ผมฟังเป็นประจำ  จำได้ว่าทำนองช้า ๆ นักร้องเป็นผู้ชายเสียงหล่อมาก  แต่ผมไม่รู้ว่าใครร้อง

ต่อมาอีกนานเมื่อผมได้ปูมของ Joel Whitburn มาอยู่ในมือ  ผมก็เปิดหาว่าใครร้องเพลงนี้  ในปูมบอกว่ามีศิลปินที่ร้องเพลงนี้ 2 ราย คือ Somethin’ Smith & Red Heads  เพลงขึ้น top 10 บนตาราง billboard  อ่านชื่อศิลปินก็รู้ว่าไม่ใช่ฉบับที่ผมได้ยินแน่ ๆ  อีกคนคือ Tony Bennett (1926 - 2023)  เพลงอยู่ในตาราง billboard แค่อาทิตย์เดียว  คืออันดับที่ 99  ไม่รู้ว่าจะใช่รึเปล่า  อย่างไรก็ตาม  อยากรู้ว่าทำนองยังไง  แต่จำต้องอดรอจนกระทั่ง youtube แตกพาน  จึงลองหาฟังเพื่อการยืนยัน  ซึ่งจริงดังคาด   2 ฉบับนี้เกิดมาไม่เคยได้ยิน  แล้วก็มีอยู่แค่ 2 ฉบับนี้ใน billboard 





เอาละซี  นี่แสดงว่าฉบับที่ผมได้ยินมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยจนฝังอยู่ในหูต้องเป็นการนำมาร้องใหม่  ซึ่งคงหาชื่อคนร้องได้ยาก  ที่พึ่งที่มีก็ช่วยไม่ได้แล้ว  เพราะมันแสดงเฉพาะเพลงเข้าอันดับ ฯ  ปัญหานี้ต้องแทงศูนย์  บรรยากาศเดียวกับการหาชื่อเพลงบรรเลง
 
วันหนึ่งขณะโต่เต๋อยู่ที่ร้าน Tower Records…

เขียนแล้วนึกถึงความหลังที่เกี่ยวข้องกับร้าน TR นี้  เคยฝอยเอาไว้นานแล้วในกระทู้หนังเก่า  แต่อยากเล่าอีกง่ะ...

ร้านแผ่นเสียง Tower Records  เป็น chain ของร้านขายแผ่นเสียงที่โด่งดังที่สุดของอเมริกาในยุคนั้น  มีสาขาอยู่ทั่วทุกเมืองในทุกรัฐ  (รองลงมาคือร้าน Warehouse)  เอกลักษณ์ของร้านคือตัวหนังสือสีแดงบนพื้นสีเหลืองอ๋อย
 



ตอนไปอเมริกาครั้งแรก  หลังจากตั้งหลักได้ผมพุ่งไปที่ร้าน TR เป็นแห่งแรก  ยุคที่ผมไปนั้น format ของแผ่นเสียงกำลังจะล่มสลาย  format ของ ซีดี กำลังเข้ามาแทนที่  มันเป็นช่วงรอยต่อ  ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นกับทุกร้านขายแผ่นเสียงคือ  ช่องวางแผ่นเสียงที่มีอยู่เดิมใช้ไม่ได้กับการวางแผ่นซีดี  เพราะ format ของแผ่นซีดี มีขนาดเล็กกว่ามาก  มันไม่พอดีกัน  ทุกร้านจึงต้องปรับเปลี่ยนขนาดของช่องใส่แผ่นฯ เสียใหม่ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายและเวลาไม่น้อยและอ่วมไปเลยสำหรับร้านใหญ่ ๆ  อย่าง TR ที่มีสาขานับร้อยแห่ง

ในช่วงแรก ๆ ของการเปลี่ยนแปลง  เพื่อประวิงเวลาที่ใช้ในการปรับเปลี่ยน  แผ่น ซีดี ทุกแผ่นที่ออกมาจากโรงงานจะใส่อยู่ในกล่องกระดาษที่มีความสูงประมาณเดียวกับแผ่นเสียง (12”)  ดังนั้น ช่องวางแผ่นเสียง 1 ช่องจึงสามารถใส่แผ่นซีดีเรียงได้ 2 แถว  จนกระทั่งการปรับเปลี่ยนช่องวางแล้วเสร็จ  หน้าตา package ของแผ่นซีดีจึงมีรูปแบบเล็ก ๆ อย่างที่เห็นในปัจจุบัน  ไม่มีกล่องกระดาษหุ้มอีกทีอีกต่อไป



 
รูปนี้แสดงการเปรียบเทียบระหว่าง package ของแผ่นเสียง กับ package ของแผ่นซีดี



 
สำหรับแผ่นฯ ที่มี gatefold (ตัวอย่างข้างบน) จะเห็นว่าภาพบน package ของแผ่นฯ กับภาพในกล่องซีดีนั้นมีขนาดคนละเรื่องเลย แถมในชุดที่เอามาให้ดูเป็นตัวอย่างนี้รูปเป็นขาวดำเสียอีก  ก็มันเป็นแผ่นผลิตย้อนหลัง (back issues) จะทำเริดหรูทำไมให้เปลืองต้นทุน

บางชุดยิ่งกว่านี้อีก  อย่างชุด Simple Dreams ของ Linda Ronstadt  เอกสารแนบในแผ่นซีดีไม่มีรูปนักดนตรีแบบที่เห็นในหน้า gatefold ของ package แผ่นเสียง  รูปของเธอบน inner sleeve มีมาให้แต่ก็เป็นขาวดำ  คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่  ซื้อแผ่นซีดีไปก็จะนึกว่า  เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้น  นี่แหละ  ศิลปะกับการค้า  มันไปด้วยกันไม่ด้ายยย




กลับมาที่ร้าน Tower Records พวกเราน่าจะจำได้ว่า ร้านมาเปิดสาขาที่เมืองไทยด้วยเช่นกัน  แต่อยู่ได้ไม่นานเพราะสาเหตุอะไรทุกคนรู้ดีกันแล้ว

แล้วก็มาถึงเรื่องอุบาทว์ของตัวเองที่จะแฉให้ฟัง (อ่าน) ว่า  ช่วงที่ TR จะเข้ามาบุกเมืองไทยนั้น  มีการประกาศจ้างงานหลายตำแหน่ง  ด้วยความบ้าอยากเวียนว่ายอยู่กับเสียงเพลง  ผมก็ไปสมัครกับเขาในตำแหน่งผู้จัดการ

ผมดำเนินเรื่องอย่างเงียบ ๆ  ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน ไม่มีใครรู้เรื่องนี้  ผมผ่านด่านต่าง ๆ เข้าไปถึงด่านสัมภาษณ์  แล้วก็จบตรงนั้น  แสดงว่าผมปิ๋ว  นั่นแหละ ผมจึงค่อยเผยเรื่องให้กับเพื่อน ๆ ฟัง  รู้สึกเสียหน้าเพราะเก็งไว้ว่าไม่พลาด  ก็ความรู้เรื่องเพลงยอดนิยมของผมใช่ย่อยเสียที่ไหน แถมตอนจบสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ยังทำหน้าเลื่อมใสกับความรู้ของผมให้ใจพองฟู

พอเล่าจบ  เพื่อน ๆ พร้อมใจกันรุมกันกระหน่ำว่า ผมท่าจะสติเสียอย่างหนัก  ถึงขนาดตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งหน้าที่การงานในสถานที่ทำงานที่มีความมั่นคงระดับ 'แห่งประเทศไทย'  เพียงเพื่อจะไปขายแผ่นซีดี (ขอแย้งนิดว่า ความจริงผมอยากเป็นพนักงานขายแผ่นเสียงมากกว่า  จับแผ่นเสียงให้ความรู้สึกขลังกว่าจับแผ่นซีดีเป็นไหน ๆ)  ยิ่งพี่มนันยา (นักแปล) หลังจากฟังผมเล่าแล้ว เธอแหวเสียงแสบแก้วหูขึ้นมาทันทีว่า 'ไอ้บ้าเอ๊ย  ทำเข้าไปได้ยังไง  โง่หรือฉลาดวะนี่  ดีนะนี่เค้าไม่เรียกตัว'  ผมละทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม  ไม่มีใครแสดงความเห็นใจผมเลย  แสดงว่านั่นเป็นการกระทำที่โง่สมบูรณ์แบบ

มาถึงวันนี้เมื่อคิดย้อนไปแล้ว  รู้สึกขนลุก  ผมถ้าจะผีเข้าจริง ๆ  แล้วก็โล่งอกที่ไม่ได้งานตำแหน่งนั้น  ไม่งั้นป่านนี้คงกำลังนั่งขายกะลอจี๊ริมถนนหาเงินไปจ่ายค่าเช่าห้องแถวโทรม ๆ ข้างสลัมที่ไหนสักแห่ง...

แฉเรื่องโง่ของตัวเองจบแล้วก็กลับมาเข้าเรื่องต่อ

ช่วงเวลาก่อน อตน. ร้าน Tower Records นี้โด่งดังมาก  ถึงขนาดมาเปิดสาขาหลายสาขาที่กรุงเทพฯ  วันหนึ่ง ณ ร้านที่ว่าผมเดินเล่นพลิกดูแผ่น CD ไปเรื่อย ๆ แล้วก็มาถึงแผ่นของ Pat Boone ก็นึกได้ว่าไม่เคยมีแผ่นของเธอเลย  น่าจะซื้อเก็บไว้สักแผ่น  ผมก็คว้าแผ่นรวมเพลงฮิตของเธอขึ้นมา  รายชื่อเพลงในแผ่นคือเพลงดัง ๆ ของเธอ  แล้วก็มีเพลง It’s ฯ นี้ด้วย  พออ่านชื่อแล้ว  ทำนองเพลงก็เข้ามาในหัว  ตามด้วยเสียงร้องหล่อ ๆ ถึงตรงนี้ผมมั่นใจว่าฉบับที่ผมได้ยินมาตั้งแต่สมัยหินต้องเป็นเสียงร้องของ PB แน่ ๆ  ซึ่งก็จริงดังคาด (อีกครั้ง)  เพียงแต่ประหลาดใจนิดว่า  มันไม่ได้ขึ้นตาราง bb  จะเป็นเพลงฮิตได้ไงหว่า




ตายกันเกลี้ยง...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 395  เมื่อ 03 ก.พ. 24, 18:09

Mitch Miller ไม่ใช่นักร้องแต่เป็น conductor สามเพลงนี้  เป็นขาประจำในรายการ golden oldies







นำเสนอเพลงที่น่าจะคุ้นหูพวกเรา





บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 396  เมื่อ 04 ก.พ. 24, 18:16

นำเสนอ (สักพักหนึ่ง) วงดนตรีที่มีนักร้องนำเป็นผู้หญิง ถ้าเป็นนักฟังเพลงฝรั่งคนเก่งจะต้องเคยได้ยินเพลงเหล่านี้  ล้วนเป็นเพลงโปรดของรายการ golden oldies

Rosie & the Originals



นำเสนอ






Ruby & the Romantics



นำเสนอ



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 397  เมื่อ 05 ก.พ. 24, 18:24

The exciters



นำเสนอ









บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 398  เมื่อ 06 ก.พ. 24, 18:54

The Essex

เพลงของวงนี้มาเคยได้ยินตอนโตแล้ว  จำไม่ได้ว่าเคยได้ยินตอนเด็ก ๆ รึเปล่า  เป็นเพลงอันดับ 1 เลยเชียวละ  สมาชิกทั้งหมดมีอาชีพหลักเป็นทหารเรือ นักร้องนำชื่อ Anita Humes (1940 –2010)



นำเสนออีกเพลงที่เพราะไม่แพ้กัน



เพลงแถม



เพราะสาเหตุนี้รึเปล่าไม่รู้ถึงหา clip ตัวเป็น ๆ ของวงนี้ไม่ได้
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 399  เมื่อ 07 ก.พ. 24, 18:34

Betty Everett กับเพลงดังทั้งในบ้านเราและบ้านเขา (อันดับ 6)

เพลงนี้ฮิตมากถึงขนาดมีนักร้องดัง ๆ เอามาร้องใหม่มากมาย  รวมถึงคุณป้า Cher ในปี 1990  จากหนังเรื่อง Mermaids ที่มาฉายในบ้านเรา  วิทยุเปิดฉบับของคุณป้าบ่อยกว่าฉบับนี้เสียอีก (หรือเป็นเพราะว่าผมโตทันก็ไม่รู้)


เธอเป็นต้นฉบับ (ฮิต) ของเพลง You’re no good ในภาค soul ที่ Linda Ronstadt เอามาร้องใหม่ในภาค rock ที่ดังสนั่นโลก



นำเสนอ

(เพลงนี้ใคร ๆ ก็ชอบเอามาร้องใหม่  ออกมาเพราะไปหมด)


(เพลงนี้ก็มีคนเอามาร้องใหม่หลายคนรวมถึงแฟนผม Helen Reddy  ฉบับของเธอดังที่สุด)



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 400  เมื่อ 08 ก.พ. 24, 18:18

อีกหนึ่ง girl group สาขา one hit wonder ที่ผมฟังครั้งแรกก็ชอบทันที  แต่จำไม่ได้ว่ามันชื่อว่าอะไร  อย่าว่าแต่ใครร้องเลย



หลังจาก Wikiฯ เจริญพันธุ์ผมก็ได้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเบื้องหลังการอัดเสียงเพลงนี้

Vocalists who sang on "Sally Go 'Round the Roses" besides the five credited personnel include J&S (บ. แผ่นเสียง) veterans Selena Healey, Marie Hood, Marlene Mack (aka Marlina Mack/Marlina Mars), Louise (Harris) Murray, Lezli Valentine and Iggy Williams. Lezli is the lead voice on "Sally". According to Richardson, "Anybody that came in the studio that week, [Spector… Phil Spector ผู้ผลิตฯ  ต้นตำหรับ Wall of sound ที่ผมเคยนำเสนอไปแล้ว] would put them on [the track]. Originally, I think he had about 20 voices on 'Sally.'" The sessions produced only the one song, "Sally Go 'Round the Roses". The single reached No. 2 on the Billboard Hot 100 chart dated 28 September 1963.

Lezli Valentine, later Lezli Green, died on March 09, 2021.

หน้า B ของ single เป็นเพลงบรรเลงของเพลงหน้า A



single แรกประสบความสำเร็จ  ขึ้นถึงอันดับ 2  PS สานต่อความสำเร็จด้วยการออก single ที่ 2 โดยใช้สูตรเดิมคือระดมนักร้อง  แต่คราวนี้ผิดคาด  เพลงแป๊ก  ขึ้นไม่พ้นอันดับ 100 ด้วยซ้ำ  ถ้า Wikiฯ ไม่บอกไม่มีทางรู้



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 401  เมื่อ 09 ก.พ. 24, 18:36

Barry Sadler ใช้ชื่อในวงการเพลงว่า SSgt. Barry Sadler เพราะว่าอาชีพหลักของเธอคือทหาร  เธอสังกัด The Green Berets (United States Army Special Forces)  ยศ SSgt. ย่อมาจาก Staff Sergeant  เธอเคยไปร่วมรบที่สงครามเวียดนามในช่วงระหว่างปี 1964 – 65 

ในปี 1966 เธอปล่อย single ออกมา 1 เพลง  ตามด้วย album  ทั้ง 2 อย่างดังถล่มทลาย ขึ้นอันดับ 1 ทั้งคู่   single เพลงที่ว่าผมจำไม่ได้ว่าเคยได้ยินทางวิทยุ  อาจเป็นเพราะทำนองไม่ติดหูเด็ก ๆ อย่างผม  หรือมัวแต่เล่น โมราเรียกชื่อ อยู่ 

อย่างไรก็ตาม  ผมเคยได้ยินอีกเพลง  เพลงนี้ดังถล่มทลายเช่นกัน  แต่เหตุเกิดในบ้านเราเท่านั้น  ได้ยินทุกวัน ๆ วันละ 3 เวลาก่อนอาหารบ้าง  หลังอาหารบ้าง  ขนาดผมเด็กตัวกะเปี๊ยกยังจำได้   คิดดูแล้วกันว่ามันดังแค่ไหน
 
ความดัง (ในบ้านเรา) ของเพลงนี้ทำให้คิด (แบบกบในกะลาครอบ) ว่ามันต้องดังขึ้นอันดับ 1 ในบ้านเขาเหมือน single เพลงแรก  แต่พอมีปูมอันดับเพลงของ Joel Whitburn  เมื่อเช็คแล้วไม่พบเพลงนี้ว่ามีการตัดเป็น single  พบแค่ว่ามันเป็นเพียงร่องหนึ่งใน album ดังของเขาเท่านั้น  แสดงว่าดีเจที่ซื้อ album แล้วเลือกเพลงนี้มาเปิดให้เราฟังเก็งตลาดได้เก่งมาก

นี่คือเพลงดังกล่าว



สำหรับ single ที่ดังถล่มทลายที่ผมจำไม่ได้ว่าเคยได้ยินทางวิทยุคือเพลงนี้



นำเสนอ single ที่ 2 ที่ไม่ดังเท่า  ในเมืองไทยหมดสิทธิ์ได้ยิน



ตลอดชีวิตในวงการเพลง  BS มี single แค่ 2 เพลงนี้เท่านั้นที่ติดอันดับ billboard

ช่วงชีวิตก่อนตายของเขาไม่น่าประทับใจนัก  ไม่รู้เพราะผลจากสงครามรึเปล่า (The psychological evaluation found that certain psychological problems were more common among the Vietnam veterans than among non-Vietnam veterans. These problems included depression, anxiety, and combat-related post-traumatic stress disorder.) 

รายละเอียดหาอ่านได้ทาง Wikiฯ  ซึ่งเล่าการตายของเขาไว้ด้วยดังนี้ (เช่นเคย  ไม่สามารถครองสมาธิได้นานพอที่จะแปลได้)

(หลังจากมีเรื่องมีราวถึงขั้นฆ่าแกงและขึ้นโรงขึ้นศาล) Sadler moved to Guatemala City in 1984. He continued to write and publish his Casca books and produced a never-released self-defense video. On September 7, 1988, he was shot in the head while sitting in a cab in Guatemala City. His manager believed it to be a robbery. Sadler was flown to the United States by friends in a private jet.

He underwent surgery at the Nashville Veterans Administration (VA) Hospital, and remained in a coma for about six weeks. After emerging from the coma, Sadler was a quadriplegic and had suffered significant brain damage. He was finally released in January 1989, but his family reported him missing. A dispute over who would be his legal guardian erupted between his wife and mother and resulted in a judge mandating a psychiatric evaluation. A few days later, he was found, in time to be present at a competency hearing.

After being moved to the Cleveland VA Hospital for specialized treatment, he was removed from the hospital by two former Green Berets and his mother, Blanche Sadler. After a contentious court battle waged by his wife and children, a court in Tennessee ruled that Sadler be put under the care of an independent guardian. He was moved to the VA Hospital in Murfreesboro, Tennessee, in February 1989, but he never recovered from his injury. He died there of cardiac arrest on November 5, 1989, four days after his 49th birthday.


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 402  เมื่อ 10 ก.พ. 24, 18:00

ผมรู้ข้อมูลนี้มานานแล้วจาก นส. SP ว่า Jesus Christ Superstar เริ่มต้นด้วยการเป็น rock opera ที่ออกแสดงในปี 1970  พอมาปี 1973 ก็มีคนนำงานชิ้นนี้มาสร้างหนัง  ผมจำได้คร่าว ๆ ว่าหนังมาฉายที่โรงเฉลิมไทย  จำภาพโฆษณาหนังตัวอย่างบนจอทีวีได้  ผมไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้  ตอนนั้นยังตัวกะเปี๊ยกดูหนังเพลงแบบนี้ไม่เป็น  ดูเป็นแต่หนังแบบ มนต์รักเพลงสวรรค์, แมรี่ ป๊อบปิ้น ...  

อย่างไรก็ตามเพลงจากหนังเรื่องนี้ออกมาอาละวาดทางลำโพงวิทยุอยู่ 3 เพลง  เพลงแรกชื่อ Superstar ร้องโดย Murray Head  เป็นเพลง rock ที่นำบรรยากาศการร้องประสานเสียงมาประกอบด้วย  ตอนนั้นผมไม่ชอบฟังเพราะ ‘โฉ่งฉ่าง’ เกินไป  เดี๋ยวนี้ฟังแล้วเพราะจัง  อายุและประสบการณ์เปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่า่ง



อีก 2 เพลงเป็นเสียงร้องของ Yvonne Elliman ทั้งคู่คือ I don’t know how to love him กับ Could we start again, please?  เพลงแรกนั้นโดนฉบับเสียงของแฟนผม Helen Reddy  ข่มเสียมิด  แต่เพลงที่ 2 นี่เพราะมาก  เป็นเพลงสำหรับ YE เลยละ

ผมมาได้ดูหนังเรื่องนี้ตอนเป็นสมาชิก I/UBC  ตอนดูก็พบความประหลาดใจว่าเพลงเอกของหนังคือ Superstar นั้น  ไม่ได้ร้องโดย MH  แล้วเธอก็ไม่ได้มีบทในหนังเรื่องนี้ด้วยเลย  ตัวละครในหนังที่ร้องเพลงนี้คือ Judas Iscariot เล่นโดนนักแสดงผิวดำชื่อ Carl Anderson  ผมว่าเธอร้องได้ดีกว่า MH เสียอีก



อีก 10 กว่าปีต่อมา CA ร้องเพลงดังอันดับ 2 ของ billboard เธอร้องคู่กับ Gloria Loring



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 403  เมื่อ 11 ก.พ. 24, 18:42

ในต้นยุค 70 ชื่อวง Three Dog Night  เป็นชื่อที่พวกเรานักฟังเพลงฝรั่งคุ้นเคย  วงนี้ส่งเพลงดังมาให้เราฟังหลายเพลง  ยาวนานรวม 4-5 ปี  ประมาณปีละเพลงสองเพลง  ตอนนั้นได้ฟังแต่เสียง  หน้าตาก็ไม่เคยเห็น  เลยไม่รู้ว่าวงนี้มีนักร้อง 3 คนช่วยกันร้องนำ  เพลงดัง ๆ ของพวกเขาที่พวกเราได้ยินนั้นมาจากเสียงของนักร้องนำที่ยังไม่ม่องเท่ง  เลยนำเสนอเพลงเหล่านั้นไม่ได้
 
นักร้องนำคนที่ตายชื่อ Cory Wells ร้องเพลงดัง 3 เพลงเป็นเพลงที่ผมไม่เคยได้ยินจากวิทยุ  มาได้ยินจากแผ่นเสียงรวมเพลงฮิตของพวกเขา  เพราะทั้ง 3 เพลง  ผมว่าวิทยุคงมาเอาเปิดบ้างแต่รอดหูผมไป







บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 404  เมื่อ 12 ก.พ. 24, 18:21

ทำนองของเพลงนี้พอได้ยินแล้วบอกไม่ถูกว่าเพราะหรือไม่เพราะ  แต่ยากที่จะลืม



อย่างไรก็ตาม  ตอนได้ยินทางวิทยุจำชื่อเสียงนามของศิลปินและเพลงไม่ได้  ผมมาได้ยินเพลงนี้อีกครั้งเมื่อซื้อ cassette tape ตลับหนึ่งที่มีเพลงนี้รวมอยู่ด้วย  ถึงได้รู้ชื่อศิลปิน/เพลง  กาลเวลาล่วงเลยมาจากชื่อ Mashmakhan ผมดันจำเป็น Munchkin

ครั้นมีปูมของ Joel Whitburn  ผมจะหาข้อมูลของวงนี้เลยหาไม่เจอ  โชคดีที่จำชื่อเพลงได้ (นึกปั๊บทำนองลั่นออกมาทันที)

พอมี อตน. ก็สามารถหารายละเอียดได้ว่าเป็นวงจากแคนาดา  เพลงนี้เป็นเพลงอันดับหนึ่งในตารางอันดับเพลงของแคนาดา  แต่ที่อเมริกาวงนี้ไม่มีชื่อเสียงเลย  ที่แปลกดีคือมันข้ามไปดังที่ญี่ปุ่น


นักร้องนำ Brian Edwards (1943 – 2016)

บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 25 26 [27] 28 29 ... 31
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.095 วินาที กับ 19 คำสั่ง