จากพระประวัติ ทรงเล่าว่า รับราชการปีเศษ เงินเดือนขึ้น ๔๐ เป็น ๓๔๐ บาท
เงินเดือน ๓๔๐ บาทในสมัยนั้น ถ้าเป็นสามัญชนต้องมียศและบรรดาศักดิ์เป็น อำมาตย์โท พระ... หรืออย่างน้อยก็เป็นอำมาตย์ตรี หลวง....
มีตำแหน่งเป็นเจ้ากรม (ต่อมาเรียกหัวหน้ากองหรือหัวหน้าแผนก) เลยทีเดียว
เงินเดือน 340 บาท น่าจะเป็นรายได้เลี้ยงตัวเองได้สบายทีเดียวสำหรับชายตัวคนเดียว ไม่มีภาระครอบครัว เพราะคุณหลวงลูกเจ็ดแปดคน เงินเดือนแค่นี้ก็ยังพอเลี้ยงลูกเมียได้ในสมัยปลายรัชกาลที่ 6
จริงอยู่ว่าอาจเป็นระดับไม่ใหญ่โตนัก สำหรับอดีตเอกอัครราชทูต แต่เมื่อนึกว่าท่านมาสตาร์ทใหม่ในราชการ ได้เงินเดือนระดับหัวหน้ากอง ก็ต้องถือว่าเสนาบดีให้วุฒิท่านสูงเท่าที่จะให้ได้
ในส่วนของโชคดี พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ก็ได้โชคมาเต็มๆ เพราะผู้ใหญ่ที่รับท่านเข้าสู่ราชการ หลังจากมีประวัติที่มีข้อเสียหลายอย่าง แสดงว่าต้องเห็นคุณค่าของท่านมาก ถ้าเป็นสมัยนี้ คนที่มีหนี้สินรุงรัง หรือเป็นผู้ต้องหาที่ทางการต้องการตัว จะไม่สามารถเข้ารับราชการได้เลย
ดังนั้นจะว่าท่านอาภัพ มีแต่คนกลั่นแกล้งอย่างที่ท่านแสดงความน้อยเนื้อต่ำพระทัยอยู่หลายตอนด้วยกัน ก็อาจจะเป็นการมองในแง่ร้ายฝ่ายเดียว ผู้ใหญ่ที่ให้อภัยท่าน ผู้ใหญ่ที่สนับสนุนท่าน ให้โอกาสท่าน มีอยู่หลายคน ต่างกรรมต่างวาระ