เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์ไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 12, 10:30



กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 12, 10:30
กลับไปอ่านกระทู้  "จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3 "
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3438.0

ในนั้นคุณ NAVARAT.C รวบรวมเรื่องกบฎต่างๆในสมัยจอมพลป.เอาไว้  เล่าที่ไปที่มาให้เข้าใจกันแจ่มแจ้ง  อ่านไม่ยุ่งยาก  
กระทู้จบไปนานแล้ว   ดิฉันค้นพบทีหลัง ว่าขาดรายละเอียดของกบฏไป 1 ครั้ง  
เป็นกบฏเล็กๆ ที่ไม่ค่อยจะมีใครนึกออกกันเท่าใดนัก   แต่ในเมื่อผู้กระทำถูกตั้งข้อหา "กบฏในพระราชอาณาจักร" ก็ต้องถือว่ามีศักดิ์และสิทธิ์ของกบฏเท่ากบฏใหญ่ๆเหมือนกัน
จึงขอแยกเป็นกระทู้เล็กๆนี้ขึ้นมาค่ะ


กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 12, 10:51
ที่มาของกบฏอดข้าว สืบเนื่องมาจากในพ.ศ. 2498  จอมพลป.  ได้เดินทางรอบโลก  ไปดูงานเยี่ยมชมกิจการต่างๆถึง 17 ประเทศด้วยกัน ทั้งเอเชีย อเมริกาและยุโรป    การไปครั้งนี้ไปอย่างเป็นทางการในฐานะนายกรัฐมนตรี  กินเวลาสองเดือนกว่าตั้งแต่ 14 เมษายนถึง 22 มิถุนายน   ใช้เงินไป 4 ล้านเศษๆ 
การไปดูงานครั้งนี้จุดประกายประชาธิปไตยขึ้นในหัวใจท่านผู้นำเรื่องหนึ่ง   คือเมื่อท่านไปถึงอังกฤษ  มองเห็นว่ารัฐบาลอังกฤษเปิดโอกาสให้ประชาชนที่มีปัญหาคับข้องใจ หรือแม้แต่ไม่พอใจรัฐบาลด้วยเรื่องอะไรก็ตาม สามารถไปพูดอยู่กลางแจ้งให้คนทั่วไปได้ยินได้  ในสวนสาธารณะชื่อ Hyde Park   แต่มีข้อห้ามว่า ห้ามใช้เครื่องขยายเสียงและตั้งเวที    แต่ถ้ายืนพูดบนพื้นสนามหรือมีอะไรรองให้ยืนสูงขึ้นมาหน่อยก็ไม่ห้าม    คนที่ไปพูดจึงมักมีอุปกรณ์ง่ายๆ เช่นลังสบู่  หิ้วติดมือไปด้วย   พอหาที่ยืนได้ก็ขึ้นไปยืนบนลังสบู่ กล่าวปราศรัยโจมตีไปตามเรื่อง    ก็มีคนมาฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ไม่ได้ถือเป็นเรื่องตื่นเต้นฮือฮา หรือแปลกประหลาดอันใด

จอมพลป. จึงเห็นว่าวิธีการแบบนี้ดี น่าจะนำมาใช้ให้เป็นการแสดงออกทางประชาธิปไตยในบ้านเราบ้าง    เมื่อท่านเดินทางกลับมา ท่านก็อนุญาตให้คนไทยทำแบบนี้ได้ที่สนามหลวง     คำว่า Hype Park จึงกลายมาเป็นคำกริยา "ไฮปาร์ค" หมายถึงการพูดจาออกความเห็นทางการเมืองจากฝ่ายประชาชน ที่สนามหลวง 


กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 12, 11:31
การไปทัศนศึกษาและได้พบปะพูดคุยกับคนระดับผู้นำทั่วโลกครั้งนั้นได้เปิดหูเปิดตาให้จอมพลป.ได้มาก ถึงกับปิ๊งขึ้นมาว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงต่างหากที่จะทำให้ชาติอยู่รอด และพลังประชาชนเท่านั้นที่จะช่วยพยุงบัลลังก์ของตนได้ กลับมาคราวนี้จึงได้เริ่มฟื้นฟูภาพพจน์ในการเป็นนักประชาธิปไตยของตนเป็นการใหญ่ เริ่มจากการให้อิสระเสรีแก่หนังสือพิมพ์ด้วยการจัดรายการ “เพรสคอนเฟอร์เรนส์” หรือนายกพบสื่อสัปดาห์ละครั้ง และเผยว่ารัฐบาลจะจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นใหม่โดยตนเองจะลงเลือกตั้งด้วย ข่าวนี้สร้างความฮือฮายกใหญ่ เพราะท่านผู้นี้เป็นนายกมาแล้วหลายสมัย และตลอดระยะเวลาเกือบยี่สิบปีที่ครองอำนาจ ไม่เคยลงเลือกตั้งเองแม้แต่ครั้งเดียว คนไทยจึงยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อ

ดังนั้นจอมพลป.จึงเสี่ยงดำเนินนโยบายสุดยอดที่คิดว่าจะได้ใจประชาชนก็คือ การอนุญาตให้มีไฮปาร์คที่ท้องสนามหลวง นัยว่าเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนส่งเสียงสะท้อนความไม่พอใจต่างๆมายังรัฐบาลได้

หลักการของไฮปาร์คต้นแบบก็ดีจริงอยู่ เมื่อจอมพลป.ไปคราวนี้อังกฤษได้ไปเยี่ยมชมสวนสาธารณะใหญ่กลางกรุงลอนดอนในส่วนที่เขาจัดให้นักชอบพูดทั้งหลายไปยืนแสดงวาทะอะไรก็ได้ จะด่าว่ารัฐบาลไปถึงหมูหมากาไก่ก็เอา จะมีคนฟังหรือไม่มีคนฟังก็ว่าไป บางคนยืนพูดอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้าก็มี ถือเป็นสิทธิเสรีภาพที่มนุษย์พึงระบายออกตามวิถีประชาธิปไตยได้ ตราบเท่าที่ไม่ไปกระทบกระเทือนสิทธิของผู้อื่น จอมพลป.ท่านเกิดความเลื่อมใสมากถึงกับอิมพอร์ตยี่ห้อไฮปาร์คมาเปิดที่ท้องสนามหลวง ประชาชนชาวกรุงเทพก็สนุกกันใหญ่เพราะเป็นเอนเทอร์เทนเมนต์แบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ปกตินั้นแค่นินทารัฐบาลในสภากาแฟนิ๊ดเดียว ตำรวจได้ยินเข้าก็จับเข้าตะรางแล้ว โอ้พระเจ้ายอช์จ นี่จะเปิดโอกาสให้ด่าฟรีๆกันยาวๆทีเดียว  ตอนแรกไฮปาร์คเปิดทุกบ่ายวันเสาร์ เรื่องก็เบาๆเช่นด่าแบบเรียนใหม่ของกระทรวงศึกษายังงิ๊ เรื่องตำรวจรีดไถชาวบ้านยังงิ๊ จอมพลป.ท่านก็พอใจมากสั่งให้ขยายออกไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดจัดไฮปาร์คให้คนพูดคนฟังด้วย

ระยะเวลาผ่านไปไม่นาน จากที่พูดอาทิตย์ละครั้งก็กลายเป็นพูดทุกวันเพราะมีคนอยากจะระบายแยะ ดาวไฮปาร์คก็เพิ่มจากไม่กี่คนกลายเป็นหลายสิบคน เรื่องที่ด่าคนเล็กๆก็เลื่อนขั้นขึ้นไปด่าคนใหญ่ๆเข้าให้บ้าง คนฟังจากจำนวนพันก็เพิ่มเป็นจำนวนหมื่น วันสุดสัปดาห์ก็หลายหมื่น คนฟังชื่นชอบที่จะเห็นตัวด่าทั้งหลายกระทำการด่าทหารว่าเป็นเผด็จการทำลายประชาธิปไตย ด่าตำรวจ ด่าพล.ต.อ.เผ่าและบรรดาอัศวิน แบบแฉกันกระจะๆทั่งคดียิงทิ้ง ขังลืม ค้าฝิ่น ค้าธนบัตรปลอม

ถึงตรงนี้ก็พออ่านความคิดจอมพล.ปได้รางๆแล้วว่าต้องการจะเบรคใคร แต่พลังประชาชนเป็นของใหม่ที่จอมพล.ปยังไม่รู้จัก ไม่เคยเล่น การเปิดจุกขวดให้ยักษ์ออกมาแล้ว จะใช้ยักษ์ไปทำลายศัตรูไม่ใช่หันกลับมากระทืบคนเปิดจุกขวด จอมพลป.ยังไม่ซึ้งในศิลปะวิทยานี้เลย



กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 12, 13:41
    ในไฮด์ปาร์คที่ลอนดอน ทางการไม่ให้ใช้โทรโข่ง ไมโครโฟนหรือเวที    จอมพลป.ท่านพลาดไปหน่อยตรงที่อนุญาตให้ตั้งเวทีที่สนามหลวงและใช้ไมโครโฟนได้     จึงเข้าทางปืนของนักพูดคารมกล้าที่หาเวทีปราศรัยมาก่อนหน้านี้ไม่ได้ จะได้ใช้สนามหลวงเป็นที่โชว์ฝีปาก ให้ประชาชนได้ยินอย่างกว้างขวางทั่วกัน
     จะว่าไปประชาชนที่สนใจการเมืองก็มีกันอยู่มิใช่น้อย   แต่ยังรวมกลุ่มกันไม่ติดเพราะขาดจุดร่วม    เมื่อมี "ไฮปาร์ค" ขึ้นมากลางเมือง ทุกคนก็ออกจากบ้านแห่กันมาฟังแน่นขนัด      นักพูดทั้งหลายเห็นคนมาฟังกันเต็มไปหมดก็เกิดคึกคักมีกำลังใจจะแสดงคารมโวหารให้เข้มข้นถูกใจพระเดชพระคุณ      
     นอกจากนี้ ใครๆก็รู้ว่า ถ้าพูดเรื่องการเมืองแล้วชมใคร  มันจะฟังน่าเบื่อ  ไม่ถึงอกถึงใจเท่ากับโจมตี   ยิ่งสามารถด่าว่าให้เละเทะได้เท่าไรยิ่งถึงอกถึงใจคนฟังมากเท่านั้น    นักพูดบนเวทีทั้งหลายก็เลยพูดกันเอามันเข้าว่า  ถูกใจคนฟังไปตามๆกัน

     ไฮปาร์คนัดแรกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2498    คนแรกที่จัดเดี่ยวไมโครโฟนขึ้นชื่อนายทองอยู่  พุฒพัฒน์     ซึ่งไม่ใช่คนเล็กคนน้อย    แต่เป็นถึงส.ส.สมัยแรกของจังหวัดธนบุรี ซึ่งตอนนั้นยังแยกเป็นคนละจังหวัดกับกรุงเทพ     นายทองอยู่เป็นครูสอนประวัติศาสตร์มาก่อน  มีความรู้เรื่องในอดีต  และคารมกล้าไหวพริบดี    เมื่อเปิดเวทีไฮปาร์คขึ้นมา  จึงได้ฉายาว่า "โต้โผไฮปาร์ค"


กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 12, 15:28
   ยิ่งวันเวทีไฮปาร์คก็ยิ่งคึกคัก    ส.ส.หลายคนที่หาเวทีพูดในสภาไม่ค่อยจะได้ก็เริ่มมาเยือนสนามหลวง   ขึ้นเวทีกลายเป็นหน้าประจำของไฮปาร์ค   ชาวกรุงเทพเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตา ถือเป็นโอกาสดีกว่าการหาเสียง  กลุ่มนี้ก็มีอาทิเช่นนายเทพ โชตินุชิต  ส.ส.ศรีษะเกษ    นายแคล้ว นรปติ ส.ส. ขอนแก่น  นายเพทาย อมาตยกุล ส.ส.กรุงเทพ  นายเพิ่ม วงศ์ทองเหลือ ส.ส.พิจิตร
   ไฮปาร์คเป็นแหล่งดึงดูดนักพูดคารมกล้าให้กลายเป็นคนดัง ไม่แพ้นักร้องดังๆในเมืองกรุง   ยิ่งพูดเก่งยิ่งมีแฟนคลับติดตามคอยฟัง   ดาวเสียงไฮปาร์คพวกนี้ที่พอรวบรวมชื่อได้ก็มี นายบุญยัง สันธนะวิทย์   นายกิตติศักดิ์ ศรีอำไพ    นายอุไร รุจิรานนท์   นายประสงค์ เนื่องจำนง   ร.ต.อ. ชาญ กระตุฤกษ์    นายชวน รัตนวราหะ
    บางคนไม่ได้เป็นผู้แทน แต่สามารถใช้เวทีไฮปาร์คสร้างคะแนนนิยมในหมู่คนฟัง  จนเมื่อมีการเลือกตั้ง ก็กลายเป็นผลงาน ให้ลอยลำเข้าสภาไปเป็นส.ส.ได้เลย อย่างเช่นนายพีร์ บุนนาค   ส.ส.สุพรรณบุรี  และนายทวีศักดิ์  ตรีพลี  ส.ส.ขอนแก่น    
    
    ยิ่งนานวันเข้าไฮปาร์คก็ยิ่งขลัง   เสียงของดาวไฮปาร์คก็เริ่มส่งผลกระทบต่อรัฐบาล  เรื่องหนึ่งคือกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีพล อ.มังกร พรหมโยธีนั่งเก้าอี้เจ้ากระทรวงอยู่    ผลิตตำราเรียนออกมาเล่มหนึ่งชื่อ "ตำราเรียนแบบเบสิค"   ปรากฏว่าถูกไฮปาร์คถล่มจนคว่ำ    รัฐบาลต้องสั่งระงับไม่ให้ใช้



กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 12, 16:06
  ว่ากันว่าจอมพลป. เปิดไฮปาร์คแล้ว รัฐบาลและผู้เป็นใหญ่หลายคนก็หวังว่าจะใช้เวทีเสียงแห่งนี้ถล่มปรปักษ์ทางการเมือง  ด้วยการแฉอะไรต่อมิอะไรเกี่ยวกับผู้นั้นให้ประชาชนรู้เป็นการดิสเครดิต  จากดังจะได้กลายเป็นดับ       เบอร์ต้นที่ถูกหมายหัวไว้คือพลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์  ผู้บัญชาการทหารบกซึ่งควบเก้าอี้รมว.กลาโหม และยังเป็นผอ.สลากกินแบ่งอีกด้วย    ส่วนมือซ้ายขวาของพลเอกสฤษดิ์ค่อ พลเอกถนอม กิตติขจร เป็นรมช.สหกรณ์ และพลเอกประภาส เป็นรมว. มหาดไทย    
   ในเมื่อมีการเปิดไฟเขียวให้ไฮปาร์คคนสำคัญๆกันได้   ก็มีเสียงโจมตีว่าพลเอกสฤษดิ์เอาเงินสลากกินแบ่งมาใช้สุรุ่ยสุร่าย    จนอาจจะต้องถึงขั้นถูกสอบสวน   แล้วก็ถึงขั้นจะโดนออกจากราชการ      คนที่จุดชนวนเรื่องนี้ขึ้นมาโดยไม่ออกหน้า คือพลต.อ.เผ่า ศรียานนท์   อธิบดีกรมตำรวจ   ข่าวนี้ก็ทำให้ทั้งพลเอกสฤษดิ์  พลเอกถนอม และพลเอกประภาสลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีทั้ง ๓ คน   แต่ยังอยู่ในตำแหน่งประจำในกองทัพบกเช่นเดิม
   แต่เมื่อโจมตีฝ่ายหนึ่งได้   ทำไมไฮปาร์คจะกลายเป็นเวทีโจมตีอีกฝ่ายไม่ได้   ดาวไฮปาร์คเรียกคะแนนนิยมจากประชาชนด้วยการเริ่มขุดคุ้ยเรื่องที่คนฟังอยากรู้มากกว่านั้น    เช่นเรื่องการสังหารโหดนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม  เรื่องเล่าลือว่าค้าฝิ่น    เรื่องที่เลี้ยงตำรวจอันธพาลเต็มเมืองมารังควานก่อความเดือดร้อนให้ประชาชน      ผู้ที่กลายเป็นเป้าโจมตีก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพลต.อ.เผ่า ศรียานนท์นั่นเอง


กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 12, 19:28
      เรื่องที่ว่านี้เป็นเรื่องที่ประชาชนรู้กันมานานแล้ว  แต่ไม่มีโอกาสพูดกับใครนอกจากกระซิบกระซาบปรับทุกข์กันเอง     เมื่อมีคนนำมาพูดอย่างเปิดเผย พร้อมกับตำหนิติเตียนไม่ไว้หน้า  ก็เป็นที่สะใจคนฟัง    ยิ่งวันคนก็ยิ่งแห่กันมาฟังไฮปาร์คมากขึ้น   ดาวไฮปาร์คทั้งหลายก็ได้ฝึกวิทยายุทธกันหนักขึ้นทุกที   เช่นนายบุญยัง สันธนะวิทย์ซึ่งเคยรับราชการเป็นตำรวจมาก่อน  รู้ตื้กลึกหนาบางในวงการตำรวจ  ก็นำเรื่องราวของตำรวจใหญ่น้อยสมัยนั้นออกมาแฉให้ฟัง ไส้กี่ขดก็ถูกสาวออกมาหมด   ยิ่งแฉคนก็ยิ่งสะใจ   ปรบมือเฮฮาเชียร์กันใหญ่
     เมื่อถึงขั้นนี้  ผู้ที่ทนฟังนายบุญยังแฉไม่ไหวอีกต่อไปก็มีอยู่เหมือนกัน   ในวันหนึ่งขณะที่ดาวไฮปาร์คผู้นี้อยู่บนเวที   ก็มีมือดาบบุกขึ้นไปบนเวที  ใช้ดาบแทงนายบุญยังจนไส้ทะลัก  พรรคพวกต้องรีบหามส่งโรงพยาบาล ส่วนมือดาบลอยนวลหนีไปได้       แต่พระเอกไฮปาร์ครายนี้ก็หนังเหนียวเอาการ   หมอช่วยชีวิตรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
     เมื่ออาการทุเลาลงพอจะออกจากบ้านได้แล้ว  นายบุญยังก็ใจเด็ด หวนกลับขึ้นเวทีอีกครั้ง     คราวนี้โจมตีอธิบดีตำรวจอย่างไม่ไว้หน้า   จนกระทั่งพลต.อ.เผ่า ร้อนอาสน์   ไม่สามารถทำใจเย็นทำทองไม่รู้ร้อนอย่างเมื่อก่อนอีกต่อไป       ท่านอธิบดีตำรวจก็ตัดสินใจว่าจะต้องเผชิญหน้ากันอย่างคนใจถึง  แล้วหาทางเอาชนะกันด้วยใจให้จงได้
     วันที่ 6 มกราคม 2499 พลต.อ. เผ่ากับอัศวินแหวนเพชรคู่ใจก็นั่งรถไปจอดที่ริมสนามหลวง แล้วเดินฝ่าฝูงชนไปถึงเวทีไฮปาร์ค  ท่ามกลางความตกตะลึงของนักไฮปาร์คและประชาชนว่าวันนี้อธิบดีตำรวจมาเอง


กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 12, 19:31
เชิญฟังคำบรรยายของท่าน NAVARAT.C  แล้วจะเห็นภาพในวันนั้น เหมือนดู DVD


กลับมาที่ท้องสนามหลวงต่อ เมื่อถูกด่าฝั่งเดียวมากๆเข้า เผ่าก็วีนแตก บุกมาขึ้นเวทีไฮปาร์คเพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหาบ้าง วันที่เผ่ามาพูดนั้น ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบมากันเพียบ ท่านผู้ชมและท่านผู้ฟังที่อยู่ ณ ที่เกิดเหตุต่างต้องพากันสงบนิ่ง ฟังจอมอัศวินแก้ตัวไปทุกข้อกล่าวหา พอพูดเสร็จลงเวทีมาเห็น นายเพิ่ม วงศ์ทองเหลือ ส.ส.พิจิตร ตัวด่าคนสำคัญคนหนึ่ง เผ่าก็พลั้งปากไปว่า ไอ้เพิ่ม มึงมันเป็นแค่เกือกนายควง มึงเอาลูกพี่ของมึงมาโต้กับกูดีกว่า เท่านั้นเอง หนังสือพิมพ์ก็ได้ข่าวไปพาดหัวว่า “เผ่าท้าควงพูดไฮปาร์ค”

เอ้อ ผมเล่าข้ามไปหน่อย ตอนที่รัฐบาลจอมพลป.เอารัฐธรรมนูญฉบับ 2475 มาใช้ แล้วจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่นั้น พรรคประชาธิปัตย์บอยคอตด้วยการไม่ร่วมลงสมัครเข้ารับเลือกตั้งด้วย นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพรรคนี้ แต่ก็มีกบฏในพรรคไปลงสมัครในนามของพรรคและได้รับเลือกตั้งมา7-8คน ถือว่าน้อยเป็นประวัติการณ์เหมือนกัน พวกพรรคประชาธิปัตย์รุ่นเดอะๆก็มาเล่นการเมืองนอกสภา การที่จอมพลป.เปิดเวทีไฮปาร์คขึ้น ก็เท่ากับปล่อยผีให้ส.ส.พวกนี้ออกมาด่ารัฐบาลได้โดยไม่มีประธานสภาคอยคุมเกม ประชาชนไม่ได้ฟังคารมของฝ่ายค้านมานานแล้วจึงได้ฟังอย่างจุใจ

เมื่อเผ่าท้าควงขึ้นเวทีไฮปาร์ค จึงเหมือนกับการประกบคู่มวยระดับแม่เหล็กโลก ผู้คนฮือฮาอยากจะฟังทั้งสองฝ่ายโต้กัน นายควงนั้นเป็นนักพูดที่ไม่กลัวใครอยู่แล้ว แต่เผ่าจะเอาฝีปากอะไรมาสู้ แหม มันช่างน่าตื่นเต้นเสียนี่กระไร ยิ่งใกล้ถึงเวลานายควงก็ออกข่าวยั่วยุคู่กัดผ่านหนังสือพิมพ์แทบทุกวัน ถึงวันจริงท้องสนามหลวงว่าใหญ่ๆก็ยังไม่พอจุท่านผู้ชมและท่านผู้ฟังที่หลั่งไหลกันมา

วันนั้นตรงกับวันที่ 7มกราคม 2499 บ่ายโมงเศษ พล.ต.อ.เผ่าก็เดินทางมาถึงในชุดสากลสีอิฐ ห้อมล้อมด้วยบรรดาอัศวินทั้งระดับจตุรงคบาท ตลอดจนกองระวังหน้า ระวังข้าง และระวังหลัง แสงจากแหวนเพชรวูบวาบเมื่อกระทบกับแสงแฟรชจนฝูงชนจังงังกันไปหมด หลีกทางให้ขบวนผู้ยิ่งใหญ่เยื่องย้ายไปสู่เวทีโดยดี และแล้วจอมอัศวินเผ่าก็ขึ้นไปประจันหน้ากับโฆษกบนเวที ผู้ซึ่งร่ายยาวอารัมภคาถาโน้มน้าวให้คนเลือดร้อนใจเย็นลงด้วยการขอให้สาบานต่อพระแก้วมรกตเบื้องหน้าว่าจะพูดแต่ความจริง ว่าแล้วก็จุดธูปจุดเทียนยัดเยียดใส่มือพล.ต.อ.เผ่า แล้วก็ว่านำให้พล.ต.อ.เผ่าว่าตาม พอว่าหมดยังไม่ได้สาธุก็มีห่อกระดาษที่ดูมีน้ำหนักพอควรถูกโยนขึ้นไปบนเวที พร้อมกับเสียงตะโกนให้เข้าไม้ค์ด้วยว่า

  “ เฮ้ย ระเบิดโว้ย”

เท่านั้นเองผู้คนทั้งบนเวทีและหน้าเวทีต่างก็กระเจิงกระเจิงเอาตัวรอด เวทีถล่ม คนข้างหลังเห็นท่าไม่ดีก็ออกวิ่งบ้าง เหยียบกันระนาว เพราะไม่รู้จะหนีไปข้างไหน หาบเร่แผงลอยซวยที่สุดเพราะที่ถูกชักดาบไม่เท่าไร แต่เครื่องมือหากินบรรลัยไปหมดในคราวนี้ เหตุการณ์วุ่นวายกินเวลาประมาณ20นาที มีผู้เห็นอัศวินทั้งหลายช่วยกันพานายหลบขึ้นรถออกไปจากสนามหลวงได้โดยปลอดภัยตั้งแต่นาทีแรก  รองเท้าหลายร้อยข้างถูกทิ้งไว้เกลื่อนกลาด ตำรวจช่วยคนขึ้นมาจากคลองหลอดได้หลายสิบ แต่ละคนบอกไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองลงไปได้อย่างไร โดดลงไปเองหรือถูกถีบลงไปก็ยังงงๆอยู่

รุ่งเช้าหนังสือพิมพ์พาดหัวว่า ฟ้าถล่มสนามหลวงบ้าง ไฮด์ปาร์คถล่ม คนบาดเจ็บเป็นร้อยบ้าง ถึงวันนี้ ไม่ทราบว่าเป็นแผนของเผ่าที่จะหนีการปะทะคารมกับนายควงอย่างมีชั้นเชิงหรือเปล่า




กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: ลุงไก่ ที่ 24 ก.ค. 12, 21:09
ขออยู่ข้างหลังฟังห่างๆ ไม่กล้าเกาะลังสบู่อยู่ข้างหน้า กลัว "ระเบิด"


กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ก.ค. 12, 21:20
แม่เจ้าโวย บรรยายซะอย่างกับไปอยู่กับเขาที่นั่นด้วย


กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 12, 21:47
^
อ้าว  ท่านไม่ได้นั่งยานเวลากลับไปอยู่ด้วยวันนั้นหรือคะ ?

ชุดข้างล่างนี้มอบให้คุณลุงไก่กับผู้เข้ามาอ่านทุกท่าน เป็นของแถมที่เข้ามาร่วมวง


กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 12, 22:05
    เมื่ออธิบดีตำรวจเดินผ่าสนามหลวง มีขบวนอัศวินล้อมหน้าล้อมหลังมาถึงเวที   เมื่อเจอนายบุญยัง ก็ทักทายปราศรัยด้วยคำว่า
    "ลื้อเก่งมาก  ถูกแทงแล้วยังกล้ามาพูดอีก"
    คำพูดของพลต.อ. เผ่าถูกต้องมากกว่าที่ท่านคิดเสียอีก    เพราะนายบุญยังไม่ใช่แค่กล้าพูดเท่านั้น  แต่กล้าที่จะไล่ต้อนท่านอธิบดีอย่างที่ท่านนึกไม่ถึงเสียด้วยซ้ำ    พอท่านพูดจบ นายบุญยังก็โดดขึ้นเวที คว้าไมค์มาประกาศให้ประชาชนนับหมื่นคนที่มาฟังไฮปาร์ค ว่าบัดนี้ท่านอธิบดีตำรวจมาขึ้นเวทีแล้ว ขอเชิญมาตอบกระทู้กันสดๆเสียเดี๋ยวนี้เลย     ประชาชนจะได้ฟังตามระบอบประชาธิปไตย
    พลต.อ.เผ่านึกไม่ถึงว่าจะเจอไม้นี้   ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน จะถอยกลับก็เสียหน้า ทำไม่ได้อยู่แล้ว  จึงต้องก้าวขึ้นเวทีไปสู่เขียงที่นายบุญยังบรรจงวางเอาไว้ตรงหน้า
    จากนั้นนายบุญยังก็วาดลวดลายแฉ และแฉในรูปของคำถาม ที่ยิงทะลุเป้าทุกนัด   ถามเรื่องที่ประชาชนข้องใจเกี่ยวกับนโยบาย ไม่มีอะไรใต้ดวงอาทิตย์ที่ตำรวจไทยทำไม่ได้     พลต.อ.เผ่าก็ได้แต่ปฏิเสธทุกคำถามท่ามกลางเสียงโห่ร้องกึกก้องของประชาชน    


กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.ค. 12, 08:05
    เหตุการณ์ที่คุณนวรัตนเล่าในค.ห. 7   เป็นเหตุการณ์ที่สอง  เมื่ออธิบดีเผ่ากลับมาแก้ลำที่ไฮปาร์คสนามหลวงอีกครั้ง  หลังจากถูกไล่ต้อนสู่สนามเชือดในครั้งแรก      คราวนี้ท่านคงจะตั้งตัวติดแล้ว  เตรียมตัวมาดีกว่าครั้งก่อน  ก็เลยย้อนกลับมาอีกครั้งแบบพญาเสือไม่กลัวน้ำร้อน 
    แต่ทางดาวไฮปาร์คเจนสังเวียนกว่า เพราะขึ้นพูดเป็นมืออาชีพอยู่แล้ว   ก็เลยเตรียมรับน้องใหม่แบบร้ายบริสุทธิ์  คนนี้ชื่อนายกิตติศักดิ์ ศรีอำไพ   พอพลต.อ.เผ่าก้าวขึ้นเวที     นายกิตติศักดิ์ก็ส่งดอกไม้ธูปเทียนให้ตามธรรมเนียมของนักไฮปาร์คที่จะต้องทำก่อนพูด     นายพลก็ไม่มีทางอื่นต้องรับมาตามธรรมเนียม
     จากนั้น นายกิตติศักดิ์ก็บอกให้พลต.อ.เผ่าหันหน้าไปทางวัดพระแก้ว   เพื่อสาบานตนต่อพระแก้วมรกตที่คนไทยเชื่อกันว่าถ้าใครผิดคำสาบานแล้วจะมีอันเป็นไปทุกราย   แทนที่จะปล่อยให้พลต.อ.เผ่าพึมพำอะไรสั้นๆ ทำนองว่าข้าพเจ้าขอสาบาน  แล้วจบคำแค่นั้น   นายกิตติศักดิ์ก็กล่าวนำให้อธิบดีตำรวจพูดตาม   เสียงดังฟังชัดได้ยินไปทั่วสนาม  ขอยกมาตอนหนึ่งว่า

   " ...ถ้าข้าพเจ้ารู้เห็นหรือจ้างวาน    หรือออกคำสั่งให้ฆ่า 4 อดีตรัฐมนตรีก็ดี   การขัง  ยิงทิ้ง การค้าฝิ่น   ค้าแบงก์ปลอม...ขอให้ข้าพเจ้าตายด้วยคมหอกคมดาบ  หรือฉิบหายบรรลัยจักร   มีอันเป็นไป ต้องพลัดพรากจากลูกเมีย..."

    พลต.อ.เผ่าจะไม่ว่าตามก็ไม่ได้  เพราะคนดูเป็นหมื่นเต็มสนามส่งเสียงเฮกันถล่มทลาย      ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ ท่านก็เลยต้องทำ      แต่รายงานข่าวบอกว่า พูดไปยังไม่ทันจบ   ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันอย่างที่ท่าน NAVARAT.C  เล่าไว้ในค.ห. 7  เสียก่อน
    เอวังจึงมีด้วยประการฉะนี้    จากนั้นท่านอธิบดีก็ไม่ได้ขึ้นเวทีไฮปาร์คอีกเลย
 


กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: ลุงไก่ ที่ 25 ก.ค. 12, 15:55
โฉมหน้าพระเอกของเรื่อง ...

มาเพิ่มเติมข้อความตอบคุณ NAVARAT C. ไว้ตรงนี้แทนในความเห็นถัดไป บุคคลในภาพคือ คุณทองอยู่ พุฒพัฒน์ ครับ






กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 ก.ค. 12, 16:32
^
ขอโทษ คือท่านผู้ใดครับ



แล้วสองท่านนี่ จะให้รับบทอะไรครับ


กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.ค. 12, 17:55
^
ใครเดาคำตอบไม่ได้   เชิญขอให้ท่านนวรัตนเฉลยเองนะคะ

กลับมาเรื่องกบฏ ต่อค่ะ
ความคืบหน้าของนักไฮปาร์คประมาณ 10 คน เกิดขึ้นตอนต้นปี 2499   นำโดยนายทองอยู่ พุฒพัฒน์
นายทองอยู่เป็นคนเอาจริงเอาจังเรื่องประชาธิปไตย    หลังจากเดี่ยวไมค์มาหลายหนจนคอแหบคอแห้ง   ขอให้รัฐบาลเลิกบทเฉพาะกาล    เลิกส.ส.ประเภทแต่งตั้ง  และเลิกรัฐประหารกันเสียที    จะได้ทำประเทศให้เป็นประชาธิปไตยสมกับประกาศมาตั้งเกือบ 25 ปีแล้ว    ผู้เป็นใหญ่ในบ้านเมืองก็ไม่มีท่าทีว่าจะเอาใจใส่คำเรียกร้อง
นอกจากนี้นายทองอยู่ยังประกาศด้วยว่า เมื่อถึงกึ่งพุทธกาล 2500 เมื่อใด  ตนก็จะไปบวชไม่สึก      เวลาก็ใกล้เข้ามาทุกที  การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยก็ไม่มีวี่แววว่าได้ผล  นายทองอยู่จึงเปลี่ยนวิธีใหม่  ใช้ไม้ตายไปนั่งอดข้าวประท้วงอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาล   
นัยว่าเป็นวิธี "อหิงสา"  ประท้วงตามแบบของมหาตมะ คานธี
ถึงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ เป็นวันดีเดย์ของนายทองอยู่     เจ้าตัวก็แบกกลดแบบพระธุดงค์ไปปักที่หน้าทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่เช้าตรู่  พร้อมป้ายประกาศเจตนารมณ์       มีพรรคพวกเพื่อนฝูงตามมาเป็นพรวน  เช่นนายบุญยัง สันธนะวิทย์    นายพีร์  บุนนาค  นายชวน รัตนวราหะ  ฯลฯ และมีผู้หญิงรวมด้วยคือนางสาวสุรัสน์ มีภักดี และนางเสรี บุพการี


กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 25 ก.ค. 12, 19:37
น่าจะเป็น "เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด" ตามสำนวนนิยายกำลังภายในครับ


กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 ก.ค. 12, 21:37
จอมกระบี่ขี่สองพยัคฆ์


กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 ก.ค. 12, 21:38
^
โหวงเฮ้ง ใจดี็ ใจดี


กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: visitna ที่ 26 ก.ค. 12, 07:56
ภาพประกอบมาแล้วครับ


กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.ค. 12, 08:02
^


กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.ค. 12, 08:07
ขอย้อนกลับไปก่อนนายทองอยู่จะมานั่งอดข้าวประท้วง
การปล่อยยักษ์ออกจากขวดตามที่คุณนวรัตนเขียนไว้   สำแดงผลมาตั้งแต่เดือนตุลาคมก่อนหน้านี้แล้ว     การเรียกร้องของดาวในวันที่ 22 ตุลาคม 2498 นายเพทาย โชตินุชิต ส.ส.ธนบุรี ได้กรีดเลือดประท้วงเรียกร้องให้มีการยกเลิก ส.ส. ประเภทที่ 2 ต่อมาในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2498 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 8 ปีของการรัฐประหาร กลุ่มไฮด์ปาร์คได้เดินขบวนไปวางพวงหรีดที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และเรียกร้องให้มีการยุบคณะรัฐประหารและยกเลิก ส.ส.ประเภทที่ 2

เมื่อไฮด์ปาร์คชักรุดหน้าเกินกว่าที่รัฐบาลจะควบคุมได้   หวังเพียงแค่ให้พูดอะไรนิดๆหน่อยๆอย่างสงบสันติ เหมือนในอังกฤษ    ถ้าโจมตีก็ควรโจมตีคนที่รัฐบาลไม่ชอบหน้า   ที่ไหนได้กลับมาเป็นหอกย้อนกลับมาปักอก  จอมพล ป. พิบูลสงครามจึงเริ่มหันกลับมาใช้มาตรการแบบเดิมคือปราบปรามอย่างเข้มงวด
ในวันที่ 10 ธันวาคม 2498 ขณะที่กลุ่มไฮด์ปาร์คได้นำประชาชนนับหมื่นคนเดินขบวนไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกบทเฉพาะกาล ยกเลิก ส.ส.ประเภทที่ 2 และคัดค้านกฎหมายประกันสังคม รัฐบาลก็สั่งการให้ตำรวจทหารม้าเข้าสะกัดกั้น มีการใช้กระบองและแส้ทำร้ายประชาชนจนทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ
เหตุการณ์ครั้งนั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม อ้างเหตุผลว่า การชุมนุมและเดินขบวนนั้นเป็นไปเกินขอบเขต และผิดพระราชบัญญัติจราจร


กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.ค. 12, 08:17
กลับมาที่กบฏอดข้าวอีกครั้งค่ะ
ประชาชนเริ่มสนใจกบฎอดข้าวมากขึ้นเป็นลำดับ  นับเป็นมาตรการประท้วงใหม่เอี่ยมที่ยังไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน   ก็เกิดการลุ้น และเอาใจช่วยกันมากมายเพิ่มขึ้นทุกวัน   ผู้คนก็แห่กันไปเชียร์ และไปเฝ้าดูด้วยความอยากรู้ว่าจะจบลงแบบไหนกันแน่   
พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ชักทนไม่ได้กับวิธีประท้วง   ก็วางกลศึกแบบประนีประนอมก่อน   สั่งอาหารโต๊ะจีนจากเหลาซึ่งถือว่าเป็นอาหารหรูหราของคนรวยในสมัยนั้น      เอาเชฟซึ่งสมัยนั้นเรียกว่ากุ๊ก มาผัดมาทอด  ปรุงอาหารจีนกันสดๆ  ให้หอมยั่วน้ำลายกันไปทั้งหน้าทำเนียบ  ทำกันต่อหน้าผู้อดอาหาร   คิดว่าพวกนี้อดมาหลายวันคงหิวเต็มที   เจออาหารฮ่องเต้เข้าก็คงใจอ่อน ยอมประนีประนอม  กินข้าวอิ่มแล้วก็กลับบ้านไป
ที่ไหนได้นักประท้วงใจเด็ดไม่ยอมแตะโต๊ะจีนท่าเดียว    พล.ต.อ.เผ่าฉุนขึ้นมา   จึงให้ตำรวจไปจับหมาข้างถนนมา 4 – 5 ตัว แล้วยกอาหารที่เตรียมไว้ เทให้หมากินหมด เป็นการประชดประชัน   ก็เหมือนสาดน้ำมันเข้ากองไฟ   นักไฮปาร์คฮือกันขึ้นกระหน่ำ พล.ต.อ.เผ่าเสียไม่มีดี
เหตุการณ์ตอนนี้ ข้อมูลเล่าไว้เป็น 2 แบบ    แบบแรกอย่างข้างบนนี้  แต่แบบที่สอง บอกว่านายพีร์ บุนนาค หนึ่งในผู้ประท้วง แกล้งประชดเอาอาหารไปเทให้หมากินหมด   แต่จะเป็นแบบไหนก็ตาม  ผลก็ตรงกันว่าวิธีเอาอาหารมาล่อให้ล้มเลิกประท้วง ไม่ได้ผล

ในเมื่อพูดกันดีๆ ไม่ฟัง  ตำรวจก็ใช้ไม้แข็ง เข้าจับกุมดาวไฮด์ปาร์ค 10 คนในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2499   ตั้งข้อหาอย่างที่เราคงเดากันได้ คือ “กบฏภายในราชอาณาจักร”  ขู่ด้วยว่ากบฏเหล่านี้มีโทษรุนแรงถึงขั้นประหารชีวิต

จึงถือว่าประชนชนที่ไม่ได้ทำร้ายใครนอกจากทำร้ายกระเพาะตนเอง   ได้รับโทษเท่ากับทำสงครามกลางเมือง เหมือนกัน


กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.ค. 12, 08:22
      กบฏครั้งนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้นสำนักนายกรัฐมนตรีต้องออกแถลงการณ์ห้ามไม่ให้มีไฮด์ปาร์คกันอีก   โดยให้เหตุผลว่า ผู้อภิปรายได้ “พูดเกินขอบเขตเป็นอันมาก”    กรมตำรวจก็ตามกระหน่ำว่า  กบฏอดข้าวเป็น “การแทรกแซงของคอมมิวนิสต์” จึงต้องจัดการเสียก่อน      และต่อมาก็กล่าวหาว่า นายทองอยู่เป็นสมาชิกองค์การคอมมิวนิสต์
       แต่ไม่นานหลังจากนั้น พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ก็เปลี่ยนใจ  ยอมประนีประนอมว่าจะไม่ห้ามไฮด์ปาร์ค เพียงแต่จะไม่ให้ใช้เครื่องขยายเสียง   คือใครจะพูดก็ตะเบ็งเสียงเอาเอง  ซึ่งจะได้ผลเพียงแค่มีคนได้ยินไม่กี่คน    เป็นการตัดโอกาสไม่ให้มีคนฟังเป็นพันเป็นหมื่นอย่างเมื่อก่อนอีก
    กบฏอดข้าวยังคงอดข้าวประท้วงต่อในที่คุมขัง จนกระทั่งวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2499 ผู้อดข้าวส่วนใหญ่ก็เลิกล้มความตั้งใจ   แต่นายทองอยู่ยังปักหลัก  อดข้าวประท้วงต่อไปอีก 24 วันจนกระทั่งถูกนำส่งโรงพยาบาลในวันที่ 10 มีนาคม 2499  ก็ถือว่าเป็นวันสิ้นสุด    ตำรวจปล่อยตัวผู้ประท้วงอดข้าวทั้งหมด


กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.ค. 12, 08:29
ก่อนจบกระทู้นี้ ขอเล่าถึงพระเอกฝ่ายกบฏของเราคือนายทองอยู่  พุฒพัฒน์ ส่งท้ายนะคะ

พวกกบฏอดข้าวถูกส่งตัวขึ้นศาลเช่นเดียวกับกบฏครั้งก่อนๆ    แต่ว่าโชคดีกว่าตรงที่ศาลยกฟ้อง     เมื่อล่วงเข้างานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ   นายทองอยู่ก็ทำตามที่ได้ลั่นวาจาไว้คืออุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดทองธรรมชาติ  ธนบุรี    ฉันอาหารเพียงวันละมื้อ  ดำรงตนอยู่ในผ้าเหลืองจนมรณภาพ
ทิ้งเรื่องกบฏอดข้าวไว้เป็นตำนานหนึ่งของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในสยาม


กระทู้: กบฏอดข้าว
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 26 ก.ค. 12, 10:31
กลับมาที่กบฏอดข้าวอีกครั้งค่ะ
ประชาชนเริ่มสนใจกบฎอดข้าวมากขึ้นเป็นลำดับ  นับเป็นมาตรการประท้วงใหม่เอี่ยมที่ยังไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน   ก็เกิดการลุ้น และเอาใจช่วยกันมากมายเพิ่มขึ้นทุกวัน   ผู้คนก็แห่กันไปเชียร์ และไปเฝ้าดูด้วยความอยากรู้ว่าจะจบลงแบบไหนกันแน่    
พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ชักทนไม่ได้กับวิธีประท้วง   ก็วางกลศึกแบบประนีประนอมก่อน   สั่งอาหารโต๊ะจีนจากเหลาซึ่งถือว่าเป็นอาหารหรูหราของคนรวยในสมัยนั้น      เอาเชฟซึ่งสมัยนั้นเรียกว่ากุ๊ก มาผัดมาทอด  ปรุงอาหารจีนกันสดๆ  ให้หอมยั่วน้ำลายกันไปทั้งหน้าทำเนียบ  ทำกันต่อหน้าผู้อดอาหาร   คิดว่าพวกนี้อดมาหลายวันคงหิวเต็มที   เจออาหารฮ่องเต้เข้าก็คงใจอ่อน ยอมประนีประนอม  กินข้าวอิ่มแล้วก็กลับบ้านไป
ที่ไหนได้นักประท้วงใจเด็ดไม่ยอมแตะโต๊ะจีนท่าเดียว    พล.ต.อ.เผ่าฉุนขึ้นมา   จึงให้ตำรวจไปจับหมาข้างถนนมา 4 – 5 ตัว แล้วยกอาหารที่เตรียมไว้ เทให้หมากินหมด เป็นการประชดประชัน   ก็เหมือนสาดน้ำมันเข้ากองไฟ   นักไฮปาร์คฮือกันขึ้นกระหน่ำ พล.ต.อ.เผ่าเสียไม่มีดี
เหตุการณ์ตอนนี้ ข้อมูลเล่าไว้เป็น 2 แบบ    แบบแรกอย่างข้างบนนี้  แต่แบบที่สอง บอกว่านายพีร์ บุนนาค หนึ่งในผู้ประท้วง แกล้งประชดเอาอาหารไปเทให้หมากินหมด   แต่จะเป็นแบบไหนก็ตาม  ผลก็ตรงกันว่าวิธีเอาอาหารมาล่อให้ล้มเลิกประท้วง ไม่ได้ผล

เหตุการณ์ตอนนี้มีข้อมูล ๒ แบบ

เรื่องที่ ๒ ตามที่คุณเทาชมพูเสนอ คนเทอาหารให้สุนัขกิน คุณเผ่าหรือคุณพีร์ ?

อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องแรก เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นก่อน คือใครเป็นคนสั่งอาหารมาเลี้ยง คุณเผ่าหรือคุณแปลก ?

ข้อมูลแบบที่สองเป็นดังนี้

วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๙ ทองอยู่ พุฒพัฒน์ ดาวไฮด์ปาร์คคนสำคัญได้เริ่มการรณรงค์ประชาธิปไตยตามแบบของตนด้วยการนำการอดข้าวประท้วงรัฐบาลจนกว่าจะมีการยกเลิก ส.ส. ประเภทที่ ๒ ปรากฏว่ามีประชาชนมาร่วมอดข้าวประท้วงกับเขาหลายคน ในวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๙ จอมพล ป. พิบูลสงครามพยายามแก้ปัญหาโดยการสั่งอาหารมาตั้งโต๊ะเลี้ยงผู้ประท้วงอดข้าว แต่พีร์ บุนนาคหนึ่งในผู้ประท้วงแกล้งเอาอาหารไปเทให้สุนัขกินจนหมด ผลก็คือ ตำรวจได้เข้าจับกุมดาวไฮด์ปาร์ค ๑๐ คนขณะที่กำลังอดข้าวประท้วงในวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๙ และตั้งข้อหาดาวไฮด์ปาร์คทั้ง ๑๐ คนว่าเป็น “กบฏภายในราชอาณาจักร” และยังขู่ด้วยว่ากบฏเหล่านี้มีโทษรุนแรงถึงขั้นประหารชีวิต เหตุการณ์นี้ต่อมาถูกเรียกว่า “กบฏอดข้าว”

จาก เว็บสถาบันพระปกเกล้า (http://www.kpi.ac.th/wiki/index.php/%E0%B9%84%E0%B8%AE%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%84)

 ;D