http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3546.15อ่านคคห.ที่๒๒ก่อน แล้วค่อยย้อนไปอ่าน๑ก็ได้นะครับ มีคำถามอะไรเพิ่มเติมก็กรุณาถามได้
ท่านเอม เป็นคนมีใจเป็นกุศลแต่ครั้งแรกรุ่น ชอบตี่นแต่เช้ามาตักบาตรพระที่ท่าน้ำหน้าบ้านเป็นประจำทุกวัน สมัยที่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ทรงผนวชอยู่วัดระฆังโฆษิตาราม ทรงโปรดที่จะพายเรือออกบิณฑบาต เมื่อได้มาทรงรับบาตรที่บ้านของเจ๊สัวบุญมี ทอดพระเนตรเห็นท่านเอมออกมานั่งหัวกระไดคอยตักบาตรพระก็ทรงโปรด แวะเวียนมารับบาตรอยู่ทุกเช้า วันหนึ่งทรงเจตนาปิดผาบาตรงับมือ ท่านเอมตกใจ ปล่อยมือจนทัพพีร่วงหล่นลงน้ำพอได้สติก็ลุกขึ้นวิ่งหายขึ้นไปบนเรือน บ่ายวันนั้นเอง ปรากฏมีขบวนข้าราชการเชิญเครื่องสู่ขวัญและทัพพีทองลงยามาใช้คืนให้ถึงที่บ้าน เจ๊สัวบุญมีจึงได้ทราบว่าพระภิกษุหนุ่มผู้นั้นคือพระองค์ใด และเฝ้าถนอมบุตรสาวไว้รอองค์เจ้าของทัพพีที่พระราชทานมา
ครั้นลาผนวชแล้วสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณีจึงทรงสู่ขอท่านเอมไปเป็นหม่อมห้ามคนแรกของพระองค์ มีหม่อมเจ้าด้วยกันสององค์ เมื่อสิ้นรัชกาลที่๓ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณีขึ้นครองราชเป็นกษัตริย์เสมอพระองค์ เฉลิมพระนามว่าพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว หม่อมเอมจึงได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าจอมมารดาเอม
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯทรงเป็นผู้ที่ถ่อมพระองค์อย่างยิ่ง ทรงระลึกอยู่เสมอว่าการที่ทรงได้รับพระราชทานพระราชอิสริยยศเป็นกษัตริย์เสมอพระเชษฐานั้น เป็นพระมหากรุณาพิเศษอันมิควรนำพระองค์ขึ้นเทียบด้วยประการทั้งปวง ในพระบวรราชวัง ก็มิได้โปรดให้ยกเจ้าจอมท่านใดขึ้นเป็นเจ้าตามสิทธิ์ อันจะทำให้พระโอรสธิดาได้เลื่อนชั้นจากพระองค์เจ้าขึ้นเป็นเจ้าฟ้า เป็นการสร้างปัญหาต่อบ้านเมืองในอนาคตได้ ดังนั้นพระชายาเอก คือเจ้าจอมมารดาเอมจึงยังคงมีสถานะภาพเช่นเดียวกับพระชายาของกรมพระราชวังบวรพระองค์อื่นๆ