ขออภัยหากทำให้คุณพิพัฒน์ไม่สบายใจครับ แต่ผมไม่ได้สนับสนุนว่าจารึกหลักที่ ๑ ปลอมโดย ร.๔ นะครับ
เรื่องไหนผมเห็นว่าไม่แปลกผมก็ตั้งข้อสงสัย(อย่างเรื่องวรรณยุกต์) แต่ถ้าเรื่องไหนพันเข้ามาใกล้ส่วนที่พื้นฐานความรู้ผมจะพอวินิจฉัยได้ เห็นว่าไม่ถูกก็ขอแสดงว่าไม่ถูก โดยมิได้อคติแต่อย่างใด ถ้ามีใครเอาหินรัตนโกสินทร์ไปเทียบกับหลัก ๑ ด้วยวิธีการนี้ แล้วสรุปผลว่าเหมือนกัน ผมก็ต้องค้านอยู่ดี เพราะไม่เห็นด้วยกับวิธีการ ไม่ใช่ไม่เห็นด้วยกับผลครับ
ใครลองตั้งกระทู้ว่าหลัก ๑ ปลอมโดย ร.๔ ก็จะเห็นได้เอง
เรื่องการกำหนดอายุทางโบราณคดีโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์นั้น ขอลงรายละเอียดให้ฟัง เผื่อท่านผู้อ่านที่ไม่คุ้นเคยมาอ่านเจอด้วยนะครับ ท่านผู้ชำนัญการอย่าำเพิ่งสวดว่าผมมาอวดขี้เท่อเลย
วิธีการกำหนดอายุที่ใช้กันมีหลายวิธี วิธียอดฮิตคือ Carbon Dating การกำหนดอายุโดยวัดปริมาณธาตุคาร์บอนในเนื้อวัตถุ
วิธีนี้ใช้หลักธรรมชาติว่า ในสิ่งมีชีวิต จะมีธาตุคาร์บอนเป็นองค์ประกอบหลัก ธาตุคาร์บอนส่วนมากจะอยู่ในรูปปกติ เรียกว่าเป็น C-12 แต่จะมี C-14 ปนอยู่ในปริมาณเล็กน้อย แต่เป็นสัดส่วนกับ C-12 ตายตัว
C-14 นี้เป็นธาตุกัมมันตรังสี จะเสื่อมสลายอยู่ตลอดเวลา ด้วยอัตราการสลายตัวที่แน่นอนค่าหนึ่ง เป็นธรรมชาติของ C-14 เอง เมื่อสิ่งมีชีวิตตายลง สัดส่วน C-14 ต่อ C-12 จึงลดลงเรื่อยๆ เพราะไม่มี C-14 ใหม่มาเติมครับ
วิธีนี้จึงเป็นที่ยอมรับในการกำหนดอายุอินทรียสาร มีความแม่นยำสูงระดับหนึ่งดังที่คุณ pipat ได้ยกตัวอย่างไว้ในคคห.ต้นๆกระทู้นี้ แต่มีข้อระมัดระวังในการใช้คือ อายุที่ได้เป็นอายุนับจากวันที่สิ่งมีชีวิตนั้นตายนะครับ
วิธีเชิงวิทยาศาสตร์อื่นๆที่ใช้กำหนดอายุ ที่ได้เห็นก็มีการดูพิจารณาโดยทิศทางของขั้วแม่เหล็กโลก โดยธรรมชาติ ขั้วแม่เหล็กโลกจะค่อยๆเปลี่ยนทิศทางไปเรื่อยๆในรูปแบบที่นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาจนรู้อย่างแน่ชัด กรณีที่มีหินที่เกิดจากการแข็งตัวของลาวา ในเนื้อหินนั้นมีธาติเหล็กหรือโลหะที่มีคุณสมบัติเชิงแม่เหล็ก ผลึกแร่ในเนื้อหินนั้นจะเรียงตัวตามสนามแม่เหล็กโลก ณ เวลานั้น ถ้าหินนั้นยังอยู่ในที่ไม่ได้ขยับไปไหน หากเราตรวจสอบทิศทางของขั้วแม่เหล็กในหินนั้น เราก็จะสามารถสอบกลับไปถึงเวลาที่เกิดหินนั้นได้ครับ
ที่ยกบางวิธีมานี้จะชี้ให้เห็นว่า การกำหนดอายุโดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์นั้น เขาทำอย่างมีหลักการทางวิทยาศาสตร์รองรับ ผลที่ได้ ผิดถูกเรารู้ว่าความผิดพลาดอยู่ในระดับไหน หรือถ้าผิดหลุดโลกไปเลยจะเกิดเพราะอะไรได้บ้าง
ทีนี้มาดูระเบียบวิธีการวิจัยที่ได้ทำกับหลักที่ ๑ เสียดายที่ผมหาลิงก์รายงานการวิจัยไม่ได้ ขอโยงลิงก์กับไปกระทู้เก่า บทความของ อ.ชัชวาล บุญปัน มาแก้ขัดนะครับ
คคห. 38 กระทู้นี้ครับผู้วิจัยทำการ 2 อย่างดังนี้
1. ถ่ายภาพตัวอย่างด้วยกล้องจุลทรรศน์แบบต่างๆ แล้วเปรียบเทียบดูความแตกต่างของปริมาณแคลไซต์ที่ผิวหิน กับส่วนที่อยู่ด้านในของผิวนั้น (แล้วเรียกว่า expose กับไม่ expose)
2. ใช้เครื่อง Energy Dispersive X-rays Spectrometer มาตรวจวิเคราะห์ปริมาณแร่ธาตุบนผิวของตัวอย่าง ทั้งส่วนที่ expose และ ไม่ได้ expose
ตัวอย่างที่นำมาวิเคราะห์ นอกจากหลักที่ ๑ (ที่เชื่อว่าสร้างราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ หรือ ๒๐) ก็มีจารึกอีก ๓ หลักจากศตวรรษที่ ๒๐ กับ พระแท่นมนังคศิลาบาต ที่เชื่อวา่ร่วมสมัยกับจารึกหลักที่ ๑ โดยทั้งหมดเป็นหินตะกอน (หลัก ๑ เป็นหินทราย ตัวอย่างอื่นเป็นหินทรายบ้างหินชนวนบ้าง)
ทั้งสองวิธีที่นำมาใช้นี้ ไม่ใช่วิธีที่ใช้กันเป็นสากล ไม่มีใครใช้มาก่อน เมื่อไม่มีใครใช้มาก่อน (ท่านผู้ใดสงสัยประเด็นนี้ลองถามน้องกุ๊กเรื่อง archeological dating ดู) ก็เป็นหน้าที่ของผู้วิจัยที่จะพิสูจน์ให้เห็นก่อนว่าวิธีนี้สามารถใช้ได้ครับ
ต้องอธิบายให้ได้ว่าในกระบวนการที่ 1 ที่ส่องดูการลดลงของปริมาณคาลไซต์นั้น มีความหมายอะไรในทางวิทยาศาสตร์
และต้องอธิบายว่าปริมาณธาตุที่ลดลงจากการวิเคราะห์ในกระบวนการที่ 2 นั้น มันบอกได้ว่าจารึกไหนใหม่เก่าอย่างไร
แต่ไม่ว่าการลดลงของสารเหล่านี้มีความสำคัญอย่างไร แต่กระบวนการพวกนี้เป็นกระบวนการสึกหรอทางธรรมชาติที่ไม่ได้กำหนดที่เวลาอย่างเดียว แต่อยู่ที่สภาพแวดล้อมในการเก็บรักษาด้วย หาไม่พวกปลอมวัตถุโบราณคงไม่ปั๊มงาน "ดูเก่า" ออกมาได้คึกคักขนาดนี้ครับ
ที่สำคัญ เมื่อไม่มีการเปรียบเทียบกับจารึกในยุคสมัยอื่นเลย (เพราะหาไม่ได้?) จะบอกได้อย่างไรว่าวิธีนี้ใช้ได้ รู้ได้อย่างไรว่าจารึกสมัยอยุธยา สมัยรัตนโกสินทร์ จะให้ผลที่ต่างจากนี้
นี่แหละครับประเด็นสำคัญ คือขาดกลุ่มควบคุมที่จำเป็นต้องมีในกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
คำตอบจึงออกมาได้แค่ว่า "มีความเป็นไปได้ที่หลักที่ ๑ สร้างในสมัยสุโขทัย"
ซึ่งอันนั้นนักประวัติศาสตร์ก็บอกได้ดีกว่านั้นมาตั้งเป็นร้อยปีแล้วครับ
วิธีสอบอายุแบบนี้ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครใช้อยู่ดี ถึงแม้จะมีโบราณวัตถุรอคิวสอบอายุมากมาย และเชื่อว่าคงไม่ได้ใช้ไปตลอดกาลครับ
และถ้าใครจะทะลึ่งเอาวิธีนี้มาทดสอบกับจารึกสมัย ร.๔ ได้ผลว่าเหมือนกัน แล้วสรุปว่าหลัก ๑ สร้างสมัย ร.๔ อันนี้ผมก็โวยแหลกเหมือนกัน
ปล. กะลังจะโพสต์ เจอคคห.สุดท้ายคุณ pipat ต้องบอกว่า มาก็ไม่กลัวครับ ถ้ามาแปลกๆ เรามาชวนกันชำแหละก็ได้ครับ อิอิ