เรือนไทย

General Category => ทันกระแส => ข้อความที่เริ่มโดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 15, 09:15



กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 15, 09:15
สัมภาษณ์พิเศษ
พิชามญชุ์ เรื่อง เทพฤทธิ์ ภาพ

ในประวัติศาสตร์ มี “ชีวิต”
หม่อมหลวง ชัยนิมิตร นวรัตน

   ในโลกเสมือนที่ใช้เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสก็เข้าถึงได้อย่าง “อินเตอร์เน็ต” เราอาจรู้จักใครบางคนได้อย่างง่ายดาย ผ่านข้อมูล ข่าวสาร หรือแม้กระทั่งตัวตนที่นำเสนอผ่านโลกอินเตอร์เน็ตนี้ โดยเฉพาะผู้ที่ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นเครื่องมือค้นคว้าหาความรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก “Navarat.c” สมาชิกคนสำคัญของ www.reurnthai.com (http://www.reurnthai.com)
        เว็บไซต์เรือนไทยดอทคอมดังกล่าวนี้ เป็นเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลด้านศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ภาษาและวรรณคดี เป็นเสมือนชุมชนเล็กๆที่มีความรู้ให้เก็บเกี่ยวมากมายจากบรรดาสมาชิกผู้รู้และศึกษาประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้ง หนึ่งในนั้นคือ Navarat.c ซึ่งเป็นที่เปิดเผยต่อมาว่าคือ หม่อมหลวง ชัยนิมิตร นวรัตน สถาปนิกอาวุโส และอีกสถานภาพหนึ่งในเวลานี้คือผู้เขียนคอลัมน์ “ประวัติศาสตร์มีชีวิต”ในนิตยสารสกุลไทยขณะนี้
        หากจะกล่าวถึงผลงานในแวดวงสถาปนิก หม่อมหลวง ชัยนิมิตร นวรัตน เป็นสถาปนิกนักบุกเบิกนวัตกรรมใหม่ๆมากมายให้แก่วงการสถาปนิก จนได้รับเลือกให้เป็นศิษย์เก่าดีเด่นของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขณะเดียวกันในด้านหนึ่งของชีวิต นับได้ว่าเป็นผู้ที่มีความสนใจใฝ่รู้ในด้านประวัติศาสตร์ไทยอย่างหาตัวจับยากคนหนึ่ง ดังปรากฎในกระทู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยในชุมชนออนไลน์ต่างๆ เช่น www.pantip.com (http://www.pantip.com) และ www.reurnthai.com (http://www.reurnthai.com) โดยมีผู้สนใจเข้าไปไถ่ถามติดตามอ่านอย่างคึกคัก อาทิ “ศพในโกศ เรื่องที่ทั้งหลายอยากรู้” “ชะตากรรมของพระยาทรงสุรเดช หนึ่งในสี่ทหารเสือคณะราษฎร์” ฯลฯ
         ยิ่งไปกว่านั้น ใน “ประวัติศาสตร์ชีวิต”ส่วนตัวของหม่อมหลวง ชัยนิมิตร นวรัตน ก็นับว่ามีความน่าสนใจอย่างยิ่ง ด้วยความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับหม่อมราชวงศ์ นิมิตรมงคล นวรัตน นักคิด นักเขียนผู้มีอุดมการ และอดีตนักโทษการเมืองผู้ถูกเนรเทศไปอยู่เกาะเต่าจนติดเชื้อวัณโรคเรื้อรัง เป็นเจ้าของผลงาน“เมืองนิมิตร ความฝันของนักอุดมคติ” หนังสือที่ได้รับคัดเลือกเป็น 1 ในหนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน และ 1 ใน 88 หนังสือดีวิทยาศาสตร์ไทย


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 15, 09:19
      หม่อมหลวงชัยนิมิตร นวรัตน เป็นบุตรของหม่อมราชวงศ์ นิมิตรมงคล นวรัตน และ คุณหญิงบรรจบพันธุ์ (สังขดุลย์) นวรัตน ณ อยุธยา ผู้เกิดหลังจากมรณกรรมของบิดาเพียง ๔๕ วัน ชะตาชีวิตในช่วงเวลานั้นปรากฎอยู่ในหนังสือ “ชีวิตที่ลิขิตไว้” ของ คุณหญิงบรรจบพันธุ์ นวรัตน ณ อยุธยาซึ่งเรียบเรียงโดยหม่อมหลวงชัยนิมิตร นวรัตนว่า
      “แม่เล่าว่าแม่รักพ่อเพราะเป็นสุภาพบุรุษ เป็นผู้ดีทุกกริยามารยาท พูดกับแม่ไพเราะ และไม่เคย กล่าวคำหยาบหรือไร้สาระ ไม่เคยรำพันพิลาปเรื่องเคราะห์กรรมที่ผ่านมา ไม่พยาบาทอาฆาต พ่อเป็นนักคิด นักเขียน เป็นนักอุดมคติ และเป็นกวี สามารถกระทั่งอ่านบทกวีของวิลเลียม เชคสเปียร์แล้วแปลออกมาเป็นฉันทลักษณ์ไทยได้โดยทันที แม่บอกว่าแม่แต่งงานกับพ่อเพราะเชื่อว่าลูกจะต้องออกมีอะไรเหมือนพ่อ”
   อาจจะเป็นด้วยสายเลือด หรือชะตาลิขิตก็สุดคาดเดา แต่จากชีวิตสถาปนิกมืออาชีพมาสู่เส้นทางนักเขียนของหม่อมหลวง ชัยนิมิตร นวรัตน นอกจากจะเป็น Navarat.c ในโลกอินเตอร์เน็ตแล้ว ยังเป็นนักเขียนประจำในสกุลไทย และมีผลงานพ็อกเก็ตบุ๊ค “ศพในโกศ เรื่องที่คนทั้งหลายอยากรู้” และ "ริชลิว-นักธุรกิจข้ามชาติ ในมาดนายพลเรือสยาม”พิมพ์รวมเล่มโดยสำนักพิมพ์เพื่อนดี ปรากฎสู่สายตาผู้อ่านแล้วในวันนี้ และ “อดีตชาวสยามผู้ถูกยกย่องให้เป็นบิดาของประเทศมาเลเซีย”ก็เป็นอีกเล่มหนึ่งที่กำลังจะติดตามมา


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 15, 09:21
     บทสนทนาต่อไปนี้คือ การเล่าเรื่องราว “ชีวิต” ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ชีวิตส่วนตัวที่ทำให้ได้รู้จัก Navarat.c มากขึ้นกว่าในโลกเสมือน หม่อมหลวงชัยนิมิตรเริ่มต้นเล่าถึงชีวิตในวัยเยาว์ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญอย่างยิ่งต่อการใช้ชีวิตในเวลาต่อมาว่า
    “ผมเป็นลูกแม่ พ่อผมเสียชีวิตก่อนที่ผมจะเกิด เนื่องจากว่าแม่ทำโรงเรียนอนุบาลสวนเด็ก ซึ่งผมเกิดและเติบโตที่นั่น จึงอาจจะทำให้ผมอ่านหนังสือออกเร็วหน่อย แต่ว่าหนังสือที่ผมชอบอ่านจริงๆคือ พล นิกร กิมหงวน  ความจริงเป็นหนังสือต้องห้ามที่แม่ไม่ให้อ่าน ผมจึงต้องแอบอ่าน เพราะมันสนุก จึงได้อานิสงส์คือทำให้ผมอ่านหนังสือแตก และชอบการอ่าน เมื่อโตขึ้นก็ไปอยู่โรงเรียนประจำที่วชิราวุธวิทยาลัย ที่นั่นมีห้องสมุดดี เป็นห้องสมุดตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ ผมก็ตื่นตาตื่นใจ แรกๆก็ชอบดูรูปก่อน หลังๆก็มาอ่านเรื่อง อ่านแบบลุยอ่านเลย ทีนี้ครูบาอาจารย์ท่านเห็นว่าผมชอบเข้าห้องสมุด ก็เลยตั้งให้เป็นผู้ช่วยบรรณารักษ์ เก็บหนังสือ ทำให้ผมรู้จักหนังสือ รู้ว่าหนังสืออะไรอยู่ที่ไหน แล้วก็อ่านแทบจะหมดทุกเล่มในห้องสมุด แต่อ่านจบหรือไม่จบเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะครับ เล่มไหนไม่ชอบก็วาง
   -ในวัยเด็ก คุณแม่อบรมเลี้ยงดูอย่างไรคะ
   ถึงคุณแม่จะเป็น single mom แต่อยู่ในครอบครัวใหญ่ ตอนผมเกิดก็มีทั้งคุณตาคุณยายอยู่ แล้วก็น้าๆหลายคน ผมก็เป็นหลานคนสุดท้ายของหลานรุ่นใหญ่ของคุณตาคุณยาย หลังจากนั้นอีกตั้ง ๑๖ ปี รุ่นน้าผมถึงมีลูก เพราะฉะนั้นผมเป็นเด็กเล็กที่สุดในครอบครัวตอนนั้น เวลาเขาเล่นฟุตบอลกัน ผมถูกจับเป็นโกล มีครั้งหนึ่งพี่เขาเตะบอลโดนเราเต็มๆจนล้มทั้งยืน เขาก็ไม่ได้ตั้งใจหรอก ผมตกใจร้องไห้วิ่งไปหาแม่ ก็ถูกแม่ตีซ้ำ ให้ออกไปสู้ใหม่ นี่คือวิธีที่แม่ผมเลี้ยงให้เราเข้มแข็ง ที่ให้เราไปอยู่โรงเรียนประจำเพราะต้องการให้เราเข้มแข็ง 


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 15, 09:24
     b]-คุณแม่ได้เล่าเรื่องคุณพ่อให้ฟังบ้างไหมคะ[/b]
   เล่าตลอดเวลา ส่วนใหญ่จะบอกว่าถ้าพ่อยังอยู่นะ ถูกตีแน่ (หัวเราะ) เพราะผมนี่ไม่ได้ครึ่งของพ่อ พ่อเป็นคนเจ้าระเบียบ มีวินัยสูง เพราะท่านเป็นทหาร แล้วที่สำคัญคือเรียนเก่ง ไม่ที่หนึ่งก็ที่สองมาตลอด แม่ก็เหมือนกัน ทำไมผมได้ที่ยี่สิบกว่า โอ้โฮ ไม่รู้จะตอบยังไง ตอบยากจริงๆ (หัวเราะ) แต่ก็นะ...บางวิชาผมก็เคยได้ท็อป เช่น วิชาภาษาไทย
   ...คือแม่ผมแต่งงานกับพ่อ ทั้งๆที่รู้ว่าพ่อผมอายุสั้นแน่ เป็นวัณโรคขั้นนี้ หมอก็บอกว่าอย่าแต่งเลย อยู่ได้ไม่เกิน ๒ ปี แต่แม่ก็ตัดสินใจแต่งเพราะเชื่อว่าลูกจะมีอะไรเหมือนพ่อ คือไปหวังตั้งแต่ผมยังไม่ปฏิสนธิด้วยซ้ำไป แม่เป็นผู้หญิงใจเด็ดมาก เพราะดวงชะตาท่านเป็นอย่างนั้น  คือดวงท่านตัวคนเดียวอยู่แล้ว และโดยอุปนิสัยด้วย ถ้าสมมติว่ามีสามี คงจะไม่ใช่คู่หวานจ๋อย ทั้งพ่อผมเองก็เหมือนกันนะจากที่ฟังแล้ว ชีวิตรักของท่านสั้น ทั้งสองคนต่างก็รู้ว่ามันมีเวลาไม่นาน ท่านก็พยายามถนอมน้ำใจกัน

     -คุณแม่ทำโรงเรียนอนุบาล คงจะให้ความสำคัญกับการศึกษามากนะคะ
     ครับ ตอนผมอยู่ ม.7 ตอนนั้นก็กร่างมาก ผมเป็นหัวหน้าคณะด้วย กิจกรรมนอกหลักสูตรมากไปเลยสอบตก แม่ก็เลยลงโทษผมด้วยการเอาออกจากวชิราวุธ ไปอยู่ที่สาธิตประสานมิตร ๒ ปี ตอนนั้นเขาเปลี่ยนเป็น ม.ศ. ๔ มศ. ๕ ผมเป็นรุ่นแรกที่เป็น ม.ศ. ๔ พอจบ มศ. ๕ ก็เข้าสถาปัตย์ จุฬาฯ เขาเรียนกัน ๕ ปี ผมก็เรียน ๖ ปี ชอบกิจกรรมนอกหลักสูตร ตอนนั้นก็ทำหนังถาปัดปีละเรื่อง ชอบทำกิจกรรมมาก แต่ก็พยายามจะเรียนนะ พอดีเริ่มมีแฟนด้วย แฟนเรียน ๔ ปีก็จบแล้ว เรายังเรียนไม่จบเลย แย่เหมือนกัน กลัวว่าเดี๋ยวถูกชิงรักหักสวาท (หัวเราะ) ผมจีบภรรยาผมตั้งแต่ผมอยู่ ม.๗ ไปเจอกันในงานปีใหม่ ก็เล็งๆเขาอยู่ พอดีมีเต้นรำบอลรูม เราก็เล็งไว้ว่าพอเพลงขึ้นเราก็ไปโค้งคนนี้แหละ วันแรกที่พบกันนี่ ตั้งแต่เพลงแรกจนเพลงสุดท้าย จนเขาปิดเวที ตั้งแต่ ๒ ทุ่มถึงตี ๑ ไม่ได้ลงจากเวทีเลย (หัวเราะ)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 15, 09:26
     ภรรยาชื่ออังศุธร ชื่อเพราะ แค่ชื่อก็ปิ๊งแล้ว ชื่อเขาพระองค์เจ้าวรรณไวทยากรทรงตั้งให้ ตอนนั้นเขาเรียนอยู่เตรียมอุดม แล้วก็ไปเข้าบัญชี จุฬาฯ อายุเราเท่ากัน พอปีหนึ่งผมสอบตกอีก ตอนนั้นอยากจะเอาหัวทิ่มดิน แต่ก็จบมาได้ ยังมีความรักดีอยู่ พอจบแล้วก็บวชเรียน แต่งงาน
     ตอนที่เรียนหนังสือผมก็เรียนพอให้ผ่าน ไม่ได้หวังจะได้เกียรตินิยม ซึ่งตรงข้ามกับพ่อ แม่ผมผิดหวังมากเรื่องการเรียนผม แค่เอาตัวรอด แต่เราเห็นโลกมากกว่า เห็นทั้งนรกสวรรค์ทุกเรื่อง แต่ไม่ได้ชั่วช้านะครับ แบบว่าสนุกซุกซนไปทุกเรื่องเท่าที่เด็กผู้ชายจะพาตัวเองไปได้

     -เรียนจบแล้ว ได้ทำงานในวิชาชีพสถาปนิกไหมคะ
     จริงๆแล้วทำก่อนจบด้วยซ้ำ สถาปัตย์จบที่ ๔ ปีครึ่ง ถ้าผ่านเทอมสุดท้ายก็ทำ thesis ตอนนั้นผมก็ชวนอาจารย์(ร.ศ.มานพ พงศทัต) ถามว่าอาจารย์มีออฟฟิศหรือยัง ท่านก็ว่ายังไม่มี ผมก็บอกว่าอาจารย์ตั้งสิ ผมจะทำให้ทุกอย่างเลย ขอชื่อเท่านั้นเอง อาจารย์ก็เอาด้วยนะ ถามว่าใช้เงินเท่าไร ผมบอกสัก ๕๐,๐๐๐ ก็พอ ลงทุนคนละ ๒๕,๐๐๐ ผมก็ขอแม่ผมมา แล้วก็ไม่ต้องขออีกเลย
      พอดีมีรุ่นพี่วชิราวุธ คือ อาจารย์ชัยอนันต์ (ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช)  เปิดออฟฟิศรับทำงานวิจัย มีพวกอาจารย์มหาวิทยาลัยเยอะแยะอยู่ชั้นล่าง ชั้นบนไม่ได้ใช้ ก็เลยให้ผมใช้ บริษัทที่เริ่มต้นด้วยเงิน ๕๐,๐๐๐ ตอนนี้ยังอยู่ ชื่อบริษัท Four Aces Consultants ชื่อมันเป็นนักเลงไพ่ไปหน่อยเพราะตอนนั้นผมกับอาจารย์มานพเล่นบริดจ์กัน แล้วก็มีคนทำงาน ๔ คน ตอนนั้นนึกว่าชื่อมันโก้นะ (หัวเราะ)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 15, 09:42
     พอเปิดบริษัท ผมก็ได้งานใหญ่เลย ตอนนั้นถูกผู้อาวุโสท่านหนึ่งดึงไปอบรมสมาคมฝึกการพูด ในหลักสูตรมีให้ไปกล่าวถึงชีวิตของตัวเองคนละ ๕ นาที เกิดมีท่านหนึ่งซาบซึ้งกับเรื่องที่ผมพูดมาก ท่านก็บอกว่าท่านกำลังจะทำโรงเรียนอนุบาลอยู่ในหมู่บ้านเสรีที่รามคำแหง ตอนนั้นต่อมาเป็นหมู่บ้านใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จะให้ผมนี่แหละออกแบบเพราะผมเล่าว่าผมคลอดในโรงเรียนอนุบาล เลยได้งานออกแบบชิ้นแรกคือโรงเรียนอนุบาลวิมลทิพย์ ต่อมาโรงเรียนนี้ได้เป็นโรงเรียนตัวอย่างที่ออกแบบดีเด่นในพื้นที่ตามกำหนดของกระทรวงฯ
    ตอนที่ผมไปทำโรงเรียนอนุบาลในหมู่บ้านเสรี มีบ้านอยู่แค่ ๒๐ หลัง แล้วกำลังประสบปัญหาเยอะแยะเลย ฝนตก น้ำรั่ว  ท่านเจ้าของโครงการก็ถามผมว่าแก้ปัญหาได้ไหม ผมก็ตามอาจารย์มานพมาแก้ โอเค แก้ได้ เปลี่ยนแบบอะไรต่ออะไรให้ ล็อตใหม่ฝนไม่รั่วแล้ว ก็ทำมาตลอดจนหมู่บ้านเสรีกลายเป็นหมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยไป ขณะเดียวกันก็ได้งานหมู่บ้านจัดสรรมาเยอะมาก เช่น หมู่บ้านสวนสน  หมู่บ้านอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่กำแพงแสน ซึ่งโปรเจ็คนี้ ธนาคารโลกเป็นผู้สนับสนุนทางการเงิน มีข้อกำหนดหลายอย่างทั้งงานวิศวกรรมทุกระบบ ก็เลยได้ร่วมงานกับวิศวกรสุขาภิบาลท่านหนึ่งซึ่งก็เป็นรุ่นพี่ผมที่วชิราวุธ วันหนึ่งไปกินข้าวกัน เขาก็เอาน้ำใส่ขวดใสๆมาเปิดดมอวด บอกว่าน้ำนี่มาจากถังส้วมที่บำบัดแล้ว ระบบนี้ใช้ได้จริงๆ ญี่ปุ่นกำลังมองหาหุ้นส่วน ก็เลยพาไปหาคุณสุวิทย์ โอสถานุเคราะห์ เจ้าของหมู่บ้านเสรี ท่านสนใจ ตกลงในหลักการว่าทำ ผมก็เลยวางมือจากบริษัทโฟรเอส แล้วก็มาตั้งบริษัทใหม่ให้ท่าน ผลิตถังแซทส์ ระบบบำบัดน้ำเสียสำเร็จรูปสำหรับครัวเรือน หลังจากนั้นก็มีผลิตภัณฑ์อื่นที่ผมเป็นคนนำเข้ามาผลิตตามมาเยอะแยะเลย เช่น ถังน้ำไฟเบอร์กลาสพีพี หลังคาเหล็กขึ้นรูปกับที่ เป็นต้น

        -มีความสุขกับชีวิตการเป็นสถาปนิกไหมคะ
        ที่ผมเลือกเรียนสถาปัตย์เพราะแม่ล้างสมองผมตั้งแต่เด็ก (หัวเราะ) ตอนแรกล้างสมองว่าอย่ารับราชการ ให้ทำงานอิสระ ตอนหลังเห็นว่าผมมีฝีมือทางวาดเขียน ก็บอกให้เรียนสถาปัตย์ เพราะไม่มีนาย เราเป็นนายของตัวเองดี แต่ไม่จริงหรอกครับ โอ้โฮ โครตมีนายเยอะเลย ออกแบบให้บ้านหลังเดียว เป็นนายผมตั้งแต่พ่อแม่ แล้วก็ลูกๆ (หัวเราะ) ไม่แฮปปี้ 


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 15, 09:44
     ช่วงอยู่โฟร์เอส ผมเป็นกรรมการผู้จัดการ มันก็กลายเป็นเรื่องบริหารไป ในช่วงแรกๆมันสนุก แต่ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีเราก็เครียด ทำให้มันดีไซน์ไม่ออก ตอนหลังๆกลับไปทำก็ต้องรื้อฟื้นใหม่ แต่ไม่ทันเขาหรอก เดี๋ยวนี้ยิ่งไม่ทันใหญ่ ตามเขาแฟชั่นไม่ทัน ทำไมทำตึกเอียงๆ งง มันมีเหตุผลอะไร ผมมันสถาปนิกแผนโบราณ คิดแบบโบราณ อย่างบ้านก็ออกแบบให้ฝนไม่รั่วก่อนละ หลังคาใหญ่ๆเข้าไว้ ไม่มีแอร์ก็อยู่ได้
    ผมก็เรียกตัวเองว่าเป็นสถาปนิกนะครับ คือสถาปนิกมันกว้างกว่าแค่เป็นผู้ออกแบบบ้านนะ ผมออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับวงการสถาปัตยกรรม ผมก็เป็นสถาปนิก ผมได้รับเลือกเป็นนิสิตเก่าดีเด่นของคณะสถาปัตย์ฯ ก็เพราะเรื่องนี้ เพราะเป็นผู้บุกเบิกในเรื่องอะไรประหลาดๆเข้ามาแนะนำให้กับวงการ และติดตลาดใช้กันอยู่
 
     -ทราบว่าอาจารย์เคยเป็นสถาปนิกผู้ออกแบบรายาวดี รีสอร์ทที่จังหวัดกระบี่ซึ่งโด่งดังมากในยุคหนึ่ง
     ผมทำงานกับบริษัทพรีเมียร์ โพรดักส์ ผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง ทำอยู่ ๑๐ ปี ก็พอดีมีเหตุว่าแม่ผมเป็นอัมพาตได้สักพัก โรงเรียนก็ไร้เรือธง ตอนนั้นเกิดใต้ฝุ่นชื่อเอลซี่ น้ำท่วมโรงงานผมอยู่ ๖ เดือน ก่อนหน้านั้นคุณสุวิทย์ก็เสีย ครอบครัวก็ยังไม่ได้จัดการปัญหาธุรกิจอะไร บริษัทก็ค่อนข้างเดือดร้อน พอน้ำแห้งก็ยังไม่มีการตัดสินใจอะไร ผมก็เลยลาออก เพราะมีภาระที่ยิ่งใหญ่คือไปรักษากิจการของแม่ ก็ลาออกไปเป็นผู้บริหารโรงเรียนอนุบาลสวนเด็ก จนฟื้นขึ้นมาได้ ก็ให้ภรรยาทำต่อ หลังจากนั้นผมก็กลับไปโฟร์เอส คิดทำโครงการของผมเอง แล้วมีโอกาสไปลงทุนซื้อที่ที่กระบี่ ตอนนั้นคนกรุงเทพแทบจะไม่รู้จักว่ากระบี่อยู่ที่ไหน แต่ที่ไปเพราะไปช่วยเพื่อนที่เขาจะทำบังกะโล เพื่อนก็พาไปเที่ยวหาดพระนางซึ่งสวยมาก ผมจึงซื้อที่สวนมะพร้าวมีเอกสารสิทธิ เป็นแหลมเล็กๆที่มีถึงสามหาด 


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 15, 09:47
     พอซื้อมาก็ทำบังกะโล เพื่อเรียกพวกฝรั่งสะพายเป้เข้าไปก่อน การได้ที่ดินตรงนี้มาเหมือนกับได้เพชรดิบๆ แต่ผมจะเจียระไนให้มันเป็นเพชรประดับมงกุฎให้ได้ โดยจะต้องทำเป็นโรงแรมให้ถึงระดับห้าดาว  ๒ ปีแรกทำบังกะโลเพื่อซื้อเวลาสำหรับเตรียมโครงการ พอบังกะโลผุก็พอดีกับที่ผมนำโครงการกลับไปร่วมทุนกับกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ ใช้ที่ดินเป็นทุน ทำโรงแรมรายาวดีขึ้นมา จุดเด่นของที่นั่นคือผมไม่ตัดต้นมะพร้าวสักต้นเลย นั่งคิดอยู่นานเลยว่าจะมีสถาปัตยกรรมอะไรที่จะเข้าไปอยู่ในนั้น ต้นมะพร้าวมันถูกปลูกไว้เป็นตารางหมากรุก  ช่องว่างมีเฉพาะระหว่างต้นมะพร้าว ผมดีไซน์อาคารออกมาเป็นทรงกลม ไม่ได้ดัดจริตอยากให้มันหวือหวา แต่พอกลมแล้วมันมีความคล่องตัว หมุนวางผังให้หน้าต่างหันหน้าเห็นวิวทะเลทุกหลัง ถ้าเป็นสี่เหลี่ยมมันจะระเกะระกะไปหมด โรงแรมนี้ได้รางวัลเรื่องสิ่งแวดล้อมหลายรางวัล รวมทั้งรางวัลดีเด่นระดับอาเซียนด้วย

    -ถือว่าประสบความสำเร็จในฐานะสถาปนิกนะคะ
   ระดับหนึ่งเท่านั้นครับ ผมไม่ได้มีผลงานอะไรมากมาย แต่ผมพูดได้เลยว่าสถาปนิกเดี๋ยวนี้ให้เวลากับงานออกแบบไม่มากเท่าที่ผมเคยทำ เพราะเวลาเขาเป็นเงินเป็นทอง ไม่มีเวลามานั่งแก้แบบ ของผมแก้แล้วแก้อีก อย่างรายาวดีอาคารทุกหลังผมไปนั่งเล็งหมดเลยว่าจะหันหน้ายังไง ผมทุ่มกับมันจริงๆ รายาวดีก็ประสบความสำเร็จมาก แต่ถึงจุดหนึ่งผมก็ต้องขายหุ้นของผมทั้งหมด แล้วก็ไม่ย่างเท้ากลับไปอีก ผมเคยคิดว่าวันหนึ่งมันต้องถึงจุดนั้นนะ เราต้องทำใจไว้ ผมไปตั้งแต่ตอนที่มันยังรกเป็นป่า ไม่มีคนเลย วันหนึ่งพอกระบี่ดังขึ้นมา คนเต็มไปหมดเลย มีทั้งความสกปรก เห็นแก่ตัว เราจัดที่ทางกำหนดโซนให้จอดเรือหางยาวจอดเขาก็ไม่ยอมจอด ผมไปยืนไหว้ให้ไปจอดที่จัดไว้ ยังไม่ไปเลย  ไม่รู้จะทำยังไง ผมทนเห็นไม่ไหว ตอนผมไปเกาะพีพีแรกๆ มีบังกะโลอยู่แล้วก็จริง แต่ก็ไม่ได้ทุเรศเหมือนทุกวันนี้ นี่คือมุมมองของผมนะ แต่ในมุมมองของคนที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย  เขาก็...โอ้โฮ สวรรค์ เพราะเขาไม่เคยเห็นเมื่อครั้งกระนั้น โอเค มันเป็นเรื่องของกาลเวลา แต่คนอย่างผมก็ต้องเป็นคนที่ถอยออกไป ให้คนอื่นเขามาแทนที่ แต่ก็ไม่อาลัยอาวรณ์นะครับ จบก็คือจบ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 15, 09:50
      พอวางมือจากรายาวดี ผมนึกว่าผมจะรีไทร์ละ อายุประมาณ ๕๕  พอเอาเข้าจริงก็รีไทร์ไม่ได้ เหมือนฟ้าลิขิต ออกมาปั๊บงานอื่นก็เข้าปุ๊บ ก่อนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ผมไปค้ำประกันบริษัทหนึ่งไว้ เป็นบริษัทผลิตใยปาล์ม คือคนมาเลเซียเอา know how มาร่วมลงทุนกับคนไทย เพื่อนผมมาขอให้แนะนำคนที่กระบี่ เพราะเขาอยากลงทุนที่นั่น ตอนหลังเขาให้ช่วยเป็นคนกลางเข้ามาถือหุ้นซัก 6 เปอร์เซ็นต์ พอบริษัทต้องกู้เงินเพื่อสั่งซื้อเครื่องจักร ผมก็ต้องเซนต์ค้ำประกันกับเขาด้วย ปรากฏว่าวันที่กู้ ดอลลาร์ละ 25 บาท พอค่าเงินล่มสลาย วันที่ตัดบัญชีรูดลงไปถึง 52 บาท หนี้เพิ่มมา 2 เท่า ผู้ถือหุ้นยอมปล่อยให้เป็นหนี้เสีย บริษัทถูกธนาคารฟ้อง ผมก็แย่ไปด้วยในฐานะผู้ค้ำประกัน ถูกเล่นงานคนเดียว แพ้คดีสองศาล เลยยอมแพ้ขอเจรจายอมความเป็นผู้ชำระหนี้แทนบริษัท เจ้าหนี้ก็ยอมลดหนี้ให้ครึ่งหนึ่ง ผมก็เลยได้โรงงานนี้ติดมือมาแบบทุกขลาภ
      โดยที่เนื้อหาของโรงงานมันไม่ได้เลวร้าย ปลุกปล้ำอยู่สองปีสุดท้ายผมก็พัฒนาเอาใยปาล์มที่ผลิตได้มาทำผลิตภัณฑ์เรียกว่า ผ้าห่มดิน ใช้สำหรับป้องกันการกัดเซาะหน้าดิน โชคดีมาก พอผลิตได้ก็มีโอกาสได้ทูลเกล้าถวายสมเด็จพระเทพรัตน์ฯ คือผมได้นำผ้าห่มดินไปขอให้ A.I.T.ทดสอบ อาจารย์ที่นั่นพอเห็นแล้วเลยนำผมไปเฝ้าพระองค์ที่โรงเรียนตชด.ที่ระเมิง จังหวัดตาก สมเด็จท่านพระราชทานเงินให้สร้างอาคารเรียนหลังใหญ่บนยอดเนิน ซึ่งหน้าดินได้ถูกฝนกัดเซาะอย่างน่ากลัวจะพังลงมา ผมจึงมีโอกาสได้ทดสอบผลิตภัณฑ์ในโครงการใหญ่ครั้งแรก และเป็นผลสำเร็จ ผลิตภัณฑ์ผ้าห่มดินของผมจึงถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างน่าภาคภูมิใจยิ่ง


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 15, 09:52
        ต่อมาได้โปรดเกล้าให้นำไปใช้ที่พระตำหนักภูฟ้า และในคราวที่เกิดดินถล่มที่อำเภอลับแลก็ทรงให้มูลนิธิชัยพัฒนานำไปทำโครงการนำร่องสำหรับการฟื้นฟูธรรมชาติในพื้นที่เสียหาย ธุรกิจใหม่ของผมจึงลุกขึ้นเดินได้แต่บัดนั้น ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้น
   
        มาเริ่มเขียนหนังสือได้อย่างไรคะ
   ระหว่างที่ทำธุรกิจผ้าห่มดิน ได้เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองเมื่อปี ๒๕๕๓  ธุรกิจผมก็ชะงัก แทนที่ผมจะนั่งเครียด ผมก็เขียนหนังสือ พอดีเป็นจังหวะที่ตอนนั้นมีงานออกพระเมรุสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ  คือ ผมได้มีโอกาสเข้าไปชมพระเมรุมาศเป็นคนแรกๆ แล้วก็ถ่ายรูปมา จากนั้นก็เอาไปเขียนเรื่องลงในเว็บพันทิป ตั้งแต่ยังไม่มีใครเคยเห็นความอลังการ ก็เป็นที่ฮือฮา จากเรื่องนั้นมาผมก็มาต่อด้วยเรื่องศพในโกศ เลยชักสนุก ก็เล่นในพันทิปอยู่สองสามปี จนกระทั่งอาจารย์วินิตา (รศ.ดร.คุณหญิงวินิตา ดิถียนต์) โทรมาชักชวนให้ไปเขียนที่เรือนไทย (www.reurnthai.com (http://www.reurnthai.com)

       หลังจากนั้น ผมก็เขียนประจำในเว็บเรือนไทย ตอนหลังบ้านเมืองเลิกวุ่นวายแล้ว งานการก็เริ่มเข้ามา ผมก็ยังติดลมอยู่ แต่บอกอาจารย์วินิตาไปหลายทีแล้วว่าจะถอนตัว (หัวเราะ) แต่อาจารย์มีทริคที่จะทำให้ผมเขียนต่อ จังหวะผมทำงานร้อยปีชาตกาลของพ่อผม ก็ส่งหนังสือให้ท่านเล่มหนึ่ง ท่านก็วิจารณ์หนังสือพ่อผมในเรือนไทยเลย ทิ้งคำถามไว้บ้างอะไรบ้าง ผมก็ต้องเข้าไปขยายความ ก็ไปพาดพิงคณะราษฎร แล้วก็มีคนเข้ามาถามถึงพระยาทรงสุรเดช ผมก็บอกว่าผมติดไว้ก่อนละกัน พอจบเรื่องนั้น ก็นึกได้ว่ามีเรื่องพระยาทรงฯค้างอยู่ ทีนี้ล่ะไปโลดเลย เป็นซีรีส์ใหญ่ คือผมมีหนังสือเยอะเกี่ยวกับเรื่องตั้งแต่ ๒๔๗๕-๒๕๐๐ หนังสือก็มาจากการซื้อ ของพ่อมีส่วนหนึ่งแต่น้อย หนังสือเกี่ยวกับ ๒๔๗๕ ก็มีหลายเวอร์ชั่น ผมก็ดูว่าเรื่องไหนน่าเชื่อถือก็เอามาเขียนโดยสุจริตใจ ไม่มีอคติ พยายามทำใจให้เป็นกลาง


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 15, 09:53
      -ความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์เริ่มต้นมาจากตรงไหนคะ
   ตั้งแต่เด็ก พงศาวดารทุกเล่มผมอ่านหมด ตอนแรกก็อ่านนวนิยายอะไรต่างๆด้วย ตอนหลังๆมาเห็นว่านวนิยายเป็นแค่เรื่องแต่ง เรื่องจริงในประวัติศาสตร์บางเรื่องมีรสชาติยิ่งกว่านิยายอีก แต่มันก็เสียอย่างหนึ่งว่าเรื่องราวประวัติศาสตร์มันมีอยู่จำกัด แค่ปริมาณหนึ่งเท่านั้น หมดแล้วหมดเลย เดี๋ยววันหนึ่งผมก็ตัน ไม่รู้จะเขียนอะไรแล้ว

        -อาจารย์มีวิธีการค้นคว้าหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์อย่างไร
   ผมไม่เคยเรียนประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัย ผมจึงเป็นแค่นักเล่านิทานประวัติศาสตร์ให้คนฟังก็แล้วกัน เล่าสนุกๆเด็กๆจะได้อยากฟังด้วย ถ้าไปสอนเป็นวิชาการเดี๋ยวเด็กๆหลับหมด คุณอย่าเอาที่ผมเขียนไปอ้างอิงนะครับ เพราะผมไม่ใช่อาจารย์ ไม่ใช่เขียนแบบนักวิชาการ แต่ผมเป็นนักเล่านิทานที่เล่าเรื่องที่ผมเชื่อว่าจริง เรื่องนี้เชื่อเพราะเหตุนั้นเหตุนี้
   การค้นคว้า ผมค้นจากหนังสือและอินเตอร์เน็ต อินเตอร์เน็ตนี่เปิดโลกอย่างมหัศจรรย์ ผมเป็นหนี้บุญคุณอินเตอร์เน็ตเหลือจะกล่าว อย่างเรื่องผ้าห่มดิน ผมได้ความรู้ตรงนี้มาจากอินเตอร์เน็ต ส่วนเรื่องประวัติศาสตร์ แรกๆที่ผมเล่นอินเตอร์เน็ต เอาคีย์เวิร์ดภาษาอังกฤษใส่เข้าไป ได้เรื่องได้ราวออกมาเยอะเลย อย่างริชลิว ใช้ google translation ช่วยใส่ให้เป็นภาษาเดนมาร์ก โอ้โฮ คราวนี้ถึงกับมันส์หยด  google translation นี่แปลเป็นภาษาไทยใช้ไม่ได้เลย แต่ถ้าแปลเป็นอังกฤษนี่เยี่ยมยอด พอได้ภาษาอังกฤษมา ก็เลยค้นคว้าต่อได้


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 15, 09:54
        ส่วนการใช้หลักฐานอ้างอิงในการค้นคว้า ผมดูหลักฐานปฐมภูมิเป็นหลัก แต่ถึงกระนั้นก็ต้องดูด้วยว่าคนเขียนมีอคติหรือเปล่า ผมให้น้ำหนักกับหลักฐานปฐมภูมิมาก แต่เมื่อได้มาแล้วก็ต้องเปรียบเทียบปฐมภูมิกับปฐมภูมิด้วยกันว่าอันไหนน่าเชื่อถือ ต้องให้น้ำหนักกับคนที่พูดด้วย
   สำหรับคนที่สนใจประวัติศาสตร์นี่ การหาข้อมูลนี่มันเป็นกิเลสอยู่เรื่อย เหมือนพวกนักสะสมของ ได้ตัวนี้มาแล้วก็ยังขาดตัวนี้ ต้องหามาให้ได้ เท่าไรก็ยอม มันคล้ายๆอย่างนั้น

       -เรื่องศพในโกศเป็นเรื่องแรกที่ตีพิมพ์ในสกุลไทย มีแรงบันดาลใจอย่างไรและหาข้อมูลอย่างไรคะ
   ที่พระเมรุมาศสมเด็จพระพี่นางฯ ผมได้เห็นเขาพัฒนาเตาสมัยใหม่สำหรับที่จะเผาโลงพระศพ ขนาดเจ้านายระดับสูงยังเลือกที่จะนอนโลง แล้วโกศเป็นอย่างไรเล่า ผมสงสัยก็กลับมาค้นคว้า แต่ยังไม่ได้รู้ชัดเจน ก็เลยโยนเรื่องนี้ลงไปในกระทู้ ความหมายของกระทู้คือคำถาม ตั้งคำถามขึ้นมา ใครจะแสดงความเห็นก็ใส่เข้ามา มาถกเถียงกัน แต่ถึงจุดหนึ่งก็ตัน เพราะไม่มีใครรู้จริง คนที่รู้เรื่องนี้ถ่องแท้ก็คือพวกภูษามาลา ผมก็ต้องไปพบเจ้าพนักงานภูษามาลาให้ได้ จึงได้รู้ว่าวิชานี้เขาไม่เขียนเป็นตำรา ไม่ยอมให้ถ่ายรูป เรียนรู้ด้วยการปฏิบัติ คนรุ่นเก่าก็ถ่ายทอดกันมาอย่างนั้น ภูษามาลาเป็นหน่วยงานหนึ่งในสำนักพระราชวัง เจ้าพนักงานภูษามาลาอาวุโสจะเป็นผู้ถวายการตัดพระเกศาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตามธรรมเนียมแต่โบราณ ตำแหน่งภูษามาลาเป็นตำแหน่งที่จัดการเรื่องส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ทั้งหมด


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 15, 09:55
        ตอนที่ผมไปพบ ก็เรียนท่านตามตรงว่าควรจะเปิดเผยบ้างดีกว่าให้คนไปเดากันผิดๆ เช่นว่ามีการใช้เหล็กแหลมสวนทวาร มันจะยิ่งไปกันใหญ่ แต่ก็ถือว่าท่านเมตตามากที่ได้ให้รายละเอียด ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ยอมให้มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรไว้เลย

       -ขอถามถึงเรื่องนิราศกรมหมื่นสถิตย์ ว่าด้วยวิกฤตวังหน้าที่เพิ่งจบไป เรื่องนี้เขียนขึ้นเพราะอาจารย์มาจากเชื้อสายวังหน้า?
   พ่อผมมีศักดิ์เป็นหลานปู่ของพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเนาวรัตน์ กรมหมื่นสถิตย์ธำรงสวัสดิ์ นิพนธ์นิราศนี้ พระองค์ท่านเป็นสายบุ๋น ทำงานในหอพระสมุด เป็นบรรณาธิการหนังสือวชิรญาณอยู่พักหนึ่ง 
         พอท่านสิ้นลูกหลานไปเปิดตู้เจอนิราศนี้เข้า ตอนนั้นก็คัดลอกกันต่อๆมาด้วยลายมือ แต่ฉบับที่ผมได้มานี้เป็นฉบับพิมพ์ดีดแล้วโรเนียวแจกในวันเกิดคุณอาท่านหนึ่ง ผมได้มาตอนที่ผมเรียนมหาวิทยาลัย อ่านแล้วก็ไม่ซึ้ง เพราะไม่เข้าใจเรื่องราวที่ท่านเขียน  คือถ้าไม่มีบรรยายประกอบ ไม่มีทางที่ผู้อ่านจะเข้าใจ มันเป็นยังไงมายังไงกัน ตอนนั้นรู้เพียงว่าเกี่ยวข้องกับปัญหาวิกฤติวังหน้า เสด็จทวดเราไปเกี่ยวกับเขาด้วย มันก็ดูไม่เป็นมงคลเท่าไร ไม่ใช่เรื่องน่าโอ้อวด ผมได้มาแล้วก็เก็บไว้เฉยๆนานมาก จนกระทั่งในเว็บเรือนไทยมีกระทู้ของอาจารย์วินิตา เรื่องกรมพระราชวังบวรวิเศษไชยชาญ วังหน้าองค์สุดท้ายของสยาม ก็มีคนเข้ามากล่าวถึงเรื่องกรณีวางเพลิงในวังหลวง สงสัยว่าจะเป็นฝีมือวังหน้า
       ตอนที่อาจารย์ขึ้นกระทู้นี้มา ผมไม่เข้าไปเลย เพราะรู้แล้วว่าเดี๋ยวจะต้องมีคนเข้ามากล่าวหาวังหน้าในเรื่องนี้ ถึงจุดหนึ่งผมก็เอานิราศกรมหมื่นสถิตย์ฯ มาลงเปรียบเทียบกัน สังคมสมัยใหม่เขารับรู้ข้อมูลอย่างไรก็ว่ากันไป แต่อันนี้เป็นข้อมูลอีกด้านหนึ่งของวังหน้า จะมองว่าเป็นข้อแก้ตัวก็ได้ อาจารย์วินิตาไม่รู้ว่าผมมีหนังสือที่ว่านี้ ก็ตื่นเต้นว่านี่มันเป็นเอกสารปฐมภูมิ ไปๆมาๆกระทู้นี้เลยยาวกว่ากระทู้แรก


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 15, 09:56
       ผมคิดว่าเป็นงานสั่งที่ผมจะต้องทำในฐานะที่เป็นสมาชิกราชสกุลสายพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ท่านไม่ใช่บรรพบรุษสายตรงของผมก็จริง แต่ในเมื่อผมเป็นเชื้อสายวังหน้า เห็นท่านโดนสาดโคลนไว้เยอะในอดีต ผมก็อยากจะล้างถวาย เขียนเรื่องนี้จบผมก็คิดว่าหมดพันธะแล้ว

      -ถ้าเรียนถามว่า ความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่ค้นคว้ามานั้น มีคุณค่าอะไรกับตัวเองและคนอื่น
   เป็นคำถามที่ดีมาก แต่ตอบยากที่สุดเลย ผมกำลังสับสนในตัวเองเหมือนกันว่า ความรู้ทางประวัติศาสตร์ของผมมันมีประโยชน์อะไร ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ผ่านไปแล้ว แล้วก็จบไปแล้ว บางคนอาจจะรู้สึกว่ามาฟื้นฝอยหาตะเข็บกันทำไม ในยุคสมัยใหม่มันมีความรู้เกิดขึ้นเยอะแยะมากเลยที่ทุกคนจะต้องตามให้ทัน มันไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างเป็นหนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง แต่เป็นตัวเลขทวีกำลัง ความเจริญของโลกมันเร็วมากเสียจนประวัติศาสตร์ไม่มีโอกาสเข้าไปแย่งพื้นที่สมองของคนรุ่นใหม่ อย่างลูกผม เขาไม่สนใจอ่านเรื่องประวัติศาสตร์ แต่ถ้าพูดแบบให้ความยุติธรรมต่อเขา คือเขาอาจจะมีเรื่องอื่นที่เขาต้องสนใจมากกว่า ในที่สุดเรื่องประวัติศาสตร์ก็เหมือนกับเป็นวิชาเลือก บางคนวาดเขียนเก่ง ดีไหม ดี เพราะจรรโลงจิตใจคน แต่คุณจะไปบังคับให้คนเขามาเขียนรูป หรือมาชื่นชมก็ไม่ได้ ประวัติศาสตร์ยิ่งหนักไปกว่าเขียนรูปอีก


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 15, 09:58
       สำหรับผมเอง อย่างที่บอกว่าผมอ่านทุกอย่าง แต่ประวัติศาสตร์สำหรับผมมันเป็นเรื่องจริงที่อ่านแล้วมันส์ สนุกกว่าเรื่องแต่งอีก มันมีประโยชน์แน่ แต่มันจะตอบสนองความต้องการของคนยุคใหม่หรือเปล่า เช่น ถ้ามันมีประโยชน์แบบ...ทำให้เกิดความรักชาติ ซึ่งถ้ามองจริงๆแล้วความรู้สึกรักชาตินี่มันทำให้เกิดชาตินิยม เราก็ไปดูถูกเพื่อนบ้านเพราะคิดว่าเราแน่กว่าเขา อย่างนี้เป็นเพราะประวัติศาสตร์ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นประวัติศาสตร์ต้องควบคู่ไปกับทิศทางอื่นด้วย ต้องสร้างวุฒิภาวะในการคิดให้แก่คน
   หม่อมหลวง ชัยนิมิตร นวรัตน นิยามตนเองว่าเป็น “นักเล่านิทานประวัติศาสตร์” ซึ่งนับว่าเป็นนักเล่าที่เล่าเรื่องได้สนุกสนานน่าติดตามจนประวัติศาสตร์นั้น มี “ชีวิต”โลดแล่นขึ้นมาในหน้ากระดาษ เป็นเรื่องราว เป็นอุทาหรณ์ให้ผู้คนได้ใคร่ครวญขบคิด ดังข้อสรุปที่ว่า
   “ผมสรุปว่าประวัติศาสตร์ก็เป็นแค่นิทานสำหรับผมนะครับ มันมีพื้นฐานมาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้น แต่อย่าไปซีเรียส ฟังสนุกๆ แล้วอย่าทำผิดพลาดแบบประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เป็นบทเรียนอย่าให้ทำผิดอย่างเดิมๆอีก”


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ต.ค. 15, 10:20
ขอบพระคุณท่านอาจารย์ใหญ่มากครับ กรุณาลงโฆษณาประชาสัมพันธ์ผมเสียหลายหน้า


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 15, 10:34
ไม่เป็นไรมิได้ค่ะ  จะให้วางบิลล์ที่ไหนดีคะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ต.ค. 15, 10:43
ที่สำนักพิมพ์เพื่อนดีเลยครับ เพราะเขาเป็นผู้ขายหนังสือ ค่าลิขสิทธิ์ของผมแค่ซื้อหนังสือไล่แจกเพื่อนฝูงญาติโกโหติกาก็หมดแล้ว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 15, 10:45
ค่าลิขสิทธิ์ของผมแค่ซื้อหนังสือไล่แจกเพื่อนฝูงญาติโกโหติกาก็หมดแล้ว

คำนี้น่าสนใจมากๆ สำหรับเพื่อนฝูงในเรือนไทย


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 28 ต.ค. 15, 11:24
          “ผมสรุปว่าประวัติศาสตร์ก็เป็นแค่นิทานสำหรับผมนะครับ มันมีพื้นฐานมาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้น แต่อย่าไปซีเรียส ฟังสนุกๆ แล้วอย่าทำผิดพลาดแบบประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เป็นบทเรียนอย่าให้ทำผิดอย่างเดิมๆอีก”


ผมชอบคำพูดนี้ของอาจารย์มาก
เมื่อคืนผมเพิ่งจะเขียนเจ้านี่โพสท์ลงในหน้าเฟซบุ๊คผม เพราะอึดอัดใจกับคนที่ยึดติดกับประวัติศาสตร์
แล้วเอาสิ่งที่คนในครอบครัวถูกกระทำในอดีตมาเป็นประเด็นให้เกิดความขัดแย้งในบ้านเกิดผม...ปัตตานี

(https://fbcdn-photos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xta1/v/t1.0-0/q86/p180x540/12115533_1015529071801385_1465220135433429933_n.jpg?oh=d6d9285c29edca5238bbc0d5a600e20b&oe=56C6FBE4&__gda__=1451619577_76f09520c5873ea45a93b789c8f08bdc)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ต.ค. 15, 11:34
ขอให้ผมเล่าเบื้องหลังการถ่ายทำสักเล็กน้อยนะครับ

สองสามเดือนที่ผ่านมา คุณพิชามญชุ์ ชัยดรุณ กองบ.ก.ผู้ดูแลเรื่องสารคดีและบทความของสกุลไทยได้โทรมาหาผมว่า ใกล้จะถึงสัปดาห์หนังสือแห่งชาติแล้ว อยากจะขอสัมภาษณ์เกี่ยวกับผู้เขียน เพื่อจะนำไปโปรโมตหนังสือที่กำลังจะออกใหม่ในงาน
ผมก็นึกว่า อย่างดีคงจะมีพื้นที่ที่จะลงให้ผมสักคืบหนึ่งเป็นอย่างมาก จึงชะล่าใจไม่ได้ขอคำถามมาศึกษาหาลู่ทางแนวคำตอบล่วงหน้า บังเอิญวันนัดก็เกิดอุบัติเหตุ เสาไฟฟ้าในซอยนภาศัพท์เกิดล้มขวางถนน  คุณพิชามญชุ์กับทีมงานกลับเข้าไปทำงานไม่ได้ ก็เลยคุยกันไปเรื่อยๆที่ ร้านอาหารปากซอยนั่นเอง บรรยากาศเป็นใจให้ผมถลำตัวคุยฟุ้งไปเรื่อยกับทุกคำถาม คุณพิชามญชุ์ก็อัดเสียงไว้หมด หลังเวลาผ่านไปนานพอดูแล้วผมจึงถามว่า เราต้องเข้าไปสัมภาษณ์ข้างในสำนักพิมพ์อีกไหม คุณพิชามญชุ์บอกว่าไม่ต้องแล้ว ที่คุยมานี้พอ เดี๋ยวจะไปเรียบเรียงตัดต่อส่งไปให้ผมดูอีกที

พอผมได้รับต้นฉบับมาก็ตกใจว่า ที่ผมพูดคุยไปทั้งหมดนี่แทบจะไม่ได้ตัดออกเลย ซ้ำยังเอาบางตอนในหนังสือที่ระลึกแม่ผม มาเติมให้อีก แต่พยายามอ่านอย่างระมัดระวังดูแล้ว ผมก็ไม่ได้หลุดอะไรที่ไม่เข้าท่าออกไป และคุณพิชามญชุ์ ก็เรียบเรียงอย่างดีสมกับเป็นมืออาชีพ ผมอ่านแล้วอ่านอีกหลายครั้ง ยอมรับว่าเป็นบทสัมภาษณ์ที่ดีที่สุดที่มีผู้เคยสัมภาษณ์เคยลงหนังสือ

ต้องขอขอบคุณคุณพิชามญชุ์ ชัยดรุณ และนิตยสารสกุลไทย ณ ที่นี้ด้วยครับ ที่ให้เกียรติมือสมัครเล่นถึงขนาดนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เรือนไทย” และท่านเจ้าเรือน ที่มีน้ำใจนำบทความลงมาซ้ำในเน็ต ถือเป็นกำลังใจให้จิ้มนิ้วต่อไปจนกว่าจะเอ็นยึดจิ้มต่อไม่ไหว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: kui045 ที่ 28 ต.ค. 15, 14:03
ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันครับ
อ่านสนุกดี ได้ความรู้
 ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Koratian ที่ 28 ต.ค. 15, 14:14

โฟร์เอส นี่บริษัทค่ายเพลงลูกทุ่ง ไม่ใช่หรือครับ   ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ต.ค. 15, 15:23
นั่นดิ๊ ตอนแรกก็ไม่ค่อยมีใครรู้จักบริษัทผมเท่าไหร่  ตอนหลังนี้คนรู้จักกันตรึม ถามกันไปถามกันมาปรากฏว่าคนละชื่อเดียวกัน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 28 ต.ค. 15, 16:08
“แม่เล่าว่าแม่รักพ่อเพราะเป็นสุภาพบุรุษ เป็นผู้ดีทุกกริยามารยาท พูดกับแม่ไพเราะ และไม่เคย กล่าวคำหยาบหรือไร้สาระ ไม่เคยรำพันพิลาปเรื่องเคราะห์กรรมที่ผ่านมา ไม่พยาบาทอาฆาต พ่อเป็นนักคิด นักเขียน เป็นนักอุดมคติ และเป็นกวี สามารถกระทั่งอ่านบทกวีของวิลเลียม เชคสเปียร์แล้วแปลออกมาเป็นฉันทลักษณ์ไทยได้โดยทันที แม่บอกว่าแม่แต่งงานกับพ่อเพราะเชื่อว่าลูกจะต้องออกมีอะไรเหมือนพ่อ”

เท่าที่ติดตามกระทู้นี้มาแต่ต้น พิสูจน์ได้ว่าความเชื่อของคุณหญิงบรรจบพันธุ์ที่ว่า ลูกจะต้องออกมีอะไรเหมือนพ่อ นั้นเป็นความจริง


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 15, 16:29
ู^


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ต.ค. 15, 18:01
แม่พูดอย่างนั้นจริงๆ แต่สุดท้ายก็ปลง เพราะผมไม่ได้ครึ่งของพ่อแม่ อีกครึ่งหนึ่งเก็บตกมาเรื่อยบนหนทางที่เติบโตมา

คนเราก็จะเป็นอย่างเงี๊ยะละครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 28 ต.ค. 15, 18:53
คุณ NAVARAT C. มีพรสวรรค์ในการเขียนให้เรื่องราวใดๆก็ตามให้มันมีชีวิตชีวา และยังสามารถฝังอารมณ์และจิตใจไว้ในประโยคหรือวลีที่เขียนนั้นๆอีกด้วย  ผู้ที่ได้อ่านมักจะมีอารมณ์ร่วม เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ ที่ได้รับรู้เรื่องที่อยากจะรู้อย่างพอใจ  อ่านไปก็ยิ้มไป ดีไม่ดีก็หัวเราะก้ากออกมาเลย 

นั่นแหละ เขาละครับ ขนาดจดหมายนัดหมายพบปะสังสรรระหว่างเพื่อนฝูงที่เขียนเมื่อสัก 30+ ปีที่แล้ว ยังมีเพื่อนฝูงถามหาว่ามีใครเก็บไว้กันบ้าง

ดูรูปถ่ายที่เห็นใบหน้าของท่านแต่ละรูปซิครับ ล้วนแฝงไว้ด้วยอารมณ์สบายๆ พร้อมที่จะมาแหย่เล่นกัน         


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 28 ต.ค. 15, 19:07
ชื่นชม คุณ NAVARAT C. ด้วยครับผม ;)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ต.ค. 15, 19:28
หน้าม้าท้างน้าน ขอบครุณคะร้าบ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 28 ต.ค. 15, 20:23
อ่านสนุกและให้แง่คิดดีๆหลายอย่างมากครับ เพิ่งจะทราบว่าคุณ Navarat.C เป็นนักเรียนเก่าสาธิตประสานมิตรด้วย ขอคารวะศิษย์พี่ครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ต.ค. 15, 20:46
ขอบคุณคุณม้าครับ ผมไปเรียนที่นั่นสองปี โรงเรียนเป็นเรือนจากไม่ทราบคุณทันหรือเปล่า

ชีวิตผมก็แปลก อยู่วชิราวุธคณะเดียวกับคุณนายตั้งก็ไม่ได้อยู่ตึกสวยๆที่เห็นกันนั่น แต่คณะผมตอนนั้นเป็นเรือนจาก ที่เคยใช้เป็นที่คุมขังเชลยศึกฝรั่งตอนสงคราม เนื่องจากคณะดุสิตที่เป็นตึกสวยงามถูกระเบิดจากเครื่องบินเอเมริกันสมัยสงครามพังไป ตอนนั้นโรงไฟฟ้าสามเสนถูกระเบิดพังไปแล้ว ทางการมาใช้สนามรักบี้ของโรงเรียนตั้งเครื่องปั่นไฟสนาม เลยโดนมะกันตามมาซ้ำอีกที โดนคณะดุสิตพังไปด้วย ผมกินอยู่ที่เรือนจากเชลยนั่น ๔ ปี โรงเรียนจึงสร้างตึกใหม่เสร็จ ย้ายไปนอนตึกได้ปีเดียว ชีวิตก็พาไปอยู่เรือนจากอีก


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ต.ค. 15, 20:50
เรือนจากมีอิทธิพลในชีวิตผมมาก เมื่อกู้เงินไปลงทุนซื้อที่ดินที่กระบี่ ผมก็สร้างกระต๊อบเรือนจากขึ้นมา ๖๐ หลัง ให้ฝรั่งเช่าคืนละ ๑๕๐ บาท สามารถหาเงินไปจ่ายดอกเบี้ยได้ไม่เคยเหลวไหล

สรุปแล้วผมได้ดีก็เพราะเรือนจากจริงๆ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ต.ค. 15, 20:58
เอาภาพเก่ามาให้ชม
คณะดุสิต เมื่อเริ่มสร้างครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ต.ค. 15, 21:00
ตอนถูกระเบิดแล้วเหลือแค่นี้


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ต.ค. 15, 21:02
เราเรียกว่าตึกพัง สมัยผมเป็นนักเรียนรกมาก เป็นที่ที่เราไปเล่นผจญภัยกัน

สงสัยจะเป็นที่ๆคุณนายตั้งฝึกเดินป่า หาทางเป็นเพื่อนกับงูเหลือม ตัวนิ่ม นกฮูก  ฯลฯ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ต.ค. 15, 21:06
เห็นเรือนจากดุสิตไหมครับ

ใช่ครับ เรือนยาวๆทางซ้ายมือนั่นแหละ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ต.ค. 15, 21:13
ยาวเหยียดอย่างนี้ ตรงปลายสุดนี่เป็นห้องน้ำห้องส้วม ห้องนอนห้องแต่ตัวอยู่อีกปลายนึง เดินกันเมื่อย


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ต.ค. 15, 21:16
ภาพนี้ไม่มีผมนะครับ แต่เป็นรุ่นพี่ๆทันเห็นกัน เห็นแต่งตัวหล่อๆอย่างนี้ นอนเรือนเชลยนั้งนั้น


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: visitna ที่ 28 ต.ค. 15, 21:17
ครูของผมท่านหนึ่งจบมาจากวชิราวุธ
หมอ จเร ผลประเสริฐ ศัลยแพทย์ทางสมองประสาท(neurosurgeon)
ท่านเคยคุยเล่นกับผม "อั้วเป็นนักเรียนวัดเหมือนกัน  วัด-ชิราวุธ" แล้วท่านก็หัวเราะ
หมอจเรคงเป็นรุ่นก่อนอาจารย์นวรัตน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ต.ค. 15, 21:20
พี่จเร อยู่คณะดุสิตรุ่นเรือนจากนี่เหมือนกันครับ

ขวามือนี่เป็นห้องนอนรุ่นเด็ก


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ต.ค. 15, 21:23
นี่เป็นคณะดุสิตที่สร้างใหม่ และผมได้ย้ายไปอยู่ในปีสุดท้ายพร้อมกับคุณนายตั้ง


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ศรีสรรเพชญ์ ที่ 28 ต.ค. 15, 21:27
งานเขียนและการเล่าประวัติศาสตร์ของคุณ NAVARAT.C ถ่ายทอดออกมาสนุกและได้ความรู้มากครับ จะคอยติดตามเรื่อยๆครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ต.ค. 15, 21:28
(ขอบคุณ คุณศรีสรรเพชญ์ครับ หมายถึงกระทู้นี้หรือหนังสือก็ไม่ทราบ)

แต่ปัจจุบันนี้ เมื่อวชิราวุธวิทยาลัยครบ ๑๐๐ ปี พระคลังข้างที่ได้จัดงบประมาณมาให้สร้างคณะดุสิตขึ้นใหม่ตามแบบเดิมที่ถูกทำลายไป เพื่ออนุรักษ์สถาปัตยกรรมของโรงเรียนที่เสมือนวัดประจำรัชกาลของพระบาทสเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว

เสร็จแล้วสง่างามมากครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ต.ค. 15, 21:31
ต้องขออภัยคุณม้าด้วย ผมไม่มีรูปเรือนจากท ม.ว.ศ.ที่ดีไปกว่านี้เลย

นี่ไปค้นหนังสือรุ่นมา ภาพโรงเรียนที่เป็นเรือนจากมีตามที่เห็น แต่ก็คงจะพอได้ไอเดียจากการ์ตูนฝีมือผมข้างล่างที่อยู่ในเล่มเดียวกันนั้น ว่าบรรยากาศเป็นเช่นไร

ที่เอามาแสดงนี่เป็นการอวดด๊อกเตอร์ประกอบไปในตัว ว่าฝีมือวาดภาพเหมือนของผมน่ะระดับไหน เผื่อจะใจอ่อนให้ผมเอาภาพเหมือนของคุณชายวิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์มาอวดชาวเรือนไทยบ้าง

เออนะ พูดถึงเรือนไทยเลยนึกขึ้นมาได้ สงสัยจะเป็นหลังคาจากเหมือนกันละกระมัง ผมจึงได้คิดแหง็กอยู่ที่นี่นานเกิน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 28 ต.ค. 15, 21:59
น่าเสียดายที่ผมเข้าไม่ทันยุคเรือนหลังคาจากครับ สมัยที่ผมเรียนเป็นตึกหมดแล้ว แต่ยังไม่มีตึกใหญ่สูงตระหง่านอย่างทุกวันนี้ครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ต.ค. 15, 22:11
คุณม้าไม่ต้องเสียดายหรอกครับ เพราะมันไม่มีอะไรให้น่าเสียดายเลย ผมซะอีกควรเสียดายที่ไม่เคยได้เรียนบนตึกที่มีอุปกรณ์ทันสมัย

เรือนจากน่ะไม่ได้เลวทีเดียวนัก ยกเว้นหน้าฝนที่มีพายุรุนแรง ยังไงๆคนที่อยู่ใต้หลังคาจากต้องเปียกแน่นอนครับ จะมากหรือน้อยเท่านั้น


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 15, 07:20
Where where is a where where ! ไหน ๆ ก็ ไหน ๆ

ผมจะเล่าเรื่องเรือนจากหลังที่สามในชีวิตผมหน่อยก็แล้วกัน

เรือนจากที่ว่านี้ประกอบด้วยกระต๊อบใหญ่น้อยหลายหลัง ที่ซุกซ่อนอย่างเจียมตัวอยู่ภายในสถานที่ซึ่งฝรั่งเรียกว่า Paradise on Earth ซึ่งผมก็รู้สึกเช่นนั้นจริงๆตั้งแต่แรกเห็นในวินาทีแรก


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 15, 07:34
ภาพที่ลงข้างบนมาจากบางหน้าของ Swasdee Magazine ฉบับหนึ่งที่การบินไทยแจกบนเครื่อง รูปประกอบในนั้นมีร้านอาหารชายหาดรูปเดียวที่ไม่ได้ถ่ายจากที่และอาณาบริเวณสถานที่ของผม ที่ดินของผมอยู่ติดกับหาดที่้เห็น  ความสวยงามของธรรมชาติตรงนั้นประดุจสร้างสรรค์โดยเทพยดาบนสรวงสวรรค์ ซึ่งผมจะมิบังอาจเอาสิ่งก่อสร้างอันต่ำต้อยของมนุษย์สะเออะไปเสนอหน้าให้เห็นเป็นอันขาด เราต้องเจียมตัวและให้ความเคารพในความสวยงามที่อยู่คู่กับโลกมาช้านานเช่นนั้น

อารรรร์ ผมต้องหยุดเชคเรตติ้งบ้างแล้ว รู้สึกว่าแฟนๆในเรือนไทยเฮไปลงเรียนในวิชาประวัตินิติศาสตร์ของบรมครูกันหมด ไม่รู้ว่าจะแอบแว่บมาเก็บคะแนนในห้องนี้บ้างไหม


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 29 ต.ค. 15, 07:48
ยังเข้าเรียน และแวบออกนอกห้องเรียนมาเยี่ยมเยียนครับ  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 29 ต.ค. 15, 07:53
ยังติดตามอยู่เสมอ  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 29 ต.ค. 15, 08:15
สามารถลงทะเบียนเรียนสองวิชาพร้อมกัน ตามประสานักเรียนโง่ แต่ขยันได้ค่ะ ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 15, 08:28
หน้าเก่าๆพวกนี้ได้ปริญญาไปหมดแล้วแต่ยังวนเวียนอยู่ ไม่มีหน้าใหม่ๆชื่อล๊อคอินสดๆมาลงทะเบียนบ้างเลยหรือครับ
สงสัยจะหนีไปหมดแล้วตั้งแต่คุณหมอเอาความลับของคนไข้ไปเปิดเผยว่าผมสูงอายุ ผิดสเป๊กหนุ่มๆสาวๆเค้า


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Koratian ที่ 29 ต.ค. 15, 08:47

ท่านเชน พอจะเหลือกระต๊อบสักหลังให้เช่ารายปีถูกๆไหมครับ
เผื่อจะไปกู้สหกรณ์มาลงทุนดูบ้าง


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 29 ต.ค. 15, 09:03
ต้องขออภัยคุณม้าด้วย ผมไม่มีรูปเรือนจากท ม.ว.ศ.ที่ดีไปกว่านี้เลย

นี่ไปค้นหนังสือรุ่นมา ภาพโรงเรียนที่เป็นเรือนจากมีตามที่เห็น แต่ก็คงจะพอได้ไอเดียจากการ์ตูนฝีมือผมข้างล่างที่อยู่ในเล่มเดียวกันนั้น ว่าบรรยากาศเป็นเช่นไร

ที่เอามาแสดงนี่เป็นการอวดด๊อกเตอร์ประกอบไปในตัว ว่าฝีมือวาดภาพเหมือนของผมน่ะระดับไหน เผื่อจะใจอ่อนให้ผมเอาภาพเหมือนของคุณชายวิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์มาอวดชาวเรือนไทยบ้าง

เออนะ พูดถึงเรือนไทยเลยนึกขึ้นมาได้ สงสัยจะเป็นหลังคาจากเหมือนกันละกระมัง ผมจึงได้คิดแหง็กอยู่ที่นี่นานเกิน

ฮิฮิ กลัวหล่อกว่าตัวจริงครับ  แต่ถ้าวาดแล้วหล่อ เอาไปเป็นภาพหน้าปกนิยายเรื่องใหม่ของท่าน ว.วินิจฉัยกุลน่าจะดี แต่ของแก้วเก้าแนวลึกลับผีๆ นี่อาจจะไม่เหมาะกับภาพหนุ่มใสๆ ซื่อๆ แบบป๋ม 8)  8)

พูดถึงที่ริมทะเลแถวนั้น พอเหลือซักสิบยี่สิบตารางวาให้ผมผ่อนไว้ปลูกกระต๊อบบ้างมั๊ยครับ  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 15, 09:25
แหม คันไม้คันมืออยากเอาภาพหนุ่มใสๆ ซื่อๆ มาลงให้ฮือฮาจริงๆ ปั๊ปป่า


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 15, 09:29
คุณคนโคราชครับ ปีนั้นเป็นพ.ศ. ๒๕๓๐ กี่ปีมาแล้วล่ะ ที่ดินยังมีราคาพอที่คนอย่างผมจะอาจเอื้อมได้ ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ก็ไม่ต้องไปคิดไปหวัง

คราวนั้นผมมีเหตุจะต้องไปกระบี่เพื่อช่วยเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งหาอะไรทำใหม่หลังจากตกงาน เขามีที่อยู่ที่อ่าวพระนางจึงคิดทำบังกะโล เพราะตอนนั้นเริ่มมีฝรั่งสะพายเป้ย่ำต๊อกมาถึงบ้างแล้ว ที่ของเขามีถนนถึงแม้จะเป็นถนนลูกรังก็ตาม ผมจึงบอกให้เขากัดฟันทำเป็นโรงแรมสัก ๔๐ ห้องเลยดีกว่า แล้วเลยออกแบบให้ ค่าแบบตั้งบัญชีไว้หักกับค่าห้องที่ผมจะไปพักเองบ้าง ให้คนอื่นไปพักบ้าง คิดว่าจนป่านนี้ยังหักกันไม่หมด แต่ก็ช่างเถอะ
ตอนเย็นวันแรกที่ผมไปถึงนั้น เขาไปหาเช่าเรือหัวโทงจากชาวประมงพื้นบ้านมาได้ลำหนึ่ง แล้วพาผมนั่งไปตรงปลายแหลมพระนาง เพื่อทัศนาจรอาณาบริเวณทะเลย่านนั้น

พลันที่เรือพ้นหัวเขาที่บังทัศนียภาพ เปิดให้เห็นปลายแหลมพระนางครั้งแรกดังภาพนี้ ผมก็ตกตะลึงพึงเพลิด ราวสิบนาทีต่อจากนั้นผมรู้สึกประหนึ่งอยู่ในภวังค์ จนกระทั่งเรือเข้าเทียบหาด ทรายที่นั่นขาวละเอียดเหมือนพริกไทยป่น น้ำนิ่งใสราวกับน้ำใน swimming pool ผมสัมผัสได้ถึงสรวงสวรรค์ที่มีเทพเทวดาสถิตย์อยู่ในพื้นพิภพเดียวกันนี้


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 29 ต.ค. 15, 09:40
           ล็อกอินเข้ามาใหม่ เพื่อยืนยันว่าติดตามอ่านอยู่ครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 15, 10:39
^นี่ก็เก่างั่กทีเดียว^

เรือไปจอดตรงเชิงหน้าผา ที่ชายทะเลน้ำท่วมถึงตรงนั้นมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง เพื่อนบอกว่านี่คือถ้ำพระนาง
 
ในถ้ำไม่มีศาล แต่มีของที่แสดงสัญญลักษณ์เพศชาย ซึ่งสามารถพบเห็นได้ตามศาลเจ้าของเทพฝ่ายหญิงทั่วไป นี่เป็นคติของชาวบ้านทั่วประเทศไทย แต่ผมไม่เคยเห็นในพื้นที่ที่คนส่วนใหญ่เป็นมุสลิมเช่นนี้เลย ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าเห็นว่าไม่ค่อยจะน่าดูสักเท่าไหร่ แล้วก็หันไปเสพย์ความงามของหาดพระนางต่อ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 29 ต.ค. 15, 11:12
           สมควรสมัครเป็นสมาชิกใหม่ให้ได้เป็นอสุรผัด ดาวเดียว เพื่อเข้ากระทู้นี้?


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 15, 11:34
โอ๊ะ ไม่ต้องหรอกครับ ท่านหนุมานปางร่างเป็นหิน ท่านให้เกียรติผม หนุมานปางร่างเป็นลิงมากเกินไปแล้ว

เชิญท่านตามสบายครับ จะเอาวิวในกระทู้นี้ไปสร้างฉากประทับใจในหนังเก่าก็ตามสบายนะครับ ขออย่าได้เกรงใจ ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: กิมซัว แซ่ตั้ง ที่ 29 ต.ค. 15, 12:01
สำหรับอาจารย์NAVARAT.Cแล้ว กระผมขอกราบอาจารย์ ขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ถาวรนะครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 15, 12:12
นี่ อสุรผัดตัวจริงเสียงจริงมาแล้ว ผมดีใจมากครับที่เข้ามาทักผม  ;D


เมื่อหนำใจแล้ว เราก็ลงเรือย้อนกลับมาตามเส้นทางเดิม แต่แวะในอ่าวต่อไป ความจริงอ่าวนี้ก็เพียงแต่มีหัวเขาที่กั้นไว้กับหาดพระนางเมื่อกี้ ตาลุงขับเรือบอกว่า อ่าวนี้ชื่อไหร่เล้ เพื่อนแปลให้ว่า ไร่เลหรือไร่ทะเลนั่นเอง แต่ชาวใต้ไม่ค่อยอยากจะพูดอะไรยาวๆ เลยย่อว่าไร่เลเฉยๆ
หาดไร่เลก็ชื่อตามอ่าว คนสมัยนี้ดัดจริตเขียนว่าหาดไร่เลย์ ให้ดูว่ามาจากภาษาฝรั่งไปซะงั้น

เราลงจากเรือตรงต้นสนในภาพขวามือนะครับ เมื่อมองไปตามหาดที่โค้งสวยงาม ก็จะเป็นภาพอ่าวที่เห็น
และที่ใต้ต้นสนนั่นเอง ผมได้พบหนุ่มใหญ่ผอมเกร็งนุ่งผ้าขาวม้าคนหนึ่งนั่งอยู่คนเดียวบนพื้นทราย ผมเดินเข้าไปทักแบบไม่รู้จะพูดอะไรว่าบังนั่งรอเรือเข้าฝั่งเหรอ เขาบอกว่าเปล่า เขาอยู่ที่นี่ทำสวนมะพร้าวอยู่ตรงนี้ ผมถามว่ากี่ไร่ล่ะ เขาบอกห้าสิบไร่ ติดสองหาดทั้งสองด้าน ผมถามเล่นๆว่า ขายมั้ย เขาตอบทันทีว่าขาย ผมถามต่อว่าเท่าไหร่ เขาก็บอกราคามา ผมคิดว่าไม่แพงถ้าเทียบกับที่ชายทะเลที่ติดหาดสวยงามอย่างนี้ เอกสารสิทธิ์เป็นอะไรผมถาม เขาบอกว่าของเขาเป็นน.ส.๓ ของพี่เป็นส.ค.๑ ออกปี ๒๔๙๗ จะขายพร้อมกันไม่แบ่งขาย

ตอนนั้นผมไม่มีเงินสดพอจะซื้อหรอกครับ แต่คิดว่ามีปัญญาไปหาเงินกู้มาได้ บอกได้เลยว่าเป็นความโลภชัดๆ จึงบอกเขาไปว่าขอเวลาไม่เกิน ๓ วันนะ แล้วผมจะเอาเงินมาวางมัดจำ สรุปแล้วผมก็เลื่อนกลับกรุงเทพ หาทนายช่วยตรวจสอบเอกสารและทำสัญญาวางมัดจำกับเขาได้ในเที่ยวนั้น

ทราบที่หลังว่า ที่ดูเหมือนง่ายนั้น ความจริงผ่านกระบวนการยากมาแล้วหลายปี ตั้งแต่แม่และพี่น้องตกลงกันว่าจะขายหรือไม่ขายที่นี่ ความฝันของเขาคือ ในชีวิตนี้ถ้าได้มีบ้านอยู่บนที่ถนนมาถึง มีปิ๊กอัพเพื่อส่งลูกๆไปโรงเรียนได้ง่ายขึ้น และมีเรือประมงสักลำสำหรับหากินเห็นจะพอ เมื่อเลิกทะเลาะหันมามีมติว่าตกลงเด็ดขาดที่จะขาย ผมก็เดินลงจากเรือมาเจอเขาเป็นคนแรก
ผมทำให้เขาได้ในสิ่งที่หวัง แต่ผมเองยังไม่ได้เริ่มตั้งความหวังเลย




กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 29 ต.ค. 15, 12:26
ผมเคยแบกเป้ไปนอนไร่เลกับเพื่อน 2 คนราวปี 2532-2533 จำได้ว่านอนบังกะโลหลังคามุงจากกว้างขวางดูดีพอดู ห้องน้ำเปิดด้านบนโล่งเห็นเครื่องบินๆผ่านอยู่ลิบๆ สยิวพอควรเพราะไม่เคยเจอประสบการณ์อย่างนี้มาก่อน จำชื่อที่พักไม่ได้เสียแล้ว แต่ราคาไม่แพง (สำหรับคนที่เพิ่งไปนอนภูเก็ตมานะครับ) ไม่กี่ปีมานี้เห็นข่าวไร่เลในทีวีครั้งหนึ่ง จำไม่ได้เลย สภาพต่างจากเมื่อก่อนมากครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 15, 12:53
คุณม้าติดตามอ่านนะครับ นี่คือประวัติศาสตร์มีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับหัวแก้วหัวแหวนของกระบี่เม็ดนี้


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 15, 13:06
ผมกลับไปดูที่ซึ่งผมวางมัดจำไปแล้วอีกครั้งหนึ่ง จึงเข้าใจคำว่าที่ของเขาติดสองหาด คือเมื่อเดินฝ่าสวนมะพร้าวไปได้สักครู่ก็จะเห็นชายทะเลอีกด้านหนึ่ง ทางด้านอ่าวน้ำเมา ชายเจ้าของที่บอกว่าที่ดินของเขาเข้าถึง(ทางเรือ)ได้ทุกฤดูกาล ยามทะเลด้านไหนเป็นคลื่น ก็หันมาเข้าออกอีกด้านหนึ่ง นี่ก็เป็นจุดดีอย่างยิ่งในการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวเช่นนี้

อย่างไรก็ดี ที่ซึ่งติดกับหาดพระนางซึ่งสวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกนั้น เป็นที่ดินของอีกเจ้าของหนึ่งซึ่งเปลี่ยนมือไปเป็นของคนกรุงเทพนานแล้ว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Koratian ที่ 29 ต.ค. 15, 13:21

^^สุดยอด


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 15, 13:40
ยังครับยัง ยังไม่สุดยอด

เมื่อผมพานายแบ้งค์ผู้ให้กู้ไปดูที่ เขาบอกว่าคุณต้องได้ที่ดินที่จะออกหาดแหลมพระนางมาด้วย จึงจะสุดยอด ทำอะไรก็ได้ไม่มีขาดทุนแน่ ผมพยายามสืบหาเจ้าของอยู่นาน พอได้เบอร์โทรแล้วคุยกับเขา เขาบอกว่าไม่ขาย
ช่วงนี้เขาก็คงไปสืบด้วยว่าใครนะที่มาขอซื้อ เพราะไม่กี่เดือนต่อมาเขาก็โทรกลับมา ใช้สรรพนามเรียกผมว่าหม่อม แสดงว่าทำการบ้านมาดี

เขาบอกว่าถ้าเขาจะขายก็จะขายคนอย่างพี่หม่อมนี่แหละ แต่ขอขายในราคาอนาคตนะครับ
แหะๆ พระเดชพระคุณรุนช่องที่รักและเคารพ ราคาที่ดินประมาณสี่ไร่ที่เขาบอกนะครับ ผมแทบตกจากเก้าอี้ เพราะมันแพงกว่าที่ดินห้าสิบไร่เศษ ที่ผมวางมัดจำไว้แล้วเสียอีก อ้อ ที่ผมยังไม่ต้องจ่ายแปลงนั้นครบเพราะเป็นภาระของเจ้าของที่ ที่จะต้องขอเปลี่ยนเอกสารสิทธิ์เป็นนส ๓ เสียก่อนตามสัญญา

เอาละวา เป็นไงเป็นกัน ผมก็เอาหลักทรัพย์ทุกอย่างที่ผมมีไปวางไว้กับแบ้งค์ แล้วเอาเงินมาซื้อที่ของเขา คราวนี้แหละครับ พูดได้เต็มปากว่าสุดยอด ที่ดินของผม ๕๕ ไร่ ติดหาดที่สวยที่สุด ๓ หาด


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 15, 13:42
ไปธุระก่อนนะครับ เย็นๆมาเล่าต่อ
อ้อ ก่อนจากไปในช่วงนี้ ผมขอเล่าสิ่งที่ผมเรียนรู้มาจากท่านสุวิทย์ โอสถานุเคราะห์ นายห้างใหญ่โอสถสภาสมัยโน้น ท่านผู้มีพระคุณท่านนี้ได้สอนผมไว้ ซึ่งผมจำได้แม่นยำ ใครฟังแล้วจะเอาไปใช้เป็นคาถาที่จะให้ประสพความสำเร็จในชีวิตด้านนี้ได้นะครับ

ท่านบอกว่า คุณหน่อ(ชื่อเล่นของผม) ในโลกนี้มีของสองอย่างที่หากว่าคุณรักจริงชอบจริงแล้ว คุณต่อรองไม่ได้เด็ดขาด หนึ่ง...คือผู้หญิง สอง..คือที่ดิน

สำหรับผมบอกได้เลยครับ คาถานี้ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 29 ต.ค. 15, 13:55
กำลังสนุก  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: kui045 ที่ 29 ต.ค. 15, 14:13
ยิ่งอ่าน ยิ่งสนุก :-[


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เอื้องหลวง ที่ 29 ต.ค. 15, 14:19
ในที่สุด ม.ร.ว.นิมิตรมงคลถึงแก่กรรมต่อหน้ามารดาและภรรยา หมดโอกาสได้เห็นลูกชายที่กำลังจะเกิดหลังจากนั้นเพียง45วันเท่านั้นเอง

หน่อน้อย ๆ ของ ม.ร.ว.นิมิตรมงคล ได้เล่าถึงความรู้สึกที่แม่มีต่อพ่อไว้ว่า

แม่เล่าว่าแม่รักพ่อเพราะเป็นสุภาพบุรุษ เป็นผู้ดีทุกกริยามารยาท พูดกับแม่ไพเราะ และไม่เคยกล่าวคำหยาบหรือไร้สาระ ไม่เคยรำพันพิลาปเรื่องเคราะห์กรรมที่ผ่านา ไม่พยาบาทอาฆาต พ่อเป็นนักคิด นักเขียน เป็นนักอุดมคติ และเป็นกวี สามารถกระทั่งอ่านบทกวีของวิลเลียม เชคสเปียร์แล้วแปลออกมาเป็นฉันทลักษณ์ไทยได้โดยทันที แม่บอกว่าแม่แต่งงานกับพ่อเพราะเชื่อว่าลูกจะต้องออกมีอะไรเหมือนพ่อ

จากหนังสือ ชีวิตที่ลิขิตไว้ ของ คุณหญิงบรรจบพันธุ์ นวรัตน ณ อยุธยา เรียบเรียงโดย ม.ล.ชัยนิมิตร นวรัตน

เท่าที่ติดตามกระทู้นี้มาแต่ต้น พิสูจน์ได้ว่าความเชื่อของคุณหญิงบรรจบพันธุ์ที่ว่า ลูกจะต้องออกมีอะไรเหมือนพ่อ นั้นเป็นความจริง

 ;)

เคยอ่านคอมเม้นท์ของคุณประกอบในกระทู้ ใครเป็นใครในเรือนไทยเท่าที่อยากจะเปิดเผยเมื่อตอนแรกตั้งกระทู้ แล้วคุณประกอบพูดถึงชื่อหนังสือเล่มหนึ่งของม.ร.ว. นิมิตรมงคล นวรัตน ตอนนั้นก็รู้สึก โอ้โห ทำไมน่าสนใจขนาดนี้ ก็มาค้นๆ ดูในเรือนไทย จนไปเจอข้อความที่แปะมาข้างบนค่ะ ประทับใจมาก จนไปหาซื้อหนังสือเรื่องความฝันของนักอุดมคติมาอ่านจนได้ ยิ่งช่วงท้ายเล่มที่มีประวัติครอบครัวของผู้แต่ง อ่านแล้วก็ซาบซึ้งกับความรักของคุณชายกับภรรยามากๆ เลยค่ะ ถึงกับน้ำหูน้ำตาไหล
ชอบอ่านการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ของอาจารย์ NAVARAT.C ค่ะ แอบหลบอยู่หลังห้องตลอด 5555 สนุกแล้วก็ได้ความรู้มากๆ
ตั้งใจจะไปขอลายเซ็นวันที่ 23 แต่ก็ติดธุระเลยไปไม่ได้ เสียดายมากเลยค่ะ  :'(


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 29 ต.ค. 15, 14:53
ชอบอ่านการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ของอาจารย์ NAVARAT.C ค่ะ แอบหลบอยู่หลังห้องตลอด 5555 สนุกแล้วก็ได้ความรู้มากๆ
ตั้งใจจะไปขอลายเซ็นวันที่ 23 แต่ก็ติดธุระเลยไปไม่ได้ เสียดายมากเลยค่ะ  :'(

นี่ถ้าไปได้นี่คุ้มสุดๆ ครับ ซื้อ 1 เล่ม แถม 1 เล่ม ยิ่งถ้าช่วงหลังนี้ออกเล่มใหม่ "อดีตชาวสยามผู้ถูกยกย่องให้เป็นบิดาของประเทศมาเลเซีย" กลายเป็นซื้อ 1 เล่ม แถม 2 เล่มเลย  ;D  แต่เงื่อนไขนี้ต้องเจอท่านอาจารย์ใหญ่กว่าเท่านั้น  :-X


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เอื้องหลวง ที่ 29 ต.ค. 15, 15:22

นี่ถ้าไปได้นี่คุ้มสุดๆ ครับ ซื้อ 1 เล่ม แถม 1 เล่ม ยิ่งถ้าช่วงหลังนี้ออกเล่มใหม่ "อดีตชาวสยามผู้ถูกยกย่องให้เป็นบิดาของประเทศมาเลเซีย" กลายเป็นซื้อ 1 เล่ม แถม 2 เล่มเลย  ;D  แต่เงื่อนไขนี้ต้องเจอท่านอาจารย์ใหญ่กว่าเท่านั้น  :-X

 :'( :'( :'(
พลาดไปแล้วววว ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ ครั้งหน้าเห็นทีจะต้องเคลียร์คิวไว้รอซะแล้ว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 15, 15:27
ใจแข็งไว้ อัตโน ใจแข็งไว้


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 15, 18:05
เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน
ถ้าดร.ประกอบสนับสนุนให้ผมลงภาพของอีตาวิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์ ที่ปลอมตัวหารักแท้มานานหลายปีแล้วแต่ยังไม่เจอสักที เพราะแกเล่นไม่ยอมเผยโฉม สาวใดล่ะจะกล้าเสี่ยง อาจจะโดนเจ้าเงาะในรูปพระสังข์เข้าก็ได้ จริงมะ

ถ้าดร.ประกอบกล้าๆหน่อย ยอมผมบ้าง ผมก็จะจัดรางวัลหนังสือของผมพร้อมลายเซ็นไป ๑๐ รางวัล แบบใครมาก่อนได้เลือกก่อน จะเอาเล่มไหนก็ได้ เป็นการเฉลิมฉลองโดย ให้ดร.ประกอบได้เป็นคนแรก อยากได้เรื่องตนกูใช่ไหมนั่น อยากได้ก็ต้องทนๆหน่อย เอ้ยม่ายช่าย ต้องละความขวยเขินหน่อย อาจมีโอกาสพิชิตรักแท้ทีเดียวเชียวหนา ไม่ต้องเหนื่อยตระเวนขับแท็กซี่เที่ยวเสาะหาอีกต่อไป

จะได้พากลับเข้าวังไปให้หม่อมแม่จัดอาวาหมงคลเสียที เดี๋ยวจะแก่เสียก่อน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 29 ต.ค. 15, 19:36
เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน
ถ้าดร.ประกอบสนับสนุนให้ผมลงภาพของอีตาวิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์ ที่ปลอมตัวหารักแท้มานานหลายปีแล้วแต่ยังไม่เจอสักที เพราะแกเล่นไม่ยอมเผยโฉม สาวใดล่ะจะกล้าเสี่ยง อาจจะโดนเจ้าเงาะในรูปพระสังข์เข้าก็ได้ จริงมะ

ถ้าดร.ประกอบกล้าๆหน่อย ยอมผมบ้าง ผมก็จะจัดรางวัลหนังสือของผมพร้อมลายเซ็นไป ๑๐ รางวัล แบบใครมาก่อนได้เลือกก่อน จะเอาเล่มไหนก็ได้ เป็นการเฉลิมฉลองโดย ให้ดร.ประกอบได้เป็นคนแรก อยากได้เรื่องตนกูใช่ไหมนั่น อยากได้ก็ต้องทนๆหน่อย เอ้ยม่ายช่าย ต้องละความขวยเขินหน่อย อาจมีโอกาสพิชิตรักแท้ทีเดียวเชียวหนา ไม่ต้องเหนื่อยตระเวนขับแท็กซี่เที่ยวเสาะหาอีกต่อไป

จะได้พากลับเข้าวังไปให้หม่อมแม่จัดอาวาหมงคลเสียที เดี๋ยวจะแก่เสียก่อน


ขอท้วงเรื่องกติกาค่ะ คือว่าสัญญาณเน็ทที่บ้านไม่ดี ติดๆดับๆบ่อยมาก บางครั้งก็ช้า(บังเอิญว่าได้ใช้ฟรีน่ะค่ะ เลยไม่กล้าบ่น) ถ้าอาจารย์กำหนดกติกาว่าใครมาก่อนได้เลือกก่อน จะเป็นการไม่เสมอภาคทางเทคโนโลยีนะคะ :'(


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 15, 19:56
อึมมม์ มีเหตุผลๆ

ถ้างั้น เฉพาะคุณแอนนานะ ถ้าสามารถหว่านล้อมให้ดร.ประกอบยอมให้ผมลงภาพของคุณชายวิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์ ได้ ผมจะมอบหนังสือเรื่องอะไรก็ได้ ๓ เล่มเลย ถ้าเรื่องไหนมีแล้วก็เรื่องอื่นที่เค้าจะพิมพ์ในวันข้างหน้าก็ได้ ดีมั้ยล่ะครับ

อนุญาตให้ล๊อบบี้กันหลังไมค์ได้ด้วย อิ อิ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 29 ต.ค. 15, 20:32
อึมมม์ มีเหตุผลๆ

ถ้างั้น เฉพาะคุณแอนนานะ ถ้าสามารถหว่านล้อมให้ดร.ประกอบยอมให้ผมลงภาพของคุณชายวิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์ ได้ ผมจะมอบหนังสือเรื่องอะไรก็ได้ ๓ เล่มเลย ถ้าเรื่องไหนมีแล้วก็เรื่องอื่นที่เค้าจะพิมพ์ในวันข้างหน้าก็ได้ ดีมั้ยล่ะครับ

อนุญาตให้ล๊อบบี้กันหลังไมค์ได้ด้วย อิ อิ

อย่างนี้มีลุ้น ของฟรีไม่เข้าใครออกใครซะด้วยซีคะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 29 ต.ค. 15, 20:39
เรียน คุณชายวิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์

คุณชายคะ ถึงแม้ว่าตอนนี้คุณชายจะยังตามหารักแท้ไม่พบ แต่อย่างน้อยคุณชายก็มีดิฉันเป็นมิตรแท้อยู่ทั้งคนนะคะ

ดังนั้น เพื่อเห็นแก่ความเป็นมิตรแท้ของเรา กรุณาให้ความร่วมมือกับอาจารย์นวรัตนด้วยเถอะนะคะ ได้โปรดอย่าทำให้มิตรแท้คนนี้ผิดหวัง(จากของฟรีที่มาดหมายเลยนะคะ ;D)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 15, 20:48
เยี่ยม !


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 15, 20:52
ขอเวลาสลับฉากแป๋ป

มันมีอีกปัจจัยหนึ่งที่ผมตัดสินใจสู้ราคาโดยไม่ต้องคิดนาน คือที่ดินแปลงสี่ไร่เศษนี้เขามีกิจการบังกะโลติดที่อยู่ด้วยแล้ว แม้จะเป็นโครงสร้างง่ายๆหลังคามุงจาก ประกอบด้วยร้านอาหาร บังกะโลแบบเล้าไก่ ๑๕หลัง และที่พักคนทำงานเป็นเรือนๆไม้ยาวๆ ทั้งหมดเพิ่งจะสร้างเสร็จใหม่ๆ เขายินดียกให้ผมในราคาที่ว่าด้วย

ผมมาคิดสะระตะดู ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณกลางปี พอปลายปีจะถึงหน้าหนาวของฝรั่ง เป็นโอกาสที่ผมจะทำเงินได้ทันทีเพื่อเอามาจ่ายดอกเบี้ย แต่ถ้าเก็บค่าห้องคืนละ ๒๐ บาท อย่างเขา ผมคงไม่ได้ผุดได้เกิด จึงคิดใหม่ทำใหม่ ทำอย่างไรผมจะเก็บให้ได้สักคืนละ ๘๐ บาท ผมต้องสร้างบังกะโลใหม่ให้ครบ ๖๐ หลังในระยะที่ ๑ และเพื่อจะให้สมราคา บังกะโลของผมจะต้องมีห้องน้ำในตัว ไม่ใช่ให้ฝรั่งไปยืนแก้ผ้าอาบกันที่ห้องอาบน้ำรวม และต้องมีแสงสว่างพอสมควรยามค่ำคืน คือต้องซื้อเครื่องปั่นไฟมาให้แสงสว่างแทนตะเกียง ก็แค่บังกะโลหลังละ ๒ หลอด ในห้องนอนหลอดหนึ่ง ห้องน้ำหลอดหนึ่ง ก็คงพอจะได้ราคานั้นแล้ว ตัดสินใจเสร็จก็ไม่รอช้า ลงมือจ้างเหมาทำงานทันที


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 15, 20:56
บังกะโลที่ผมออกแบบใหม่ จะดูดีกว่าบังกะโลของเดิมที่เก็บคืนละ ๒๐ บาทเยอะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 29 ต.ค. 15, 20:58
มิตรแท้ไม่ต้องการ มีเยอะแล้ว อยากได้แต่แฟนเท่านั้น  :-*  :-*  :-* คุณแอนนาหัวใจยังว่างซักสามห้องไหมหละครับ

ส่วนเงื่อนไขท่านอาจารย์ใหญ่กว่านี่ แหม คนอย่างผมซื้อได้ด้วยเงิน หลอกล่อด้วยผลประโยชน์ได้ง่ายๆ ซะด้วย เอาไงดีน้อ กลัวแต่เดี๋ยวสาวๆ อกหักกันผมจะบาปหนะสิ

คืนละยี่สิบบาท แปดสิบบาทนี่ราคาจริงสมัยนั้นหรือครับ ช่วงปี 30 ก็ไม่น่าถูกขนาดนั้นนา


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 15, 21:02
นี่มันประวัติศาสตร์นะ เอาเรื่องเท็จมาเสนอได้ยังไง

วันหนึ่งผมเกิดฟิตขึ้นมา ไปนั่งยองๆช่วยเขาต่อท่อประปา ขณะก้มน้าตาทำงาน เห็นขาของแหม่มคู่หนึ่งมายืนค้ำศีรษะ ก็เลยเหลือบตาขึ้นดู ยัยแหม่มนี่นอกจากไม่สวยแล้วยังพูดจาไม่น่าฟัง นางบอกว่าผมกำลังทำให้สวรรค์วิมานของนางล่ม ผมก็ถามว่ามันเรื่องอะไรล่ะ นางบอกว่าผมเป็นไอ้หน้าเลือดที่จะขูดรีดคนจนอย่างนาง ได้ยินพวกฝรั่งลือกันที่ร้านอาหารว่าพอต่อน้ำต่อไฟเสร็จแล้วผมจะขึ้นราคาเป็นคืนละ ๘๐ บาท ผมก็บอกว่า ไม่เป็นอะไรหรอก พวกที่อยู่ๆเดิมแล้วก็เก็บราคาเดิม คนใหม่เข้ามาจึงจะเก็บราคาใหม่ นางบอกว่าก็นั่นแหละ ปีหน้าไอมายูจะเก็บราคาไหน ผมว่าก็ ๘๐ บาทนะซี  นางก็บอกว่านางเป็นคนจน เป็นแค่นางพยาบาล จะมาจ่ายแพงๆอย่างนั้นได้อย่างไร

ผมชักเลือดขึ้นหน้าแล้ว ถามไปว่ายูมาจากประเทศไหนล่ะ แทบไม่เชื่อหู นางบอกว่ามาจากสวิตเซอร์แลนด์ ผมว่า นี่แน่ะหล่อน ประเทศของหล่อนน่ะ ฉันเคยไปมาแล้ว เงิน ๘๐ บาทนี่ ซื้อโค๊กได้กระป๋องเดียว นี่บังกะโลใหม่ ที่นอนหมอนมุ้งใหม่เอี่ยม มีน้ำมีไฟฟ้า ยูยังบอกว่าแพงอีกหรือ นางก็ยังยืนยันว่าผมเห็นแก่ได้ นางจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก
 
ป่วยการพูดกับนางคนนี้ ผมหันหลังเดินหนีก่อนบันดาลโทษะ ในใจสว่างแวบขึ้นมาทันที ไม่ว่าผมจะทำโรงแรมหรือที่พักระดับไหน ก็ย่อมจะมีคนมาชี้หน้าด่าผมว่าเป็นนายทุนหน้าเลือดอยู่ดี อย่ากระนั้นเลย  ไหนๆจะถูกด่าผมก็จะยอมอีกครั้งเดียว  คราวหน้าผมจะทำโรงแรมให้มันระดับสุดๆไปเลย

ภาพล่างนี้ ผมถ่ายหน้ากิจการบังกะโลที่ตั้งชื่อว่า "พระนางเพลส" พร้อมๆกับลูกเมียของผมและลูกน้องพนักงาน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 15, 21:13
รูปในคอมผมก็ชัดดี แต่โพสต์ลงไปแล้วไม่ค่อยชัดขรับ คุณม้า

เอารูปผมกับภรรยาและลูกชายมาลงให้ดู เวลานั้นเราพร้อมใจกันสู้งานมาก ลูกสาวไปไหนน๊อ จำไม่ได้


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ต.ค. 15, 21:29
ปลายปีนั้น ฝรั่งมาจากไหนไม่ทราบ ไหลมาเทมาเหมือนปลาซัลมอนที่ขึ้นไปไข่เหนือต้นน้ำลำธารในหนัง แทนที่ผมจะเก็บ ๘๐ บาท ผมขึ้นไป ๑๕๐ บาท ก็ยังเต็มกว่าจะซาลงก็หลายเดือน ผมก็มีเงินจ่ายดอกเบี้ยไปอีกหลายงวด

มีแถมอีกเรื่องนึง ตอนผมโอนเงินจากกรุงเทพไปจ่ายให้เจ้าของที่รายห้าสิบกว่าไร่นั้น ผู้จัดการธนาคารในเมืองอายุมากแล้ว เดินออกจากห้องมาเชิญผมเข้าไปนั่งรอธุรกรรม แต่ประโยคแรกที่แกทักผมก็คือ “คุณโง่มาก ถ้าเป็นผมๆจะไม่ซื้อที่แปลงนี้”
ผมใจหายวาบ “ทำไมหรือครับ เอกสารสิทธิ์ปลอมหรือครับ”
“เปล่า” ลุงแกบอก “ถ้าผมมีเงินเท่าคุณ ผมจะไปซื้อสวนยาง หรือสวนปาล์มดีกว่า นี่จะมาทำบังกะโลให้ฝรั่งเช่า เลื่อนๆลอยๆ ที่แถวนั้นผมเคยไปเล่นน้ำ เขาบอกราคาถูกกว่าที่คุณซื้อเยอะแยะ ผมยังไม่คิดจะซื้อเลย”

เฮือก… โอเครเลยลุง โอเครเลย แหมทำซะผมหัวใจจะวาย

พอปลายปีนั้น ฝรั่งแห่ไปเที่ยวกระบี่จนล้นเมือง ได้ข่าวว่าลุงถูกย้ายไปอยู่ทับปุด หรือปลายพระยาอะไรนี่ เลยลาออกไปกรีดยางมั๊ง


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 30 ต.ค. 15, 00:20
ผมเห็นภาพไม่ชัดเหมือนกันครับ ก็เลยกด ctrl 0 ดูหน้าเว็บขนาด original ปรากฏว่าภาพเล็ก แต่คมกริบ ว่าแล้วก็กด ctrl + ขยายกลับไปขนาดเดิม แฮ่ๆ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 30 ต.ค. 15, 05:42
มิตรแท้ไม่ต้องการ คนอย่างผมซื้อได้ด้วยเงิน หลอกล่อด้วยผลประโยชน์ได้ง่ายๆ

เจอเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดของแท้เข้าให้แล้วมั้ยล่ะเรา แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อเพื่อนไม่เห็นถึงคุณค่าของน้ำใจไมตรีอันใสซื่อบริสุทธิ์ที่เราหยิบยื่นให้ก็แล้วไป(จำไว้ >:()

เราก็ขยันหมั่นเพียร ลุกขึ้นมาทำงานก่อนไก่ หมั่นเก็บหอมรอมริบ สักวันหนึ่ง ก็คงพอจะรวบรวมเงินทองได้มากพอจะซื้อหนังสือของอาจารย์นวรัตนได้ซักเล่มหรอกน่า :'(


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ต.ค. 15, 06:55
อย่าเพิ่งท้อ คุณแอนนา ท้อมีสำหรับให้ลิงถือเท่านั้น จำไว้

ก็หลอกล่อไปว่าหัวใจยังว่างทั้งสี่ห้อง คุณชายไม่ต้องไปขับแทกซี่หรอก ไปขับเบนซ์บีเอ็มให้แม่ยายที่บ้านดีกว่า มีอยู่หลายลำ

เดี๋ยวก็ใจอ่อน ได้หนังสือผมไปอ่านกันจุ๋งจิ๋งๆ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ต.ค. 15, 07:13
ขอบคุณคุณม้าที่เข้ามาไขคำถามเรื่องรูปนะครับ
ถ้าราวๆปี๒๕๓๑-๓๒ บังกะโลแถวไร่เลที่คุณม้าไปพัก ห้องน้ำไม่มีหลังคาแบบว่าให้นั่งชื่นชมธรรมชาติระหว่าปฏิบัติการอันสุนทรีย์ และต้องอาบน้ำในโอ่งมังกรด้วยละก็ พระนางเพลสของผมแหง๋ๆ

โอ่งนี่ ผมไปซื้อมาเองจากราชบุรี ฝรั่งไม่ค่อยเคยเห็น ต้องอธิบาย ครั้งหนึ่งแม่บ้านมาตามผมไปดู โอ่งในบังกะโลห้องหนึ่งมีน้ำสะบู่อยู่ครึ่งค่อนโอ่ง สกปรกโครต ทั้งสีทั้งกลิ่นอย่างกับน้ำในท่อระบายของกทม. พอเจ้าของห้องกลับมา ผมก็ถามว่ายูลงไปอาบน้ำในนั้นหรือ ฝรั่งบอกก็งั้นละซี คนไทยทำbath tub ไม่เป็น ออกแบบห่วยบรรลัย กว่าไอจะลงไปนั่งได้เล่นซะสีข้างเกือบถลอก
ผมจะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก ฝรั่งบางคนนี่มันโง่สุดๆ ยังไม่ตายเล้ย พยายามจะลงโกศซะแล้ว ผมบอกว่าคนไทยเขาออกแบบให้เป็นภาชนะบรรจุน้ำขอรับ เวลาอาบ ผมก็คว้าขันที่วางไว้มาให้ดูแล้วก็ทำท่าจ้วงน้ำขึ้นราดตัวเอง นี่ ๆ เขาทำกันอย่างนี้
ฝรั่งก็ทำหน้าประหลาด แล้วครางว่า โอ…. ไอ.. ซี

ส่วนผมก็ต้องควักกระเป๋าทิปให้แม่บ้าน บอกให้ทำความสะอาดโอ่งให้ดี เพราะฝรั่งไม่ยอมทิป พวกสะพายเป้นี่ขี้ตืดสุดๆ

มีเรื่องตลกอยู่อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องเล่า

เช้าตรู่วันนึงคนทั้งโรงแรมยังไม่ค่อยจะตื่นกัน ผมออกมาเดินดูโน่นดูนี่ แล้วได้ยินเสียงเรือหัวโทงวิ่งมาเทียบฝั่ง เสียงคนพูดกันโบ้งเบ้ง พร้อมๆกับเสียงเครื่องเรือคล้ายๆกำลังจะออกไป ผมเลยเดินไปดู เห็นฝรั่งอ้วนสูงอายุคนหนึ่ง แต่งตัวไม่ซำเหมาแบบฝรั่งสบายเป้ แกหิ้วกระเป๋าเดินทางเก้ๆกังๆอยู่ ในขณะที่เรือหัวโทงกลับออกไปโดยคนเรือหันมายิ้มกว้างบ๋ายบายส่งท้าย ดูฝรั่งท่าจะหัวฟัดหัวเหวี่ยงมาก ผมจึงเดินเข้าไปหามว่า มีปัญหาอะไรรึ
“ไอ้เวรนั่นน่ะสิ” ฝรั่งก็บอกเป็นภาษาฝรั่งนะครับ แต่ผมแปลมาให้อ่านแบบสุภาพสุดๆแล้ว
“มันหลอกไอว่าจะพาไอมาส่งโรงแรม แต่ดันเอาไอมาทิ้งไว้ที่นี่ เวรเอ๋ย…มีแต่ป่า”

ผมอดหัวเราะไม่ได้ เลยบอกให้ตะแกใจเย็นๆ แล้วตามผมมา ครั้นเดินผ่านพุ่มไม้ริมหาดเข้าไปเท่านั้น ฝรั่งก็วางกระเป๋าลงแล้วร้องว่า โอ..มายก็อดดดด!
คือแกไม่นึกว่าจะเจอพระนางเพลสซ่อนตัวอยู่อย่างสงบเงียบในนั้น


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ต.ค. 15, 07:45
เห็นเรือสีขาวลำเล็กๆตรงมุมขวานั่นไหมครับ

เรือลำนั้นผมไปซื้อต่อเขามาจากพัทยา เพราะจะขับเรือหัวโทงเข้าออกระหว่างโรงแรมกับฝั่ง แม้จะห่างกันแค่ ๓ กม.ก็ไม่ค่อยจะถนัดเท่าเรือ(เครื่อง)ติดท้าย
พอซื้อมาแล้วก็ลองลากจากพัทยามาที่บ้านกรุงเทพ ก็เรียบร้อยดี วันรุ่งขึ้นก็ลากต่อไปกระบี่ ขณะผ่านแยกปากท่อมาแล้วใกล้จะถึงเขาย้อย เพชรบุรี บิ๊กหมง ล.ส.(ลูกน้องคนสนิท)ของผมเป็นผู้ขับ ผมนั่งเคลิ้มๆอยู่ อะไรแวบๆอยู่ทางซ้ายมือ เหลือบสายตาไปดู ใครวะ ขับเรือเบียดเข้ามาจะแซงซ้าย
อ้าวเฮ้ย เรือของอัตโนนี่นา จึงร้องบอกบิ๊กหมงว่า เฮ้ย เรือจะแซงรถแล้ว บิ๊กหมงหันไปดูก็ตกใจเหยียบเบรก เรือก็ผ่านแว๊บไปแล้ววิ่งลงข้างทาง สมัยนั้นข้างทางยังเป็นคูน้ำใหญ่ดอกบัวกำลังบานสะพรั่ง เรือวิ่งลงไปน้ำกระจายราวกับระเบิดลง

โอย โชคดีเหลือเกิน น๊อตตัวใหญ่ขนาดหัวแม่โป้งที่ยึดสาลี่ลากเรื่อไว้กับรถขาด ในขณะที่รถชลอความเร็ว เรือก็ออกวิ่งโดยอิสระในความเร็วเท่าเดิมด้วยล้อคู่หลังสองล้อ ถ้ามันเบี่ยงออกไปทางด้านขวามือละก็ คงได้ชนกับรถที่สวนมาอยู่ตลอดเวลา ต้องมีคนบาดเจ็บล้มตายแน่นอน แล้วผมก็คงต้องไปอยู่เป็นเพื่อนบิ๊กหมงที่โรงพัก แล้วก็..โอ๋ย ไม่กล้าคิดดังๆต่อ

โชคดีต่อมาคือ แถวนั้นบังเอิญมีรถสิบล้อจอดอยู่ คนขับไปนั่งกินกาแฟอยู่ในร้านข้างทางเห็นเหตุการณ์ เลยมาช่วย มีช่งมีเชือกพร้อมเสร็จ ลุยน้ำลงไปผูกสาลี่เรือแล้วลากขึ้นมา เรือไม่มีชำรุดแม้แต่ลอยแมวข่วน เพราะน้ำในคูช่วยรับแรงกระแทกไว้

หลังจากบิ๊กหมงเปลี่ยนน๊อตตัวใหม่เรียบร้อย ผมก็ขอบคุณและมอบสินน้ำใจให้พี่เค้าไป แล้วก็ร่ำลาบรรดาไทยมุงออกเดินทางต่อ ผลัดกันขับกับบิ๊กหมง ลากเรือไปถึงทะเลกระบี่ก็ได้เวลาฟ้าสางพอดี


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ต.ค. 15, 10:02
เรื่องราวลำดับต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์ที่ผมมีโดยตรงกับ "พระนาง" ซึ่งเป็นเรื่องที่สวนทางกับแนวที่ผมยึดถือปฏิบัติ และชื่อหมวด "ทันกระแส" ของเรือนไทย ซึ่งท่านอาจารย์ใหญ่จัดระดับไว้
อีกทั้งไม่ทราบว่าคุณๆผู้อ่านจะยอมรับได้หรือเปล่า ในเรื่องที่ผมจะเขียนนอกแนวที่เคยเขียน

อย่างไรก็ดี แม้ตรงส่วนนั้นจะไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่ผมขอยืนยันว่าในอดีตเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนนั้น ผมได้มีประสบการณ์ ได้รู้ได้เห็นมาจริง ส่วนเรื่องราวที่ได้รู้ได้เห็นนั้นจะจริงหรือไม่ อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ เพราะถ้าจริงก็เกิดมาหลายภพหลายชาติแล้ว ไม่มีใครพิสูจน์ได้โดยอาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์

ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีเช่นที่เคย คือต้องขอสอบถามความเห็นของทุกท่านก่อน โดยเฉพาะท่านอาจารย์ใหญ่ซึ่งไม่ค่อยว่างจะแวะเข้ามาเรือนไทยสักเท่าไหร่ในหมู่นี้ หากทุกท่านเห็นด้วยและอยากให้ผมเล่าต่อ ผมก็จะเล่าต่อไป หาไม่ก็จะข้ามไปเฉยๆ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ต.ค. 15, 10:16
ท่านเกริ่นแค่นี้  ยังไม่ทันจะต้องอาศัยปี่พาทย์ลาดตระโพนประสานรับ      คนดูก็เฮกันมาเต็มหน้าวิกแล้วค่ะ
เรื่องแบบนี้เรียกเรตติ้งได้ดีนัก      จนกระทู้ขุนหลวงใกล้ๆวิกนี้ต้องปิดกิจการชั่วคราวไปแล้ว   นักเรียนหายหมด 


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 30 ต.ค. 15, 10:17
กำลังคิดว่าเรื่องที่คุณนวรัตนเล่ามาน่าจะนำไปเขียนเป็นนวนิยายโดยนักเขียนมือทองได้ มีเรื่องลึกลับเสริมเข้ามาก็เข้าทาง "แก้วเก้า" เชียว

หากเรื่องนี้ดังขึ้นมาถูกนำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์ คุณนวรัตนอาจถูกเชิญไปเป็นนักแสดงรับเชิญ หากแสดงเข้าตาคนดู ทีนี้แหละอาจได้แสดงละครอีกหลายเรื่อง ดีไม่ดีอาจมีสักเรื่องหนึ่งได้รับบทเป็นพระเอกก็ได้   ;) ;D



กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ต.ค. 15, 10:25
คุณนวรัตนอาจถูกเชิญไปเป็นนักแสดงรับเชิญ หากแสดงเข้าตาคนดู ทีนี้แหละอาจได้แสดงละครอีกหลายเรื่อง ดีไม่ดีอาจมีสักเรื่องหนึ่งได้รับบทเป็นพระเอกก็ได้   ;) ;D

เห้ยยยย....เว้ยยยย

ผมน่ะ เล่นเป็นพระเอกได้อยู่แล้ว เรื่องขุนช้างขุนแผนนะ เอาไอ้เจ้าขุนแผนมาเป็นผู้ร้ายมั่ง


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ต.ค. 15, 10:35
ท่านอาจารย์ใหญ่ท่านหนีงานมาเปิดไฟเขียวให้ผมแต่เช้า แถมบอกว่ามีคนดูเต็มหน้าวิก ดูๆแล้วก็เห็นคุณหมอเพ็ญอยู่คนเดียว ไม่น่าตื่นเต้นเท่าไหร่เพราะเป็นหมอสนามประจำวิก

คนอื่นๆไปไหนกันหมด ????

กระแสเรื่องหมอหยองกำลังแรงๆอยู่ ผมก็ไม่อยากมีเรื่องให้คนมาด่าผมฟรีๆ นอกจากโดนขะยั้นขะยอจริงๆ จึงจะอ้างให้ตัวรอดได้


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: visitna ที่ 30 ต.ค. 15, 10:42

 ผมขอเล่าสิ่งที่ผมเรียนรู้มาจากท่านสุวิทย์ โอสถานุเคราะห์ นายห้างใหญ่โอสถสภาสมัยโน้น ท่านผู้มีพระคุณท่านนี้ได้สอนผมไว้ ซึ่งผมจำได้แม่นยำ ใครฟังแล้วจะเอาไปใช้เป็นคาถาที่จะให้ประสพความสำเร็จในชีวิตด้านนี้ได้นะครับ

ท่านบอกว่า คุณหน่อ(ชื่อเล่นของผม) ในโลกนี้มีของสองอย่างที่หากว่าคุณรักจริงชอบจริงแล้ว คุณต่อรองไม่ได้เด็ดขาด หนึ่ง...คือผู้หญิง สอง..คือที่ดิน

สำหรับผมบอกได้เลยครับ คาถานี้ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ
คำคมของท่านสุวิทย์ เยี่ยมจริงๆ
เรื่องที่ดินผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง
แต่อีกเรื่องที่ชอบจริงรักจริงเราจะหาเจอไหม?


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 30 ต.ค. 15, 10:45
น่าสนใจขนาดนี้ ไม่เล่านี่ไม่ยอมจริงๆ แถมท่านอาจารย์ใหญ่กว่า แปลว่าต้องใหญ่กว่าแหงๆ แบบนี้เล่าได้สบายมาก

ถ้าเรื่องนี้ไปเป็นนิยายของแก้วเก้า ภาพหน้าปกนิยายนี่ผมจองนะครับ ท่านอาจารย์ใหญ่กว่าวาดไว้แล้ว  8)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ต.ค. 15, 10:47
เจ้านี้ก็ต่อรองอยู่นั่นแล้ว คุณแอนนงแอนนาหนีหมด


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Koratian ที่ 30 ต.ค. 15, 13:05
เรื่องราวลำดับต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์ที่ผมมีโดยตรงกับ "พระนาง" ซึ่งเป็นเรื่องที่สวนทางกับแนวที่ผมยึดถือปฏิบัติ และชื่อหมวด "ทันกระแส" ของเรือนไทย ซึ่งท่านอาจารย์ใหญ่จัดระดับไว้
อีกทั้งไม่ทราบว่าคุณๆผู้อ่านจะยอมรับได้หรือเปล่า ในเรื่องที่ผมจะเขียนนอกแนวที่เคยเขียน

อย่างไรก็ดี แม้ตรงส่วนนั้นจะไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่ผมขอยืนยันว่าในอดีตเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนนั้น ผมได้มีประสบการณ์ ได้รู้ได้เห็นมาจริง ส่วนเรื่องราวที่ได้รู้ได้เห็นนั้นจะจริงหรือไม่ อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ เพราะถ้าจริงก็เกิดมาหลายภพหลายชาติแล้ว ไม่มีใครพิสูจน์ได้โดยอาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์

ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีเช่นที่เคย คือต้องขอสอบถามความเห็นของทุกท่านก่อน โดยเฉพาะท่านอาจารย์ใหญ่ซึ่งไม่ค่อยว่างจะแวะเข้ามาเรือนไทยสักเท่าไหร่ในหมู่นี้ หากทุกท่านเห็นด้วยและอยากให้ผมเล่าต่อ ผมก็จะเล่าต่อไป หาไม่ก็จะข้ามไปเฉยๆ

เอาเรื่องประสบการณ์ตรงกับ "พระนาง" นี่แหละครับที่น่าสนใจ เรื่องที่เป็นวิทยาศาสตร์ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกครับ
โปรดบรรยาย
 
 ;D

คุณชายประกอบเทพโปรดเสียสละยอมโชว์... เพื่อให้สมาชิกท่านอื่นได้ประโยชน์  (สละชีพเพื่อชาติ)  8)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ต.ค. 15, 16:07
ระหว่างรอความเห็นท่านอื่นๆอีกสักสองสามเสียง เรามาเชียรคุณแอนนาให้หลอกล่อคุณชายประกอบเทพให้ประสบความสำเร็จก่อนก็ได้
.
.
.
คุณแอนนาไปไหนแล้วละครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: กิมซัว แซ่ตั้ง ที่ 30 ต.ค. 15, 17:48
อยากฟังครับอาจารย์


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 30 ต.ค. 15, 19:02
ผมแอบหนีมานอนอยู่กลางป่า เน็ตมือถือตะกุกตะกัก แต่อดจะเข้ามาอ่านไม่ได้ครับ  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 30 ต.ค. 15, 19:21
ดิฉันอยู่กลางกรุง เน็ทก็แย่พอกันเลยค่ะ กว่าจะลงทะเบียนได้ ที่นั่งแถวหน้าก็เต็มหมดแล้ว ต้องเงี่ยหูฟังอาจารย์อยู่หลังห้อง :(


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 30 ต.ค. 15, 19:27
ระหว่างรอความเห็นท่านอื่นๆอีกสักสองสามเสียง

ครบสามตามบัญชา         พวกแถวหน้ามานั่งรอ
"พระนาง" เริ่มแล้วหนอ     น่ากลัวไหมใจสั่นรัว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ต.ค. 15, 19:31
ตกลงคร้าบ ตกลง

เดี๋ยวขอเวลาอาบน้ำอาบท่าอีกแพร๊บบบ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: visitna ที่ 30 ต.ค. 15, 19:36
 อาจารย์ใหญ่....  คนเต็มวิกแทบจะนั่งตัก กันแล้ว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: walai ที่ 30 ต.ค. 15, 20:10
"""อ่านตั้งแต่เช้าค่ะ เที่ยงก็ไปหยิบหนังสือหลายเล่มมาเป็นสมบัตฺิสะสม จากศูนย์สิริกิติ์
    เล่มนึงยังไม่ได้อ่าน..ประวัติศาสตร์มชีวิต ๑..อยากใช้เวลาสนุกจากอ่านกระทู้นี้ต่อจากมื้อเช้าค่ะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ต.ค. 15, 20:23
ชื่นใจ๋ ชื่นใจ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ต.ค. 15, 20:26
ก่อนอื่นผมขอบอกก่อนนะครับว่าผมเป็นพุทธศาสนิกชนสายตรง คือผมจะไม่ยึดถือพุทธสายพราหมณ์ ที่นับพระผู้เป็นเจ้า และเทพยดาทั้งหลายเป็นสรณะ ขนาดเคยถูกแม่ว่าๆผมว่าอวดดีอยู่บ่อยๆ เพราะผมจะไม่สนใจร่วมกิจกรรมของครอบครัวประเภทนี้ ทั้งที่ผมก็มิได้ดูถูกดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ซึ่งผมก็เชื่อว่ามี แต่อยากจะเป็นแบบว่า ต่างคนต่างอยู่ก็แล้วกัน

วันหนึ่งผมนั่งเรือหัวโทงจากฝั่งถนนเข้าไปที่โรงแรม บนเรือมีฝรั่งนั่งอยู่แล้ว ฝรั่งคนนี้แต่งเนื้อแต่งตัวเป็นฤาษี ผมเคยเห็นไกลๆอยู่หลายครั้ง คนเรือก็บอกว่าเป็นฤาษี ผมเพิ่งมีโอกาสคุยกับเขาๆบอกว่าเขาเป็นคนออสเตรเลี่ยน ออกบวชเป็นฤาษีมาจากอินเดีย อาศัยอยู่ในถ้ำแถวไร่เลหลายเดือนแล้ว ตอนนี้คนชักจะมากรำคาญตา คงอยู่อีกไม่ได้นาน

สักพักก็ถามผมบ้างว่า ยูเป็นเจ้าของบังกะโลที่หัวแหลมนั้นเหรอ ผมก็ตอบว่าเยสเซ่อร์
ฤาษีฝรั่งชี้ให้ดูภาพเบื่องหน้า แล้วบอกว่า ที่ของยูได้รับพรจากพระผู้เป็นเจ้า ดูซิ มีทั้งศิวลึงค์และโยนี ที่ตรงนี้ของยูต่อไปจะเป็นที่เงินที่ทอง
ผมกล่าวขอบคุณ จริงแฮะ ผมไม่เคยนึกถึงเช่นว่ามาก่อนเลย เรือแวะส่งฤาษีลงระหว่างทาง ร่ำลากันเสร็จสรรพ หลังจากนั้นผมก็ไม่เห็นฤาษีตนนั้นอีกเลย

จากคุยกันครั้งนั้น ผมเลยได้ไอเดียที่จะเอาภาพที่พระผู้เป็นเจ้าสร้างไว้ตรงนั้นมาทำเป็นโลโก้โรงแรมของผม เป็นที่ฮือฮา แต่ไม่เคยมีใครถามว่าเป็นภาพอะไร


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ต.ค. 15, 21:07
ผมกลับกรุงเทพหลังนักท่องเที่ยวในฤดูกาลนั้นซาแล้ว และมีโอกาสไปเยี่ยมน้าชายซึ่งเป็นน้องคนเล็กของแม่ น้าคนนี้อยู่ๆก็เกิดเป็นคนแบบที่เรียกกันว่า“มีองค์”ขึ้นมา หลายปีแล้วที่พี่ๆทั้งหลายเปลี่ยนทัศนคติจากที่เห็นว่าไม่ค่อยจะเอาไหนมาเป็นยอมรับนับถือ ผมรู้สึกประหลาดใจอยู่ แต่ก็เห็นว่าเออ ดีนะ น้าเค้าเปลี่ยนจากการเป็นคนที่ติดเหล้า เมาหัวราน้ำทุกวี่ทุกวัน ย้ายจากบ้านเดิมที่เคยอยู่ร่วมกันมาซื้อบ้านอยู่ใหม่ หน้าตาสะอาดสะอ้านเป็นคนละคน

น้าถามผมว่าได้ข่าวแว่วๆ ผมไปทำงานอยู่ทางใต้เหรอ ผมก็ตอบว่าครับ อยู่กระบี่ ไปทำอะไรล่ะ ผมก็บอกว่าไปทำบังกะโลให้ฝรั่งเช่า น้าก็พยักหน้า ผมก็ถามลอยๆว่า แล้วจะดีไหมล่ะครับนั่น
น้าจ้องหน้าผมแล้วตอบว่า ถ้าอยากทราบจริงก็ให้ตามน้าขึ้นไปที่ห้องพระชั้นบน ให้ผมจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในนั้น ส่วนน้าไปแต่งตัวใหม่นุ่งขาวห่มขาวออกมา หลังจากนั่งพนมมือบริกรรมสักพักก็มีองค์มาประทับที่ร่างน้า บอกว่า ที่ที่ผมไปอยู่นั้นน่ะ เป็นดินแดนของเจ้าหญิงสององค์ เดินทางทางเรือมาจากอินเดียหลายศตวรรษแล้ว แล้วเรือมาแตกแถวนั้น วิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของพระนางจึงสถิตย์อยู่ที่นั่น

ผมก็ชักเหวอน่ะซีครับ แล้วท่านยินดีที่ผมไปบุกเบิกทำกิจการอะไรแถวนั้นหรือเปล่าล่ะ
ท่านดีใจ ร่างทรงบอก ขอให้ผมตั้งศาลให้ท่านตรงนั้นหน่อย
ผมก็บอกว่ายินดีครับ แต่จะทำอย่างไรล่ะ ท่านก็บอกว่าให้ร่างทรงนี้จัดการให้

นี่เล่าแบบรวบรัดนะครับ ความจริงเยิ่นเย้อกว่านี้เยอะ ผมน่ะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เมื่อน้าบอกให้สร้างก็สร้างดีกว่า สรุปก็คือผมได้พาน้าทั้งน้าสะใภ้ไปกระบี่ พอถึงที่หน้าถ้ำน้าก็มีอาการอีก มีร่างมาประทับสั่งโน่นสั่งนี่สำหรับพิธีการตั้งศาล อะไรไม่ว่า จะเอาศาลที่เป็นบ้านแฝดนี่ซี ผมยังนึกภาพไม่ออกเลยว่าหน้าตาเป็นอย่างไร

วันรุ่งขึ้นเราเข้าเมืองไปจ่ายตลาดกัน เสร็จแล้วก็ไปถามหาร้านที่ขายศาลพระภูมิสำเร็จรูป ปรากฏว่าทั้งเมืองมีอยู่เจ้าเดียว ผมไปถามว่าศาลไม้ทรงไทยแบบบ้านแฝดมีไหม เจ้าของร้านบอกแปลกแฮะ คนทำศาลเพิ่งเอาของมาส่งเมื่อกี้ มีศาลประหลาดสองหลังคามาด้วยหลังนึง พ้มยังถามว่าศาลยังงี้ใครเค้าจะเอาเล่า มันว่าไม่มีใครเอาก็ไม่เป็นไร ฝากไว้ก่อน ขายได้เมื่อไหร่ค่อยเอาเงินก็ได้ เนี่ย มันเพิ่งไปบัดเดี๋ยวเดียว คุณก็มาถามซื้อ

เป็นอันว่าเราได้ครบทุกสิ่งตามต้องการ ข้างล่างผมขอใช้ภาพเล่าเรื่องของศาลที่จัดตั้งในครั้งนั้นต่อก็แล้วกัน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ต.ค. 15, 21:30
หลังจากนั้น ผมก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นและก็มิได้ทำอะไรมากไปกว่ามอบหมายให้แม่บ้านคอยดูแล หาดอกไม้มาปักแจกัน วันพระก็ให้สวยงามพิเศษหน่อย ส่วนผมจะมาจะไปก็ยกมือไหว้ เหมือนไหว้ผู้ใหญ่ ผมเชื่อว่าเทพทุกองค์นั้น เมื่อท่านเป็นมนุษย์อยู่ในโลกท่านเป็นคนดี เรานบนอบกราบไหว้คนดีไม่เห็นจะมีอะไรเสียหาย พระพุทธเจ้าก็มิได้ทรงห้าม

แม่บ้านมาโม้ให้ผมฟังอยู่บ่อยๆว่าถูกหวยอย่างงั้นอย่างนี้ คนโน้นก็ถูกคนนี้ก็ถูก แต่คราวถูกกินก็ไม่เห็นจะมีใครมาเล่า แต่ผมเห็นว่าเออ ดีอย่างหนึ่ง คือไม่ต้องคอยเคี่ยวเข็ญให้คอยดูแลศาลให้สวยงาม เพราะมีคนหลายคนเต็มใจที่จะกระทำอยู่แล้ว

ไอ้เรื่องที่คนนั้นคนนี้เห็นไอ้โน่นไอ้นี่ก็มีประปราย แต่ผมไม่เคยเห็น นอนก็นอนคนเดียวอยู่ในกระต๊อบข้างๆออฟฟิศ แต่ก่อนนอนสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 ต.ค. 15, 07:36
เรื่องดังกล่าว ผมไม่ได้เปิดเผยกับใครนัก เพราะกลัวคนจะหาว่างมงายประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งนั้น ทางประชาสัมพันธ์จังหวัดเขามีหนังสือตำนานเล่าเรื่องความเป็นมาของชื่ออ่าวพระนางอยู่ ชื่อที่บางทีก็กร่อนเป็นอ่าวนางเฉยๆนี้ ก็เพราะความขี้เกียจพูดอะไรยาวๆของคนใต้ทำนองเดียวกับไร่เลนั่นเอง

ตำนานของเขามีว่า สมัยหนึ่งนานมาแล้วมีหญิงสาวผู้เลอโฉมอาศัยอยู่ที่ปราสาทริมทะเล มีชายหนุ่มหมายปองเป็นจำนวนมาก แต่นางไม่เปิดหัวใจให้ใครเลย อยู่มาวันหนึ่งมีหนุ่มจากเกาะหัวขวานมาหา และขอความรักจากนาง เมื่อนางไม่รับรัก หนุ่มผู้นั้นจึงใช้กำลังฉุดคร่า พอดีมีหนุ่มอีกคนมาจากเกาะพญานาคผ่านมาเห็นจึงเข้าไปช่วยสำเร็จ นางจึงยอมตกลงจะแต่งงานกับหนุ่มแห่งเกาะนาค
เมื่อถึงวันแต่งงานหนุ่มเกาะนาคก็แห่ขบวนขันหมากมา ชายอื่นๆที่หมายปองอยู่ทราบเข้าก็ไม่ยอม ยกพวกมาแย่งชิง เกิดตีกันวุ่นวายไปหมด พระฤาษีที่จำศีลอยู่ในถ้ำได้ยินเสียงเอะอะ จึงออกมาห้ามปรามไว้แต่ไม่มีใครฟัง เลยสาบให้เป็นหินไปทั้งหมด นางผู้เลอโฉมกลายเป็นถ้ำนาง ส่วนชายหนุ่มได้กลายเป็นเกาะหัวขวาน เกาะปอดะ เขาหงอนนาค เขาหางนาค ขันหมากที่จมลงในทะเลเป็นภูเขา รูปขันหมากอยู่หน้าถ้ำนาง ส่วนข้าวเหนียวกวนที่นำมาในงานแต่งงาน ได้กลายเป็นสุสานหอย

ก็พิลึกกึกกือถึงปานฉะนั้น ผมจะเอานิยมนิยายเรื่องเจ้าหญิงจากอินเดียสององค์ มาเรือแตกอยู่หน้าถ้ำส่งเข้าประกวดได้อย่างไร ดีไม่ดีผู้หลักผู้ใหญ่จะหาว่าผมผู้มาใหม่อยากดังด้วยการปั้นตำนานขึ้นมาโปรโมตโรงแรมของตน

ผมยังเหน็ดเหนื่อยแต่มีความสุขกับการขึ้นล่องกรุงเทพกับกระบี่ เพื่อจัดการสร้างบังกะโลให้ครบ ๑๘๐ หลัง หันหน้าออกทะเลทั้ง ๓ หาด แข่งกับเจ้าอื่นที่เริ่มมีผู้สร้างบังกะโลกันเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลกันเข้ามา อานิสงค์ของ Visit Thailand Year 1987 ทำให้ชาวสวนมะพร้าวริมทะเลกระบี่ถูกบุญหล่นทับ ไม่ดูด้อยไปกว่าชาวสวนปาล์มและสวนยางพาราแล้ว
เรื่องของพระนางในยามนั้นจึงแทบจะไม่ได้อยู่ในสมองของผมอีกเลย


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 31 ต.ค. 15, 07:58
บริเวณที่ตั้งศาลหน้าถ้ำพระนางในปัจจุบัน ไม่เห็นศาลบ้านทรงไทยแฝดของคุณนวรัตนแล้ว แต่รู้สึกจะมีศิวลึงค์เพิ่มขึ้น  ;)

ภาพจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000013248&Html=1&TabID=3&)

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=6418.0;attach=59797;image)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 ต.ค. 15, 08:15
เพิ่งเริ่มรำเบิกโรงเท่านั้น คุณหมอสนามประจำวิกได้เอาตอนจบมาเผยเสียแล้ว เรื่องยังไม่ถึงตอนตื่นเต้นที่โฆษณาไว้เลย ท่านผู้ชมอย่าเพิ่งลุกหนีนะขอรับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 31 ต.ค. 15, 08:36
ไม่ทราบจริง ๆ ว่าภาพนี้คือตอนจบของเรื่อง "พระนาง" มิตรรักนักอ่านแฟนคลับของคุณนวรัตนโปรดให้อภัย 

การเดินเรื่องเพิ่มความเข้มข้นแฝงไว้ด้วยความลึกลับอย่างนี้ รับรองไม่แฟนคลับลุกหนี  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 ต.ค. 15, 09:03
คืออย่างนี้ครับ ถ้าจะกรุณาเสริมเรื่อง ก็ขอแบบเป็นการเก็บตกที่ผมเล่าไปแล้วแต่ไม่สะใจ หรืออยากจะให้ข้อมูลเพิ่มเติม อย่างนี้เรื่องก็ไม่กระโดด Plotเรื่องที่ผมวางไว้ในสมองก็ไม่กระเจิง ต้องคิดใหม่ทำใหม่

ผมก็เข้าใจความใจร้อนของนักอ่านนะ อยากจะอ่านเร็วๆรวดเดียว แต่การเขียนกระทู้ที่ผมไม่ได้เป็นคนเปิดขึ้น ก็เลยไม่ได้เตรียมตัวเขียนต้นฉบับไว้ล่วงหน้า และกระทู้ก็พามาถึงจุดนี้โดยบังเอิญ จะผลีผลามเขียนอะไรไปดีไม่ดีจะเสียคน ผมก็ต้องไปค้นไปหารูปเก่าๆเอามาเป็นพยานหลักฐาน เมื่อคืนแทบจะไม่ได้หลับได้นอน เพราะหาไม่เจอ เลยตัดใจเข้านอนแบบหลอนๆ หลับๆตื่นๆตลอดคืน

ความจริงยังมีเรื่องที่สมควรจะเล่าระหว่างทางอีกมาก แต่เอาละ ผมจะยังไม่กล่าวถึงก่อนก็ได้ สรุปว่า ผมได้มาถึงจุดสุดท้ายของการก่อสร้างโรงแรมระดับ ๕ ดาว ซึ่งผมตั้งชื่อว่า "รายาวดี" อันมีความหมายเดียวกับ Phranang Place นั่นเอง
ระหว่างที่ผู้รับเหมากำลังเคลื่อนย้ายออก และทีมงานของโรงแรมเข้าไปทำ deep cleaning เพื่อเตรียม soft opening ตามแผน โรงแรมได้ติดต่อขอเชิญ travel agent ผู้ทรงอิทธิพลในยุโรปกลุ่มหนึ่งไปพักเพื่อประเมินโรงแรมสำหรับแผนการตลาดของเขา  คืนหนึ่งก็เกิดเรื่อง



กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 ต.ค. 15, 09:37
ผมเพิ่งกลับกรุงเทพมาอยู่กับลูกเมียได้เพียงวันสองวัน กลางดึกคืนหนึ่งGM(ผู้จัดการโรงแรม)ซึ่งเป็นฝรั่งโตในเมืองไทย พูดภาษาไทยได้ โทรศัพท์มาหาผม เสียงกริ่งโทรศัพท์ทำให้ผมสะดุ้งพรวดขึ้น เขาระล่ำระลักบอกว่าแย่แล้วคุณหม่อม ศาลพระนางไฟไหม้หมดแล้ว คนงานก่อสร้างแห่กันไปจุดธูปร่ำลากันอีท่าไหนไม่ทราบ ไฟลุกไหม้ศาลหมดเลย

ผมตะโกนด่าเขาไปหลายคำในใจ โธ่เว้ย คนกำลังหลับเอาเรื่องแค่นี้มารายงานราวกับเกิดคอขาดบาดตาย จะรอให้เช้าก่อนก็ไม่ได้ ไหนๆศาลก็ไฟไหม้ไปแล้วจะให้ผมไปทำอะไรให้ฟร๊ะ
แต่คำพูดทีหลุดจากปากผมก็คือ ใจเย็น ๆพ่อ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะไปจัดการให้

วันรุ่งขึ้น ผมไปเลือกศาลพระภูมิในร้านที่อยู่ใกล้บ้าน เจาะจงจะเอาศาลปูนที่จะไม่ไหม้ไฟ ดูๆแล้วก็เลือกได้หลังหนึ่ง มโนภาพเห็นก้อนหินใหญ่ที่ตั้งตะหง่านอยู่ในถ้ำ ถ้าเอาศาลนี้ขึ้นไปตั้งบนนั้นก็จะมีสง่าราศี เหมือนพระตำหนักเหนือภูผาหันหน้าเสพย์วิวทะเลยังไงยังงั้น นี่ คือความคิดแบบสถาปนิก

หลังจากนั้น ผมกับบิ๊กหมงก็ขึ้นรถตู้คู่ชีพ เอ้อ บิ๊กหมงก็คู่ชีพด้วยครับ เตรียมพลาสติกซีเมนต์สำเร็จรูปไปพร้อม กะไปถึงก็จะตั้งศาลแบบให้มั่นคงรวดเร็ว ที่ไม่ใช้ปูนซีเมนต์ธรรมดาเพราะต้องรอเป็นวันกว่ามันจะแห้งแข็งแรง ครั้นไปถึงก็ลงเรือของโรงแรม ให้ลูกเรือพาไปจอดหน้าถ้ำพอดี

สภาพที่เห็น GMเขาให้คนมาทำความสะอาดพื้นที่อย่างเรียบร้อยแล้ว สะอาดสะอ้านไม่เหลือร่องรอยอะไร ผมก็ขึ้นไปเล็งๆตรงตำแหน่งที่คิดไว้ แล้วให้บิ๊กหมงกับพวกลูกเรือแบกศาลขึ้นมาวาง ขยับโน่นนี่นั่นเล็กน้อย ก็สั่งให้บิ๊กหมงผสมEpoxy cement หล่อฐานยึดไว้ทันที สักสิบนาทีเท่านั้นก็แห้งปล่อยมือได้

ผมลงมาจุดธูปบอกพระนางว่า ผมขอจัดให้เท่านี้ก่อนนะครับ มันฉุกเฉินเต็มที เดี๋ยวพอว่างมีเวลาเมื่อไหร่ จะมาจัดแต่งเพิ่มเติมให้ใหม่ให้สวยงามกว่าเดิม


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 ต.ค. 15, 09:43
บริเวณที่ตั้งศาลหน้าถ้ำพระนางในปัจจุบัน ไม่เห็นศาลบ้านทรงไทยแฝดของคุณนวรัตนแล้ว แต่รู้สึกจะมีศิวลึงค์เพิ่มขึ้น  ;)

  (http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000013248&Html=1&TabID=3&)

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=6418.0;attach=59797;image)

เขาไม่เรียกศิวลึงค์นะครับคุณหมอ เขาเรียกปลัดขิก หรือบางทีก็ไอ้ขิกเฉยๆ ไฟไหม้คราวนั้นขิกใหญ่ขิกน้อยทั้งหลายหายไปสิ้น


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Koratian ที่ 31 ต.ค. 15, 09:51

ดูจากรูป เปลี่ยนจากกระต็อบมุงจาก มาเป็นบังกาโลสองชั้นหลังคาสุดหรู
นี่ก็เป็นก้าวกระโดดพอสมควรนะครับ แสดงว่าธุรกิจดีมาก


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 ต.ค. 15, 10:42
นี่แหละครับที่ผมอยากจะเล่าความเป็นมา ซึ่งคิดว่าน่าสนใจ แต่ถึงตอนนี้กำลังจะเข้าจุดไคลแม๊กซ์ของเรื่องที่ทุกคนสนใจมากกว่า จบตรงนี้แล้วเราค่อยย้อนไปคุยกันตรงนั้นก็ได้

เมื่อตั้งศาลใหม่เสร็จ GM ทำท่าตื่นเต้นที่ผมสามารถแก้ปัญหาเรื่องขวัญกำลังใจของพนักงานโรงแรม ซึ่งกำลังลือกันไปต่างๆนานาในทางร้ายได้อย่างรวดเร็ว แต่ระหว่างที่กลับไปกรุงเทพหลังจากนั้นแล้ว เขาก็ส่งข่าวที่กวนใจ ทำให้ผมหงุดหงิดได้แทบจะทุกวัน

เรื่องแรก คุณหม่อมครับ ช่างของโรงแรมถูกไฟดูด ตกลงมาจากฝ้าเพดาน หา..แล้วตายมั้ย  ไม่ตายครับแต่ซี่โครงเดาะตอนนี้นอนพักอยู่

เรื่องที่สอง คุณหม่อมครับ เรือลำใหม่ที่ส่งไปน่ะ หือ..มีอะไรหรือ เรือหัวโทงขนขยะของโรงแรมน่ะครับ คนขับทำอีท่าไหนไม่ทราบ ชนเรือของคุณหม่อม(เขาหมายถึงเรือของโรงแรมที่ผมสั่งต่อมาใหม่สำหรับแขกพักแรม)เปลือกเรือทะลุไปเลย ฮ้า..แล้วจมมั้ย ไม่จมครับ แต่ต้องเอาขึ้นคาน คงซ่อมหลายวัน

เรื่องที่สาม คุณหม่อมครับ วันนี้นาย…ทะเลาะกับนาย… แล้วชกกัน ผมสั่งไล่ออกทั้งสองคน ต้องหาคนมาใหม่ แหม มือดีทั้งคู่ แขกก็กำลังจะเข้าพัก งานยุ่งไปหมด

เรื่องที่สี่ คุณหม่อมครับ นาย…คุณหม่อมคงจำได้ เมื่อคืนมอเตอร์ไซด์คว่ำ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลอาการสาหัส

เรื่องที่ห้า คุณหม่อมครับ พนักงานสี่คนเอารถโรงแรมไปเยี่ยมคนป่วยที่โรงพยาบาล รถแหกโค้งบาดเจ็บกันทุกคน รถคงต้องซ่อมหลายสตังค์

สิ่งที่ผมเริ่มคิดในใจชักจะชัดขึ้น โบราณว่า เรื่องจุกจิกที่เกิดขึ้นพรรค์นี้ มักจะเป็นเหตุที่เกิดจากใครไปทำอะไรให้เจ้าที่เจ้าทางขัดอกขัดใจ
ยังไม่ทันจะกระดิกตัวกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดเลย เรื่องที่หกก็ติดตามมาติดๆ คราวนี้ไม่ได้โทรมาจากGM แต่มาจากผู้บริหารของพรีเมียรหุ้นส่วนใหญ่ในกิจการโรงแรมของผม
คุณหม่อมครับ เห็นข่าวหรือยัง ข่าวอะไรครับ มีคนไปยกพวกไปชูป้ายประท้วงรายาวดีที่หน้าโรงแรมดุสิตธานี กล่าวหาว่าโรงแรมของเราบุกรุกอุทยานแห่งชาติ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 ต.ค. 15, 10:44
ก่อนที่คุณเพ็ญจะโพสต์ ผมขอปาดคุณเพ็ญก่อนก็แล้วกัน

ลองอ่านดูก่อนนะครับ แล้วผมจะมาเล่าต่อ

http://info.gotomanager.com/news/details.aspx?id=5311 (http://info.gotomanager.com/news/details.aspx?id=5311)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 31 ต.ค. 15, 10:51
เรื่องราวของรีสอร์ทเล็กโรงแรมใหญ่ก็พอทราบอยู่ แต่ให้เจ้าของเล่าเองดีกว่า  ;)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 ต.ค. 15, 11:16
สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ผู้เขียนหนังสือ "ข้างหลังโปสการ์ด" ที่ตีพิมพ์มาแล้วหลายครั้งโดยใช้นามปากกา "หลานเสรีไทย" เธอเคยเป็นActivistตัวฉกาจ ก่อนที่จะหายหน้าไปหลังจากเมื่อเร็วๆนี้ ภาพยนต์ราคาถูกที่เธอลงทุนสร้าง แสดงด้วยกำกับด้วย ชื่อ เชคสเปียร์ต้องตาย (Shakespeare Must Die) ถูกคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ฯติดเรต "ห" ห้ามฉายในราชอาณาจักรไทย ด้วยข้อหา “ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ”

หนังสือ "ข้างหลังโปสการ์ด" เป็นมุมมองของเธอที่อยู่ตรงกันข้ามกับ Visit Thailand Year ที่เธอคิดว่าเป็นต้นเหตุสำคัญที่ธรรมชาติถูกทำลายเพราะนายทุน จากหนังสือที่เธอเขียน แสดงว่าเธอเป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกัน เป็นพวกแบ๊คแพกเช่นเดียวกับแหม่มสวิสที่มายืนด่าค้ำศรีษะผม

ในหนังสือของเธอใช้สำนวนจัดจ้าน ด่ากราดไปทั่ว ที่เธอให้สรรพนามว่า “หม่อม” ในตอนที่หมายถึงผม มีข้อความตอนหนึ่งว่า หม่อมเป็นผู้ “ทำให้เกิด “มะพร้าววิเศษ” ขึ้นในชั่วข้ามคืนเดียว ด้วยการใช้รถแม็คโครขุดมะพร้าวอายุ 30-40 ปี จากที่หนึ่งมาปลูกลงบนที่ดินที่อ้างการครอบครอง เป็นวิธีที่อยู่ในความนิยมสูงมาก และมักทำกันตอนดึกสงัด ขนขึ้นรถบรรทุกและใช้ผ้าเต็นท์คลุมอำพราง”

คือเธอกล่าวหาว่าผมบุกรุกที่ดินนี้มาเป็นของตนเอง โดยการขุดมะพร้าวต้นใหญ่ๆมาปลูกในป่าก่อน พอมะพร้าวอยู่ตัวก็ค่อยๆถางป่าออก

คุณก็ย้อนไปดูสารรูปของผมตอนไปบุกเบิกสร้างพระนางเพลสก็แล้วกัน มีแทรกเตอร์ตัวเท่าลูกควายไว้ลากเครื่องตัดหญ้ากับลากเรืออยู่คันเดียว จะเอาปัญญาที่ไหนขนมะพร้าวต้นขนาดนั้นข้ามน้ำข้าทะเลไปปลูกในป่า อย่างที่เธอให้ข้อมูลกับคนอ่าน

หนังสือของเธอเข้าข่ายหมิ่นประมาทชัดๆ แต่พออ่านที่เธอด่าคนอื่น โดยเฉพาะหลวงพ่อชา (สุภัทโท) วัดหนองป่าพง เพราะว่าเธอกับมารดาซึ่งเป็นหม่อมราชวงศ์ไปกราบท่านที่วัดแล้วท่านไม่ทัก กล่าวหาว่าท่านทักแต่คนมีเงิน เห็นว่าวันนั้นมารดาและตัวเธอแต่งตัวไปอย่างปอนๆ ท่านจึงมองข้ามศีรษะไป

คือคนเราถ้าด่าพระสงฆ์ระดับนั้นได้อย่างไม่ยั้งปากนั้น ก็ต้องปล่อยแล้วละครับ จำเลยทั้งหลายในหนังสือเล่มนั้นจึงไม่มีใครออกมาตอบโต้ รวมทั้งตัวผมด้วย
แต่นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าเธอจะบังอาจมากล่าวหาผมอย่างนั้นอีกในขณะที่โรงแรมจะเปิดอยู่รอมร่อ ตอนเป็นบังกะโลกระจอกๆอยู่หลายปีไม่เห็นโผล่มา


http://info.gotomanager.com/news/details.aspx?id=31517 (http://info.gotomanager.com/news/details.aspx?id=31517)

คุณเพ็ญข้องใจอยากจะถามอะไรก็เชิญเลยนะครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 ต.ค. 15, 11:33
พอเป็นข่าวขึ้น พรีเมียรก็ออกมาปกป้องผมทันที โดยรับที่จะเป็นผู้ให้ข่าวเองโดยให้ผมอยู่เฉยๆ พอข่าวหน้าหนึ่งจบ บทความต่างๆก็เริ่มทยอยออกมา ที่แรงๆก็ใน “ผู้จัดการ” และ The Nation หลักฐานการออกเอกสารสิทธิ์ตั้งแต่ต้นจนจบของที่ดินทั้งสามแปลงถูกคัดมาจากกรมที่ดินเพื่อชี้แจงกับผู้กล่าวหาอย่างชัดเจน จนไม่ช้าเรื่องก็ค่อยๆเงียบไปเมื่ออุทยานแห่งชาติออกมาแถลงว่าที่ดินของรายาวดีนั้นชอบด้วยกฏหมาย


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 ต.ค. 15, 11:51
เรื่องราวของรีสอร์ทเล็กโรงแรมใหญ่ก็พอทราบอยู่ แต่ให้เจ้าของเล่าเองดีกว่า  ;)

เชิญครับ ตาคุณเพ็ญแล้ว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Koratian ที่ 31 ต.ค. 15, 11:55

ถ้าเป็นตอนนี้น่าจะมีคนไปประท้วงเรื่องราคาที่พักนะครับ
จากเริ่มต้นกระต๊อบมุงจากร้อยห้าสิบต่อคืน
ปัจจุบันคืนละหมื่นห้า
ต้องสะสมบุญมาเยอะพอควรจึงจะไปพักในสวรรค์บนดินนี้ได้
  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 ต.ค. 15, 12:05
เอาตอนที่จะเขียนมาแย้มก่อนก็ได้ โรงแรมนี้ในปัจจุบันไม่ใช่ของผม ผมขายหุ้นที่มีอยู่ไปตั้งแต่ก่อนซึนามิจะมาอย่างเฉียดฉิวครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 31 ต.ค. 15, 12:07
เรื่องราวของรีสอร์ทเล็กโรงแรมใหญ่ก็พอทราบอยู่ แต่ให้เจ้าของเล่าเองดีกว่า  ;)

เชิญครับ ตาคุณเพ็ญแล้ว
 

เรื่องราวปัญหากรรมสิทธิ์ที่ดินนี้ทราบนานมาแล้วจากข่าวในผู้จัดการที่คุณนวรัตนนำมาแสดง เมื่อในที่สุดเรื่องลงเอยด้วยดี ก็ดีใจแทนเจ้าของโรงแรมด้วย ไม่มีวาสนาไปพักที่นั่นสักที แต่ติดตามอ่านรีวิวจาก พันทิป ก็น่าพักทีเดียว  

http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2009/10/E8485551/E8485551.html (http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2009/10/E8485551/E8485551.html)

คงไม่ไปร่วมประท้วงกับคุณคนโคราช ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 ต.ค. 15, 12:57
เรื่องโต้แย้งกรรมสิทธิ์ ผมก็วางใจให้พรีเมียรเป็นผู้ดำเนินการไป เพราะเขาตรวจสอบมาอย่างดีแล้วก่อนที่จะเอาเงินมาร่วมทุนกับผม และผมยังมีงานคั่งค้างอยู่ที่กระบี่มากมาย แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ซึ่งทำให้ผมต้องเผชิญหน้ากับสมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์จนได้ เมื่อพนักงานรายงานให้ทราบว่าว่ามีนักข่าวกลุ่มใหญ่มาออกันอยู่ที่ชายหาดหน้าโรงแรม

ผมเดินไปดู อ้อ..คนที่หน้าตาเดียวกับที่เห็นในหนังสือพิมพ์นี่เอง เธอนำนักหนังสือพิมพ์หน้าละอ่อนมาสักเจ็ดแปดคนเห็นจะได้ ผมก็เดินเข้าไปแนะนำตัว บอกว่าเชิญเข้ามาก่อนไหมครับ เธอรีบห้ามคนอื่นบอกว่าอยู่ที่นี่แหละ ผมก็ไม่ไปไหน เกาะติดเลย พอเธอพูดอะไรผิดผมก็พูดสอดเข้าไปแก้ สักพักก็เลยกลายเป็นเถียงกัน นักข่าวก็จดยิกๆๆๆ

ก่อนจาก ผมก็บอกว่าขากลับไปภูเก็ตก็พาแวะไปดูบ้านคุณพ่อของคุณที่บ้านคอเอนด้วยซี่ เธอบอกว่าไปพูดถึงทำไม คนละคนกัน ผมก็บอกว่าอ้าว ก็บ้านคุณพ่อของคุณทำกำแพงกันดินเบ้อเริ่มเทิ่มยื่นลงไปในหาด เวลาน้ำทะเลขึ้นก็ตัดหาดออกเป็นสองส่วน ชาวบ้านเดินไปเดินมาแถวนั้นต้องลุยน้ำจนกว่าจะพ้นแนวกำแพงบ้านคุณพ่อของคุณ เธอก็ตวาดใส่ผมว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย ผมก็บอกว่า อ้าว คุณเป็นนักอนุรักษ์ประเภทชอบประท้วงไม่ใช่เหรอ ต้องเริ่มที่บ้านตัวเองก่อนซี่ เอาบ้านตัวเองให้ถูกต้องก่อนจะมาเที่ยวจับผิดคนอื่น

จบการสนทนาแล้ว นักข่าวบางคนยังไม่ยอมจบ มากระซิบถามผมใหญ่ บ้านคอเอนอยู่ที่ไหนหรือคะ อะหา..บิดาของเธอก็มีชื่อเสียงไม่เบา เอาเป็นทำข่าวขายกินมื้อหน้าได้เหมือนกัน

เฮ้อ ก็โหดอยู่เหมือนกันละนะ ผมมาสังเกตุทีหลังว่ามารดาของเธอไม่ได้ใช้นามสกุลของบิดา เธอจึงอาจจะห่างกันจนคิดต่างทำต่างกันกับบิดามากก็ได้

เมื่อเรื่องนี้เงียบไปแล้ว ผมก็นึกว่าที่ร้ายๆก็น่าจะจบ แต่ยังครับยังไม่จบ เรื่องสุดท้ายนี้แทบจะทำผมทรุดลงไปเหมือนโดนแข้งของบัวขาวฟาดเข้าที่ก้านคอเลยทีเดียว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: visitna ที่ 31 ต.ค. 15, 16:40
โดนนับแค่ 8 ลุกขึ้นมาได้
ธรรมชาติของยอดนักสู้


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 31 ต.ค. 15, 20:36
วันนี้ทั้งวัน เพิ่งมีเวลามาอ่าน ท่าน อ ใหญ่กว่าทิ้งท้ายให้ชวนติดตามอีกแล้น >:(

ปล นี่ถ้าท่านยังมีหุ้นอยู่ ผมจะหยอดกระป๋องสะสมเงิน แอบไปอุดหนุนซักครั้ง  8)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NT ที่ 31 ต.ค. 15, 20:43
รอฟังเรื่องสุดท้ายของอาจารย์ใหญ่กว่าครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 ต.ค. 15, 21:12
โดนนับแค่ 8 ลุกขึ้นมาได้
ธรรมชาติของยอดนักสู้

ก็เดิมพันมันสูงครับ ถ้าไม่สลบก็ย่อมต้องลุก
แต่ทั้งหมดที่เล่าครั้งนี้ ไม่ได้ประสงค์จะมาโอ้อวดตัวเอง เพียงแต่อยากจะให้เห็นระดับความรุนแรงของเรื่องที่อยู่ๆก็ทะยอยกันเกิดติดต่อกัน ต้องเข้าใจนะครับว่าในระยะเวลาที่ก่อสร้างทั้งหมดสองปีเศษที่ผ่านมา ไม่มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้นสักครั้ง แต่ตั้งแต่ผมตั้งศาลขึ้นใหม่ เหตุผิดปกติก็ทยอยกันเกิดขึ้น

ผมกลับมากระบี่พร้อมกับนายทหารเรือนอกราชการท่านหนึ่ง ซึ่งชำนาญด้านการออกแบบเรือ  ผมอยากจะหาเรือที่เหมาะสมกับภูมิประเทศที่นั่น ครั้นมาถึงท่าด้านฝั่งถนน พบว่าเลขาของGMมารออยู่ ซึ่งปกติถึงแม้ว่าโรงแรมรู้แล้ว่าผมจะมา ก็จะมีแต่พนักงานต้อนรับเท่านั้นที่คอยทำหน้าที่

คุณหม่อมขา ที่โรงแรมมีเรื่องใหญ่ค่ะ ไฟไหม้ห้องปั่นไฟ เพิ่งดับได้ไม่นานนี้
เสียหายแค่ไหน เครื่องปั่นไฟเป็นอย่างไร ผมถาม เธอเงียบ เสียหายหมดหรือ เธอพยักหน้าช้าๆ

โรงแรมของผมไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง เราต้องผลิตไฟฟ้าเองด้วยเครื่องกำเนิดไฟฟ้่าดีเซล ๓ เครื่อง สลับกันทำงาน ๒๔ ชั่วโมง เครื่องเหล่านี้ใช้เวลา ๖ เดือนในการสั่งซื้อและเดินทางถึงท่าเรือกรุงเทพ การขาดไฟฟ้าสำหรับโรงแรมระดับนี้ย่อมเปิดดำเนินการไม่ได้ เวลานั้นโรงแรมใช้เงินกู้เต็มวงเงินแล้ว เฉพาะดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายแต่ละเดือนคิดแล้วก็สมองตื้อ รายรับที่หวังจะได้รับมาตู๊ค่าใช้จ่าย บัดนี้หายวูบ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Koratian ที่ 01 พ.ย. 15, 06:54

สงสัยต้องใช้บริการเครื่องยนต์เรือไปก่อน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 พ.ย. 15, 06:59
ขณะนั้นเกิดสำนึกรู้ขึ้นมาพลัน ว่าผมได้ทำผิดไว้ต่อพระนางแน่นอนแล้ว จึงรีบลงเรือเร็วให้พาผมไปที่หน้าถ้ำพระนางทันที เมื่อถึงก็ไปคุกเข่าลงตรงตำแหน่งที่เคยเป็นศาล กล่าวขอขมาในใจ หากทำอะไรผิดพลาดไปก็ขอพระนางโปรดเมตตาให้อภัย ช่วยดลบันดาลให้ผมได้รับทราบด้วยว่าจะแก้ไขได้อย่างไร แล้วผมจะรีบทำทันที
ระหว่างที่ผมตั้งจิตส่งใจขอขมาต่อพระนางนั้น  รู้สึกตัวว่าเกิดขนลุกชันขึ้นมาทุกรูขุมขน เริ่มจากวูบๆจนเนิ่นค้างอยู่ จึงหันไปบอกผู้ติดตามมาซึ่งนั่งอยู่ข้างหลัง ยกแขนให้ดูรูขุมขนที่ปูดขึ้นมาเหมือนหนังไก่ที่ถูกถอนขนแล้ว ว่าผมขนลุกทั้งตัว กลางหลังก็ด้วย ปรากฏว่าทุกคนในที่นั้นต่างพากันลูบแขน คนโน้นก็เป็นคนนี้ก็เป็นเหมือนๆกัน

ผมรีบเดินเข้าโรงแรมตรงไปยังห้องเครื่องปั่นไฟ ระหว่างผ่านล๊อบบี้เห็นแขกประมาณยี่สิบคน ส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง เลขาGMบอกว่าเป็นพวกtravel agentที่มาตรวจสอบโรงแรม ดีที่แขกไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นหวาดกลัวอะไร แต่กำลังรอจะไปขึ้นเรือเพื่อเดินทางต่อไปยังภูเก็ต ซึ่งโรงแรมได้จัดให้ไปพักที่ดุสิตลากูน่าในคืนนั้น เห็นพนักงานโรงแรมกำลังช่วยกันลำเลียงของสดจากห้องเย็นฝั่งนี้ ไปยังห้องเย็นที่ศูนย์ของโรงแรมฝั่งถนน
แต่สภาพของเครื่องปั่นไฟในห้องนั้นทำให้ผมสิ้นหวัง คิดอะไรไม่ออก จึงบอกนายทหารเรือที่มากับผมว่า ผมขอโทษผู้การด้วยครับ ผมจะต้องกลับไปแก้ปัญหาที่กรุงเทพเดี๋ยวนี้ ผู้การก็กล่าวว่าครับๆ

ผมเดินออกมาสูดลมหายใจที่สนามแล้วโทรศัพท์กลับไปแจ้งข่าวร้ายให้กรรมการผู้จัดการใหญ่ของพรีเมียรให้ทราบทันที


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 พ.ย. 15, 07:09

สงสัยต้องใช้บริการเครื่องยนต์เรือไปก่อน
เครื่องยนต์เรือก็ช่วยได้แค่พาเรือกับคนวิ่งเข้าฝั่ง ถ้าจะเอาไฟจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของเรือเหล่านั้นก็คงจะได้แค่ไฟส่องสว่างไม่กี่ดวง แค่ไฟส่องทางเดินของโรงแรมก็ไม่พอแล้ว

คุณคนโคราชคงเคยได้ยินว่าสมัยสงคราม เมื่อโรงไฟฟ้าวัดเลียบถูกทำลายไปแล้ว ทางการได้เอาเรือดำน้ำที่ประจำการอยู่ตอนนั้นทั้งสี่ลำ มาปั่นไฟเพื่อเลี้ยงระบบของรถราง เพื่อมิให้กรุงเทพเป็นอัมพาตไปทั้งเมือง
แต่เรือดำน้ำมีระบบผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ สำหรับผลิตไฟบรรจุแบตตารี่เพื่อใช้เดินเครื่องเวลาดำน้ำ จึงสามารถแปลงมาใช้งานดังกล่าวด้วย

โรงปั่นไฟของโรงแรมใช้เครื่อง Caterpillar 350 KVA จำนวน ๓ ตัว คงหาเรือมาแทนกันไม่ได้


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 พ.ย. 15, 07:52
เมื่อนั่งอยู่ในรถมุ่งหน้าไปภูเก็ตเพื่อจับเครื่องบินเที่ยวหัวค่ำหรือดึกกลับกรุงเทพ นายทหารเรือผู้อาวุโสเห็นผมค่อยมีสติสัมปัชชัญญะขึ้นแล้วจึงถามว่าคุณหม่อมจะรีบกลับกรุงเทพไปทำไม ผมก็ตอบไปตามตรงว่ายังไม่ทราบเหมือนกัน ท่านก็พูดต่อว่าให้ใจเย็นๆ วันนี้พักในเมืองกระบี่ก่อน แล้วพรุ่งนี้เข้าไปที่โรงแรมใหม่ เรายังไม่ได้วิเคราะห์ให้ทราบถึงสาเหตุเลยว่าเกิดไฟไหม้ขึ้นด้วยเหตุอะไร

เออจริงสินะ ถ้าเข้าประชุมกับพรีเมียร ผมคงตอบคำถามอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง จึงกล่าวขอบคุณ เห็นด้วย แล้วให้รถโรงแรมย้อนกลับไปกระบี่
ท่านผู้การถามอีกว่า แถวนี้มีพระดีมีชื่อเสียงอยู่รูปหนึ่ง ชื่อท่านอาจารย์ชัย อยู่วัดบางเหรียง ที่พังงา คุณหม่อมเคยได้ยินไหม ผมตอบว่าไม่เคยครับ ท่านผู้การก็บอกต่อว่าพระองค์นี้มีหูทิพย์ตาทิพย์ ถ้าคุณหม่อมคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านคงแก้ไขให้ได้ ผมจึงเรียนว่าแล้วทำอย่างไรจะได้พบท่านล่ะครับ

ท่านผู้การควักโทรศัพท์มือถือออกมา สมัยนั้นนับเป็นของใหม่ซึ่งแปลความว่าใช้ได้เรื่องบ้างไม่ได้เรื่องบ้าง บางทีก็โทรติดบางทีก็โทรไม่ติด สัญญาณคลื่นบริเวณที่รถวิ่งอยู่มีแค่ขีดเดียว ผมก็สั่งให้รถจอดเพื่อให้สัญญาณเสถียร พอกดเสร็จสักครู่ท่านผู้การก็บอกว่าติดแล้ว สักพักก็ทราบว่าผู้ที่รับสายคือท่านอาจารย์ชัยเอง ซึ่งท่านผู้การบอกว่าแปลกมาก ปกติลูกศิษย์จะเป็นผู้รับ และโชคดีที่วันรุ่งขึ้นท่านไม่มีกิจนิมนต์ ให้เรารีบไปหาท่านแต่เช้า


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 พ.ย. 15, 08:18
เมื่อเราไปถึงกุฏิท่านนั้น แขกนั่งกันอยู่เต็มห้องแล้ว ท่านอาจารย์ชัยกำลังฉันอาหารมื้อเดียวของวันนั้นอยู่ ระหว่างฉันท่านจะสำรวมไม่พูดกับใคร แต่เมื่อเห็นท่านผู้การและผมเดินก้มๆเข้าไป ท่านก็แสดงกิริยาว่ารับรู้ เราก็นั่งต่อคิวชาวบ้าน ไม่ทราบว่าเที่ยงนี้จะได้ถามท่านหรือเปล่า นึกท้อใจอยู่

แต่เมื่อฉันเสร็จแล้ว คำแรกท่านก็ทักทายสารทุกข์สุกดิบกับท่านผู้การหน่อยหนึ่งแล้วหันมามองหน้าผมว่า “พระนางในตำนานของจังหวัดกับพระนางจริงๆน่ะ คนละเรื่องกันนะ”

ผมเด้งผางขึ้นมาทันที ถือโอกาสว่าท่านพูดกับผม จึงขอทางครับๆ บุกไปกราบถึงตัวท่านทีเดียว “พระนางจริงๆมีสององค์พี่น้องนะ มาเรือแตกที่นั่น สมบัติยังอยู่ใต้ทรายแถวนั้นเลย แล้วนี่คุณมาหาอาตมาทำไม”
ผมก็เล่าเหตุที่เกิดที่โรงแรมให้ท่านฟัง ท่านหลับตาชั่วครู่ก็กล่าวว่า “ท่านบอกว่าอย่าไปโทษท่านนะ เหตุที่เกิดเป็นความผิด ความประมาทของมนุษย์ทั้งนั้น นี่ท่านช่วยคุณแล้ว ไปคิดดูให้ดี” แล้วท่านหันไปอธิบายกับท่านผู้การว่า บางทีเรื่องพรรค์นี้เจ้านายยังไม่ได้ทำอะไร ลูกน้องมันโกรธแทนแล้วจัดการไปเสร็จสรรพไม่ให้เจ้านายรู้ก็ได้ จริงไหม ที่หน้าถ้ำน่ะ มีองครักษ์ตัวโตยืนอยู่

“แล้วผมไปทำผิดอะไรหรือครับ”
ท่านหลับตาลงอีก “ไอ้ศาลบนก้อนหินน่ะ ใครเป็นคนทำล่ะ”
“ผมเองครับ”
“คุณทำไม่ถูก ศาลของท่านต้องเป็นศาลคู่ ศาลต้องตั้งอยู่ตรงที่น้ำทะเลเลาะและ”

ที่น้ำทะเลเลาะและ ท่านขยายความว่า ที่ซึ่งน้ำทะเลสามารถท่วมถึงได้ ผมเอาศาลท่านย้ายไปอยู่บนก้อนหินซึ่งสูงเกินไป
“หาคนไปแก้ไขเสียนะ แล้วจะมีความสุขความเจริญ ใครตั้งศาลให้ล่ะ ไปตามเขามาตั้งให้ใหม่สิ คนนี้เขาทำถูกต้องดีทุกอย่าง”


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 พ.ย. 15, 08:20
แหม กำลังไหลลื่น ต้องออกไปธุระข้างนอกเสียแล้ว

เจอกันใหม่เย็นนี้ครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 01 พ.ย. 15, 08:50
แหม กำลังไหลลื่น ต้องออกไปธุระข้างนอกเสียแล้ว

เจอกันใหม่เย็นนี้ครับ

ว้ายยยยยย รอไม่ไหว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 พ.ย. 15, 09:31
อดทนหน่อยอีหนู


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Koratian ที่ 01 พ.ย. 15, 11:03

น่าสนใจมากๆครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 01 พ.ย. 15, 17:09
ถึงเวลาคุณนวรัตนนัดแล้วหนอ
มานั่งรอฟังเรื่องเล่าเขากล่าวขาน
เรื่องเร้นลับกลับกลายเป็นตำนาน
เชิญอาจารย์ใหญ่กว่ามาบรรเลง


(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=3276.0;attach=9565;image)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: walai ที่ 01 พ.ย. 15, 17:52
มาจองโต๊ะแล้วค่ะ :P


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 พ.ย. 15, 18:20
มาแว๊ววววว

เช้าวันนั้นท่านอาจารย์ชัยได้ทำให้ผมได้เคลียร์ใจกับพระนาง ได้มั่นใจว่าท่านไม่เอาโทษโกรธเคืองอะไรผมแล้วก็ค่อยมีกำลังใจ เมื่อกลับไปที่โรงแรมอีกครั้ง มีพนักงานเอารูปถ่ายขณะเกิดเหตุมาให้ดู บางภาพเหล่านี้คงอธิบายอะไรได้ชัดเจนขึ้น

ระบบดับเพลิงของโรงแรมยังใช้การไม่ได้ พนักงานยังไม่ได้มีการซักซ้อมว่าเวลาเกิดเหตุอัคคีภัย ใครจะต้องทำอะไร น้ำที่มาจากก๊อกประปานั้นก็ประมาณว่าถ่มน้ำลายรดกองเพลิง
แต่ยังดีที่เวลานั้นเป็นช่วงน้ำทะเลขึ้นสูงสุดประจำวัน ระดัยน้ำมาจ่ออยู่ที่โรงปั่นไฟ เท่านั้นยังไม่พอ ยังเป็นเวลาเลิกงานกะที่พนักงานมาออกันรอลงเรือของโรงแรมเพื่อกลับไปหอพักที่ศูนย์ฝั่งถนน จึงได้ช่วยกันยืนต่อคิว ใช้กระป๋องจากแผนกสวนตักน้ำทะเลส่งต่อๆกันไปสาดสู้กับไฟ ได้ผลดีกว่าน้ำจากสายยาง


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 พ.ย. 15, 18:24
สิ่งที่ไฟไหม้ได้นั้น คือส่วนหนึ่งของโครงหลังคา ตัวอาคารซึ่งเป็นซีเมนต์บล๊อกไม่ได้ไหม้ไฟ และไม่ลามไปยังบังกะโลของเจ้าอื่นที่อยู่ข้างเคียงเพราะติดกำแพงกันเสียง(เครื่องปั่นไฟ)ที่สูงและยาวตลอดแนว

ที่สำคัญที่สุดซึ่งผมคิดว่าอัศจรรย์ ความจริงในช่วงเวลาเดียวกันของทุกวัน ลมมรสุมจะพัดแรงมาก บางวันต้นมะร้าวถึงกับโยกไปโยกมาแทบว่าจะถอดรากถอนโคน แต่เย็นวันนั้นลมเกิดสงบ ดูจากเปลวไฟแล้วจะเห็นว่าลมจะพัดเบาๆไปยังจุดแข็งที่สุดในที่นั้น ก็คือกำแพงกันเสียง ซึ่งก็ได้ทำหน้าที่เป็นแนวกันไฟไปในตัว
ถ้าสมมติว่า ลมมรสุมพัดจากโรงปั่นไฟไปหาตัวโรงแรมดังที่วันเป็นอยู่ทุกวี่วัน เชื่อได้เลยว่าไม่เฉพาะแต่อาคารกลุ่มback of the house  แต่ pavilionทุกหลังจะต้องถูกพระเพลิงทำลายประหนึ่งทัพเรือของโจโฉ ที่พ่ายกลศึกของขงเบ้ง

รายาวดีจะต้องพินาศเป็นถ่านเถ้าแน่นอน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 พ.ย. 15, 19:04
เย็นวันนั้น ผมได้รับโทรศัพท์กลับมาจากกรรมการผู้จัดการใหญ่ของพรีเมียร ถามคำแรกว่าผมกลับมากรุงเทพหรือยัง ผมบอกว่าผมยังอยู่ที่โรงแรม เขาบอกว่าดีแล้ว ให้ผมช่วยหาข้อมูลทำหนังสือเคลมประกัน เนื่องจากว่าประกันภัยครอบจักรวาลระหว่างการก่อสร้างยังไม่หมดอายุ เพราะโรงแรมยังไม่ได้รับมอบงานจากผู้รับเหมา ได้เจรจาเบื้องต้นแล้ว อย่างน้อยค่าเครื่องปั่นไฟทั้งสามตัว ราคารวมกันสิบกว่าล้านบาทนั้น ได้คืนแน่

เฮือกกก..ไม่ใช่sound effect ว่าเสือมานะครับ แต่เป็นเสียงถอนหายใจของผม

ยังไม่จบนะพระเดชพระคุณท่าน เนาวรัตน์พัฒนาการได้เช็คกับเมโทรมาชีนเนอรี่แล้ว เครื่องปั่นไฟรุ่นนี้ที่แต่ไหนแต่ไรมา บริษัทไม่เคยสั่งมาทำสต๊อกไว้ เนื่องจากแต่ละตัวราคาสูง แต่ผู้จัดการใหญ่เกิดเปลี่ยนนโยบาย ทดลองสั่งเข้ามาในสต๊อก ๓ ตัว เพิ่งจะมาถึง บริษัทเพิ่งเช็คเครื่องเสร็จสรรพพร้อมขาย จึงตกลงสั่งซื้อไปใหม่แล้ว เครื่องจะจัดส่งลงไปพรุ่งนี้
 
นี่ไม่ใช่นวนิยายนะครับ เรื่องจริงวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้นี้แหละ ก่อนผมจะกลับลงไปกรุงเทพ พอนั่งเรือไปถึงฝั่งบ้านน้ำเมา ก็เห็นเครื่องปั่นไฟใหม่เอี่ยมวางอยู่ชายหาด รอเรือบรรทุกลงไปรายาวดีแล้ว

เนาวรัตน์พัฒนาการ(ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนามสกุลผมนะครับ) ผู้รับเหมาก่อสร้างบอกว่าพร้อมจะซ่อมทุกอย่างเสร็จภายในสามสัปดาห์ เมื่อโรงแรมรีบแจ้งไปยังtravel agentกลุ่มเดิมว่า โรงแรมพร้อมที่จะเปิด soft opening อีกครั้งในกำหนด ๑ เดือน นายใหญ่คนหนึงโทรมาจากเยอรมันเพื่อถามว่ายูแน่ใจหรือ ไอเพิ่งได้รับรายงานจากผู้จัดการที่ภูเก็ตว่าอย่างน้อยกว่าโรงแรมจะเปิดได้ เห็นว่าต้องมีห้าหกเดือน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 พ.ย. 15, 19:48
ข่าวรายาวดีไฟไหม้นั้น แม้โรงแรมจะพยายามปิดข่าว แต่คนกระบี่แถวนั้นก็รู้ไปทั่ว วันหนึ่งผมไปทำธุระที่อ่าวพระนาง พบกับเจ้าของกิจการโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งเคยรู้จักกันในที่ประชุมของพวกโรงแรมด้วยกัน เขาจบมาจากธรรมศาสตร์เพิ่งมาลงทุนทำบังกะโลระดับดีได้สักปีหนึ่งแล้ว เรียกผมว่าพี่หม่อม ถามผมว่าได้ข่าวว่าโรงแรมของพี่หม่อมไฟไหม้หรือ ที่ดินที่พี่หม่อมอยู่น่ะเฮี้ยนนะ ทราบหรือเปล่า
ผมเลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง

เขาบอกว่าผมเชื่อเรื่องที่พี่หม่อมเล่า เขาเองมีพี่สาวแท้ๆคนหนึ่งที่อยู่ๆก็เกิดเป็นร่างทรง ทั้งบ้านพ่อแม่พี่น้องอับอายชาวบ้านไปทั่ว มีเขาคนเดียวที่พอจะคุยกับพี่สาวได้ คราวที่พี่สาวมาเที่ยวโรงแรมของเขาได้ทักว่า ที่แถวนี้มีเจ้าที่แรงนะ ให้เขาตั้งศาลเจ้าที่ให้ถูกต้อง แล้วจัดการตั้งให้ เป็นศาลเรือนคู่เหมือนกันสำหรับพระนางและน้องสาว
ผมตามไปดูศาลดังกล่าวที่โรงแรมของเขา แล้วถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 พ.ย. 15, 20:16
คงต้องเล่าเหตุการณ์ตอนที่น้าผมมายกศาลครั้งใหม่ก่อนจะจบเรื่อง
แต่ต้องขอเป็นวันพรุ่งนี้ครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ศรีสรรเพชญ์ ที่ 01 พ.ย. 15, 20:43
ยังคงติดตามอย่างต่อเนื่องครับ น่าสนใจมากจริงๆ

ไปงานหนังสืออีกรอบ ซื้อเล่มนี้มาเก็บอีกเล่มนึงครับ ตามอ่านตอนต้นกระทู้นี้แล้วเลยอยากศึกษาเกี่ยวกับชีวิตของท่านดูครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 พ.ย. 15, 21:21
ผลงานกระทู้ของท่านอาจารย์เทาชมพูอีกกระทู้นึงครับ

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3025.0 (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3025.0)

ใครที่ยังไม่เคยเห็นโปรดระวังโรคตาแฉะจากการอ่านนะครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ศรีสรรเพชญ์ ที่ 01 พ.ย. 15, 21:34
มีกระทู้ดีๆมาให้อ่านอีกแล้ว ขอบคุณครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: lucksi ที่ 01 พ.ย. 15, 22:53
สวัสดีค่ะ หนูลงทะเบียนเป็นนักเรียนใหม่ แต่แอบอ่านแอบเรียนมาได้สักระยะหนึ่งแล้วค่ะ ขอบคุณอาจารย์ทุกๆท่านที่เสียสละเวลาค้นคว้าและถ่ายทอดเรื่องราวดีๆไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 พ.ย. 15, 06:08
ยินดีต้อนรับครับ ดีใจมากเลยที่คุณลงทะเบียนมาเพื่อเข้ามาบอกผมเช่นนี้

แต่ขอโทษเถอะ นิดนึง ผมเดาไม่ถูกเลยว่า lucksi มาจากภาษาไทยคำใด เฉลยหน่อยได้ไหมครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 พ.ย. 15, 07:41
น้าชายของผมมีปกติธรรมชาติเป็นคนพูดน้อย แต่ถ้าเมื่อใดเกิดพูดมากขึ้นมาก็จะออกแนววกวน ย้ำคิดย้ำทำ ต่อเมื่อไหร่มีองค์ลงประทับก็จะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ถ้าเป็นหลวงปู่ ขอประทานโทษผมจำไม่ได้ว่าเป็นหลวงปู่องค์ใด แต่คงแก่มากเพราะน้าผมจะมีอาการหลังโกง พูดค่อยๆเบาๆ เป็นสำนวนโบราณผมฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง น้าผู้หญิงจะต้องเป็นล่ามแปลความให้อีกทีจึงจะรู้เรื่อง

อีกหนึ่งนั้นเป็นเด็กที่หลวงปู่เลี้ยงไว้เป็นลูกศิษย์ เรียกสั้นๆว่ากุมาร มีฤทธิ์เยอะเหมือนกัน แต่ความที่เป็นเด็ก เวลามาประทับในร่างน้า น้าของผมก็จะเปลี่ยนอาการและพูดจาเหมือนเด็กอายุ ๕ ขวบ กุมารนี้รักน้าผมมาก อยากจะมาเข้าเมื่อไหร่ก็มาแบบไม่ดูกาละเทศะ ผิดกับหลวงปู่ที่ต้องเชิญกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
แต่กุมารจะสร้างความอับอายให้คนใกล้ชิดเสมอเวลาไปไหนมาไหนกับน้า ต้องขอร้องให้ออกไปก่อน บางทีก็เชื่อบางทีก็ไม่เชื่อ

เมื่อไปกระบี่ครั้งที่สองน้าทั้งสองคนก็ตื่นตาตื่นใจกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของชุมชนชายทะเลที่นั่น เนื่องจากเรานอนที่รายาวดีไม่ได้เพราะอยู่ในระหว่างที่ปิดซ่อมโรงปั่นไฟฟ้า ผมจึงพาไปนอนที่โรงแรมของเพื่อนที่อ่าวพระนางซึ่งเล่าแต่แรกว่าได้ไปออกแบบให้เขาไว้ แล้วคืนนั้นก็เชิญGMซึ่งพักชั่วคราวอยู่ที่หอพักพนักงานที่อ่าวน้ำเมามาทานอาหารค่ำด้วย เพราะมีหน้าที่ต้องให้ร่วมมือในการจัดตั้งศาลพระนางใหม่ในครั้งนี้

GMเป็นคาธอลิก แต่อยู่ในเมืองไทยนานพอจะเข้าใจวิถีชีวิตความเชื่อถือของคนไทย ปกติเป็นคนอารมณ์ดีอยู่แล้วจึงไม่มีปัญหาอะไร น้าสะใภ้ของผมจะเป็นผู้สาธยายว่าต้องการอะไรยังไง ซึ่งเขาก็เต็มใจรับจะไปสั่งการให้พนักงานจัดให้
ตลอดเวลาน้าผมก็เป็นปกติดี แต่พอโรงแรมจัดของหวานมาเสริฟเท่านั้น น้าผมก็ออกอาการเด็กวัดทันที ลุกขึ้นคว้าไอ้โน่นไอ้นี่ใส่ปาก โอ้ยนั่นก็อร่อยนี่ก็อร่อย  ฝรั่งตกใจตาเหลือก ผมน่ะชินซะแล้วก็เลยนั่งอมยิ้มดูอยู่ 
“คุณหม่อม เค้าเป็นอะไรน่ะ คุณหม่อมเกิดอะไรขึ้น”
ผมก็อธิบายว่าน้าผมเค้าเป็นร่างทรง ตอนนี้มีกุมารมาเข้าร่างของเขา GMก็อย่างที่บอกแหละครับ เขาพอจะเข้าใจเรื่องอย่างนี้ ก็เปลี่ยนจากตกใจมาเป็นตลกขบขัน
ผมนึกสนุกเลยพูดกับร่างของน้าว่า กุมารครับ ฝรั่งคนนี้ไม่เชื่อกุมารน่ะ ช่วยแสดงอะไรให้เขาเชื่อหน่อยซี่ ร่างก็หัวเราะคิกคัก ได้ๆ แต่เดี๋ยวกินนี่หมดก่อน ถึงตอนนี้GMก็สนุกไปด้วย พลอยหัวเราะตาม

อยู่ๆกุมารก็หยุดกิน หันมาถามว่า “เธอนี่ เวลากลับบ้าน ที่ต้องเหาะวื้อๆไปน่ะ…” ตรงนี้น้าสะใภ้สอดขึ้นมาว่า เค้าเรียกว่านั่งเครื่องบิน “ใช่ๆ นั่งเครื่องบินไปไกลๆน่ะ ไม่ได้กลับไปหาพ่อแม่นะ ไปหายายแก่ๆที่อยู่บนภูเขาน่ะ จริงมั้ย”
ถึงตรงนี้ GMตาเหลือกโพลงขึ้นมา “คุณรู้ได้ยังไง มายก๊อด คุณรู้ได้ยังไง” แต่กุมารตบมือชอบใจ พอแระ ไม่พูดแระ กินคาหนมดีกว่า

GMหันมาถามผม คุณหม่อม เค้ารู้ได้ยังไงน่ะ ผมไม่เคยบอกใครเลย ผมก็ถามกลับว่า แล้วจริงหรือเปล่าล่ะ GMบอกว่าจริง แถมทำท่าน้ำตาจะซึมๆออกมา “ตอนเป็นเด็ก พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงผม มีญาติผู้หญิงอายุมากแล้วเอาผมไปเลี้ยงเป็นลูก พอพ่อแม่ย้ายครอบครัวมาอยู่เมืองไทย ก็บังคับเอาผมมาด้วย ผมคิดถึงเค้ามาก มีโอกาสเมื่อใดก็จะกลับไปหาเค้า”
ตรงนี้กุมารพยักหน้ายอมรับ “เธอนี่ เป็นคนดี มีความกตัญญู”

คืนนั้น ผมก็หายหนักใจเรื่องที่จะมอบหมายให้โรงแรมดูแลศาลพระนางให้ดีในระยะยาว เพราะน้าของผมได้สาวกใหม่คนสำคัญไปอีกหนึ่งแล้ว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 02 พ.ย. 15, 07:54
ผลงานกระทู้ของท่านอาจารย์เทาชมพูอีกกระทู้นึงครับ

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3025.0 (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3025.0)

ใครที่ยังไม่เคยเห็นโปรดระวังโรคตาแฉะจากการอ่านนะครับ

พออ่านมาถึงหน้าหลังๆ เตรียมทิชชู่เอาไว้ซับน้ำตาด้วยนะคะ (คำเตือนด้วยความหวังดี จากผู้ที่เคยอ่านมาแล้ว ;D)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 พ.ย. 15, 08:00
ผมหมายถึงเล่มมันหนาน่ะ ถ้าอ่านไม่วางเลยก็ตาแฉะแน่
แต่ถ้าอ่านไปอินไปแบบคุณแอนนาก็อีกอาการนึง


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 พ.ย. 15, 08:01
พิธีกรรมในวันตั้งศาล คราวนี้เพียบ ศาลคู่นั้นผมเตรียมมาจากกรุงเทพเป็นอย่างดี
โปรดสังเกตุศาลเดิมที่ผมตั้งไว้บนก้อนหินใหญ่นั้น ถูกเชิญลงไปแล้ว และระหว่างเวลาทำพิธี ฝรั่งGMนั่งคุกเข่าเรียบร้อยอยู่หน้าโต๊ะสังเวยเลยทีเดียว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 พ.ย. 15, 08:38
มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นเมื่อพิธีจบแล้ว เมื่อGMเชิญทุกคนไปทานข้าวที่ห้องอาหารครัวพระนางของโรงแรม ซึ่งปิดอยู่ จึงไม่มีใครนอกจากคณะเรา พออิ่มหนำสำราญ จำไม่ได้ว่าตัวGMยังอยู่หรือขอตัวไปทำงานแล้ว อยู่ดีๆน้าผมก็เด้งผางลงไปนอนกับพื้น สักพักก็ลุกขึ้นมานั่งพับเพียบเรียบร้อย น้าสะใภ้จึงถามขึ้นอย่างคนรู้งานว่า พระนางเสด็จมาใช่ไหมเพคะ ร่างของน้าก็พยักหน้า

ทุกคนซึ่งนั่งอยู่บนพื้นแล้วตั้งแต่น้าผมลงไปนอนแน่นิ่ง ก็เปลี่ยนอากัปกิริยาโดยอัตโนมัติ พระนางหันมาพูดกับผมว่า “ขอบใจเธอมากนะจ๊ะ ที่ทำบ้านให้ฉันและน้อง หลังใหม่สวยงาม ถูกใจมาก” ผมก็กราบ
น้าสะใภ้ก็ถามนำโน่นนี่นั่น ท่านก็ตอบ ซ้ำๆกับเรื่องที่เล่ามาแล้ว ผมจะไม่เล่ารายละเอียดตรงนี้ให้เฝือ นอกจากถึงตอนหนึ่ง ผมถามว่า สมบัติของพระนางที่ว่ายังจมอยู่ใต้ทรายหน้าถ้ำ จะโปรดดลใจชี้ทางให้ผมนำขึ้นมาได้ไหมขอรับกระหม่อม ผมใช้ราชาศัพท์หม่อมเจ้าเวลาพูดกับท่าน พระนางเปลี่ยนท่าทีเป็นไม่พอใจทันที “นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะให้เธอ สิ่งที่เธอควรจะได้เธอก็ได้แล้ว ต่อไปกิจการของเธอจะเจริญรุ่งเรือง”

ผมตกใจนะ เกรงว่าพระนางจะเข้าใจผิดว่าผมโลภโมโทสัน ในใจจริงๆคิดว่าสมบัติดังกล่าว(ถ้ามีจริง)ก็ควรจะเป็นสมบัติของแผ่นดิน มีค่ามหาศาลทางด้านโบราณคดี ผมคิดไปถึงว่า ถ้าสามารถจะนำขึ้นมาจัดสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติของจังหวัดกระบี่ได้ ก็น่าจะเป็นที่สนใจไปทั่วโลก กระบี่มีแหล่งโบราณคดีที่คลองท่อม อยู่ห่างไปไม่ไกลอยู่แล้ว ที่นั่นเป็นชุมชนเดิมยุคทวาราวดี มีการขุดพบลูกปัทม์ของมีค่ามากมาย ที่น่าทึ่งคือมีเหรียญสุริยเทพของโรมันปนอยู่ด้วย มันผ่านมาทางอินเดียแน่นอน

ผมคงไม่มีบารมีพอ ในใจคิดว่าถ้าเป็นเจ้านายผู้เป็นที่เคารพรักของปวงชน พระนางคงจะยินยอม จึงเอ่ยปากถาม พระนางตอบสั้นๆว่า “มันไม่ใช่สมบัติของมนุษย์”
ผมจึงกราบขอประทานอภัยโทษอีกครั้ง และไม่เอ่ยปากถึงเรื่องนี้อีกเลย

ตั้งแต่นั้นศาลพระนางจึงกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวอ่าวพระนาง ทุกคืนวันเพ็ญ ในเวลาเย็นหกนาฬิกา ชาวโรงแรมรายาวดีจะตั้งขบวนแห่ นำเครื่องสังเวยไปบูชาพระนาง ตามคำที่ทรงบอกว่า จะลงมาโลกมนุษย์ในคืนนั้น
ภาพที่ผมบอกคุณหมอเพ็ญว่า เป็นภาพตอนจบก็คือสภาพของศาลหลังการจัดตั้งขึ้นใหม่ไม่นาน ผู้คนได้แห่กันมาขออะไรต่อมิอะไร พอสำเร็จก็นำเครื่องแก้บนมาถวายจนรกรุงรัง ต้องจัดระเบียบกันบ่อยๆ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 พ.ย. 15, 09:25
วันพาน้าเดินทางไปสนามบินภูเก็ตเพื่อกลับกรุงเทพ ผมได้โทรไปนัดกับลูกศิษย์ท่านอาจารย์ชัย ขอเวลาที่จะไปพบท่านล่วงหน้า ครั้นไปถึงวันนั้นปลอดโปร่งดี มีคนไปรออยู่ไม่มาก พอผมกับคณะนั่งเรียบร้อยแล้ว ท่านบอกผมว่า “เมื่อคืนเค้ามาหาอาตมา ต่อว่าใหญ่ว่าเป็นพระไม่อยู่ส่วนพระ เอาความลับเรื่องสมบัติของเค้าไปบอกมนุษย์ ทำให้เกิดกิเลศโลภในสมบัติที่ไม่ใช่ของตัว”

ถึงตรงนี้น้าของผมก็หงายหลังผลึ่งลงไป พอลุกขึ้นมานั่งเรียบร้อยก็ก้มกราบท่านอาจารย์ ท่านหันมาถามผมว่า เค้ามาใช่ไหม ผมก็ตื่นๆอยู่ แต่บอกว่าครับ
พระนางมาบอกอย่างเดิมว่าพอใจในศาลที่ทำให้ใหม่แล้ว ต่อไปขอให้มีความสุขความเจริญ สถานที่นั้นจะเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก แล้วก็บอกท่านอาจารย์ชัยว่าอย่าไปบอกคนอื่นนะว่าสมบัติอยู่ตรงไหน ท่านอาจารย์ท่านก็ยิ้มเจื่อนๆ ไม่นานพระนางก็ออกไป น้าของผมก็กลับมาเป็นคนๆเดิม

วัตถุประสงค์วันนั้นคือ ผมจะมานิมนต์ท่านอาจารย์ชัยไปเจริญพระพุทธมนต์และฉันอาหารเป็นสิริมงคลกับโรงแรม เรื่องอื่นก็ไม่มีอะไรแล้ว ท่านอาจาย์ก็ยินดีรับนิมนต์ ครั้นไปถึงก็ขอให้พาไปที่ศาลพระนางก่อน ท่านยืนทำสมาธิอยู่ที่นั่นนาน แล้วจึงไปทำพิธีกรรมของสงฆ์ต่อ
ในรูป ท่านนำตระกรุดมา ๗ หรือ ๙ ดอก จำไม่ได้ เดินนำผมไปยังจุดต่างๆของโรงแรมราวกับมีแผนที่ไว้แล้วในใจ แล้วฝังตระกรุดลงให้ในที่เหล่านั้น

วันนี้พอนะครับ ได้เวลานัดต้องออกไปข้างนอกแล้ว
แต่ความจริงเรื่องที่ต้องการจะเล่าก็จบแล้ว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 พ.ย. 15, 09:31
เอ่อ...เกรงใจจริงจริ๊ง แต่อยากจะบอกว่า ถ้าผมกลับมาเห็นว่าไม่มีใครสนใจจะเข้ามาต่อกระทู้นี้ให้เป็นเรื่องเป็นราว
ก็จะขอจบการเล่าเรื่องส่วนตัวของผมเพียงเท่านี้

ขอบคุณผู้ที่ติดตามอ่านนะครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 02 พ.ย. 15, 09:49
มีข้อสงสัยอยู่ ๓ ข้อ

ข้อที่ ๑ เรื่อง "ศาลพระนาง"

จากภาพปัจจุบันไม่เห็นศาลที่คุณนวรัตนตั้งล่าสุดในกระทู้ คงต้องมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นระหว่างนั้น  ???


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 02 พ.ย. 15, 10:08
ข้อที่ ๒

น้าจ้องหน้าผมแล้วตอบว่า ถ้าอยากทราบจริงก็ให้ตามน้าขึ้นไปที่ห้องพระชั้นบน ให้ผมจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในนั้น ส่วนน้าไปแต่งตัวใหม่นุ่งขาวห่มขาวออกมา หลังจากนั่งพนมมือบริกรรมสักพักก็มีองค์มาประทับที่ร่างน้า บอกว่า ที่ที่ผมไปอยู่นั้นน่ะ เป็นดินแดนของเจ้าหญิงสององค์ เดินทางทางเรือมาจากอินเดียหลายศตวรรษแล้ว แล้วเรือมาแตกแถวนั้น วิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของพระนางจึงสถิตย์อยู่ที่นั่น

คุณชัยสิริ สมุทวณิช เพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคุณนวรัตน (ตามที่เจ้าตัวว่า) เขียนไว้ใน ผู้จัดการ  (http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9520000025321) เกี่ยวกับ "พระนาง"ว่า

เมื่อไปที่กระบี่ เราทราบว่าที่คลองท่อมมีของโบราณ เก่าแก่นับพันปี และได้ยินตำนานเกี่ยวกับเจ้าหญิงฝรั่ง พระนามว่ารายาวดี พบว่าน่าจะเป็นกรีกหรือไม่ก็พวกมาจากกรุงโรม
      
เราไปวัดที่คลองท่อม พบลูกปัด มีอันหนึ่งเป็นรูปเจ้าหญิงชัดเจนโดยมีใบหน้างดงามมาก และลูกปัดนับได้เป็นร้อย นอกจากนั้นพบว่ามีอุปกรณ์ทำลูกปัดรวมอยู่ด้วย ทำให้เชื่อว่าที่นี่เป็นแหล่งการผลิตที่สำคัญ


คำถามคือ คุณนวรัตนพอทราบเกี่ยวกับตำนานเจ้าหญิงฝรั่ง "รายาวดี" ของคุณชัยสิริ และเคยเห็นลูกปัดรูปเจ้าหญิง บ้างไหม  ???      


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 02 พ.ย. 15, 10:18
ข้อที่ ๓ คุณสุภาวรรณเขียนไว้ในบล็อก oknation.net (http://www.oknation.net/mblog/entry.php?id=968880) ว่า

“ถ้ำพระนาง” อันมีตำนานหนึ่งเล่าขานกันมาว่า สมัยก่อนที่เทียบเท่ากับสมัยของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช มีการเดินทางไปยังเส้นทางสายไหมโดยทางเรือ จากอินเดียไปเมืองจีน มีเจ้าหญิงอินเดียสองพระองค์ คือเจ้าหญิงศรีกุลาเทวี และ เจ้าหญิงศรีสุธาลัย ได้เดินทางยังเมืองจีนโดยทางเรือ และมาเรือลมอยู่ใกล้หาดแห่งนี้

ชาวบ้านเชื่อว่าวิญญาณของสองพระนางยังคงวนเวียนอยู่เพื่อช่วยปกป้องคุ้มครองชาวบ้าน และชาวประมงไม่ให้ประสบเหตุเภทภัยและเคราะห์กรรมเช่นพระองค์ เพื่อเป็นการตอบแทน และเพื่อให้เกิดความเป็นมงคลแก่ตัวเอง ทุกวันเพ็ญ ชาวบ้าน ชาวประมง รวมถึงพนักงานของรายาวดีจะจัดพิธีบูชาพระนาง โดยถวายดอกไม้ ผลไม้ น้ำ รวมถึงชุดย่าหยาแบบชาวใต้ย่อส่วนตัวเล็ก ๆ ให้พระนางด้วย ไม่เพียงแต่ชาวบ้านและชาวประมง แม้แต่พวกนักปีนเขาก็มาร่วมในกิจกรรมนี้ด้วย เพื่อขอขมาและขอบคุณที่ช่วยปกปักรักษาพวกเขา

พิธีบูชาพระนาง รายาวดีเป็นผู้ริเริ่มจัดขึ้น ต่อมาก็มีชาวบ้านมาร่วมพิธี จนกลายเป็นพิธีสำคัญของผู้คนในแถบนี้


คำถามคือ ระหว่างคุณนวรัตนติดต่อ "พระนาง" ผ่านร่างทรง มีการกล่าวถึงพระนามของเจ้าหญิงทั้ง ๒ นี้หรือไม่  ???



กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: kui045 ที่ 02 พ.ย. 15, 10:54
เอ่อ...เกรงใจจริงจริ๊ง แต่อยากจะบอกว่า ถ้าผมกลับมาเห็นว่าไม่มีใครสนใจจะเข้ามาต่อกระทู้นี้ให้เป็นเรื่องเป็นราว
ก็จะขอจบการเล่าเรื่องส่วนตัวของผมเพียงเท่านี้

ขอบคุณผู้ที่ติดตามอ่านนะครับ

สนใจอ่านต่อครับ
เล่าต่ออีกนะครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: rozicki ที่ 02 พ.ย. 15, 11:16
สวัสดีครับอาจารย์ ไล่ตามอ่านกระทู้ของอาจารย์จนหมดแล้วครับ ใช้เวลานานมาก ยิ่งอ่านยิ่งได้รับความรู้ใหม่เรื่อยๆครับ
ขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ด้วยนะครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 พ.ย. 15, 12:07
เอ่อ...เกรงใจจริงจริ๊ง แต่อยากจะบอกว่า ถ้าผมกลับมาเห็นว่าไม่มีใครสนใจจะเข้ามาต่อกระทู้นี้ให้เป็นเรื่องเป็นราว
ก็จะขอจบการเล่าเรื่องส่วนตัวของผมเพียงเท่านี้

ขอบคุณผู้ที่ติดตามอ่านนะครับ

 (http://www.youtube.com/watch?v=2lAY-rRRa4o[/url)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Koratian ที่ 02 พ.ย. 15, 14:37

ตรงนี้น่าสนใจครับ เจ้าหญิงทั้งสองมาจากอาณาจักรใด
โจฬะมณฑลหรือเปล่า แต่ไม่น่าจะเป็นกรีกโยนก


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ศุศศิ ที่ 02 พ.ย. 15, 15:31
ตามอ่านเรื่องที่ ท่านอาจารย์เขียน  ไม่ว่าประวัติศาสตร์ หรือ เรื่องเล่า นี่ไม่ผิดหวังจริงๆ
ตอนเริ่มอ่าน สงสัยเขียนเรื่องสร้างรีสอร์ท มันมีอะไรน่าสนใจ อ่านไปอ่านไป สนุกน่าสนใจ
แทบจินตนาการว่าเป็นเจ้าของรีสอร์ทเสียเอง


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: walai ที่ 02 พ.ย. 15, 18:21
>>>>SHANE  ยังไม่คัมแบค ดิชั้นมาเปิดประตู หน้าต่างห้องเรียน
         ตั้งแต่ห้าโมงเย็นค่ะ :P

         






         


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ย. 15, 04:31
มีข้อสงสัยอยู่ ๓ ข้อ

ข้อที่ ๑ เรื่อง "ศาลพระนาง"

จากภาพปัจจุบันไม่เห็นศาลที่คุณนวรัตนตั้งล่าสุดในกระทู้ คงต้องมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นระหว่างนั้น  ???
เมื่อวานผมมีโอกาสใช้โทรศัพท์มือถือเปิดอ่านกระทู้เป็นระยะๆ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาช่วยต่อกระทู้ และขอโทษด้วยที่ไม่สามารถตอบให้ได้ เมื่อกลับมาถึงบ้านราวสามทุ่มแล้ว อ่อนเพลียมากสมองทำงานไม่ครบทุกรอยหยัก เลยนอนดีกว่า เช้านี้เลยตื่นตั้งแต่ตีสี่ ทำการบ้านซะเลย

ศาลพระนางในภาพที่คุณหมอเอามาลงนี้ เป็นศาลใหม่ที่โรงแรมทำขึ้นหลังซึนามิ การมาของคลื่นยักษ์ครั้งนั้นได้ทำลายศาลที่ถูกระบุว่าให้ตั้งในที่เลาะและ(หรือเราะแระ ไม่แน่ใจ) ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาแล้วจึงไม่ทราบ แต่มันเสมือนข้อไขปริศนาบางประการในความคิดของผม ซึ่งจะผลัดไปเล่าภายหลัง


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ย. 15, 04:47
ข้อที่ ๒

น้าจ้องหน้าผมแล้วตอบว่า ถ้าอยากทราบจริงก็ให้ตามน้าขึ้นไปที่ห้องพระชั้นบน ให้ผมจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในนั้น ส่วนน้าไปแต่งตัวใหม่นุ่งขาวห่มขาวออกมา หลังจากนั่งพนมมือบริกรรมสักพักก็มีองค์มาประทับที่ร่างน้า บอกว่า ที่ที่ผมไปอยู่นั้นน่ะ เป็นดินแดนของเจ้าหญิงสององค์ เดินทางทางเรือมาจากอินเดียหลายศตวรรษแล้ว แล้วเรือมาแตกแถวนั้น วิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของพระนางจึงสถิตย์อยู่ที่นั่น

คุณชัยสิริ สมุทวณิช เพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคุณนวรัตน (ตามที่เจ้าตัวว่า) เขียนไว้ใน ผู้จัดการ  (http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9520000025321) เกี่ยวกับ "พระนาง"ว่า

เมื่อไปที่กระบี่ เราทราบว่าที่คลองท่อมมีของโบราณ เก่าแก่นับพันปี และได้ยินตำนานเกี่ยวกับเจ้าหญิงฝรั่ง พระนามว่ารายาวดี พบว่าน่าจะเป็นกรีกหรือไม่ก็พวกมาจากกรุงโรม
      
เราไปวัดที่คลองท่อม พบลูกปัด มีอันหนึ่งเป็นรูปเจ้าหญิงชัดเจนโดยมีใบหน้างดงามมาก และลูกปัดนับได้เป็นร้อย นอกจากนั้นพบว่ามีอุปกรณ์ทำลูกปัดรวมอยู่ด้วย ทำให้เชื่อว่าที่นี่เป็นแหล่งการผลิตที่สำคัญ


คำถามคือ คุณนวรัตนพอทราบเกี่ยวกับตำนานเจ้าหญิงฝรั่ง "รายาวดี" ของคุณชัยสิริ และเคยเห็นลูกปัดรูปเจ้าหญิง บ้างไหม  ???      

ชัยสิริเป็นเพื่อนรักกับผมในครั้งที่เรียนมัธยมอยู่ด้วยกัน ก่อนที่เขาจะไปเรียนต่อที่นิวซีแลนด์ตั้งแต่จบมัธยม ๕ (เดี๋ยวนี้เทียบเท่าม. อะไรหว่า) กลับมาแล้วก็ยังสนิทสนมอยู่และเคยร่วมงานกันเป็นครั้งคราว

อย่างไรก็ดี ความคิดข้อเขียนอะไรของเขาก็ไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกับผม บอกแล้วว่าเรื่องที่ผมเล่ามานี้พิสูจน์ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แต่ชัยสิริพยายามจะโยงหลักฐานทางโบราณคดีประวัติศาสตร์มาพิสูจน์เรื่องที่ผมเล่าให้เขาฟัง
การไปเที่ยวคลองท่อมเพื่อตามหาร่องรอยของพระนางในครั้งนั้นก็ไปด้วยกัน และได้เห็นเหรียญต่างๆที่ขุดพบที่นั่นและนำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของเจ้าอาวาสวัดคลองท่อม ผมจำได้แต่เหรียญสุริยเทพ แต่ที่ว่าเป็นรูปพระนางผมนึกไม่ออก บทความนี้ก็เพิ่งจะอ่านจากระโยงของคุณหมอนี่แหละ

อย่างไรก็ดี พระนางคงไม่ใช่ฝรั่ง หากชัยสิริบอกว่าชื่อพระนางรายาวดี
และรายาวดีก็ไมใช่ชื่อพระนางองค์ใด แต่เป็นชื่อโรงแรมที่ผมเองนี่แหละ เป็นผู้คิดประดิษฐ์คำขึ้นมา


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ย. 15, 05:13
ข้อที่ ๓ คุณสุภาวรรณเขียนไว้ในบล็อก oknation.net (http://www.oknation.net/mblog/entry.php?id=968880) ว่า

“ถ้ำพระนาง” อันมีตำนานหนึ่งเล่าขานกันมาว่า สมัยก่อนที่เทียบเท่ากับสมัยของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช มีการเดินทางไปยังเส้นทางสายไหมโดยทางเรือ จากอินเดียไปเมืองจีน มีเจ้าหญิงอินเดียสองพระองค์ คือเจ้าหญิงศรีกุลาเทวี และ เจ้าหญิงศรีสุธาลัย ได้เดินทางยังเมืองจีนโดยทางเรือ และมาเรือลมอยู่ใกล้หาดแห่งนี้

ชาวบ้านเชื่อว่าวิญญาณของสองพระนางยังคงวนเวียนอยู่เพื่อช่วยปกป้องคุ้มครองชาวบ้าน และชาวประมงไม่ให้ประสบเหตุเภทภัยและเคราะห์กรรมเช่นพระองค์ เพื่อเป็นการตอบแทน และเพื่อให้เกิดความเป็นมงคลแก่ตัวเอง ทุกวันเพ็ญ ชาวบ้าน ชาวประมง รวมถึงพนักงานของรายาวดีจะจัดพิธีบูชาพระนาง โดยถวายดอกไม้ ผลไม้ น้ำ รวมถึงชุดย่าหยาแบบชาวใต้ย่อส่วนตัวเล็ก ๆ ให้พระนางด้วย ไม่เพียงแต่ชาวบ้านและชาวประมง แม้แต่พวกนักปีนเขาก็มาร่วมในกิจกรรมนี้ด้วย เพื่อขอขมาและขอบคุณที่ช่วยปกปักรักษาพวกเขา

พิธีบูชาพระนาง รายาวดีเป็นผู้ริเริ่มจัดขึ้น ต่อมาก็มีชาวบ้านมาร่วมพิธี จนกลายเป็นพิธีสำคัญของผู้คนในแถบนี้


คำถามคือ ระหว่างคุณนวรัตนติดต่อ "พระนาง" ผ่านร่างทรง มีการกล่าวถึงพระนามของเจ้าหญิงทั้ง ๒ นี้หรือไม่  ???
ถามครับ ถามแน่นอน เมื่อพระนางมาประทับร่างน้าหลังพิธีตั้งศาลครั้งที่สอง ผมได้ถามคำถามนี้ และชื่อก็ตรงกับข้างต้น เวลานั้นมีพนักงานโรงแรมหลายคนอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ตั้งแต่ระดับบริหารไปจนถึงพนักงานบริการในห้องอาหาร เรื่องนี้จึงรู้กันไปทั่ว
แต่เมื่อผมถามประวัติความเป็นมา ท่านเอาแต่ร้องไห้ท่าเดียว ไม่ยอมตอบอะไรเลย เพียงแต่บอกว่าเหตุการณ์มันผ่านไปแล้วไม่อยากเอ่ยถึง

เช่นเดียวกับครั้งที่มาต่อหน้าท่านอาจารย์ชัย ที่วัดทับปุด เมื่อท่านอาจารย์ถามว่าโยมเป็นอย่างไรมาอย่างไร มาจากที่ใดล่ะ พระนางก็ร้องไห้จนทุกคนอึ้ง และตอบทำนองเดียวกัน
จำได้ชัดเจนเฉพาะเรื่องที่ว่า ปกติพระนางบำเพ็ญภาวนาอยู่บนสรวงสวรรค์ ไม่ได้ประทับอยู่ในถ้ำนี้เป็นประจำ จะเสด็จลงมาเฉพาะคืนวันเพ็ญเท่านั้น นั่นจึงเป็นเหตุให้ผมบอกให้โรงแรมจัดเครื่องสังเวยบูชาแห่ไปถวาย

มีอีกประเด็นหนึ่งซึ่งผมไม่เข้าใจและไม่แน่ใจ จนมาเห็นรูปของคุณเพ็ญ อาจจะเป็นคล้ายๆกับว่า ครั้งนั้นพระนางพยายามสื่อเหมือนกันว่ามีเหตุการณ์ทะเลไม่เป็นปกติ เป็นเหตุให้เรือต้องคลื่นอัปปางลง ซึ่งน้าสะใภ้ตีความว่าทะเลเกิดพายุใหญ่ ผมยังคิดในใจว่าเป็นไปไม่ได้ ตำแหน่งที่หัวแหลมตรงนั้นเป็นทำเลที่มีเกาะและหัวเขากำบังลมอยู่ ถึงขณะมีพายุ คลื่นก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก ซึนามินี่คนไทยไม่รู้จักและไม่เคยอยู่ในความคิดของผมเลย


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ย. 15, 05:43
ส่วนเรื่องกรีกเรื่องโรมันอะไรนี่ ผมสันนิฐานว่ามาจากทางโรงแรมเอง โดยพ่อGMฝรั่งคนนั้นแหละได้มาบอกผมว่า มีแหม่มมาจากอังกฤษคนหนึ่งซึ่งเป็นแขกของโรงแรม มี six sense สามารถสัมผัสสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เมื่อเธอไปนั่งเล่นอยู่แถวหน้าศาล จึงมาเล่าให้เขาฟังและยังใช้วิธีสะกดจิตให้เขาบรรยายชาติภพในอดีตของตนออกมา ปรากฏว่าเขาเป็นทหารกรีกที่เดินทางมากับเรือสีดำลำนั้นด้วย GMบอกว่าถ้าผมสนใจก็จะขอให้เแหม่มสะกดจิตผมบ้างว่าชาติก่อนผมเป็นอะไร

ก็เอาสิครับ จะเป็นไรมี ผมก็อยากจะรู้เหมือนกัน

แหม่มให้ผมนอนบนเตียง ทำตัวให้สบาย ทำจิตใจให้เคลิ้มๆตามเธอที่พยายามพูดว่า ให้มองดูภาพในอดีต ย้อนไป ย้อนไป    ย้อนไป   ย้อน  ไ    ย้ อ น ไ   ป
ยูเห็นอะไรหรือยัง เห็นหมอกเห็นควันบ้างไหม ผมก็นอกว่า ซอรี่ โ น
เธอก็ ย้อนไป ย้อนไป    ย้อนไป   ย้อน  ไ    ย้ อ น ไ   ป ใหม่ แล้วถามอีก ผมก็โนอีก
แหม่มหงุดหงิดเล็กน้อย หาว่าผมต่อต้านไม่ร่วมมือ ผมก็บอกว่าร่วมซี่ ผมก็อยากจะรู้นี่นาว่าอดีตของผมเกี่ยวข้องกับพระนางอย่างไร

เธอก็ว่าโอเค เรามาเริ่มกันใหม่ ให้มองดูภาพในอดีต ย้อนไป ย้อนไป    ย้อนไป   ย้อน  ไ    ย้ อ น ไ   ป
ยูเห็นอะไรหรือยัง เห็นหมอกเห็นควันบ้างไหม ผมก็บอกว่า ซอรี่จริงๆ มันก็ยังโนอยู่นั่นแหละ

ถึงตรงนี้แหม่มก็หันไปบอกกับGMว่า คุณหม่อมเป็นคนจิตแข็ง ไอสะกดจิตเค้าไม่ได้ ยอมแพ้

หลังจากนั้นแล้ว รู้สึกว่าความยืดของGMที่คิดว่าตนเองเป็นนายทหารกรีกองครักษ์ของพระนางก็ฮีดลงไปมาก เมื่อผมบอกเขาว่ายัยคนนี้fake
แต่ก็ยังไปแพรมๆในบทความของคุณสุภาวรรณได้อยู่ดี


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ย. 15, 05:50

ตรงนี้น่าสนใจครับ เจ้าหญิงทั้งสองมาจากอาณาจักรใด
โจฬะมณฑลหรือเปล่า แต่ไม่น่าจะเป็นกรีกโยนก

ถึงตรงนี้ คุณคนโคราชก็คงได้คำตอบแล้วว่าไม่มีคำตอบ
ผมเคยตามหาความหมายอันแท้จริงของคำว่ากุลา ว่าเป็นแคว้นใดเมืองใดของอินเดีย แต่ก็มืดมนธ์
ดังที่สรุป มันไม่มีอะไรที่จะพิสูจน์ได้เลย


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Koratian ที่ 03 พ.ย. 15, 05:53

ส่งเจ้าหญิงมากับเรือสมบัตินี่ต้องระดับไปตั้งเมืองปกครองเลยนะครับ
ท่านชื่อขึ้นต้นด้วยศรีน่าจะเป็นอินเดียใต้ ช่วงแผ่อิทธิพลมาสุมาตรา ชวา เขมร
หรือเปล่าครับ



กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: walai ที่ 03 พ.ย. 15, 05:54
ข้อที่ ๓ คุณสุภาวรรณเขียนไว้ในบล็อก oknation.net (http://www.oknation.net/mblog/entry.php?id=968880) ว่า

“ถ้ำพระนาง” อันมีตำนานหนึ่งเล่าขานกันมาว่า สมัยก่อนที่เทียบเท่ากับสมัยของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช มีการเดินทางไปยังเส้นทางสายไหมโดยทางเรือ จากอินเดียไปเมืองจีน มีเจ้าหญิงอินเดียสองพระองค์ คือเจ้าหญิงศรีกุลาเทวี และ เจ้าหญิงศรีสุธาลัย ได้เดินทางยังเมืองจีนโดยทางเรือ และมาเรือลมอยู่ใกล้หาดแห่งนี้

ชาวบ้านเชื่อว่าวิญญาณของสองพระนางยังคงวนเวียนอยู่เพื่อช่วยปกป้องคุ้มครองชาวบ้าน และชาวประมงไม่ให้ประสบเหตุเภทภัยและเคราะห์กรรมเช่นพระองค์ เพื่อเป็นการตอบแทน และเพื่อให้เกิดความเป็นมงคลแก่ตัวเอง ทุกวันเพ็ญ ชาวบ้าน ชาวประมง รวมถึงพนักงานของรายาวดีจะจัดพิธีบูชาพระนาง โดยถวายดอกไม้ ผลไม้ น้ำ รวมถึงชุดย่าหยาแบบชาวใต้ย่อส่วนตัวเล็ก ๆ ให้พระนางด้วย ไม่เพียงแต่ชาวบ้านและชาวประมง แม้แต่พวกนักปีนเขาก็มาร่วมในกิจกรรมนี้ด้วย เพื่อขอขมาและขอบคุณที่ช่วยปกปักรักษาพวกเขา

พิธีบูชาพระนาง รายาวดีเป็นผู้ริเริ่มจัดขึ้น ต่อมาก็มีชาวบ้านมาร่วมพิธี จนกลายเป็นพิธีสำคัญของผู้คนในแถบนี้


คำถามคือ ระหว่างคุณนวรัตนติดต่อ "พระนาง" ผ่านร่างทรง มีการกล่าวถึงพระนามของเจ้าหญิงทั้ง ๒ นี้หรือไม่  ???
ถามครับ ถามแน่นอน เมื่อพระนางมาประทับร่างน้าหลังพิธีตั้งศาลครั้งที่สอง ผมได้ถามคำถามนี้ และชื่อก็ตรงกับข้างต้น เวลานั้นมีพนักงานโรงแรมหลายคนอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ตั้งแต่ระดับบริหารไปจนถึงพนักงานบริการในห้องอาหาร เรื่องนี้จึงรู้กันไปทั่ว
แต่เมื่อผมถามประวัติความเป็นมา ท่านเอาแต่ร้องไห้ท่าเดียว ไม่ยอมตอบอะไรเลย เพียงแต่บอกว่าเหตุการณ์มันผ่านไปแล้วไม่อยากเอ่ยถึง

เช่นเดียวกับครั้งที่มาต่อหน้าท่านอาจารย์ชัย ที่วัดทับปุด เมื่อท่านอาจารย์ถามว่าโยมเป็นอย่างไรมาอย่างไร มาจากที่ใดล่ะ พระนางก็ร้องไห้จนทุกคนอึ้ง และตอบทำนองเดียวกัน
จำได้ชัดเจนเฉพาะเรื่องที่ว่า ปกติพระนางบำเพ็ญภาวนาอยู่บนสรวงสวรรค์ ไม่ได้ประทับอยู่ในถ้ำนี้เป็นประจำ จะเสด็จลงมาเฉพาะคืนวันเพ็ญเท่านั้น นั่นจึงเป็นเหตุให้ผมบอกให้โรงแรมจัดเครื่องสังเวยบูชาแห่ไปถวาย

มีอีกประเด็นหนึ่งซึ่งผมไม่เข้าใจและไม่แน่ใจ จนมาเห็นรูปของคุณเพ็ญ อาจจะเป็นคล้ายๆกับว่า ครั้งนั้นพระนางพยายามสื่อเหมือนกันว่ามีเหตุการณ์ทะเลไม่เป็นปกติ เป็นเหตุให้เรือต้องคลื่นอัปปางลง ซึ่งน้าสะใภ้ตีความว่าทะเลเกิดพายุใหญ่ ผมยังคิดในใจว่าเป็นไปไม่ได้ ตำแหน่งที่หัวแหลมตรงนั้นเป็นทำเลที่มีเกาะและหัวเขากำบังลมอยู่ ถึงขณะมีพายุ คลื่นก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก ซึนามินี่คนไทยไม่รู้จักและไม่เคยอยู่ในความคิดของผมเลย
""""""""""""""""สวัสดีตอนเช้าค่ะ ตื่นมาตีห้าได้อ่านต่อสมใจนึก  ขอบพระคุณค่ะ เรื่องจริง สนุกและน่าสนใจติดตามมากๆค่ะ
                   คงมีตอนต่อไปอีกนะคะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ย. 15, 05:55
ตามอ่านเรื่องที่ ท่านอาจารย์เขียน  ไม่ว่าประวัติศาสตร์ หรือ เรื่องเล่า นี่ไม่ผิดหวังจริงๆ
ตอนเริ่มอ่าน สงสัยเขียนเรื่องสร้างรีสอร์ท มันมีอะไรน่าสนใจ อ่านไปอ่านไป สนุกน่าสนใจ
แทบจินตนาการว่าเป็นเจ้าของรีสอร์ทเสียเอง
""""""""""""""สวัสดีตอนเช้าค่ะ ตื่นมาตีห้าได้อ่านต่อสมใจนึก  ขอบพระคุณค่ะ เรื่องจริง สนุกและน่าสนใจติดตามมากๆค่ะ
                   คงมีตอนต่อไปอีกนะคะ
เรื่องสร้างรีสอร์ตจริงๆจากกระต๊อบหลังคามุงแฝก ไปเป็นโรงแรม ๕ ดาว จริงๆแล้วไม่น่าสนใจหรือครับ :'( แงๆ โฮๆ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ย. 15, 05:59

ส่งเจ้าหญิงมากับเรือสมบัตินี่ต้องระดับไปตั้งเมืองปกครองเลยนะครับ
ท่านชื่อขึ้นต้นด้วยศรีน่าจะเป็นอินเดียใต้ ช่วงแผ่อิทธิพลมาสุมาตรา ชวา เขมร
หรือเปล่าครับ


คุณคนโคราชยังไม่ยอมแพ้
ไปช่วยกันหาชื่อมือปืนช่วยเจ้าฟ้ากุ้งเขียนกวียังง่ายกว่านา ผมว่า


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Koratian ที่ 03 พ.ย. 15, 06:08

Wikipedia    Kuladevata

น่าสนใจ น่าสนใจ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ย. 15, 06:37
แว๊กกกก

เอาละวา ลืมไปว่าสมัยนี้เป็นสมัยที่มีอินทรเนตร
เคยไปค้นหาหนังสือหัวแทบแตกไม่พบร่องรอย

ณ บัดนี้ คุณคนโคราชเจอะร่องรอยที่น่าสนใจเข้าแล้ว
Kuladevata (kula-dèvatā) Marathi: कुलदेवता or Kuladevi (कुलदेवी) also known as Kuladev (कुलदेव) and Kuladaivat, (कुलदैवत) stands for "family deity, that is either a god or a goddess" within Hinduism, as distinct from personal ishta-devata and village deities. This is similar to tutelary deity worshiped in other parts of world.

คำว่า Kuladevata มาจากคำสองคำ: Kula หมายถึงเผ่าพันธุ์และ Devata หมายถึงเทพ ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า Kuladevatas เป็นเทพที่ชนเผ่าหนึ่งโดยเฉพาะเคารพบูชา ส่วนเทพ อาจจะเป็นชาย หญิง สัตว์หรือแม้กระทั่งวัตถุเช่นหินศักดิ์สิทธิ์ ครอบครัวชาวฮินดูจะจาริกไปวัด Kuladevata หรือ Kuladevi เพื่อที่จะได้รับพรจากพระเจ้าในโอกาสมงคล เช่นงานแต่งงาน Kuladevatas บูชาในหลายนิกายของศาสนาฮินดูและศาสนาเชน ในรัฐมหาราษฏที่ Kuladevatas ส่วนใหญ่จะเป็นปางหนึ่งของพระอิศวรหรือ Shakti เช่น Khandoba วานิหรือตามลำดับ ในรัฐคุชราตและราชสถานเทพเหล่านี้มักจะถือเป็นปางต่างๆของปาราวตีมเหสีของพระอิศวร เธอเป็นที่เคารพบูชาด้วยชื่อที่แตกต่างกันโดยชนเผ่าที่แตกต่างกัน ในอินเดีย งูเห่าก็นับว่าเป็น Kuladevata เป็นที่รู้จักกันในชื่อหลายชื่อเช่น Nagadevata(เทพนาค) และ Nagabaapji และเป็นที่เคารพบูชาโดยชาวฮินดู ศาสนิกของเชนและพวกวรรณะกษัตริย์ กษัตริย์บางราชวงศ์ยังเรียกร้องตัวเองเป็น "Nagavanshi" หรือ อวตานของพญานาค


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 พ.ย. 15, 08:10
ศรีกุลาเทวี   =  ศรีกุลเทวี    = เทพีผู้เป็นศรีแห่งราชสกุล
อาจจะเป็นพระนาม หรือสมญาที่เรียกเจ้าหญิงก็เป็นได้

Kuladev  ก็กุลเทพนั่นแหละค่ะ   ผู้เป็นเทพแห่งราชตระกูล    อาจหมายถึงเจ้านายผู้ปกครองในแคว้นนั้นๆ

ความน่าสนใจตามที่คุณโคราชตั้งข้อสังเกต คือเจ้าหญิงระดับสำคัญทั้งสององค์ เดินทางทางเรือมาพร้อมกับสมบัติมากมาย  จากอินเดียมาถึงอันดามัน   เพื่อจะเดินทางไปไหน  ไปค้าขาย หรือว่าไปตั้งถิ่นฐานใหม่
มาเรือลำเดียว หรือว่ามีกองเรือตามมาด้วย
ถ้ามาเรือลำเดียว อาจเป็นได้ว่าไปค้าขายหรือเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นอื่น   แต่ถ้ามีกองเรือตามมา ก็ตีความได้ว่าเป็นการอพยพย้ายถิ่นฐานไปตั้งหลักแหล่งใหม่

น่าสังเกตว่าไม่มีการเอ่ยถึงพระราชา หรือเจ้าชาย ในเรือนี้เลย 


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ย. 15, 08:43
ผมยังยืนยันอย่างเดิมว่านี่ไม่สามารถหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ใดๆมาพิสูจน์ได้

จากข้อสรุปของผม ข้อมูลที่ผ่านร่างของน้า และจากปากท่านอาจารย์ชัยผ่านญาณทัศนะของท่าน มีส่วนที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เปิดให้ทราบ และไม่เปิดให้ทราบ
อย่างเช่นท่านอาจารย์ชัย เมื่อมาอยู่ที่หน้าถ้ำ ได้ย้อนกลับมาถามผมว่า คนที่หน้าถ้ำน่ะใคร ผมก็แบ๊ะๆ สงสัยว่าเขาจะหนีกันมานะหม่อม ท่านว่า

พูดอย่างนี้ เดี๋ยวคุณเพ็ญคงไปใช้อินทรเนตรส่องหาประวัติศาสตร์อินเดียให้ขวั่ก หรือไม่คุณคนโคราชอาจงัดข้อมูลดีๆจากเก๊ะมาแพรมๆให้อีก





กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 03 พ.ย. 15, 08:43
ความน่าสนใจตามที่คุณโคราชตั้งข้อสังเกต คือเจ้าหญิงระดับสำคัญทั้งสององค์ เดินทางทางเรือมาพร้อมกับสมบัติมากมาย  จากอินเดียมาถึงอันดามัน   เพื่อจะเดินทางไปไหน  ไปค้าขาย หรือว่าไปตั้งถิ่นฐานใหม่
ในตำนานที่คุณสุภาวรรณเล่าไว้ว่าไปที่เมืองจีน

ข้อที่ ๓ คุณสุภาวรรณเขียนไว้ในบล็อก oknation.net (http://www.oknation.net/mblog/entry.php?id=968880) ว่า

“ถ้ำพระนาง” อันมีตำนานหนึ่งเล่าขานกันมาว่า สมัยก่อนที่เทียบเท่ากับสมัยของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช มีการเดินทางไปยังเส้นทางสายไหมโดยทางเรือ จากอินเดียไปเมืองจีน มีเจ้าหญิงอินเดียสองพระองค์ คือเจ้าหญิงศรีกุลาเทวี และ เจ้าหญิงศรีสุธาลัย ได้เดินทางยังเมืองจีนโดยทางเรือ และมาเรือลมอยู่ใกล้หาดแห่งนี้
ตำนานคล้าย ๆ กันนี้ถูกเล่าขานที่เกาหลีเหมือนกัน

ตามตำนาน Samguk Yusa หรือสามก๊กของเกาหลี ระบุชื่อของเจ้าหญิงองค์นี้คือ Heo Hwang-ok มาจากอาณาจักร Ayuta ความเห็นของนักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่าคือ อโยธยาของอินเดีย แต่มีนักวิชาการบางคนแย้งว่าคือ อยุธยาของเรานั่นเอง

มีเกร็ดที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง ในตำนานบอกว่า พระนามของเจ้าหญิงคือ Hwang-ok แปลว่า หยกเหลือง  หากคำนี้เป็นคำไทยจะตรงกับคำว่าอะไรหนอ  

การเดินทางของเจ้าหญิงหยกเหลืองจากอโยธยาสู่ แคว้นคายา  (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B2) อาณาจักรโบราณแห่งเกาหลี  

http://www.youtube.com/watch?v=_zGKqqseuHw#ws (http://www.youtube.com/watch?v=_zGKqqseuHw#ws)

เจ้าหญิงหยกเหลืองกับเจ้าหญิงศรีกุลาเทวีเป็นคนละพระองค์กัน เรื่องราวของพระองค์แรกเป็นสุขนาฏกรรมส่วนของพระองค์หลังเป็นโศกนาฏกรรม แต่ที่เหมือนกันคือทั้งสองพระองค์ (น่าจะ) มาจากอินเดีย เดินทางโดยเรือพร้อมสมบัติมากมายมายังภูมิภาคตะวันออก  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 พ.ย. 15, 08:48

พูดอย่างนี้ เดี๋ยวคุณเพ็ญคงไปใช้อินทรเนตรส่องหาประวัติศาสตร์อินเดียให้ขวั่ก

แม่นยิ่งกว่าตาเห็น


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 พ.ย. 15, 08:54
พอดีผมก็รอฟังเรื่องราวของเจ้าหญิงแห่งอยุธุโย ผู้เดินทางมาเป็นพระมหสีเอกแห่งแคว้นกาย่า เมื่อพันกว่าปีก่อนครับ
อยากทราบเหมือนกันว่า มาจากอยุธยาของอินเดีย หรือของอโยธยาสุวรรณภูมิกันแน่


ตามตำนาน Samguk Yusa หรือสามก๊กของเกาหลี ระบุชื่อของเจ้าหญิงองค์นี้คือ Heo Hwang-ok มาจากอาณาจักร Ayuta ความเห็นของนักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่าคือ อโยธยาของอินเดีย แต่มีนักวิชาการบางคนแย้งว่าคือ อยุธยาของเรานั่นเอง

มีเกร็ดที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง ในตำนานบอกว่า พระนามของเจ้าหญิงคือ Hwang-ok แปลว่า หยกเหลือง  หากคำนี้เป็นคำไทยจะตรงกับคำว่าอะไรหนอ  ???

รายละเอียดเกี่ยวกับเจ้าหญิงพระองค์นี้อ่านต่อได้ที่  คุณวิกกี้ (http://en.m.wikipedia.org/wiki/Heo_Hwang-ok)

ถ้าพระนางมาจากกรุงศรีอยุธยา จะเดินทางไปจีน   คงออกทางอ่าวไทยเดินทางไปทางทิศตะวันออก   เหมือนเรือของราชทูตไทยทั้งหลายที่ไปเจริญพระราชไมตรีกับจีน   ไม่รู้จะมาทางอันดามันด้วยสาเหตุอะไร 
จึงตัดประเด็นว่าพระนางเป็นชาวอยุธยา
แต่ถ้ามาจากอโยธยาของอินเดีย ก็น่าจะสมเหตุสมผลกว่า  เดินทางเลียบฝั่ง เพื่อจะอ้อมแหลมมลายูไปจีน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 พ.ย. 15, 10:01
อ้างถึง
มีเกร็ดที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง ในตำนานบอกว่า พระนามของเจ้าหญิงคือ Hwang-ok แปลว่า หยกเหลือง  หากคำนี้เป็นคำไทยจะตรงกับคำว่าอะไรหนอ

น่าจะเป็นสุวรรณ...อะไรสักอย่าง
หยก เป็นอัญมณีมีค่าของจีน   ของไทยมีคำว่า แก้ว ซึ่งหมายถึงอัญมณีมีค่า  จะเป็นเพชรหรืออะไรก็ตาม   
คำนี้ เราเรียกตามภาษาแขกว่า รัตนะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Koratian ที่ 03 พ.ย. 15, 11:06

ขอตั้งสมมุติฐานคร่าวๆ (ความหมายใกล้เคียงกับเดาล้วนๆ) ไว้ก่อนนะครับ

ภารกิจของ เจ้าหญิงศรีกุลาเทวี และ เจ้าหญิงศรีสุธาลัย ทั้งสองพระองค์ อาจเป็นการเดินทางไปอภิเษกสมรส กับเจ้าชายหรือผู้ครองอาณาจักรที่สำคัญ
แคว้นใดแคว้นหนึ่งในแถบอาเซียน และไม่ได้ไปถึงเมืองจีนครับ

ในเวลาที่อาณาบริเวณพื้นถิ่นแถบอาเซียนนี้ถูกปกครองโดยวงศ์กษัตริย์จากอินเดีย
การที่รัชทายาทจะสืบเชื้อสายกับคนพื้นเมืองจะทำให้สายเลือดกษัตริย์จางลงไป
จำเป็นที่จะต้องส่งเจ้าหญิงที่มีเชื้อสายกษัตริย์มาอภิเษกเพื่อสืบต่อวงศ์กษัตริย์ให้สมบูรณ์ต่อไป
ในขบวนเรือแต่งงานจึงได้บรรทุกสมบัติอันมีค่ามาด้วย

และตรงนี้อาจเกี่ยวพันกับตำนานนางนาคที่เป็นต้นกำเนิดของลัทธิเทวราชาในแถบนี้ครับ

การค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้า โดยทั่วไปจะไม่ส่งบุคคลสำคัญระดับเจ้าหญิงมาอย่างแน่นอน



กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ย. 15, 14:23
 ลูกปัดรูปเจ้าหญิง ที่วัดคลองท่อมในครั้งนั้น ซึ่งอาจารย์ชัยสิริกล่าวถึง
ผมเคยมีที่ชัดกว่านี้ แต่หาไม่เจอเสียแล้ว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 พ.ย. 15, 15:18
ข้อสันนิษฐานของคุณคนโคราช ตอบโจทย์ได้มากกว่าคำตอบอื่นๆ
ถ้าเป็นการเดินทางเพื่ออภิเษกสมรส  ก็ได้คำตอบมาว่า
1 นี่คือสาเหตุที่สตรีสูงศักดิ์ ที่ควรจะถูกจำกัดแวดวงอยู่ในวัง จำต้องละจากอาณาจักร เดินทางมาไกลขนาดนี้    ทั้งๆการติดต่อระหว่างอาณาจักรเป็นเรื่องของผู้ชายเขา
2  ไม่มีการเอ่ยถึงเจ้านายฝ่ายชายในการเดินทาง
3  ในเรือมีสมบัติอันมีค่ามหาศาล  ซึ่งไม่คู่ควรที่จะให้ชาวบ้านร้านถิ่นคนใดได้ครอบครอง   ก็คือสินส่วนตัวของเจ้าสาว ระหว่างราชอาณาจักรนั่นเอง   ไม่ใช่สินค้าสำหรับไปซื้อขายกับจีน

บางทีเส้นทางของเจ้าหญิง อาจจะไปสู่ทางด้านมลายูก็เป็นได้     เลาะชายฝั่งจากมหาสมุทรอินเดียลงมาถึงอันดามัน    เพื่อเดินทางไปถึงช่องแคบมะละกา 
แต่เรือมาล่มเพราะพายุใหญ่เสียก่อนที่กระบี่



กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ศรีสรรเพชญ์ ที่ 03 พ.ย. 15, 20:25
ในแถบอุษาคเนย์หลายประเทศมักจะมีตำนานว่ามีวงศ์กษัตริย์จากชมพูทวีปเดินทางมาถึง และหลายเมืองก็ได้ตั้งรกรากสืบวงศ์กษัตริย์มา ซึ่งก็มีปรากฏในตำนานของไทย พม่า เขมร ฯลฯ อย่างเช่นในตำนานสิงหนวัติแห่งโยนกที่เป็นวงศ์เดียวกับพระเจ้าพิมพิสาร หรือพระเจ้าอภิราชาปฐมกษัตริย์แห่งตะโกงในพม่าก็เป็นศากยวงศ์จากแคว้นโกศล ทางเมืองนครศรีธรรมราชก็มีตำนานของเจ้าชายทันตกุมารกับเข้าหญิงเหมมาลาที่พาพระทันตธาตุจากลังกามาไว้ที่นครศรีธรรมราชเป็นต้นครับ

ตำนานเหล่านี้อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ แต่ก็เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการเดินทางเข้ามาในอุษาคเนย์ของคนจากชมพูทวีปทั้งแต่ยุคโบราณ สำหรับเจ้าหญิงสององค์ส่วนตัวแล้วก็คิดว่ามาด้วยภารกิจทางการเมืองมากกว่าการค้าครับ

เรื่องตำนานเจ้าหญิงจากแคว้นคายาของคุณเพ็ญชมพู น่าจะมาจากอโยธยาในอินเดียมากกว่าอโยธยาในสุวรรณภูมิครับ เพราะแว้นคายาถูกแคว้นชิลลาผนวกจนล่มสลายใน ค.ศ.๕๖๒(พ.ศ.๑๑๐๕)  อโยธยาศรีรามเทพนครน่าจะยังไม่เกิดครับ(เพราะหลักฐานฐานเก่าสุดที่กล่าวถึงคือศิลาจารึกวัดเขากบ สมัยสุโขทัยเท่านั้น สะกดว่า 'อโยทยาสรีรามเทพนคร') นอกจากจะสันนิษฐานว่าอโยธยาศรีรามเทพนครน่าจะเป็นเมืองเดียวกับ 'รามบุรี' หรือ 'เมืองราม' ในตำนานมูลศาสนา ซึ่งระบุว่าเป็นแว่นแคว้นที่อยู่ใกล้เคียงกับละโว้ครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 พ.ย. 15, 21:04
ู^
น่าสนใจมาก   ถ้ามีโอกาส เชิญขยายความนะคะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 พ.ย. 15, 21:24
เรามัวแต่ค้นหาประวัติของเจ้าหญิงสององค์ จนลืมรายาวดีรีสอร์ทไปเสียแล้ว   
ขอหมุนพวงมาลัยกลับมาที่จุดเดิมอีกครั้ง   
คุณ NAVARAT.C  คงจะมีอะไรตื่นเต้นระทึกใจเล่าให้ฟังอีกมากค่ะ

นิยายรออยู่ เช่นเดียวกับละครทีวี  โดยนักเขียนหน้าใหม่มาแรง 
อาจารย์โหรหมอเพ็ญทำนายไว้แล้ว    ดูซิว่าจะแม่นเหมือนทายสัตว์ประหลาดไหม


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 03 พ.ย. 15, 21:42
คุณ NAVARAT.C  คงจะมีอะไรตื่นเต้นระทึกใจเล่าให้ฟังอีกมากค่ะ

ศาลพระนางในภาพที่คุณหมอเอามาลงนี้ เป็นศาลใหม่ที่โรงแรมทำขึ้นหลังซึนามิ การมาของคลื่นยักษ์ครั้งนั้นได้ทำลายศาลที่ถูกระบุว่าให้ตั้งในที่เลาะและ(หรือเราะแระ ไม่แน่ใจ) ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาแล้วจึงไม่ทราบ แต่มันเสมือนข้อไขปริศนาบางประการในความคิดของผม ซึ่งจะผลัดไปเล่าภายหลัง

ปริศนาบางข้อที่รอเล่า                   ให้พวกเราชาวเรือนไทยได้ตื่นเต้น
อาจจะเสริมความระทึกบางประเด็น       พร้อมลูกเล่นคุณนวรัตนจะจัดมา


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ย. 15, 22:09
แหม กำลังเรียนวิชาประวัติศาสตร์เพลินเลยครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 พ.ย. 15, 07:43
สวัสดีค่ะ หนูลงทะเบียนเป็นนักเรียนใหม่ แต่แอบอ่านแอบเรียนมาได้สักระยะหนึ่งแล้วค่ะ ขอบคุณอาจารย์ทุกๆท่านที่เสียสละเวลาค้นคว้าและถ่ายทอดเรื่องราวดีๆไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

ยินดีต้อนรับครับ ดีใจมากเลยที่คุณลงทะเบียนมาเพื่อเข้ามาบอกผมเช่นนี้

แต่ขอโทษเถอะ นิดนึง ผมเดาไม่ถูกเลยว่า lucksi มาจากภาษาไทยคำใด เฉลยหน่อยได้ไหมครับ

ผมเพิ่งจะมีเวลาย้อนกลับไปอ่านเรื่องที่ผมเขียนไว้ พบว่ามีตัวสะกดผิดๆหลายคำอันมีอิทธิพลมาจากการพิมพ์ไลน์ ซึ่งผมไม่มีปัญญาจะพิมพ์ให้ถูกทุกคำตามความต้องการได้ ก็เลยจำยอมต้องผ่อนปรนมาตรฐานการตรวจบรู๊ฟลงบ้าง เลยติดมาถึงการพิมพ์กระทู้ซึ่งน่าจะทำได้ดีกว่านี้
ต้องขออภัย

ส่วนเรื่อง lacksi ข้างบน สติปัญญาของผมก็ไปเกาะติดกับภาษาต่างด้าวเช่นเมืองลักซ์นาวบ้าง ลักซ่า ชื่อก๋วยเตี๋ยวของมาเลย์บ้าง แล้วก็วนไปภาษาไทยแบบ "รักซี่" ซึ่งคุณแอนนาอาจจะต้องยืมคำที่ว่าไปหลอกคนขี้งกบ้าง สุดท้ายเดาไม่ออกเลยยอมแพ้

พอเช้านี้อ่านปุ๊บก็เข้าใจปั๊บ ปัดธ่อ"หลักสี่"นี่เอง คุณน้องใหม่คนนี้บ้านอยู่หลักสี่ จึงเอามาใช้เป็นนามปากกา เพิ่งจะฉลาด

ปล. หลังผมเฉลยไปแล้วว่าคุณอยู่แถวหลักสี่ ถ้าคุณน้องใหม่เห็นแท๊กซี่ป้ายทะเบียนอังกฤษ คนขับหน้าตาแบบว่า จะว่าหล่อก็หล่อแบบประหลาดๆ ขับรถไปวนๆเวียนๆแถวนั้นอยู่ละก็ อย่าหลวมตัวไปเรียกรถแกเข้าเชียวนะครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 04 พ.ย. 15, 08:10


ถ้าคุณน้องใหม่เห็นแท๊กซี่ป้ายทะเบียนอังกฤษ คนขับหน้าตาแบบว่า จะว่าหล่อก็หล่อแบบประหลาดๆ ขับรถไปวนๆเวียนๆแถวนั้นอยู่ละก็ อย่าหลวมตัวไปเรียกรถแกเข้าเชียวนะครับ

[/quote]

จริงค่ะอาจารย์ พักหลังๆนี่แกยิ่งแปลกหนัก ชอบถามถึงหัวใจตับไตไส้พุงชาวบ้าน น่ากลั๊วน่ากลัว! สงสัยว่าจะเป็นเหมือนดร.เหมือนฮันนิบาล เล็คเตอร์ จบปริญญาเอก มีไตเติ้ลเป็นดร.หมือนกันเปี๊ยบเลย :o


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 พ.ย. 15, 09:28
แฟนๆมารอกันพอสมควรแล้วมั๊ง
ต่อครับ ต่อ

เรื่องราวตั้งแต่ผมไปบุกเบิกก่อร่างสร้างตนทำกิจการโรงแรม ตั้งแต่เป็นบังกะโลกระต๊อบจนถึงโรงแรมห้าดาวนั้น ถ้าจะเล่าเป็นเรื่องยาวก็อาจจะไม่สนุกเท่าเล่าเป็นเรื่องสั้นเป็นตอนๆไป เหมือนเรื่องสั้นคลาสสิกชุด “เหมืองแร่” ที่บรมครู อาจินต์ ปัญจพรรค์ สร้างสรรไว้ตั้งแต่ผมยังนุ่งกางเกงขาสั้นเรียนหนังสือ

เอาเถิด วันหนึ่งผมอาจจะมีอารมณ์ที่จะเขียนอย่างนั้นบ้าง หากมีสำนักพิมพ์ไหนยินดีจะตีพิมพ์

เราข้ามเรื่องราวไปถึงตอนจบความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพระนางก่อนก็ได้



กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 พ.ย. 15, 09:38
ดังที่ผมกล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์ที่ลงในสกุลไทยว่า ผมพบที่ดินผืนนี้และได้เป็นเจ้าของมันนั้น ก็เสมือนได้เพชรมาถืออยู่ในมือ แต่เป็นเพชรที่ยังดิบๆอยู่ ผมจะต้องเจียรนัยเพชรเม็ดนี้ให้เป็นเพชรประดับมงกุฏให้ได้

อ่านแล้วคิดตามให้ดีนะครับ เพชรดิบเม็ดนั้น ผมไม่ได้ขุดขึ้นมา ผมซื้อมาจากผู้ที่ขุดมันขึ้นมาจากดินด้วยราคาที่เขาพอใจ แล้วผมก็นำมันมาเจียรนัยจนเปล่งประกายสวยงาม แต่ไม่ได้เอามาประดับมงกุฏให้ตัวเองนะครับ มันก็เหตุผลเดียวกับช่างเจียรนัยเพชรทั้งหลายนั่นแหละ มีปัญญาทำ เสร็จแล้วเก็บไว้ชื่นชมเพียงพักเดียว ก็ต้องยอมปล่อยให้ผู้มีบารมีเอาไปประดับมงกุฏของท่าน

ผมก็ได้ราคาผลงานที่ทำเท่าที่ผมพอใจ แม้ผู้ที่ขายเพชรดิบให้ผมจะได้ราคาต่ำกว่าผมซึ่งเป็นช่างเจียรมาก แต่ก็ดูเหมือนว่าเขามิได้อิจฉาริษยาผม ทุกปีเขาจะส่งปลาหมึกแห้งอันเป็นผลผลิตของเขาเองใส่กล่องไปรษณีย์ลงทะเบียนขนาดจัมโบ้ มาให้ผมในทุกโอกาสขึ้นปีใหม่ จนกระทั่งเขาจากโลกนี้ไปก่อนผมนานแล้ว ส่วนผม ก็คิดถึงบุญคุณของเขาอยู่เสมอ หลังจากที่ผมวางมัดจำแล้ว ยังไม่ได้โอนที่ดินกัน มีผู้มาเสนอซื้อกับเขาโดยให้ราคามากกว่าผม แถมเงินมัดจำที่เขาจะต้องคืนผมหากเลิกสัญญาที่ทำไว้ด้วย แต่เขายังคงมั่นคงกับสัญญาที่เป็นเพียงแค่กระดาษแผ่นนั้น เขาบอกผมว่า เพราะคุณหม่อมไม่ได้ต่อรองเขาสักคำ

ถึงตรงนี้ผมขอหยุดมนสิการถึงพระคุณท่านสุวิทย์ โอสถานุเคราะห์อีกครั้ง

ลูกๆของเจ้าของที่ดินเดิม ผมรับเข้าทำงานตามวุฒิทุกคนที่มาสมัครทำงานกับรายาวดี ไม่ทราบว่าเดี๋ยวนี้พวกเขาและเธอยังคงทำอยู่หรือไม่


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 พ.ย. 15, 10:35
แล้วชีวิตผมก็ดำเนินไปตามโชคชะตาฟ้าลิขิต หลังจากการก่อสร้างโรงแรมแล้วเสร็จ ภาระที่ผมยังต้องทำให้โรงแรมก็หาได้เสร็จสิ้นไม่ ในหน้าที่กรรมการผู้จัดการ หรือในภาคภาษาอังกฤษที่คนวงการโรงแรมใช้กันว่า Co-owner นั้น ผมก็ยังเหน็ดเหนื่อยเหมือนเดิมแม้ว่าลักษณะของงานจะไม่ใช่งานบริหารการก่อสร้างก็ตาม ปัญหาน้อยใหญ่ก็ประดังเข้ามาให้แก้ไขอยู่เรื่อง ที่หนักที่สุดเห็นจะเป็นตอนที่เกิดฟองสบู่แตก เศรษฐกิจของประเทศไทยล่มสลายเป็นชาติแรก แล้วระบาดไปทั่วโลก จนฝรั่งให้เกียรติเรียกความหายนะนี้ว่า “วิกฤตต้มยำกุ้ง” หนี้สินของโรงแรมซึ่งกู้เป็นเงินสกุลยูเอส ดอลลาร์ ก็เพิ่มกระฉูดเป็นสองเท่าในชั่วข้ามวันข้ามคืน

อย่าให้ต้องบอกว่าผมเกิดวิตกจริตเพียงใด คิดอะไรไม่ออกบอกอะไรไม่ถูกอยู่หลายเดือน ในที่สุดคนวงการโรงแรมก็กบฏต่อรัฐบาลเป็นรายแรก คือขณะนั้นมีกฏธนาคารชาติห้ามโรงแรมเรียกเก็บเงินจากผู้เข้าพักเป็นเงินตราต่างประเทศโดยตรง ให้รับแต่เงินบาทเท่านั้น โดยทางปฏิบัติโรงแรมจะมีเคานเตอร์ให้ฝรั่งแลกเป็นเงินบาทเสียก่อนเพื่อชำระบิล เพื่อที่จะออกใบเสร็จเป็นเงินบาท
โอเรียลเตลเป็นรายแรกที่ประกาศว่าต่อไปนี้โรงแรมจะขอรับค่าห้องเป็นเงินสกุลต่างประเทศเท่านั้น หลังจากนั้นโรงแรมอื่นๆก็ประกาศตาม จนสมาคมโรงแรมนำไปเจรจากับรัฐบาลเพื่อขอผ่อนผันได้สำเร็จ

การตัดสินใจเช่นนี้ถูกต้องและฉลาดมาก อย่างโรงแรมผมตอนนั้นเคยประกาศในใบแจ้งราคาว่า ค่าห้องคืนละ ๔๕๐๐ บาท หรือ ๒๐ ยูเอสดอลลาร์ ฝรั่งเชคเอ้าท์ก็ส่งการ์ดให้รูด เป็นเงินบาทเท่าไหร่ไม่สนใจแต่เท่ากับ ๒๐ ยูเอสดอลลาร์เขาก็พอใจแล้ว แต่โรงแรมมีรายรับเพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัว ชดเชยภาระรายจ่ายอื่นๆที่เพิ่มขึ้นมาได้


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 04 พ.ย. 15, 10:46
การตัดสินใจเช่นนี้ถูกต้องและฉลาดมาก อย่างโรงแรมผมตอนนั้นเคยประกาศในใบแจ้งราคาว่า ค่าห้องคืนละ ๔๕๐๐ บาท หรือ ๒๐ ยูเอสดอลลาร์  ฝรั่งเชคเอ้าท์ก็ส่งการ์ดให้รูด เป็นเงินบาทเท่าไหร่ไม่สนใจแต่เท่ากับ ๒๐ ยูเอสดอลลาร์เขาก็พอใจแล้ว แต่โรงแรมมีรายรับเพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัว ชดเชยภาระรายจ่ายอื่นๆที่เพิ่มขึ้นมาได้

สงสัยคุณนวรัตนทำเลขศูนย์ตกไป ๑ ตัว  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 พ.ย. 15, 11:50
ไม่ต้องสงสัยครับ ตกแน่นอน คนแก่ก็อย่างนี้แหละ
แล้วใครเกิดไปเชคได้ว่า ราคาไทยๆไม่ใช่ ๔๕๐๐ แต่เป็น ๔๒๐๐ อะไรทำนองนี้ ก็อาจเป็นไปได้เหมือนกัน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 พ.ย. 15, 14:00
การตัดสินใจเช่นนี้ถูกต้องและฉลาดมาก อย่างโรงแรมผมตอนนั้นเคยประกาศในใบแจ้งราคาว่า ค่าห้องคืนละ ๔๕๐๐ บาท หรือ ๒๐ ยูเอสดอลลาร์  ฝรั่งเชคเอ้าท์ก็ส่งการ์ดให้รูด เป็นเงินบาทเท่าไหร่ไม่สนใจแต่เท่ากับ ๒๐ ยูเอสดอลลาร์เขาก็พอใจแล้ว แต่โรงแรมมีรายรับเพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัว ชดเชยภาระรายจ่ายอื่นๆที่เพิ่มขึ้นมาได้
สงสัยคุณนวรัตนทำเลขศูนย์ตกไป ๑ ตัว  ;D
รู้สึกว่าวิถีนักเขียนในเรือนไทยของผมนี้ จะขาดคุณหมอเพ็ญชมพูเสียมิได้  อะไรที่ผมหลงๆลืมๆตกๆหล่นๆ ทำเลอะเทอะไว้ คุณหมอจะตามล้างตามเช็ดให้ซะเรี่ยม
เมื่อกี้กำลังจิ้มนิ้วอยู่เพลินๆ มีเพื่อนที่เสมือนญาติอาวุโสมาปี้นๆอยู่หน้าบ้าน ผมก็เลยลนลาน รีบจิ้มๆไปให้ปิดคคห.ที่คั่งค้างอยู่ได้ เลยผิดพลาดไปอย่างที่คุณหมอจับได้

ต้องขอขอบคุณด้วยครับ
ตอนนี้ท่านผู้อาวุโสยังไม่กลับ ยังสนใจคุยเรื่องริชลิวอยู่ แต่ผมขอเบรกออกมาจิ้มดีดสักพัก เดี๋ยวต้องกลับไปวงสนทนาใหม่


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 04 พ.ย. 15, 14:05
ระหว่างพักการบรรยาย ขออนุญาตเก็บตกเรื่องเจ้าหญิง

ลูกปัดรูปเจ้าหญิง ที่วัดคลองท่อมในครั้งนั้น ซึ่งอาจารย์ชัยสิริกล่าวถึง
ผมเคยมีที่ชัดกว่านี้ แต่หาไม่เจอเสียแล้ว


(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=6418.0;attach=59861;image)

จากหนังสือ "ลูกปัด ในอดีต-ปัจจุบัน" (http://hi-hotnews.blogspot.com/2009/03/blog-post_08.html) ของ ดร.พรชัย สุจิตต์  อาจารย์ภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร บรรยายว่า

"เป็นแผ่นหินคาร์นีเลียนแกะสลักเป็นรูปผู้หญิงศิลปะแบบโรมัน อาจใช้เป็นจี้ พบที่บริเวณเมืองท่าโบราณ อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่"


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 04 พ.ย. 15, 14:16
ยังมีจี้หินลักษณะนี้เป็นรูปคนทั้งครึ่งตัวและเต็มตัวแสดงอีก ๓ อัน พบที่คลองท่อมเช่นเดียวกัน

จาก http://khmerization.blogspot.com/2012/05/archeological-discoveries-of-khmer-and.html (http://khmerization.blogspot.com/2012/05/archeological-discoveries-of-khmer-and.html)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 พ.ย. 15, 15:34
อันขวาสุดนี่ เทพผู้หญิงประทับอยู่บนอะไรหรือครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: kui045 ที่ 04 พ.ย. 15, 16:56
นึกถึง พระนางจามเทวี จากละโว้ ไปตั้งเมืองหริภุญชัย  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 พ.ย. 15, 20:34
คุณศรีสรรเพชญ์และคุณคนโคราช จะไม่ตอบข้อสงสัยของผมบ้างหรือครับ เป็นเทวีปางใด ขององค์ใด


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ย. 15, 07:06
น่าแปลกเป็นอย่างยิ่ง ในปีสุดท้ายก่อนที่ผมจะตัดสินใจขายส่วนหนึ่งของความเป็นเจ้าของรายาวดีให้แก่หุ้นส่วนของผมไปนั้น เป็นช่วงที่ตรงกับคราวที่ท่านอาจารย์ชัยท่านไปบำเพ็ญพรตอยู่ในป่า ก่อนหน้านั้นท่านเคยบอกผมว่าคนมากวนท่านนัก จนไม่มีเวลาพักผ่อนเป็นตัวของตัวเอง ท่านจึงจะหลีกลี้เข้าไปอยู่ในป่าบนเขาสักพัก ผมไปวัดก็คงจะไม่ได้พบท่านอีกนาน

ดังนั้น เมื่อมีเรื่องที่อยากจะถามพระนางก็นึกถึงน้า ครั้นโทรไปนัดหมายจะไปพบที่บ้าน น้าสะใภ้รับโทรศัพท์จึงได้ทราบว่า น้าผมเสื่อมลงแล้วเพราะไปเสียสัตย์ที่ว่าจะไม่ดื่มเหล้า พอไปพลาดเข้าหนเดียวเทพหายหมด ไม่มีองค์มาลงประทับต่อไป
น้าของผมแต่เดิมเป็นคนที่เขาเรียกว่าจิตอ่อน มีผู้ใหญ่ที่รักนับถือมาพูดผิดหู เกิดเสียอกเสียใจไม่เลิก แล้วไปจบที่กินเหล้า แม้จะสำนึกได้ก็สายเกินไปเสียแล้ว

ตกลงก็เป็นอันว่าผมหมดที่พึ่งในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้องพึ่งสติปัญญาของตนเองล้วนๆ

ตรงนี้อาจเป็นข้อสรุปว่า "เหนือฟ้า ยังมีฟ้า" หากชีวิตของผมมีอิทธิพลของสิ่งศักด์สิทธิ์นำไป เหนือพระนางก็ยังมีพระผู้เป็นเจ้าหรือปรมาตมัน ที่เรียกว่าพรหม เป็นผู้ลิขิตกำหนดไว้อีกที ทั้งหมดนี้เข้ากับกฏแห่งกรรมของพระพุทธองค์ วิบากใดที่ผมสร้างขึ้นในภพก่อนชาติก่อน ทั้งดีและชั่ว ก็อาจตามมาส่งผลในชาตินี้ได้

เงินที่ได้รับจากการขายทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะคิดว่าจะไม่กลับไปที่นั่นอีกต่อไปแล้วนั้น กว่าจะทยอยรับเป็นงวดๆก็ใช้เวลาเป็นปี ครั้นรับงวดสุดท้ายมาได้เพียงสองสามเดือน คลื่นยักษ์ซึนามิก็ถล่มกระบี่ โรงแรมรายาวดีเสียหายไปสองร้อยกว่าล้านบาท ผมได้ยินข่าวแล้วสยอง คิดหวลไปถึงว่าถ้าตนเองยังต้องรับภาระหน้าที่อยู่ที่นั่น

เลยไม่ทราบอีกว่า ที่ได้เปลี่ยนทรัพย์สินเป็นเงินสดนี่ เป็นหนทางที่พระนางเลือกไว้ให้แล้วสำหรับผมหรือเปล่า


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ย. 15, 07:22
คุณ NAVARAT.C  คงจะมีอะไรตื่นเต้นระทึกใจเล่าให้ฟังอีกมากค่ะ

ศาลพระนางในภาพที่คุณหมอเอามาลงนี้ เป็นศาลใหม่ที่โรงแรมทำขึ้นหลังซึนามิ การมาของคลื่นยักษ์ครั้งนั้นได้ทำลายศาลที่ถูกระบุว่าให้ตั้งในที่เลาะและ(หรือเราะแระ ไม่แน่ใจ) ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาแล้วจึงไม่ทราบ แต่มันเสมือนข้อไขปริศนาบางประการในความคิดของผม ซึ่งจะผลัดไปเล่าภายหลัง

ปริศนาบางข้อที่รอเล่า                   ให้พวกเราชาวเรือนไทยได้ตื่นเต้น
อาจจะเสริมความระทึกบางประเด็น       พร้อมลูกเล่นคุณนวรัตนจะจัดมา


ตรงนี้แหละครับที่ผมฉุกคิด ชรอยซึนามิจะต้องมีอิทธิพลต่อเรื่องราวของพระนางอย่างใดอย่างหนึ่ง
อย่างที่ผมบอก ไม่มีพายุคลื่นลมใดจะรุนแรงพอในอ่าวจอดเรือหน้าแหลมพระนาง ที่อย่างนั้นฝรั่งเรียก natural haven หรือกำบังสำหรับเรือไปหลบคลื่น
ถ้าเป็นเรื่องจริงในอดีต เรือของพระนางอาจจะมาจอดทอดสมอเพื่อพักผ่อนระหว่างการเดินทางที่นั่น แต่แล้ว ก็เกิดเหตุการณ์ที่มีคลื่นยักษ์มาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว หอบเอาเรือลงไปกระแทกโขดหินจนพลิกคว่ำลงที่หัวเขานั้น คลื่นดังกล่าวไม่ได้เกิดจากลม แต่เกิดจากแผ่นดินไหวใต้น้ำ

ชรอยพระนางจะทรงทราบว่า ในภพนี้ชาตินี้จะมีคลื่นยักษ์ดังกล่าวมาอีกครั้ง ท่านจึงจัดการส่งผม "ขึ้นบก" ไปเสียให้พ้นๆ

นี่คิดแบบเข้าข้างตัวเองสุดๆอย่างน่าหมั่นไส้นะครับ
แต่บอกแล้ว มันอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ ทั้งๆที่เป็นเรื่องจากประสบการณ์จริงๆของผม


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ย. 15, 07:48
มโนต่ออีกนิด

ทำไมศาลของพระนางจึงต้องอยู่ในที่เลาะและ ?

ถ้าเป็นนวนิยายจะต้องเล่าว่า ซึนามิเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของพระนาง จะอะไรไม่รู้แหละ(ตรงนี้เว้นไว้ให้แก้วเก้าแต่ง)ที่นำพระนางมายังภูมิประเทศอันสวยงาม ซึ่งกัปตันตั้งใจแวะมาจอดเพื่อให้จิตใจอันว้าวุ่นของพระนางได้สงบลงบ้าง ซึ่งก็ดูจะได้ผล พระนางและพระขนิษฐาดูจะเพลินเพลินกับป่าเขาที่สวยงามประดุจไม่ใช่ดินแดนที่พระเจ้าสร้างขึ้นในมนุษยโลก แต่คืนนั้น ระหว่างที่ทุกคนนอนหลับด้วยความอ่อนเพลีย คลื่นยักษ์ก็ผุดขึ้นจากกลางมหาสมุทร แล้ววิ่งเข้ามากวาดทุกชีวิตบนเรือนั้น แม้สิ้นพระชนม์ไปแล้วแต่วิญญาณที่ยังผูกพันธ์อยู่ ยังมิอาจจะทิ้งชาติภพไปเกิดใหม่ได้ พระนางจึงยังต้องวนเวียนอยู่ที่นั้น ......จนกว่า จะมีคลื่นยักษ์เกิดขึ้นมาอีกครั้ง พระนางจึงจะพ้นจากบ่วงกรรม

ดังนั้น หากศาลพระนางไปตั้งอยู่ในที่สูง ก็ไม่มีใครประกันได้ว่าเมื่อคลื่นยักษ์มาแล้ว ศาลจะถูกกวาดเรียบร้อยเป็นการปลดปล่อยวิญญาณของเจ้าของศาลจากพันธะทั้งปวงในโลก
ศาลจึงต้องอยู่มนที่เลาะและเท่านั้น

ส่วนสมบัติพระนางก็จะถูกทรายที่คลื่นพามา กลบทับถมลงไปในดินอีก หมดโอกาส ทั้งเจ้าของสมบัติและมนุษย์ผู้โลภจะนำขึ้นมาได้ สิ้นห่วงสิ้นกังวลไป


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ย. 15, 07:50
จบ

ข่าววอแล้ว ทุกคนเชิญกลับบ้านได้


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 05 พ.ย. 15, 08:07
มโนต่ออีกนิด

ทำไมศาลของพระนางจึงต้องอยู่ในที่เลาะและ ?

ถ้าเป็นนวนิยายจะต้องเล่าว่า ซึนามิเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของพระนาง จะอะไรไม่รู้แหละ(ตรงนี้เว้นไว้ให้แก้วเก้าแต่ง)ที่นำพระนางมายังภูมิประเทศอันสวยงาม ซึ่งกัปตันตั้งใจแวะมาจอดเพื่อให้จิตใจอันว้าวุ่นของพระนางได้สงบลงบ้าง ซึ่งก็ดูจะได้ผล พระนางและพระขนิษฐาดูจะเพลินเพลินกับป่าเขาที่สวยงามประดุจไม่ใช่ดินแดนที่พระเจ้าสร้างขึ้นในมนุษยโลก แต่คืนนั้น ระหว่างที่ทุกคนนอนหลับด้วยความอ่อนเพลีย คลื่นยักษ์ก็ผุดขึ้นจากกลางมหาสมุทร แล้ววิ่งเข้ามากวาดทุกชีวิตบนเรือนั้น แม้สิ้นพระชนม์ไปแล้วแต่วิญญาณที่ยังผูกพันธ์อยู่ ยังมิอาจจะทิ้งชาติภพไปเกิดใหม่ได้ พระนางจึงยังต้องวนเวียนอยู่ที่นั้น ......จนกว่า จะมีคลื่นยักษ์เกิดขึ้นมาอีกครั้ง พระนางจึงจะพ้นจากบ่วงกรรม

ดังนั้น หากศาลพระนางไปตั้งอยู่ในที่สูง ก็ไม่มีใครประกันได้ว่าเมื่อคลื่นยักษ์มาแล้ว ศาลจะถูกกวาดเรียบร้อยเป็นการปลดปล่อยวิญญาณของเจ้าของศาลจากพันธะทั้งปวงในโลก
ศาลจึงต้องอยู่มนที่เลาะและเท่านั้น

ส่วนสมบัติพระนางก็จะถูกทรายที่คลื่นพามา กลบทับถมลงไปในดินอีก หมดโอกาส ทั้งเจ้าของสมบัติและมนุษย์ผู้โลภจะนำขึ้นมาได้ สิ้นห่วงสิ้นกังวลไป
หลังจากสึนามิ มีเหตุการณ์อะไรที่โยงใยทำให้ผู้คนคิดว่าเป็นการดลบันดาลของพระนาง เกิดขึ้นอีกไหมคะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ย. 15, 08:19
อ้าว ยังมีคนยังไม่ยอมกลับบ้าน

อย่างที่บอกและครับ เมื่อตัดสินใจจะจากไปแล้ว ก็ไม่กลับไปอีกเลย แบบเชนไง รุ่นนี้รู้จักเชนหรือเปล่า

แต่พอจะเดาออกแหละครับ แม้ในสมัยที่ผมยังอยู่ที่นั่นก็มีรายงานบ่อยๆว่ามีคนมานั่งโยกไปโยกมา อ้างว่าพระนางมาประทับอยู่บ่อยๆ มีฝรั่งและไทยมุงกันสองสามคนบ้างเป็นสิบบ้าง ผมก็ไม่ใส่ใจ มีครั้งหนึ่งถึงกับบอกให้คนไปตามผมมาหาเสียอีก พอไปแล้วเห็นสารรูปผมก็รีบตัดบทเดินกลับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 05 พ.ย. 15, 08:58
อย่างที่บอกและครับ เมื่อตัดสินใจจะจากไปแล้ว ก็ไม่กลับไปอีกเลย แบบเชนไง รุ่นนี้รู้จักเชนหรือเปล่า

ชาวบ้านเชื่อว่าวิญญาณของสองพระนางยังคงวนเวียนอยู่เพื่อช่วยปกป้องคุ้มครองชาวบ้าน และชาวประมงไม่ให้ประสบเหตุเภทภัยและเคราะห์กรรมเช่นพระองค์ เพื่อเป็นการตอบแทน และเพื่อให้เกิดความเป็นมงคลแก่ตัวเอง ทุกวันเพ็ญ ชาวบ้าน ชาวประมง รวมถึงพนักงานของรายาวดีจะจัดพิธีบูชาพระนาง โดยถวายดอกไม้ ผลไม้ น้ำ รวมถึงชุดย่าหยาแบบชาวใต้ย่อส่วนตัวเล็ก ๆ ให้พระนางด้วย ไม่เพียงแต่ชาวบ้านและชาวประมง แม้แต่พวกนักปีนเขาก็มาร่วมในกิจกรรมนี้ด้วย เพื่อขอขมาและขอบคุณที่ช่วยปกปักรักษาพวกเขา

พิธีบูชาพระนาง รายาวดีเป็นผู้ริเริ่มจัดขึ้น ต่อมาก็มีชาวบ้านมาร่วมพิธี จนกลายเป็นพิธีสำคัญของผู้คนในแถบนี้

ถึงแม้นไม่กลับมา      แต่ทว่าความเชื่อถือ
พลังคำเล่าลือ         ยัง "พระนาง" ให้ยืนยง


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ย. 15, 09:45
ถึงแม้นไม่กลับมา      แต่ทว่าความเชื่อถือ
พลังคำที่เล่าลือ         ยังถือว่า "พระนาง" คง


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 05 พ.ย. 15, 09:59
อ้าว ยังมีคนยังไม่ยอมกลับบ้าน

อย่างที่บอกและครับ เมื่อตัดสินใจจะจากไปแล้ว ก็ไม่กลับไปอีกเลย แบบเชนไง รุ่นนี้รู้จักเชนหรือเปล่า


เชน come back เสมอนี่ครับ  จะไปแล้วไปลับได้ไง กำลังสนุก ไม่ให้ตัดจบกันดื้อๆ แบบนี้หรอก  ไม่ยอม ไม่ยอม >:(


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 05 พ.ย. 15, 10:08
ย่อหน้านี้น่าจะคำโปรยที่ปกหนังสือ "พระนาง" ของ แก้วเก้า

ซึนามิเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของพระนาง จะอะไรไม่รู้แหละ(ตรงนี้เว้นไว้ให้แก้วเก้าแต่ง)ที่นำพระนางมายังภูมิประเทศอันสวยงาม ซึ่งกัปตันตั้งใจแวะมาจอดเพื่อให้จิตใจอันว้าวุ่นของพระนางได้สงบลงบ้าง ซึ่งก็ดูจะได้ผล พระนางและพระขนิษฐาดูจะเพลินเพลินกับป่าเขาที่สวยงามประดุจไม่ใช่ดินแดนที่พระเจ้าสร้างขึ้นในมนุษยโลก แต่คืนนั้น ระหว่างที่ทุกคนนอนหลับด้วยความอ่อนเพลีย คลื่นยักษ์ก็ผุดขึ้นจากกลางมหาสมุทร แล้ววิ่งเข้ามากวาดทุกชีวิตบนเรือนั้น แม้สิ้นพระชนม์ไปแล้วแต่วิญญาณที่ยังผูกพันธ์อยู่ ยังมิอาจจะทิ้งชาติภพไปเกิดใหม่ได้ พระนางจึงยังต้องวนเวียนอยู่ที่นั้น ......จนกว่า จะมีคลื่นยักษ์เกิดขึ้นมาอีกครั้ง พระนางจึงจะพ้นจากบ่วงกรรม

ถ้าสร้างเป็นละคร ฉากสึนามิทั้งสองครั้งนี้ต้องดึงดูดคนดูได้มากอักโข  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: กิมซัว แซ่ตั้ง ที่ 05 พ.ย. 15, 10:25
ผมเข้าป่าพม่าแถวตะนาวศรี-มะริดเพิ่งกลับออกมา อยู่ๆก็จบเสียแล้ว ถ้าเป็นไปได้ผมยังอยากอ่านเรื่องราวของอาจารย์อีกนะครับ




กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: sirinawadee ที่ 05 พ.ย. 15, 15:33
ไม่ได้เข้าเรียนเสียนานค่ะ นักเรียนยากจนต้องทำมาหากินไปด้วย

เปิดมาเจอกระทู้นี้อ่านอย่างชนิดไม่ปิดหน้าจอเลยทีเดียว พระเอกหล่อเท่กว่าที่จินตนาการไว้มาก แถมเป็นพระเอกลุคหล่อแถมซนเสียด้วย จากนี้คงต้องมาเกาะทุกวันๆๆๆ

ปล. "ท้อมีไว้ให้ลิงถือเท่านั้น" ขอบพระคุณมากค่ะ ประโยคนี้จุดไฟดวงเล็กๆ ให้หัวใจที่มืดมนได้มากจริงๆ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ย. 15, 15:41
อ้างถึง
พระเอกหล่อเท่กว่าที่จินตนาการไว้มาก แถมเป็นพระเอกลุคหล่อแถมซนเสียด้วย

ใครง่ะ งง ? ??? ?


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 พ.ย. 15, 15:51
หรือคุณสิริณาวดีจะหมายถึง ดร.ฮันนิบาล ณ ปางฟ้า


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ย. 15, 16:01
มีผู้มีอิทธิพล แบบว่า เส้นใหญ่ใส่ทุกอย่าง เยอะๆ อร่อยๆ สะอาดๆ เร็วๆ และถูกๆ สั่งผมมาทางหลังไมค์ว่า ถึงข่าววอแล้วก็ยังไม่อยากกลับบ้าน ให้ผมเปิดหน้า ๑๖ ต่อ บัดเดี๋ยวนี้

ผมเห็นแล้วก็สั่นน่ะซิครับ สั่นดีใจนะไม่ได้สั่นถอย แต่เรื่องที่เกี่ยวกับพระนางหมดแล้วน่ะซิครับ อย่างที่ผมบอก ประวัติศาสตร์มันมีจำกัด หมดแล้วหมดเลย จะจินตนาออกมาใหม่ หมั๊นก็ไม่ใช่ประวัติศาสตร์

เดี๋ยว ต้องขอคิดก่อน
ท่านอาจารย์ใหญ่ก็เข้ามาแบบแป๊บๆ ไม่มาแยกตรอกแยกซอยอย่างเคยซะด้วย นี่เอาตัวละครประหลาดมาอีกตัวนึงแล้ว ใครง่ะ ???
ฮันนิบาลน่ะพอเดา เชื้อสายแกอยู่สุพรรณ
แต่ดร.นี่? ตามด้วยปางฟ้าอีก พวกนี้มันพวกขับแทกซี่ชัดๆ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 พ.ย. 15, 16:10
มีผู้มีอิทธิพล แบบว่า เส้นใหญ่ใส่ทุกอย่าง เยอะๆ อร่อยๆ สะอาดๆ เร็วๆ และถูกๆ สั่งผมมาทางหลังไมค์ว่า ถึงข่าววอแล้วก็ยังไม่อยากกลับบ้าน ให้ผมเปิดหน้า ๑๖ ต่อ บัดเดี๋ยวนี้

ใครหนอ ใหญ่กว่าอาจารย์ใหญ่  สั่งอาจารย์ใหญ่กว่าได้
ยังงี้รมว.มาเองชัดๆ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 05 พ.ย. 15, 16:12
เรื่องราวตั้งแต่ผมไปบุกเบิกก่อร่างสร้างตนทำกิจการโรงแรม ตั้งแต่เป็นบังกะโลกระต๊อบจนถึงโรงแรมห้าดาวนั้น ถ้าจะเล่าเป็นเรื่องยาวก็อาจจะไม่สนุกเท่าเล่าเป็นเรื่องสั้นเป็นตอนๆไป เหมือนเรื่องสั้นคลาสสิกชุด “เหมืองแร่” ที่บรมครู อาจินต์ ปัญจพรรค์ สร้างสรรไว้ตั้งแต่ผมยังนุ่งกางเกงขาสั้นเรียนหนังสือ

หากคุณนวรัตนจะเขียนเป็นเรื่องสั้นทำนองเดียวกับบรมครูอาจินต์ ปัญจพรรค์ก็คิดว่าน่าสนใจมาก เสนอว่าขึ้นกระทู้ใหม่ไปเลย  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ย. 15, 16:14
มีผู้มีอิทธิพล แบบว่า เส้นใหญ่ใส่ทุกอย่าง เยอะๆ อร่อยๆ สะอาดๆ เร็วๆ และถูกๆ สั่งผมมาทางหลังไมค์ว่า ถึงข่าววอแล้วก็ยังไม่อยากกลับบ้าน ให้ผมเปิดหน้า ๑๖ ต่อ บัดเดี๋ยวนี้

ใครหนอ ใหญ่กว่าอาจารย์ใหญ่  สั่งอาจารย์ใหญ่กว่าได้
ยังงี้รมว.มาเองชัดๆ
เมื่อกี้สั่งมาอีกให้ ด่วนๆ
บอกว่าลืมรหัสสมาชิก เลยเข้ามาสั่งตรงๆไม่ได้


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: sirinawadee ที่ 05 พ.ย. 15, 16:16
ลุคหล่อแกมซนก็หมายถึงคุณนวรัตน์สิคะ ตามอ่านมาตั้งหลายปี ได้เห็นตัวจริงแล้ว เย้

กระทู้อ่านสนุกมากค่ะ ได้อารมณ์เข้มข้นเหมือนอ่านเหมืองแร่ แต่น่ารักเบาๆ แบบคุณวิลาส มณีวัต


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ย. 15, 16:17
แฟนๆมารอกันพอสมควรแล้วมั๊ง
ต่อครับ ต่อ

เรื่องราวตั้งแต่ผมไปบุกเบิกก่อร่างสร้างตนทำกิจการโรงแรม ตั้งแต่เป็นบังกะโลกระต๊อบจนถึงโรงแรมห้าดาวนั้น ถ้าจะเล่าเป็นเรื่องยาวก็อาจจะไม่สนุกเท่าเล่าเป็นเรื่องสั้นเป็นตอนๆไป เหมือนเรื่องสั้นคลาสสิกชุด “เหมืองแร่” ที่บรมครู อาจินต์ ปัญจพรรค์ สร้างสรรไว้ตั้งแต่ผมยังนุ่งกางเกงขาสั้นเรียนหนังสือ

เอาเถิด วันหนึ่งผมอาจจะมีอารมณ์ที่จะเขียนอย่างนั้นบ้าง หากมีสำนักพิมพ์ไหนยินดีจะตีพิมพ์

เราข้ามเรื่องราวไปถึงตอนจบความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพระนางก่อนก็ได้
คุณเพ็ญก็ไม่โค้ดมาให้จบถ้อยกระทงความ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ย. 15, 16:20
ลุคหล่อแกมซนก็หมายถึงคุณนวรัตน์สิคะ ตามอ่านมาตั้งหลายปี ได้เห็นตัวจริงแล้ว เย้

กระทู้อ่านสนุกมากค่ะ ได้อารมณ์เข้มข้นเหมือนอ่านเหมืองแร่ แต่น่ารักเบาๆ แบบคุณวิลาส มณีวัต

ลุคหล่อแกมซนผมเนี่ยะนะ เอ้อเฮอ เพิ่งจะรู้จักคำนี้

เอารูปลุคจอมซนขนฟูมาแถม


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ศุศศิ ที่ 05 พ.ย. 15, 17:05
เขียน สารคดี ประวัติศาสตร์ มาก็เยอะแล้ว ท่านอาจารย์ NAVARAT.C ลองเขียนนวนิยายสักเรื่องก็ดีนะครับ
ผมชูจั๊กกะแร้เชียร์  พล็อตประมาณ สถาปนิกหนุ่มเมืองกรุง อกหักรักคุด หนีมาทางใต้ บากบั่นสร้างเนื้อตัวจากพื้นที่รกร้างให้เป็น
รร ห้าดาว  ระหว่างสร้างตัวก็เจออุปสรรค ทั้งเจ้าพ่อ NGO แถมแนวลึกลับ อาถรรพ์ของพื้นที่  หรือ นางผู้มีความผูกพันแต่ชาติปางก่อน
รอคอยการกลับมาของชายคนรัก  หูยยิ่งคิดยิ่งบรรเจิด


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ย. 15, 17:31
ผมเป็นคนที่ไม่มีวาสนาในเรื่องการเขียนนวนิยาย แต่เอาเรื่องจริงมาเล่าแบบนิทานน่ะพอได้ จะลองเขียนแบบเรื่องสั้นให้ลองอ่านดู

    “ควายเอ๋ย อุตส่าห์ชื่อบุญรอด”

เมื่อผมชำระเงินค่าสวนมะพร้าวที่ไร่เลไปแล้ว เจ้าของที่และครอบครัวก็พร้อมที่จะออกจากกระต๊อบไปมีชีวิตใหม่บนแผ่นดินใหญ่ฝั่งถนน เมื่อผมเดินไปเยี่ยมในขณะที่เขารื้อกระต๊อบ เลือกคัดเอาแต่ไม้ที่ยังใช้การได้ ใส่รถเลื่อนแบบขาสกี จะให้ควายน้อยลากไปลงเรือที่จอดรออยู่ ผมยืนดูอยู่สักพักนึงก็ถามเขาว่า แล้วควายตัวนี้จะเอาไปด้วยหรือเปล่า เขาบอกว่าไม่เอาไปหรอก เสร็จงานแล้วจะเชือดฉลองกัน

ผมเห็นหน้าเห็นตามันแล้วก็สงสารจับใจ นี่เขาใช้มันขนลูกมะพร้าว ยันขนบ้านเสร็จสรรพจนนาทีสุดท้ายแล้ว ยังจะโดนเชือดเนื้อเถือหนังเอาเป็นอาหารได้ไม่กี่อิ่มอีก ผมเลยบอกว่าขายให้ผมเถอะ บังจะเอาเท่าไหร่ เขาย้อนถามว่าแล้วหม่อมจะเอามันไปทำไม ผมว่าไม่ทำอะไรหรอกจะเลี้ยงมันไว้ให้ฝรั่งดู เขาเลยบอกว่าดีแล้ว สงสารมันอยู่เหมือนกันแต่เอาไปด้วยไม่ได้ เอางี้ หม่อมให้ผมแปดพันบาทก็แล้วกัน

ผมไม่ทราบหรอกครับว่าราคาสำหรับควายรุ่นๆ ตัวยังไม่โตเต็มที่ๆเขาว่ามาน่ะถูกหรือแพง แต่เงิน ๘๐๐๐ สมัยโน้นก็ไม่น้อย ต้องต๊ะเขาไว้ก่อน บอกว่าเดี๋ยวเข้าเมืองไปเบิกมาแล้วจะเอามาให้
ผมตั้งชื่อมันว่า “บุญรอด” ดีนะเจ้าควายน้อยเอ๋ยที่ข้าเดินมารู้มาเห็นเข้า ไม่งั้นเอ็งก็เป็นศพไม่มีทรากไปแล้ว

ลูกน้องผมที่เอามาทำงานด้วยกันเกือบทั้งหมดเป็นคนสระแก้ว อยู่หมู่บ้านเดียวกับบิ๊กหมง ล.ส.ของผม บิ๊กหมงนี่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ก็เป็นลิตเติ้ลหมงมาก่อน ผอมกระโล้กโก๊กพี่ชายพามาจากบ้านนอก ทำงานที่เดียวกันได้พักหนึ่งเถ้าแก่บอกไอ้นี่ไม่เอา เลยมาของานทำเป็นคนสวนที่บ้านของผม เลยเลี้ยงดูกันมาจนเป็นบิ๊ก ชื่อจริงคือนายมงคล เรื่องของบิ๊กหมงสามารถนำมาเล่าได้หลายตอนอยู่

คนสระแก้วคุ้นกับควายดี ผมก็มอบหมายให้ด.ช.ภุชงค์ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายผม เรียนจบการศึกษาภาคบังคับมาหมาดๆแล้วตามญาติๆที่บิ๊กหมงไปกวาดต้อน มาทำงานบังกะโลพระนางเพลสกับเขาด้วยเพื่อหาประสบการณ์ ซึ่งผมก็ได้ใช้ประสบการณ์เก่าของเด็กภุชงค์นี้ ให้เป็นผู้ดูแลเลี้ยงดูเจ้าบุญรอด เอาไปผูกให้กินหญ้า ได้เวลาก็พาไปลงน้ำทะเลแถวอ่าวน้ำเมาที่คนเขาไม่ไปเล่นกัน แต่ควายมีความสุขมาก

เจ้าบุญรอดไม่มีหน้าที่อะไร นอกจากเป็นนายแบบให้ฝรั่งถ่ายรูป ไม่ต้องโพสต์ไม่ต้องเต๊ะท่าให้เมื่อย จนมันทำท่าจะเป็นคุณหนูขึ้นทุกที  


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ย. 15, 17:32
เป็นไงครับ เริ่มต้นพอจะใช้ได้ไหม


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 05 พ.ย. 15, 17:45
เริ่มต้นก็น่าสนใจติดตามแล้ว แต่ดูจากชื่อกลัวจะมีตอนจบเศร้านี่หนะสิครับ ถ้าแบบนั้นคนอ่อนไหวแบบผมรับไม่ได้ เดี๋ยวนี้บ่อน้ำตาตื้นสุดๆ อ่านได้แต่อะไรที่จบแบบ happy  ending ไม่ขยี้ใจเท่านั้น  :-\

เรือนไทยนี้มีท่านอาจารย์ใหญ่เป็นเจ้าเรือน  ถัดมายังมีท่านอาจารย์ใหญ่กว่า   ตอนนี้กำลังจะมีท่านอาจารย์ใหญ่สุดเพิ่มมาอีกท่าน  นี่ถ้ายังมีใหญ่กว่านี้อีกจะต้องเรียกกันยังไงนี่


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ย. 15, 18:18
วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์เตรียมผ้าเช็ดตัวไว้สักสองผืนนะหนูนะ เดี๋ยวได้ใช้ซับน้ำตาผืนนึง ซับน้ำลายที่หกมาจากมุมปากตอนหัวเราะอีกผืนนึง เรื่องจบแบบบุญรอดได้แต่งงานกับบุญผกาตอนจบเนี่ย ไม่สะใจหนุ่มๆสาวๆเค้า ไม่งั้นโรมิโอกะจูเลียตจะเป็นวรรณกรรมอมตะหรือ

อ้างถึง
เรือนไทยนี้มีท่านอาจารย์ใหญ่เป็นเจ้าเรือน  ถัดมายังมีท่านอาจารย์ใหญ่กว่า   ตอนนี้กำลังจะมีท่านอาจารย์ใหญ่สุดเพิ่มมาอีกท่าน  นี่ถ้ายังมีใหญ่กว่านี้อีกจะต้องเรียกกันยังไงนี่

ก็เรียกท่านอาจารย์ใหญ่สุด ๒ เท่า มาอีกก็ ท่านอาจารย์ใหญ่สุด ๓ เท่า
อย่างงี้ก็มาได้อีกเป็นร้อย จะไปกลัวอะไร


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ย. 15, 19:13
ปีเศษเท่านั้น เจ้าบุญรอดก็เปลี่ยนแปลงด้านกายภาพจากควายรุ่นกระทง มาเป็นควายหนุ่มตัวเบ่อเริ่ม เมื่อก่อนเด็กภุชงค์จะจูงมันไปผูกไว้ตามที่หญ้ายาวๆ แต่พักหลังนี้มันจากลากภุชงค์ไปยังที่ๆมันอยากไป บิ๊กหมงมารายงานผมว่า ควายตัวนี้มันไม่ได้ตอน หากปล่อยทิ้งไว้มันจะเปรียวนัก เดี๋ยวจะเอาไม่อยู่

เป็นอันว่าผมต้องเสียเงินเป็นพัน จ้างหมอตอนควายพื้นบ้านมาจัดการตอนเจ้าบุญรอด วันที่เขาเข้ามาดำเนินการเป็นช่วงที่ผมอยู่กรุงเทพ แต่ได้รับรายงานภายหลังว่าทุลักทุเลน่าดู เพราะมันไม่ร่วมมือแต่โดยดี กว่าจะจับมันล่าม มัดแข้งมัดขาให้มันล้มตัวลงนอน แล้วตรึงมันไว้ไม่ให้ดิ้น หลังจากนั้นก็ดึงกล่องดวงใจของมันออกมานอกขาหนีบ เอาเขียงสอดเข้าไป แล้วเอาค้อนไม้ตีตรงนั้นจนลูกอัณฑะของมันแตก ฟังดูแล้วพลอยหวาดเสียวท้องน้อยไปด้วย การตอนที่ว่าเป็นการทรมานทรกรรมเจ้าบุญรอดมาก เห็นว่ามันร้องดังสั่นสนั่นหวั่นไหวจนฝรั่งตกอกตกใจ ผมว่าอย่าว่าแต่ควายเลย คนโดนอย่างนั้นเข้าบ้างคงร้องดังไม่แพ้กัน เผลอๆมีด่าหยาบๆตามไปเสียด้วย

หมอว่า ถ้าบุญรอดมันถูกทุบตั้งแต่วัยเด็ก มันจะไม่เจ็บขนาดนี้

มันทำท่าหงอยไปหลายเดือน จะไม่หงอยได้อย่างไร เดินยังน้ำตาเล็ดไม่อยากจะเดิน กว่าแผลจะหายสนิท
ครั้นหายเข้าที่เข้าทางดีแล้วไม่นาน เจ้าบุญรอดก็หายไป เด็กภุชงค์บอกว่ามันดึงจนเชือกสนตะพายขาด หลังจากเอามันไปผูกให้กินหญ้า

บรรยายศัพท์สนตะพายให้คนที่ไม่ทราบเข้าใจสักหน่อย ว่ากันว่าการสนตะพายวัวควายไว้ใช้งานนี่ เป็นภูมิปัญญาของคนอุษาคเนย์ คือหมอควายเขาจะเอาสิ่งมีคมมาเจาะหนังที่คั่นระหว่างรูจมูกทั้งสองของวัวควายตั้งแต่พวกมันยังเล็ก แล้วเอาเชือกร้อยไว้ เวลาจะจูงไปไหนมันจะได้เดินตามไปโดยดี เพราะไม่งั้นมันจะเจ็บรูสนตะพาย

เคยดูข่าวทีวีที่ทหารไทยไปช่วยติมอร์ตะวันตกตอนที่แยกประเทศจากอินโดนีเซียใหม่ๆ ก็ไปสอนให้ชาวนาที่นั่นรู้จักการไถนาด้วยควาย ซึ่งเขาเลี้ยงไว้กินเท่านั้น ใช้งานมันไม่เป็นเพราะไม่รู้จักการสนตะพาย หลังจากทหารไทยไปสอนให้แล้วจึงรู้สึกประทับใจกับภูมิรู้ของคนไทยมาก

แต่เจ้าบุญรอดนี่ จมูกมันด้าน สามารถดึงจนเชือกขนาดนิ้วก้อยขาดได้ หรือเด็กภุชงค์จะผูกมันไม่ดีก็ไม่รู้ ผมขี้เกียจพิสูจน์หลักฐาน

พื่นที่แหลมพระนางถึงไม่ใช่เกาะก็เหมือนเกาะ เจ้าบุญรอดมันจะไปไหนเสีย ผมก็ให้อ๊อดพาคนงานที่ว่างๆไปช่วยกันตามหาตัวกลับมา สักพักใหญ่ๆก็เห็นจูงมันกลับมาแล้ว แต่อ๊อด หัวหน้าที่นำคณะไปบอกว่า มันไปกินไม้กระถางของบังกะโลข้างเคียงหมด เขาฝากค่าเสียหายมาด้วย ผมดูแล้วเอ้อเฮอ หลายพันเชียวนะแก


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Koratian ที่ 05 พ.ย. 15, 19:14
คุณศรีสรรเพชญ์และคุณคนโคราช จะไม่ตอบข้อสงสัยของผมบ้างหรือครับ เป็นเทวีปางใด ขององค์ใด

ตรงนี้ไม่ทราบจริงๆครับ
อย่างไรก็ตามถ้าเป็นศิลปะโรมันจริง คนที่นำเข้ามาไม่จำเป็นต้องเป็นโรมันครับ
น่าจะเป็นพ่อค้า อาหรับ หรืออินเดียมากกว่า


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ย. 15, 19:21
ผมเกรงว่าจะเป็นกรีกโรมันแปลงในอินเดียนะซีครับ ในย่านนี้มีแต่คนอินเดียเท่านั้นที่เข้ามาเผยแพร่วัฒนธรรม
เหรียญที่ผมว่าน่าจะเป็นเทวีองค์หนึ่ง กับเทวลึงค์ของศาสนาอะไรสักศาสนา ที่ไม่ใช่พุทธ และอาจจะไม่ใช่พราหมณ์ด้วยซ้ำ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Koratian ที่ 05 พ.ย. 15, 19:45

ขออภัยที่ขัดจังหวะครับ เจ้าบุญรอด ยาวต่อไปเลยครับ
สมัยนั้น ควายบนฝั่งไกลทะเล แปดพันถือว่าแพงครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ย. 15, 19:53
อ้างถึง
ควายบนฝั่งไกลทะเล แปดพันถือว่าแพงครับ

ของผมมันฝั่งใกล้ทะเล ก็ต้องถือว่าถูกใช่ไหมครับ ???


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ย. 15, 21:13
เจ้าบุญรอดหลุดอีกสองสามครั้ง เด็กภุชงค์เอามันไม่อยู่  แม้ว่าครั้งสุดท้ายผมจะให้อ๊อดช่วยดูแลมันแทนแล้ว เจ้าบุญรอดก็ยังหลุดไปกินไม้ประดับของเขาได้เป็นประจำ ผมเคยไปดูผลงานของมันเพราะอยากรู้ว่าทำไมเขาคิดค่าเสียหายกับผมแพงนัก ก็ปรากฏแก่สายตาว่ามันชอบกินต้นโกศลเป็นพิเศษ ต้นโตๆลงดินแล้วกำลังแตกพุ่มสวยงามมันซัดซะเหลือแต่ตอเป็นแถบๆ น่าเตะมาก

อ๊อดดูจะโกรธเป็นพิเศษ ทีนี้เขาผูกโยงมันไว้กลางสนามด้วยเชือกถึงสามเส้น
 
แต่แล้วในเช้าวันหนึ่ง คนของพระนางเพลสก็พบว่าบุญรอดหายไปอีก อ๊อดตามหาอยู่ทั้งวันก็ไม่พบ คนบังกะโลข้างเคียงก็ปฏิเสธว่าไม่เห็นมันเลยหมู่นี้
ความจริงเพื่อนบ้านผมเขาไม่สู้รังเกียจเจ้าบุญรอดนักหรอก เพราะมันเข้าไปเยี่ยมเยียนทีไร เขาก็จะมีกำไรงามๆจากการขายพวกไม้ประดับให้ผมเลี้ยงควายเสมอ แต่คราวนี้สงสัยว่ามันไม่ธรรมดาเสียแล้ว

วันรุ่งขึ้น บังดิ่ง คนเรือของพระนางเพลสซึ่งมีบ้านอยู่แถวอ่าวน้ำเมาก็มาแจ้งว่า เจ้าบุญรอดเดินท่อมๆอยู่ในหมู่บ้าน เขาเลยจูงไปผูกไว้ แล้วเอามันกลับเข้ามากับเรือทุ่นขนของๆโรงแรมแล้ว ผมก็ตบรางวัลให้ไป

มันหลุดข้ามน้ำข้ามทะเลระยะตั้งสามกิโลเมตรกว่าไปได้อย่างไร ผมสงสัยเต็มกำลัง วันหนึ่งเราก็ทดลองให้มันหลุดดู พบว่ามันจะเดินเลาะชายฝั่งไปเรื่อยๆ เวลาน้ำขึ้นชายฝั่งจะถูกน้ำท่วมมิดเป็นตอนๆไป แต่เมื่อน้ำลงใกล้ระดับสูงสุด แม้คนก็จะสามารถเดินจากปลายแหลมไปแผ่นดินใหญ่ได้ไม่ยาก ควายจึงสบายมาก
ทางฝั่งอันดามันนั้น ระดับน้ำขึ้นสูงสุดในช่วงน้ำใหญ่ พระจันทร์เต็มดวง จะต่างกับระดับน้ำลงต่ำสุดอยู่ถึงสามเมตร แต่ช่วงเดือนมืดน้ำตายก็ประมาณเมตรห้าสิบ เจ้าบุญรอดมันฉลาด มันอาศัยช่วงน้ำลงเดินไปแสวงหาหาตัวเมีย

อ้าวไหนว่า ควายที่ถูกตอนแล้วจะไม่สนใจเรื่องโรแมนติกแล้วไง

อ๊อดอธิบายว่า ไม่หรอกครับ ไอ้บุญรอดมันถูกตอนตอนมันโตแล้ว ฮอโมนเพศผู้มันแพร่กระจายไปทั้งร่างกายเรียบร้อย การตอนก็แค่เป็นหมันมีลูกไม่ได้เท่านั้นเอง
เออจริงสิ เหมือนกันเลย ตอนลูกคนที่สองคลอดออกมา ได้ครบทั้งชายและหญิงแล้วผมก็ไปศูนย์มีชัย ให้คุณหมอจัดการทำหมันเสีย แต่ก็ไม่ได้กลายเป็นขันทีไปซะหน่อย

เจ้าบุญรอดถูกนำมาเลี้ยงอยู่ที่เดิมในสนามโดยใช้เชือกโยงไว้ทั้งสี่ทิศ วันหนึ่งผมเดินไปแถวนั้น คิดอะไรเพลินๆอยู่ตกใจ ได้ยินเสียงประหลาดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนดังแว่วขึ้น
เสียงนั้นเหมือนเสียงเครื่องยนต์ขนาดเล็กๆที่เดินเครื่องติดต่อกันยาวนาน แต่นั่นมันจะดังหึ่งงงงงงงงง
แต่เสียงที่ผมได้ยิน ถ้าจะเขียนก็ได้แบบว่า หงี่งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงหงี่


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 05 พ.ย. 15, 21:27

อ๊อดอธิบายว่า ไม่หรอกครับ ไอ้บุญรอดมันถูกตอนตอนมันโตแล้ว ฮอโมนเพศผู้มันแพร่กระจายไปทั้งร่างกายเรียบร้อย การตอนก็แค่เป็นหมันมีลูกไม่ได้เท่านั้นเอง
เออจริงสิ เหมือนกันเลย ตอนลูกคนที่สองคลอดออกมา ได้ครบทั้งชายและหญิงแล้วผมก็ไปศูนย์มีชัย ให้คุณหมอจัดการทำหมันเสีย แต่ก็ไม่ได้กลายเป็นขันทีไปซะหน่อย


ผมอ่านตรงนี้นี่อดจินตนาการเห็นเป็นภาพหนุ่มใหญ่วัยฉกรรจ์ เดินไปศูนย์มีชัย แต่กลับถูกจับมัดขาแล้วหมอเอาไม้ตีแบบบุญรอดไม่ได้เลย  สยองๆๆๆๆๆๆ ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 05 พ.ย. 15, 22:49

..เสียงนั้นเหมือนเสียงเครื่องยนต์ขนาดเล็กๆที่เดินเครื่องติดต่อกันยาวนาน...

ถูกโยงไว้สี่ทิศกลางแดดแบบนั้น มอเตอร์หรือไดนาโมของเจ้าบุญรอดคงเริ่มโอเวอร์ฮีทแล้วหละ ถึงเริ่มมีเสียงแบบนั้น
พื้นตรงที่ยืนอาจกระจุยไม่มีดีแล้วก็เป็นได้


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 06 พ.ย. 15, 00:50

อ๊อดอธิบายว่า ไม่หรอกครับ ไอ้บุญรอดมันถูกตอนตอนมันโตแล้ว ฮอโมนเพศผู้มันแพร่กระจายไปทั้งร่างกายเรียบร้อย การตอนก็แค่เป็นหมันมีลูกไม่ได้เท่านั้นเอง
เออจริงสิ เหมือนกันเลย ตอนลูกคนที่สองคลอดออกมา ได้ครบทั้งชายและหญิงแล้วผมก็ไปศูนย์มีชัย ให้คุณหมอจัดการทำหมันเสีย แต่ก็ไม่ได้กลายเป็นขันทีไปซะหน่อย


ผมอ่านตรงนี้นี่อดจินตนาการเห็นเป็นภาพหนุ่มใหญ่วัยฉกรรจ์ เดินไปศูนย์มีชัย แต่กลับถูกจับมัดขาแล้วหมอเอาไม้ตีแบบบุญรอดไม่ได้เลย  สยองๆๆๆๆๆๆ ;D
วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์นั่นแหละ ขับแทกซี่ร่อนเร่หาเหยื่อเป็นวันๆไปเถอะ แทนที่จะเจอรักแท้ วันนึงจะต้องเจอแบบเจ้าบุญรอดเข้าบ้างอย่างเนี๊ยะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 06 พ.ย. 15, 01:03

..เสียงนั้นเหมือนเสียงเครื่องยนต์ขนาดเล็กๆที่เดินเครื่องติดต่อกันยาวนาน...

ถูกโยงไว้สี่ทิศกลางแดดแบบนั้น มอเตอร์หรือไดนาโมของเจ้าบุญรอดคงเริ่มโอเวอร์ฮีทแล้วหละ ถึงเริ่มมีเสียงแบบนั้น
พื้นตรงที่ยืนอาจกระจุยไม่มีดีแล้วก็เป็นได้

คุณชลิโตครับ คืออ๊อดเค้าใช้เชือกยาวๆ ยาวสิบยี่สิบเมตร สี่เส้น ผูกเจ้าบุญรอดโยงไว้สี่ทิศ แต่เนื่องจากเชือกยาวมาก มันจึงมีอิสระพอสมควรที่จะเดินไปเดินมาเพื่อกินหญ้าได้ในอาณาบริเวณหนึ่ง สักพักอ๊อดก็ต้องมาขยับที่ใหม่เมื่อเห็นว่าหญ้าบริเวณนั้นถูกกินไปเรียบแล้ว รวมทั้งให้มันเลือกจะเข้าร่มได้ด้วยครับ ในสวนมะพร้าวมีร่มเงาแยะ

เจ้าบุญรอดมันส่งเสียงหงี่ เพราะมันรู้สึกอย่างอื่นไม่ใช่เพราะร้อนแดด ผมสงสัยคำว่าหงี่ ซึ่งเป็นศัพท์ที่ผู้ชายชอบใช้จะมาจากเสียงควายร้องครวญครางนี้เอง


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 06 พ.ย. 15, 06:56
เมื่อหันไปมองรอบตัวก็เห็นแต่ควาย เจ้าบุญรอดกำลังยิงฟันแล้วชูคอเปล่งเสียงว่า “หงี่” ยาวติดต่อกันออกมาหลายอึดใจ

เฮ้ย ควายมันร้องอย่างงี้หรือ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยได้ยินเสียงควายร้อง นึกว่ามันจะออกมออๆแบบวัว ไม่เคยนึกว่ามันจะดังประหลาดไม่สมตัวเช่นนี้ บิ๊กหมงบอกว่ามันเป็นเสียงที่ควายตัวผู้เพรียกหาควายตัวเมียตามสันชาตญาณของมัน

เจ้าบุญรอดทำตาขวางๆ ผมยังแทบไม่อยากสบตากับมัน เวลาแก้เชือกจะเอามันไปลงน้ำ มันจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งมุ่งหน้าไปตามชายหาด ต้องดึงต้องรั้งกันไว้ ลงน้ำไม่นานก็ทุรนทุรายจะไปอีก จนต้องลากกลับ

แล้วไม่นานคืนหนึ่งมันก็หายไปอีก มันต้องไปทางอ่าวน้ำเมาแน่นอน แต่เอารถเที่ยวตระเวนดูแล้วไร้ร่องรอย
สองสามวันต่อมาบังดิ่งบอกว่า พวกแหลมโพธิ์จับควายซ่อนไว้ตัวหนึ่งแกไปดูแล้วคือเจ้าบุญรอด พวกนั้นว่าถ้าเจ้าของไม่นำเงิน ๑๐๐๐๐ บาทมาไถ่คืนไป ก็จะจัดการกับมันด้วยวิธีอื่น ผมจึงต้องควักกระเป๋าอีกตามเคย

คงเอามันไว้ที่บังกะโลไม่ไหวแล้ว ผมบอกบิ๊กหมงให้ไปสระแก้ว บอกให้เจ้าบุญรอดกับชาวนาจนๆที่ไม่มีปัญญาซื้อควายเหล็กใช้
บิ๊กหมงสั่นหัว “ไม่มีใครเค้าจะเอาหรอกขรับ”
“ทำไมละหว่า”
“ควายที่ไม่เคยฝึกไถนาตั้งแต่เป็นลูกควาย มันจะสอนไม่ได้แล้วขรับ ทั้งดื้อ ทั้งโง่”

เออแฮะ เพื่อนถาปัดคนหนึ่งเคยบอกผมว่า พวกที่ชอบไปไถ่ชีวิตควายหน้าโรงฆ่าสัตว์ไปให้ชาวนา แล้วถ่ายรูปลงหนังสือพิมพ์อวดกันว่าเป็นบุญใหญ่นั้น ไม่ได้ผลหรอก เพราะควายก็ตายจากคมมีดอยู่ดี ไม่นานชาวนาก็หาทางเชือดเอาเนื้อแบ่งกันทั้งหมู่บ้าน เพราะใครก็รู้ว่าควายฝูงที่เขาเลี้ยงไว้ขายโรงฆ่านั้น ใช้งานอย่างอื่นไม่ได้แล้ว คนบริจาคกลับไปเยี่ยมควายก็จะโกหกว่ามันตายไปแล้วด้วยอุบัติเหตุโน่นนี่นั่น เมื่อผมได้ฟังแต่แรกยังไม่ค่อยเชื่อ ตอนนี้ชักจะเชื่อ มิน่าเล่า เขาจึงด่าคนบางประเภทว่า “ไอ้ควาย”

แต่บิ๊กหมงก็ยอมกลับไปสระแก้วตามที่ผมขอร้อง เพื่อเสาะหาคนที่จะรับเลี้ยงเจ้าบุญรอดไม่ให้ถูกเชือดตามเจตนาที่ผมตั้งไว้

“ไม่มีใครไว้ใจได้สักคนขรับ จะให้เค้าๆก็เอาแต่ไม่รับรองว่ามันจะแก่ตาย มีแต่พ่อผมคนเดียวที่พอจะไว้ใจได้ แกยังเก็บคันไถไว้ แกบอกว่าถ้าควายมันเคยถูกใช้ลากเลื่อนมาแล้ว แกอยากจะลองใช้ให้มันไถนาดู”
“เอาเลย ตกลง”

ผมดีใจมาก สั่งการใช้ผู้จัดการโรงแรมไปติดต่อปศุสัตว์จังหวัด ออกใบสำคัญที่จะใช้ขนควายข้ามจังหวัด จากกระบี่ไปสระแก้ว แล้วหารถที่จะบรรทุกควายไปส่งถึงที่
งานนี้ก็หมดไปอีกเป็นหมื่น

วันที่ลากเจ้าบุญรอดขึ้นรถบรรทุกวิ่งจากไปนั้น มีคนพระนางเพลสไปส่งมันมากมาย และผมรู้สึกเหมือนยกภูเขาทั้งลูกออกจากอก


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 06 พ.ย. 15, 07:24
ยังครับยัง

ภูเขายกออกไปแล้วลูกหนึ่งก็พบว่าในอกผมยังเหลืออีกหลายลูก เมื่อบิ๊กหมงรายงานว่า พอพ่อแกลองเจ้าบุญรอดกับคันไถ มันก็ออกวิ่ง แกก็ดึงเชือกสนตะพายมันไว้ไม่ยอมปล่อย ควายก็เลยลากพ่อบิ๊กหมงไปกับพื้นดิน ปวดเคล็ดขัดยอกน่วมไปทั้งตัว ต้องนอนนวดอยู่

“หว๊ะ แล้วไงต่อ”
“พ่อโทรมาบอกว่าเห็นทีจะเอาไอ้บุญรอดไม่อยู่แล้ว มันกำลังเปรียว ดื้อด้านเหลือทน เฆี่ยนตีเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึก พรุ่งนี้พอลุกได้แล้วพ่อจะขอเอาไปถวายวัด”
“เออ แล้วแต่พ่อเค้าก็แล้วกัน บ๊ะ..ไอ้รอดนี่…@$%*%#o?!!!฿๕!!&&9YTJK)@#$#@@………” ผมสบถ

นึกว่าจบ อีกวัน บิ๊กหมงมารายงานอีก
“คุณหม่อมขรับ”
“มีอะไรอีกวะ”
“ไอ้บุญรอดทำกุฎิเจ้าอาวาสพังไปแล้ว”
“เฮ้ยยยยยยยยยยย! ทำได้ไง!!!!!!!”
“พ่อลากมันไปวัด บอกถ้าหลวงตาไม่รับไว้ ควายตัวนี้จะถูกเชือด ท่านก็เลยให้ผูกไว้กับเสากุฏิ

มันหงี่จนหลวงตาไม่ได้หลับได้นอน พอตกดึกได้ที่ มันก็ดึงจนเสากุฏิถอนยวง กุฏิทรุดลงไปข้างนึง ดีไม่พังลงมาทับหลวงตาตาย”
“ฉิบหายแล้ว!!!!!!!!”

“หลวงตาบอกพ่อให้มาลากตัวมันไปด่วน ตอนนี้มันอยู่ที่บ้าน พ่อให้ถามว่าจะเอายังไงต่อไป”
“ผูกมันให้ดีก่อน แล้วให้พ่อหาช่างไปซ่อมกุฏิพระด่วนเลย ตายละวา..แล้วท่านต้องย้ายไปจำวัดที่ไหนละเนี่ย คืนนี้”


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 06 พ.ย. 15, 07:28
พักให้นายสัตวแพทย์เพ็ญชมพูอธิบายเรื่องควายหงี่หน่อย

ผมจะอธิบายเองหรื้อ...มันก็จะไม่เป็นวิชาการ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 พ.ย. 15, 08:06
ตามลุ้นเจ้าบุญรอด   ทั้งๆเริ่มใจไม่ดีว่า บุญมันจะไม่รอดเสียแล้วมั้ง
จนลืมถามเจ้าของบุญรอดว่า  ท่านจะแยกกระทู้ ให้ชื่อว่า เรื่องสั้นชุดชาวไร่เล ตอน ควายเอ๋ย อุตส่าห์ชื่อบุญรอด  ไหมคะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 06 พ.ย. 15, 08:14
ผมใกล้จะจบแล้วละครับ เรื่องสั้นนี้เป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้น ผมคงไม่ไหวที่จะเขียนเป็นกระทู้โดยเฉพาะ แค่นี้ก็ทิ้งงานทิ้งการมาสนุกเพลิดเพลินเกินพอแล้ว ทุกคนก็ได้รู้จักตัวตนของผมเป็นอันดีสมดังชื่อกระทู้ที่กรุณาตั้งไว้

ส่วนผมต้องขอเวลาไปทำอย่างอื่นบ้างละครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: walai ที่ 06 พ.ย. 15, 08:23
สนุกมากๆนะคะเรื่องสั้น..เจ้าบุญรอดเนี่ย
สำนวน โวหาร ได้ใจคนอ่านจริงๆค่ะอาจารย์หม่อม


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 06 พ.ย. 15, 08:58

ซ่อมกุฏิพระด่วน ตายละวา..แล้วท่านต้องย้ายไปจำวัดที่ไหนละเนี่ย คืนนี้”


เดี๋ยวค่ะเดี๋ยว อีกนี้ดดดนึงค่ะ 'จำวัด'แปลว่า'นอน' ได้เพียงอย่างเดียวใช่ไหมคะ ส่วน'อยู่อาศัย' ใช้คำว่า 'จำพรรษา' ถูกไหมคะ

ที่ต้องเช็ค เพราะมักจะได้ยินนักข่าวพูดถึงพระว่าอาศัยอยู่ที่วัดนั้นวัดนี้ โดยใช้คำว่า'จำวัด' บ่อยมาก จนทำให้ชักไม่แน่ใจตัวเองว่าที่เข้าใจนั้นถูก หรือผิด

ขอบพระคุณค่ะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 06 พ.ย. 15, 09:01
คุณเข้าใจถูกแล้วครับคุณแอนนา
คนชอบมั่วกับสองคำที่คุณว่ามามาก

หลวงตาต้องย้ายไปนอนศาลาการเปรียญเป็นการชั่วคราว งานนี้ผมสิ้นเงินไปอีกอักโข


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 06 พ.ย. 15, 10:01
ปัญหาใหญ่ยังคาคำถามอยู่ จะเอาอย่างไรกับเจ้าบุญรอดดี

“แถวนั้นมีป่าที่จะปล่อยควายให้เป็นอิสระได้ไหมวะหมง”
“ก็มีอยู่ขรับ ที่ไม่ไกลนักก็เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน”
“ต้องไปคุยกับเจ้าหน้าที่เค้าก่อนนา เขาจะยอมไหมนั่น รู้สึกว่าเขาจะมีกฏห้ามอยู่ไม่ให้เอาสัตว์ต่างถิ่นไปปะปน เกี่ยวกับสายพันธุ์มันจะไม่บริสุทธิ์นี่แหละ
ต้องไปอธิบายเขาหน่อยนะ ขอให้มันอยู่แบบควายบ้านในเขตที่พักเจ้าหน้าที่ก็ได้ แต่ไม่ต้องไปผูกมัน อยากจะไหนก็ไป”

บิ๊กหมงกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อ เอาเงินค่าซ่อมกุฏิที่ผมฝากไปมอบให้ด้วย ขากลับได้แวะไปเจรจาตามสั่งแล้วกลับมารายงานว่า
“ไม่เจอตัวหัวหน้าครับ เจอแต่ลูกน้อง เค้าบอกว่าเอามาเลย”
เฮ้อออออออ โล่งอก “ไปเลยมงคล ไปจัดการเลย”

ค่าเช่ารถบรรทุกเอาเจ้าบุญรอดไปปล่อยให้เป็นอิสระคราวนี้ก็อีกหลายพัน ไม่มีใครคุ้มหัวกบาลแล้ว ต่อไปนี้เอ็งก็รักษาตัวเองให้สมชื่อที่ข้าตั้งให้ก็แล้วกัน ไอ้ควายเอ้ย

ค่ำคืนนั้นบิ๊กหมงก็กลับมาถึงบ้านที่กรุงเทพ
“ไปคราวนี้ เจอหัวหน้าพอดีครับ เค้าบอกว่าไม่ได้ ห้ามเอาควายบ้านมาลงเด็ดขาด ผิดกฏหมาย”
“อ้าว แล้วยังไง”
“เค้าให้เอากลับไป มาทางไหนไปทางนั้น”
“แล้วไง เอากลับไปบ้านพ่ออีกหรือ”
“ไม่หรอกครับ ไปครั้งก่อนผมดูลู่ทางไว้แล้ว ขาย้อนออกมามันมีทางเข้าป่า ผมก็ให้รถขับไปจนคนขับมันบ่น พอเห็นว่าจะเคี่ยวเข็ญให้มันไปอีกไม่ได้แล้ว ก็ให้ปล่อยไอ้บุญรอดลง พอแก้สนตะพายออกได้ มันก็วิ่งเตลิดเข้าป่าไป”

“เออดี ดีมากเลยหมง ดีมาก” เห็นไหมครับ บิ๊กหมงของผมฉลาดสุดๆ ได้ดังใจทุกอย่างสมกับที่ผมแต่งตั้งให้เขาเป็น ล.ส.

ดีนะเออเจ้าบุญรอด แกได้พี่หมงจัดการให้จนแกได้อิสรภาพ เป็นบุญของแกแท้ ขอให้รอดปากเสื้อปากจระเข้ไปตลอดรอดฝั่งก็แล้วกัน
ผมตบบ่าบิ๊กหมงแรงๆสองสามทีเป็นรางวัล คนอย่างบิ๊กหมงทิปจุกทิปจิกไม่ได้ ต้องทิปด้วยอาการที่เราชื่นชมเขาอย่างจริงใจ บิ๊กหมงจะยืดขึ้นแล้วยิ้มกว้างเห็นฟันขาวจากหูซ้ายไปจรดหูขวา


เห็นจะแฮปปี้ เอนดิ้งได้แล้ว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 06 พ.ย. 15, 10:23
มันก็น่าจะแฮปปี้ เอนดิ้งได้จริงๆ ถ้าผมหุบปากไว้ ไม่เปรยกับบิ๊กหมงต่อไปว่า “แถวนั้นมีเสือหรือเปล่าวะ แต่ช่างเถอะ แล้วแต่บุญแต่กรรมของมันก็แล้วกัน”

“โอ้ยเสือน่ะมีขรับ แต่ว่า ผมว่าไม่ได้กินไอ้บุญรอดหรอก”
“ทำไมเหรอ” สงสัยบิ๊กหมงคงจะรู้จักอุปนิสัยควายเช่นนี้ทะลุปรุโปร่ง ถึงมันจะโง่กับคนอย่างไรก็ตาม แต่มันต้องมีสัญชาตญาณของสัตว์ป่าที่ดี ร่างที่กำยำล่ำสันของมันก็น่าจะช่วยให้มันรักษาชีวิตรอดได้ …กระมัง?

“ผมว่าไม่เกินสามวัน” พูดจบเขาก็หันหลังเดินลงกระไดบ้านผมไป แล้วพูดแบบหันหลังให้ คล้ายกับว่าไม่ค่อยอยากให้ผมได้ยิน “เดี๋ยว มันคงหาทางกลับไปให้คนกินมันจนได้”

ก่อนที่เขาจะเดินกลับไปบ้านพักของเขา บิ๊กหมงหันมาพูดกับผมอีกครั้งว่า “ ตอนที่หัวหน้าเขาไล่ให้เอามันกลับไป พ้มเห็นสีหน้าของไอ้คนที่วันนั้นบอกว่าให้รีบเอามันมาแล้ว พ้มว่า ไอ้บุญรอดไม่รอดแน่”


…………………………………………………………………………………………………………………………………………………..............................


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 06 พ.ย. 15, 10:26
ถามเจ้าของบุญรอดว่า  ท่านจะแยกกระทู้ ให้ชื่อว่า เรื่องสั้นชุดชาวไร่เล ตอน ควายเอ๋ย อุตส่าห์ชื่อบุญรอด  ไหมคะ


เห็นด้วยกับท่านเจ้าเรือน ชื่อกระทู้ดูน่าสนใจมากสมกับตั้งโดยนักเขียนมือทอง "เรื่องสั้นชุดชาวไร่เล" ตอนแรกที่คิดเองจะแนะนำให้ใช้ชื่อ "เรื่องสั้นชุดโรงแรม" เลียนแบบ "เรื่องสั้นชุดเหมืองแร่" ของปรมาจารย์อาจินต์ ปัญจพรรค์ ก็ดูเชยไปหน่อย

คุณนวรัตนแยกเรื่องเจ้าบุญรอดเป็นกระทู้ใหม่ และหากวันใดมีเวลาว่างก็ตั้งกระทู้ "เรื่องสั้นชุดชาวไร่เล ตอน..." หากได้สักสิบตอน ก็รวบรวมพิมพ์เป็นเล่มได้เลย จะไปอุดหนุนเป็นรายแรก  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 06 พ.ย. 15, 10:48
ครือออ... ผมไม่อยากลงทุนพิมพ์เองน่ะครับ ถ้ามีสำนักพิมพ์มาการันตีจะตีพิมพ์ให้ ก็อาจจะเขียน แต่ก็คงยุ่งยากอีก ไม่ทราบจะมีเวลาเขียนให้ได้ขนาดจะรวมเล่มเมื่อไหร่ ทีมีภาระอยู่กับสกุลไทยก็หนักหนาแล้วสำหรับผม ผู้ถือว่าระดับสมัครเล่น ผมยังมีงานตามวิชาชีพที่ยังต้องรับผิดชอบอยู่

ว่าแต่ว่า คุณหมอจะไม่ให้ความรู้เรื่องเสียงร้องของควายที่ผมเล่าหน่อยหรือครับ เห็นเขาว่า ควายที่ตอนตั้งแต่เด็กจะไม่ร้องอย่างนี้ พฤติกรรมอย่างเจ้าบุญรวดนี่จึงพบเห็นยาก เพราะเจ้าของควายจะตอนควายตั้งแต่ยังเล็กกันหมด

เออ แล้วที่ผมเล่าว่า ทหารไทยไปสอนคนติมอร์ให้ไถนานั้น เพิ่งนึกออกว่าเขาลงทุนเอาควายไทยบรรทุกเครื่องบินลำเลียงของทหารอากาศไปสาธิตน่ะครับ เพราะควายที่นั่นไม่ยอมไถนาอยู่ดีแม้จะถูกสนตะพายแล้ว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 06 พ.ย. 15, 10:55
พักให้นายสัตวแพทย์เพ็ญชมพูอธิบายเรื่องควายหงี่หน่อย

ผมจะอธิบายเองหรื้อ...มันก็จะไม่เป็นวิชาการ

ตั้งใจอยู่แล้วว่าจะเข้ามาเสริมเรื่องการตอนควายสักหน่อย

เป็นอันว่าผมต้องเสียเงินเป็นพัน จ้างหมอตอนควายพื้นบ้านมาจัดการตอนเจ้าบุญรอด วันที่เขาเข้ามาดำเนินการเป็นช่วงที่ผมอยู่กรุงเทพ แต่ได้รับรายงานภายหลังว่าทุลักทุเลน่าดู เพราะมันไม่ร่วมมือแต่โดยดี กว่าจะจับมันล่าม มัดแข้งมัดขาให้มันล้มตัวลงนอน แล้วตรึงมันไว้ไม่ให้ดิ้น หลังจากนั้นก็ดึงกล่องดวงใจของมันออกมานอกขาหนีบ เอาเขียงสอดเข้าไป แล้วเอาค้อนไม้ตีตรงนั้นจนลูกอัณฑะของมันแตก ฟังดูแล้วพลอยหวาดเสียวท้องน้อยไปด้วย การตอนที่ว่าเป็นการทรมานทรกรรมเจ้าบุญรอดมาก เห็นว่ามันร้องดังสั่นสนั่นหวั่นไหวจนฝรั่งตกอกตกใจ ผมว่าอย่าว่าแต่ควายเลย คนโดนอย่างนั้นเข้าบ้างคงร้องดังไม่แพ้กัน เผลอๆมีด่าหยาบๆตามไปเสียด้วย  
วิธีของหมอควายพื้นบ้านทรมานสัตว์เป็นอย่างมาก วิธีที่เคยใช้ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่และออกค่าย ใช้อุปกรณ์เฉพาะที่เรียกว่า "เบอร์ดิซโซ" (Burdizzo) หน้าตาเหมือนคีบ มีหลายขนาดสำหรับตอนสัตว์แต่ละชนิดไป อย่างสัตว์เล็กเช่นแพะแกะขนาดก็จะเล็กลงมา หลักการคือใช้คีบนี้คีบเพื่อทำลายเส้นเลือดและท่อนำน้ำเชื้อตัวผู้ ทำให้อัณฑะฝ่อไปในที่สุด เป็นวิธีที่ทารุณสัตว์น้อยที่สุด

มีคลิปให้ดูเป็นการตอนโค แต่ในควายก็คล้าย ๆ กัน  ;D

http://www.youtube.com/watch?v=PDLD7VRjPqU#ws (http://www.youtube.com/watch?v=PDLD7VRjPqU#ws)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 06 พ.ย. 15, 11:17
อ้าวไหนว่า ควายที่ถูกตอนแล้วจะไม่สนใจเรื่องโรแมนติกแล้วไง

อ๊อดอธิบายว่า ไม่หรอกครับ ไอ้บุญรอดมันถูกตอนตอนมันโตแล้ว ฮอโมนเพศผู้มันแพร่กระจายไปทั้งร่างกายเรียบร้อย การตอนก็แค่เป็นหมันมีลูกไม่ได้เท่านั้นเอง
เออจริงสิ เหมือนกันเลย ตอนลูกคนที่สองคลอดออกมา ได้ครบทั้งชายและหญิงแล้วผมก็ไปศูนย์มีชัย ให้คุณหมอจัดการทำหมันเสีย แต่ก็ไม่ได้กลายเป็นขันทีไปซะหน่อย

ก่อนอื่นขออธิบายว่า ฮอร์โมนเพศผู้ซึ่งเรียกเป็นภาษาหมอให้งงเล่นว่า เทสโทสเตอโรน (testosterone) ถูกสร้างมาจากลูกอัณฑะเป็นส่วนใหญ่ ส่วนน้อยนิดนั้นสร้างมาจากต่อมที่เรียกว่า ต่อมหมวกไต (adrenal gland) อยูติดข้างบนไตทั้ง ๒ ข้าง

หมอตอนควายทำลายลูกอัณฑะของเจ้าบุญรอดโดยการเอาค้อนทุบ พิจารณาเป็น ๒ กรณี กรณีแรกหากไม่สมบูรณ์ ก็อาจมีการสร้างฮอร์โมนเพศอยู่ได้ และกรณีที่สองหากสมบูรณ์ เจ้าบุญรอดก็ยังมีฮอร์โมนเพศหลงเหลืออยู่นิดหน่อย  ส่วนที่อ๊อดบอกว่าฮอร์โมนเพศผู้กระจายไปในร่างกายเรียบร้อยแล้ว เป็นการเข้าใจผิด เพราะฮอร์โมนไม่มีทางที่จะอยู่ในร่างกายได้ตลอดชีวิต มันจะถูกทำลายและขับออกมาทางปัสสาวะในที่สุด

ส่วนที่คุณนวรัตนบอกว่าทำหมันแล้วยัง "โอเค" อยู่ เพราะว่าการทำหมันในคนเพียงแต่ตัดท่อนำน้ำเชื้อเท่านั้น เส้นเลือดที่ไปบำรุงกล่องดวงใจยังอยู่ครบ ฮอร์โมนเพศชายจึงยังผลิตได้ตามปรกติ  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 06 พ.ย. 15, 11:47
เมื่อหันไปมองรอบตัวก็เห็นแต่ควาย เจ้าบุญรอดกำลังยิงฟันแล้วชูคอเปล่งเสียงว่า “หงี่” ยาวติดต่อกันออกมาหลายอึดใจ

เฮ้ย ควายมันร้องอย่างงี้หรือ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยได้ยินเสียงควายร้อง นึกว่ามันจะออกมออๆแบบวัว ไม่เคยนึกว่ามันจะดังประหลาดไม่สมตัวเช่นนี้ บิ๊กหมงบอกว่ามันเป็นเสียงที่ควายตัวผู้เพรียกหาควายตัวเมียตามสันชาตญาณของมัน
เสียงร้องของควายตามปรกติไม่ใช่ "มอ อ อ" แบบวัว แต่เป็นเสียงร้องน่ารักเบา ๆ ว่า "อุ๊ย" ประมาณนี้

http://www.youtube.com/watch?v=AxSAoBCoZrg#ws (http://www.youtube.com/watch?v=AxSAoBCoZrg#ws)
 
หรือเสียงลูกควายร้องเรียกหาแม่ ประมาณนี้

http://www.youtube.com/watch?v=KQctUExkV2o#ws (http://www.youtube.com/watch?v=KQctUExkV2o#ws)

ฟังแล้วคล้าย ๆ กับเสียงร้องของเจ้าบุญรอดหรือเปล่า ? คุณนวรัตนเคยเห็นเจ้าบุญรอดทำท่าก้อร่อก้อติกกับตัวเมียบ้างไหม ? เจ้าบุญรอดอาจจะร้องเสียงอย่างนั้นเพราะความเครียดที่ถูกพันธนาการก็เป็นได้  ;D



กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 06 พ.ย. 15, 12:19
ถามเจ้าของบุญรอดว่า  ท่านจะแยกกระทู้ ให้ชื่อว่า เรื่องสั้นชุดชาวไร่เล ตอน ควายเอ๋ย อุตส่าห์ชื่อบุญรอด  ไหมคะ


เห็นด้วยกับท่านเจ้าเรือน ชื่อกระทู้ดูน่าสนใจมากสมกับตั้งโดยนักเขียนมือทอง "เรื่องสั้นชุดชาวไร่เล" ตอนแรกที่คิดเองจะแนะนำให้ใช้ชื่อ "เรื่องสั้นชุดโรงแรม" เลียนแบบ "เรื่องสั้นชุดเหมืองแร่" ของปรมาจารย์อาจินต์ ปัญจพรรค์ ก็ดูเชยไปหน่อย

คุณนวรัตนแยกเรื่องเจ้าบุญรอดเป็นกระทู้ใหม่ และหากวันใดมีเวลาว่างก็ตั้งกระทู้ "เรื่องสั้นชุดชาวไร่เล ตอน..." หากได้สักสิบตอน ก็รวบรวมพิมพ์เป็นเล่มได้เลย จะไปอุดหนุนเป็นรายแรก  ;D


ขอส่งชื่อ 'เสเพลบอยชาวไร่เล'เข้าชิงอีกชื่อค่ะ  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 06 พ.ย. 15, 12:38
คลิ๊ปของคุณหมอ ผมพบในยูทูปแล้ว ทั้งสองคลิ๊ปไม่เหมือนเสียงที่เจ้าบุญรอดมันครางให้ใครต่อใครฟังในครั้งกระนั้น คือมันหงงงงงงงี่ นานมากและติดต่อกันแทบจะไม่หายใจ
ผมไม่เคยเห็นมันกอร่อก่อติกกับตัวเมีย และที่ไร่เลก็ไม่มีควายตัวอื่นทั้งนั้นนอกจากมัน แต่มันยังสู้อุตสาห์ขับแทกซี่ตระเวณหารักแท้ เว้ยยยยเอ้ยยยผิดไปแล้ว นั่นมันคนไม่ใช่ควาย

เอาใหม่ แต่มันยังอุตส่าห์เดินไปอีกอ่าวหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่ามันได้เคยสัมผัสกับควายตัวเมียครั้งหนึ่งที่นั่น มันจึงเพียรพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่จะไปอีก แต่ทั้งหมดนี้ผมไม่เห็น ไม่กล้ายืนยัน

อย่างไรก็ดี ถ้าผมเขียนเรื่องเจ้าบุญรอดขนาดรวมเล่มได้ ผมจะให้ชื่อว่า เสเพลบอยชาวไร่เล ตามที่คุณแอนนาเสนอ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 พ.ย. 15, 20:18
มันก็น่าจะแฮปปี้ เอนดิ้งได้จริงๆ ถ้าผมหุบปากไว้ ไม่เปรยกับบิ๊กหมงต่อไปว่า “แถวนั้นมีเสือหรือเปล่าวะ แต่ช่างเถอะ แล้วแต่บุญแต่กรรมของมันก็แล้วกัน”

“โอ้ยเสือน่ะมีขรับ แต่ว่า ผมว่าไม่ได้กินไอ้บุญรอดหรอก”
“ทำไมเหรอ” สงสัยบิ๊กหมงคงจะรู้จักอุปนิสัยควายเช่นนี้ทะลุปรุโปร่ง ถึงมันจะโง่กับคนอย่างไรก็ตาม แต่มันต้องมีสัญชาตญาณของสัตว์ป่าที่ดี ร่างที่กำยำล่ำสันของมันก็น่าจะช่วยให้มันรักษาชีวิตรอดได้ …กระมัง?

“ผมว่าไม่เกินสามวัน” พูดจบเขาก็หันหลังเดินลงกระไดบ้านผมไป แล้วพูดแบบหันหลังให้ คล้ายกับว่าไม่ค่อยอยากให้ผมได้ยิน “เดี๋ยว มันคงหาทางกลับไปให้คนกินมันจนได้”

ก่อนที่เขาจะเดินกลับไปบ้านพักของเขา บิ๊กหมงหันมาพูดกับผมอีกครั้งว่า “ ตอนที่หัวหน้าเขาไล่ให้เอามันกลับไป พ้มเห็นสีหน้าของไอ้คนที่วันนั้นบอกว่าให้รีบเอามันมาแล้ว พ้มว่า ไอ้บุญรอดไม่รอดแน่”

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………..............................

นี่คือตอนจบของบุญ(ไม่)รอด?


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 06 พ.ย. 15, 20:19
คลิ๊ปของคุณหมอ ผมพบในยูทูปแล้ว ทั้งสองคลิ๊ปไม่เหมือนเสียงที่เจ้าบุญรอดมันครางให้ใครต่อใครฟังในครั้งกระนั้น คือมันหงงงงงงงี่ นานมากและติดต่อกันแทบจะไม่หายใจ
ผมไม่เคยเห็นมันกอร่อก่อติกกับตัวเมีย และที่ไร่เลก็ไม่มีควายตัวอื่นทั้งนั้นนอกจากมัน แต่มันยังสู้อุตสาห์ขับแทกซี่ตระเวณหารักแท้ เว้ยยยยเอ้ยยยผิดไปแล้ว นั่นมันคนไม่ใช่ควาย

เอาใหม่ แต่มันยังอุตส่าห์เดินไปอีกอ่าวหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่ามันได้เคยสัมผัสกับควายตัวเมียครั้งหนึ่งที่นั่น มันจึงเพียรพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่จะไปอีก แต่ทั้งหมดนี้ผมไม่เห็น ไม่กล้ายืนยัน

อย่างไรก็ดี ถ้าผมเขียนเรื่องเจ้าบุญรอดขนาดรวมเล่มได้ ผมจะให้ชื่อว่า เสเพลบอยชาวไร่เล ตามที่คุณแอนนาเสนอ


ขอเสนอเพิ่มอีกนิดค่ะ ถ้าใช้นามปากกา  'รัตน์ ซี หรืออะไรทำนองนี้ก็จะครบชุดเลยค่ะ

ป.ล.แต่ถ้าโดนทายาทของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ฟ้อง คนเสนอต้องขอกราบลา(หนีเอาตัวรอด)ก่อนนะคะ  ;D ;D ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 พ.ย. 15, 07:35
เริ่มต้นก็น่าสนใจติดตามแล้ว แต่ดูจากชื่อกลัวจะมีตอนจบเศร้านี่หนะสิครับ ถ้าแบบนั้นคนอ่อนไหวแบบผมรับไม่ได้ เดี๋ยวนี้บ่อน้ำตาตื้นสุดๆ อ่านได้แต่อะไรที่จบแบบ happy  ending ไม่ขยี้ใจเท่านั้น  :-\

นี่คือตอนจบของบุญ(ไม่)รอด?

เพื่อเอาใจ วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์ ไม่ทราบว่าป่านนี้น้ำตาจะเหือดแห้งหรือยัง ก็อยากจะบอกว่า ที่คิดว่าเจ้าบุญรอดตายนั้นอาจจะผิดก็ได้ เพราะผมก็ว่าไปตามการคาดเดาของบิ๊กหมง แต่ตามความเป็นจริง บุญรอดจากจะโชคดี เตลิดเข้าป่าไปสักพักก็เจอน้องควายหน้าตาจุ๋มจิ๋ม หัวใจทั้งสี่ห้องก็ยังว่างยืนเคี้ยวยอดอ่อนของหญ้าปล้องอยู่ พลันนั้น กามเทพก็ปรากฏแล้วแผลงศรต้องควายทั้งสอง ปรากฏบทอ้ศจรรย์ครั้นครื้นพสุธาพนาไพร รุกขเทวดาทั้งปวงมิอาจทนอยู่ในวิมานไม้ได้ ต้องออกมาปราสาทพรสองควายบ่าวสาว ให้ครองรักราบรื่น อยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากภยันตรายจากมนุษย์และสัตว์กินเนื้อทั้งหลายทั้งปวง ตราบชั่วกาลนานนนนนนนน.

      ลงนาม

 ;D'รัตน์ ซี ;D



กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 07 พ.ย. 15, 07:52
ขออนุญาตมโนต่ออีกนิดนะคะ

สี่ปีผ่านไป บุญรอดกับเจ้าสาว คือบุญงาม ได้มีทายาทร่วมกันสองตัว คือบุญต่อซึ่งเป็นลูกชาย กับบุญสยายผู้เป็นลูกสาว
 ;D ;D ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 พ.ย. 15, 08:00
เรื่องของควายจบ    เรื่องของคนยังไม่จบ

ขอถามคุณหมอเพ็ญชมพูค่ะ
ถ้า ' รัตน์ วงษ์ซี'  ปล่อยเจ้าบุญรอดเข้าป่า แทนที่จะเข้าวัด    ตีซะว่าให้ไปอยู่ในป่าใหญ่นเรศวร   หรือป่าแห่งใดแห่งหนึ่งที่คุณตั้งไปด้อมๆ เดินสำรวจหินแร่อยู่
ตัดประเด็นว่าจะถูกชาวบ้านแถวนั้นไล่ล่าเอาเนื้อมาทำเนื้อเค็ม    ควายอย่างบุญรอดจะดำรงชีวิตอยู่ได้ไหมคะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 พ.ย. 15, 08:22
ขออนุญาตมโนต่ออีกนิดนะคะ

สี่ปีผ่านไป บุญรอดกับเจ้าสาว คือบุญงาม ได้มีทายาทร่วมกันสองตัว คือบุญต่อซึ่งเป็นลูกชาย กับบุญสยายผู้เป็นลูกสาว
 ;D ;D ;D
บุญต่อกับบุญสยายนี่ ต้องเป็นเด็กอุ้มบุญมาแน่ๆ เพราะกล่องดวงใจเจ้าบุญรอดถูกทุบ ลูกชิ้นเละไปเป็นบะช่อแล้ว ???
หรือไม่ก็เป็นฝีมือของกีบที่สาม :-X


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 พ.ย. 15, 08:27
เรื่องของควายจบ    เรื่องของคนยังไม่จบ

ขอถามคุณหมอเพ็ญชมพูค่ะ
ถ้า ' รัตน์ วงษ์ซี'  ปล่อยเจ้าบุญรอดเข้าป่า แทนที่จะเข้าวัด    ตีซะว่าให้ไปอยู่ในป่าใหญ่นเรศวร   หรือป่าแห่งใดแห่งหนึ่งที่คุณตั้งไปด้อมๆ เดินสำรวจหินแร่อยู่
ตัดประเด็นว่าจะถูกชาวบ้านแถวนั้นไล่ล่าเอาเนื้อมาทำเนื้อเค็ม    ควายอย่างบุญรอดจะดำรงชีวิตอยู่ได้ไหมคะ

ก่อนคุณหมอจะเข้ามาตอบ ผมขอซีเรียสหน่อย

จากประสบการณ์เรื่องเจ้าบุญรอด ทำให้ผมพบสัจธรรมของโลกว่า สัตว์ที่มาเกิดเป็นเหยื่อเพื่อให้สัตว์ที่เป็นนักล่าฆ่าเป็นภักษาหารนั้น คงจบชีวิตด้วยการถูกฆ่าเอาเนื้อทั้งสิ้น จะแก่ตายจริงๆคงจะน้อยจนเปอร์เซ็นต์ใกล้ศูนย์ สัตว์ป่าแก่ๆก็จบชีวิตเพราะหนีผู้ล่าไม่ทัน มิใช่หมดอายุขัย

สัตว์เลี้ยงของชาวบ้าน ยิ่งแล้ว ไม่มีใครทนภาระที่จะเลี้ยงดูมันยามแก่ได้ พ่อแม่ตัวเองบางที คนจำพวกนั้นยังไม่ดูแลเลย ภาระที่สำคัญของเขาคือ หาอาหารใส่ปากใส่ท้อง

เป็นความเขลาของผมแท้ๆ ที่ในตอนนั้นคิดว่า ผมจะช่วยควายตัวหนึ่งให้พ้นบ่วงกรรมของการถูกฆ่าได้ไปตลอดรอดฝั่ง

จากนั้น ผมก็รู้จักพรหมวิหารสี่ ในเรื่อง "อุเบกขา" ที่พระอรรถคถาจารย์แปลว่าการวางเฉย ฟังดูคล้ายๆความประพฤติของคนเห็นแก่ตัว ซึ่งความจริงไม่ใช่
อุเบกขาคือความรู้สึกที่เป็นกลางต่อทุกสรรพสิ่ง อันเนื่องมาจากความเข้าใจว่า โลกมันก็เป็นของมันเช่นนั้นแล ผลทุกอย่างเกิดจากเหตุทั้งสิ้น

เหตุนั้นคือกรรมที่เคยก่อไว้ และกรรมนั้นก็เป็นเครื่องนำให้จิตวิญญาณดวงหนึ่งไปเกิดในอบาย เสวยชาติเป็นดิรัจฉาน และยังจำแนกอีกว่าเป็นดิรัจฉานประเภทไหน บางตัว เช่นแม่หนูที่ขี่คอผมอยู่ในภาพโน้น ขอเชื่อเถิดว่ามันสุขสบายกว่ามนุษย์ในโลกนี้ไม่รู้ว่าจะกี่สิบเปอร์เซนต์ ผมเลี้ยงพวกมันจนแก่ตายไปหลายรุ่นแล้ว โชคดี พวกมันไม่ได้ไปเกิดในสังคมที่เขากินหมา

สัตว์ผู้ล่าและถูกล่าในป่า ถ้าใครไปฝืนวงจรชีวิตเขา เช่นไปช่วยไม่ให้ควายถูกเสือฆ่า จะรู้ไหมว่าเสือตัวนั้นก็ต้องอดอาหาร ดีไม่ดี หากเป็นเสือแม่ลูกอ่อนและอดอาหารจนไม่มีน้ำนมพอจะเลี้ยงลูก โศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นอยู่ดี

เมื่อเข้าใจได้ ใจก็เป็นกลางมากขึ้น อะไรจะเกิดก็ย่อมต้องเกิด




กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 พ.ย. 15, 09:08
เรื่องราวของเจ้าบุญรอดนี้ ผมนำไปเล่าเป็นอุทาหรณ์ให้คนฟังบ่อยๆ

ในอดีตที่ผ่านมา ผมเคยช่วยเยาวชนให้พ้นจากขุมนรกบนดินมาแล้วสองสามคน ก่อนให้อิสรภาพกลับคืนสู่สังคมสิ่งแวดล้อมเดิมๆ ผมจะเล่าเรื่องควายบุญรอดให้ฟัง แล้วย้ำว่า "ให้จำไว้นะ ชาตินี้อย่าเดินออกมาให้เขากินอีก"


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 พ.ย. 15, 09:12
ขอถามคุณหมอเพ็ญชมพูค่ะ
ถ้า ' รัตน์ วงษ์ซี'  ปล่อยเจ้าบุญรอดเข้าป่า แทนที่จะเข้าวัด    ตีซะว่าให้ไปอยู่ในป่าใหญ่นเรศวร   หรือป่าแห่งใดแห่งหนึ่งที่คุณตั้งไปด้อมๆ เดินสำรวจหินแร่อยู่
ตัดประเด็นว่าจะถูกชาวบ้านแถวนั้นไล่ล่าเอาเนื้อมาทำเนื้อเค็ม    ควายอย่างบุญรอดจะดำรงชีวิตอยู่ได้ไหมคะ


จริงแท้แน่นอนดังที่คุณนวรัตนวิสัชนา ในพนาผู้แข็งแรงที่สุดเท่านั้นจึงสามารถดำรงชีพอยู่ได้ เจ้าบุญรอดอาจจะเป็นหนึ่งที่ไร่เล แต่หากไปอยู่ในป่าที่มีผู้ล่าและแข็งแรงกว่าโดยเฉพาะ "ห้วยขาแข้ง" ที่คุณตั้งกำลังเดินสำรวจอยู่ ก็แข็งแรงเป็นรองเจ้าถิ่นเช่นควายป่าตัวผู้ที่มีขนาดใหญ่กว่าเท่าตัว โอกาสที่จะต่อสู้กันและเจ้าบุญรอดเสียชีวิตมีสูงมาก หากรอดจากการต่อสู้เจ้าถิ่นชาติพันธุ์เดียวกัน ก็ยังมีผู้อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารคือ เสือ รอจัดการอยู่

เชิญคุณตั้งมาวิสัชนาต่อ  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 07 พ.ย. 15, 09:14
ฮิ ฮิ เรื่องต่อไปเลยครับ อยากรู้แล้วว่าเยาวชนเหล่านั้นกลับตัวได้ไหม เพราะจาก ปสก ส่วนตัวกับเด็กๆ นศ ยุคนี้ ขอสปิริตแค่การตรงต่อเวลายังไม่มีให้เลย


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 พ.ย. 15, 09:34
วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์คงสบายใจขึ้นแล้ว ดูใจเป็นอุเบกขาขึ้น สามารถส่งเสียง ฮิ ฮิ ได้


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 07 พ.ย. 15, 10:26
มันไม่เศร้าประเภทควายแสนรู้น่ารักแสนเชื่อง ถูกคนใจร้ายล่อลวงไปเชือดกินอย่างเหี้ยมโหด แต่ยังหนีคมมีดพกบาดแผลสาหัสซมซานกลับมาตายที่ รร น้ำตาไหลพรากอะไรแบบนี้นี่ครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 07 พ.ย. 15, 10:48
ขออนุญาตมโนต่ออีกนิดนะคะ

สี่ปีผ่านไป บุญรอดกับเจ้าสาว คือบุญงาม ได้มีทายาทร่วมกันสองตัว คือบุญต่อซึ่งเป็นลูกชาย กับบุญสยายผู้เป็นลูกสาว
 ;D ;D ;D
บุญต่อกับบุญสยายนี่ ต้องเป็นเด็กอุ้มบุญมาแน่ๆ เพราะกล่องดวงใจเจ้าบุญรอดถูกทุบ ลูกชิ้นเละไปเป็นบะช่อแล้ว ???
หรือไม่ก็เป็นฝีมือของกีบที่สาม :-X

ตายแล้ว! มโนเพลินจนทำให้เกิดรอยด่างในชีวิตสมรสของแม่บุญงาม  :o
มิน่าเล่า สำนักพิมพ์ถึงต้องมีบรรณาธิการเอาไว้คอยท้วงติง โดยเฉพาะนักเขียนฝีมือระดับลูกเจี๊ยบเพิ่งออกจากไข่ :-[


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 พ.ย. 15, 11:15
มันไม่เศร้าประเภทควายแสนรู้น่ารักแสนเชื่อง ถูกคนใจร้ายล่อลวงไปเชือดกินอย่างเหี้ยมโหด แต่ยังหนีคมมีดพกบาดแผลสาหัสซมซานกลับมาตายที่ รร น้ำตาไหลพรากอะไรแบบนี้นี่ครับ

แสดงว่ายังมือไม่ถึง :( เขียนได้ไม่สะใจซาดิสต์ น้ำตาไม่พุ่งกระฉูด


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 พ.ย. 15, 10:39
จริงแท้แน่นอนดังที่คุณนวรัตนวิสัชนา ในพนาผู้แข็งแรงที่สุดเท่านั้นจึงสามารถดำรงชีพอยู่ได้ เจ้าบุญรอดอาจจะเป็นหนึ่งที่ไร่เล แต่หากไปอยู่ในป่าที่มีผู้ล่าและแข็งแรงกว่าโดยเฉพาะ "ห้วยขาแข้ง" ที่คุณตั้งกำลังเดินสำรวจอยู่ ก็แข็งแรงเป็นรองเจ้าถิ่นเช่นควายป่าตัวผู้ที่มีขนาดใหญ่กว่าเท่าตัว โอกาสที่จะต่อสู้กันและเจ้าบุญรอดเสียชีวิตมีสูงมาก หากรอดจากการต่อสู้เจ้าถิ่นชาติพันธุ์เดียวกัน ก็ยังมีผู้อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารคือ เสือ รอจัดการอยู่

Survival of the fittest แท้จริงหนอ
เท่าที่เจ้าบุญรอดมีชีวิตรอดมาอีกนานหลายปี ที่ไร่เล  ก็ถือว่าเป็นบุญของมันแล้ว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 23 พ.ย. 15, 16:43
เข้ามาลงชื่อตอนท้ายๆรายการเหมือนเดิมครับ

 :D :D :D



... ยังไม่จบใช่ไหมครับ ท่านอาจารย์


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 พ.ย. 15, 09:21
ท่านทิ้งท้ายให้เข้าใจเอาเอง ถึงเจ้าบุญรอดว่ามันไม่รอดค่ะ   แต่ไม่มีฉากจบมาฉายบนจอให้เห็น


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 พ.ย. 15, 12:26

... ยังไม่จบใช่ไหมครับ ท่านอาจารย์

 จบทั้งบุญรอด และ navarat.c ครับ ยาวเกินพอแล้ว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 24 พ.ย. 15, 13:05
รออ่าน "เรื่องสั้นชุดชาวไร่เล" ตอนต่อไปในกระทู้ใหม่  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Koratian ที่ 24 พ.ย. 15, 13:16
 8)  :);D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 พ.ย. 15, 14:00
อย่างไรก็ดี ถ้าผมเขียนเรื่องเจ้าบุญรอดขนาดรวมเล่มได้ ผมจะให้ชื่อว่า เสเพลบอยชาวไร่เล ตามที่คุณแอนนาเสนอ

ต้องแก้ชื่อหนังสือบนปกเสียใหม่  อาจมีหวังค่ะ คุณเพ็ญชมพู


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 พ.ย. 15, 14:02
คุณนวรัตนยังไม่ได้เล่าถึงแขกในโรงแรม  สต๊าฟของโรงแรม   และบรรดาเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงแถวอ่าวพระนางเลยค่ะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 24 พ.ย. 15, 14:06
อย่างไรก็ดี ถ้าผมเขียนเรื่องเจ้าบุญรอดขนาดรวมเล่มได้ ผมจะให้ชื่อว่า เสเพลบอยชาวไร่เล ตามที่คุณแอนนาเสนอ

ต้องแก้ชื่อหนังสือบนปกเสียใหม่  อาจมีหวังค่ะ คุณเพ็ญชมพู

ชื่อ เสเพลบอยชาวไร่เล คุณนวรัตนคงใช้สำหรับเรื่องเจ้าบุญรอดเรื่องเดียวกระมัง  ;D

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=6418.0;attach=60050;image)

มีคนรออ่านเรื่องนี้ ๓ คนแล้ว  หากลงชื่อเพิ่มเติมขึ้นเรื่อย ๆ คุณนวรัตนอาจใจอ่อน เขียนเรื่องให้อ่านได้เร็วขึ้น  ;)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 24 พ.ย. 15, 14:17
เสเพลบอยนี่ยังฟังไม่แรงพอ ยุคนี้อยากให้หนังสือเป็นที่กล่าวขวัญ ต้องตั้งชื่อให้แรงกว่านี้ครับ :)

ฮิฮิ รออ่านอีกเหมือนกัน  เล่มนี้เป็นตายร้ายดีจะไม่ยอมซื้อเด็ดขาด ขออ่านฟรีเท่านั้น


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 พ.ย. 15, 14:20
ขอให้แรงกว่าชื่อ วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์ นะคะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 24 พ.ย. 15, 14:42

ลูกน้องผมที่เอามาทำงานด้วยกันเกือบทั้งหมดเป็นคนสระแก้ว อยู่หมู่บ้านเดียวกับบิ๊กหมง ล.ส.ของผม บิ๊กหมงนี่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ก็เป็นลิตเติ้ลหมงมาก่อน ผอมกระโล้กโก๊กพี่ชายพามาจากบ้านนอก ทำงานที่เดียวกันได้พักหนึ่งเถ้าแก่บอกไอ้นี่ไม่เอา เลยมาของานทำเป็นคนสวนที่บ้านของผม เลยเลี้ยงดูกันมาจนเป็นบิ๊ก ชื่อจริงคือนายมงคล เรื่องของบิ๊กหมงสามารถนำมาเล่าได้หลายตอนอยู่


มาร่วมด้วยช่วยทวงค่ะ  ;D ;D ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 พ.ย. 15, 15:35
ขอบคุณทุกท่านที่ยังอยากอ่านอีกนะครับ
แต่พักนี้ผมกำลังงานเข้า เยอะแยะไปหมดทำอะไรก็ไม่ทันสักเรื่อง บักโกรกอยู่ทีเดียว

ชีวิตบ่จอยมาก


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: หมามุ่ย ที่ 29 พ.ย. 15, 16:50
ไม่ผิดหวังกับท่านเจ้าของกระทู้เลย...แม้จะนานๆเข้ามาหาอะไรสนุกอ่านก็ต้องได้เปิดกระทู้ของท่านก่อนเป็นอันดับแรก...อ่านรวดเดียวจบ 20 หน้าในคราวเดียวครบรสจริงๆ...แม้จะไม่ได้แสดงตัวบ่อยนักก็ขอให้รู้ว่ามีนักเรียนหลังห้องติดตามเป็นแฟนคลับอย่างเหนียวแน่นอยู่อีกคน
ปล.หัวเราะหนักมากตอนบุญรอดลากเสากุฎิหลวงพ่อ...จนลูกชายนึกว่าดูคลิปตลกอยู่ ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 พ.ย. 15, 17:57
แหม
ถ้ามีคุณหมามุ่ยแยะๆผมคงคันพอที่จะลุกจากเปลมาเขียนต่ออีกสักยกหรอกน่า
แต่ถ้ามาเดี่ยวแบบนี้ เอายาหม่องทาถูๆ แป๊บเดียวก็หายคัน นอนต่อได้


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 30 พ.ย. 15, 18:01
แฟนคลับคุณนวรัตนทราบแล้วเปลี่ยน  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 30 พ.ย. 15, 21:47
 ;D ;D ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ย. 15, 22:53
ระดมพล

นักเรียน  โปรดยกมือขึ้น!


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 30 พ.ย. 15, 23:58
ท่านอาจารย์ใหญ่กว่าชีวิตยังบ่จอย บักโกรกยังไม่ทุเลา จะปล่อยวางก็ไม่ได้ กดดันท่านมากไปเดี๋ยวลีลาของบิ๊กหมงจะไม่มัน
ท่านอาจารย์ใหญ่ก็หลากจ็อบ ทิ้งท่านเปล่งไว้ที่ห้องโน้นนานอยู่เป็นระยะๆ  (ฟังมาว่าช่วงหลังสุด ท่านต้องคอยหลานเหลนอยู่วัดกัลยาฯเป็นเวลา ๘๐ ปีเลยทีเดียว)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: walai ที่ 01 ธ.ค. 15, 04:45
,<><>ก็อยากแจ้งว่า...ผิดหวังมา ๒๓ เช้าแล้วค่ะ<><><> ???


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ธ.ค. 15, 07:52
อุ๊ยย!


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ธ.ค. 15, 08:23

ท่านอาจารย์ใหญ่ก็หลากจ็อบ ทิ้งท่านเปล่งไว้ที่ห้องโน้นนานอยู่เป็นระยะๆ  (ฟังมาว่าช่วงหลังสุด ท่านต้องคอยหลานเหลนอยู่วัดกัลยาฯเป็นเวลา ๘๐ ปีเลยทีเดียว)

ใกล้สิ้นปี  จ๊อบมีมาให้รับเยอะค่ะ  ขออำภัย


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 03 ธ.ค. 15, 08:06
,<><>ก็อยากแจ้งว่า...ผิดหวังมา ๒๓ เช้าแล้วค่ะ<><><> ???

มาช่วยคุณวลัยนับวันที่ผิดหวัง เช้านี้เป็นวันที่ 25 แล้วค่ะ  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 ธ.ค. 15, 09:01
ใกล้สิ้นปี  จ๊อบมีมาให้รับเยอะครับ  ขออำภัย


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ธ.ค. 15, 09:20
ใกล้สิ้นปี  จ๊อบมีมาให้รับเยอะค่ะ  ขออำภัย

ใกล้สิ้นปี  จ๊อบมีมาให้รับเยอะครับ  ขออำภัย

ละเมิดลิขสิทธิ์เจ้าข้า  คำตอบถูกก๊อป....


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 ธ.ค. 15, 11:55
กว่าจำเลยจะเข้ามาเห็น คดีก็หมดอายุความแล้ว อิ อิ ;D หลังเย็น


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ธ.ค. 15, 12:51
ศาลตัดสินให้ชดใช้ความผิด  ด้วยการเล่าถึงบิ๊กหมงค่ะ 
ใครอยากฟังช่วยมาลงชื่อหน่อยเถอะค่ะ    ดิฉันลุ้นไม่ไหวแล้ว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 ธ.ค. 15, 13:38
สงสัยต้องยอมให้ศาลสั่งจำคุกก่อนครับ จะได้มีเวลาทำงานทำการเรื่องที่จำเป็นต้องทำ เพื่อไม่ให้เสียผู้เสียคน พ้นโทษมาแล้ว ผมรับปากว่าจะเล่าเรื่องบิ๊กหมงต่อก็แล้วกัน :(


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 04 ธ.ค. 15, 16:01
จะคอยขวัญใจ

http://www.youtube.com/watch?v=FIZM3mizgGw (http://www.youtube.com/watch?v=FIZM3mizgGw)

จะคอย จะคอย จะคอย จะคอย ขวัญใจ   จะช้าอย่างใด จะนานเท่าไร ไม่หวั่น

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 ธ.ค. 15, 20:46
อึ๊ยยยยย ขนลุก ::)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 18 ธ.ค. 15, 09:03
จริงแท้แน่นอนดังที่คุณนวรัตนวิสัชนา ในพนาผู้แข็งแรงที่สุดเท่านั้นจึงสามารถดำรงชีพอยู่ได้ เจ้าบุญรอดอาจจะเป็นหนึ่งที่ไร่เล แต่หากไปอยู่ในป่าที่มีผู้ล่าและแข็งแรงกว่าโดยเฉพาะ "ห้วยขาแข้ง" ที่คุณตั้งกำลังเดินสำรวจอยู่ ก็แข็งแรงเป็นรองเจ้าถิ่นเช่นควายป่าตัวผู้ที่มีขนาดใหญ่กว่าเท่าตัว โอกาสที่จะต่อสู้กันและเจ้าบุญรอดเสียชีวิตมีสูงมาก หากรอดจากการต่อสู้เจ้าถิ่นชาติพันธุ์เดียวกัน ก็ยังมีผู้อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารคือ เสือ รอจัดการอยู่

เชิญคุณตั้งมาวิสัชนาต่อ  ;D

คุณตั้งมาวิสัชนาเรื่องควายป่าเจ้าถิ่นไว้ที่กระทู้ "ห้วยขาแข้ง" ขอเชิญเข้าไปติดตามได้โดยพลัน   ;)

แล้วก็มาถึงสัตว์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง   ..มหิงสา     ซึ่งได้พบเห็นมันก็เพราะมันเข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆหมู่บ้านเกริงไกร มาติดควายตัวเมียของชาวบ้าน  บางวันก็เห็นยืนเป็นสง่าอยู่อีกฝั่งหนึ่งของลำห้วย บางคืนก็บุกเข้าคอกควายตัวเมียในหมู่บ้าน

เจ้าตัวนี้แหละที่ทำให้ จนท.ป่าไม้พร้อมปืนยิงเร็วหลายคน เดินตามหาตัวผมอยู่เป็นเดือน คิดว่าพวกผมเป็นพวกพรานชาวกรุงเข้ามาตามล่ามัน    

ค่อยๆขยายความต่อไปนะครับ
     


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 25 ธ.ค. 15, 20:59
สงสัยต้องยอมให้ศาลสั่งจำคุกก่อนครับ จะได้มีเวลาทำงานทำการเรื่องที่จำเป็นต้องทำ เพื่อไม่ให้เสียผู้เสียคน พ้นโทษมาแล้ว ผมรับปากว่าจะเล่าเรื่องบิ๊กหมงต่อก็แล้วกัน :(

เห็นอาจารย์มีเวลาไปต่อกระทู้โน้น แสดงว่าเรื่องจำเป็นที่ต้องทำ ได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ทีนี้ก็ถึงคิวเรื่องของบิ๊กหมงต่อ ใช่ไหมคะ  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ธ.ค. 15, 21:13
ฝุ่นจะจับอีกแล้ว  เช็ดมาหลายรอบเต็มที


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 ธ.ค. 15, 07:09
!


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 ธ.ค. 15, 11:29
ก่อนจะเป็นบิ๊กหมง

คนจีนสมัยก่อนหากอยากจะเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นไทยๆ ก็มักจะไปขอพระให้ตั้งให้ พระท่านก็ใช้สำเนียงใกล้เคียงกันมาคิดคำไทย เช่นนายไช้ ก็เปลี่ยนให้เป็นวันชัย นายหยู เปลี่ยนเป็นยุทธนา คนดังคนหนึ่งสมัยสี่สิบกว่าปีก่อนที่ใครๆเรียกว่าท่านมงคลนั้น เห็นว่าตอนเป็นอาตี๋ชื่อหมง สื่อให้ฉายาว่าบิ๊กหมง

ความจริงบิ๊กหมงในวงการมีหลายคน ผมไม่ได้หมายถึงใครเป็นพิเศษนะครับ ขอบอก

อันที่จริงจะต้องขอโม้ซะหน่อย ผมเองน่ะตั้งชื่อไทยให้ฝรั่งมาสองคนแล้วนะท่าน คนแรกคือเคลวิน คนนี้ง่าย ให้ชื่อกวินไป แต่อีกคนหนึ่งชื่อ เซบาสเตียน ผมคิดอยู่นานเอาไงดีหว่า เอางี้แล้วกัน ชื่อสมบัติเสถียรละกัน ได้ทั้งสำเนียงและความหมาย
คนที่รอลุ้นอยู่พอได้ฟังแล้วก็ขำกลิ้งไป

บิ๊กหมงบ้านผมนั้น ตอนแรกผมเรียกว่าบักหมง แต่เขาท่าทางไม่ค่อยจะเป็นปลื้มเท่าไหร่ หลังจากเปลี่ยนมาเรียกบิ๊กหมงก็ดูจะสีหน้าแช่มชื่นขึ้น

เมื่อทิ้งพ่อทิ้งแม่จากสระแก้วมาตายเอาดาบหน้าในเมืองกรุงนั้น บักหมงมาอาศัยนอนอยู่ในโรงงานทำของเล่นที่พี่ชายคนโตเป็นหัวหน้าคนงานอยู่ อายุตอนนั้นเพิ่งสิบแปดเอง โรงงานที่ว่าอยู่ติดข้างบ้านผม เจ้าของเป็นคนดีมาก เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่ผมให้ความเคารพนับถือ วันหนึ่งนายฟ้อนหัวหน้าคนงานที่เข้าๆออกบ้านผมเป็นประจำราวกับคนในบ้านมาถามว่า ผมยังจะทาสีบ้านอยู่หรือเปล่า เขาหาคนให้ได้แล้ว

บ้านผมนั้น ผมสร้างขึ้นด้วยไม้ที่รื้อมาจากอาคารเก่าที่เคยเป็นโรงเรียนของแม่ เอามากองทิ้งไว้นาน ถูกชาวบ้านแถวนั้นถือวิสาสะลากไปใช้บ้างก็เยอะ ผมต้องจ้างช่างไม้เป็นรายวันค่อยๆเลือกมาขัดมาล้าง ทำไปสร้างไป ใช้เวลาเลยปี ช่างก็เบื่อเจ้าของก็เบื่อ พอจะเข้าอาศัยอยู่ได้แล้วก็เลิกงานก่อสร้างไปทีนึงก่อน ที่เหลือกะจะค่อยๆเก็บงานไปเรื่อยๆ ที่เห็นเป็นหลักๆก็งานสีนี่แหละ ยังไม่ได้ทำเลย แต่งานทาสีบ้านไม้เก่าผมกะใช้วิธีโบราญที่เคยเห็นบ้านในชนบทเขาทำกัน คือใช้น้ำมันขี้โล้หรือน้ำมันเครื่องที่ถ่ายออกจากเครื่องยนต์ตอนจะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องใหม่นี่แหละ มาทาแทนสี นอกจากจะประหยัดสุดๆแล้ว มันจะออกน้ำตาลเข้มจนเกือบดำสวยไปอีกอย่าง แต่ที่ดีกว่านั้นคือปลวกจะไม่กิน ไม้จะไม่ผุ ฝาภายนอกบ้านผมทุกวันนี้ทาน้ำมันเครื่องก้นแคร้งครั้งเดียวจริงๆ แต่ก็ยังดูดีอยู่ ไม่เชื่อดูรูป


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 ธ.ค. 15, 11:31
บ้านตอนสร้างเสร็จไม่เสร็จบอกไม่ถูก เด็กที่เห็นคือลูกชาย ตอนนี้อายุ ๔๒

ต้นปาล์มขวดที่เห็นเบ่อเร่อเบ่อร่าในรูป ผมปลูกไว้ในที่นานแล้วก่อนจะตัดสินใจสร้างบ้่าน ไม่ได้ใช้แบบที่สวนนงนุชบริจาคนะครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 ธ.ค. 15, 11:36
บ้านหลังเดียวกัน ถ่ายเมื่อเช้านี้


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 ธ.ค. 15, 11:47
นายฟ้อนตามบักหมงมาไหว้ผม เห็นว่าเป็นน้องชายก็เลยซักไปนิดนึงว่าทำไมถึงไม่ทำงานที่โรงงาน คือผมไม่อยากให้เพื่อนบ้านที่ดีแคลงใจว่าผมไปย่องตอดเอาคนของเขามา
“คุณลุงไม่รับครับ คนงานเต็มแล้ว”

ผมถือโอกาสบอกคุณลุงด้วยเพื่อพบกัน ว่าผมรับน้องชายของนายฟ้อนมาทาสีบ้านให้ผม
“มันขี้เกียจ อย่าไปเอามันเลย”
“อ้าว ผมตกปากรับคำไปแล้ว งั้นขอดูลายหน่อยแล้วกันนะครับ ไม่เป็นไร ผมจ้างเขาเป็นรายวัน ถ้าไม่ไหวก็จะเลิกจ้าง ขอบพระคุณครับที่บอก”

บักหมงหน้าตาดูซื่อๆ แววตามีความวิตกกังวลอยู่ยังไงไม่รู้ เขายังอาศัยซุกหัวนอนอยู่ในโรงงานของคุณลุง แต่เช้าก็เดินมาทำงานตั้งแต่ก่อนเวลา เที่ยงกลับไปล้อมวงกินข้าวคนงานกับพี่ชาย บ่ายก็กลับมาปีนกระไดไม้ไฝ่ เอาน้ำมันเครื่องก้นแคร้งทาฝาบ้านต่อ ไม่เคยอู้ไม่เคยหลบ สังเกตุอยู่หลายวัน คนอย่างนี้ถูกหาว่าขี้เกียจได้อย่างไร ผมนึกในใจ

คุณลุงมาบ้านผมบ่อยๆเพราะสนิทกัน เห็นนายมงคลทีไรก็มองแบบค้อนๆ แต่บักหมงก็สุภาพอ่อนน้อมกับคุณลุงเสมอทุกครั้งที่ประจันหน้ากันในบ้านผม
“คุณลุงรับเมียผมทำงาน ให้ข้าวพ้มกิน ให้ที่พ้มนอน มีบุญคุณกับพ้มมากเลยขรับ” เขาเล่าให้ผมฟังหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นผ่านมาแล้วนานทีเดียว

“พี่ฟ้อนเข้ามาทำงานที่กรุงเทพตั้งแต่อายุ ๑๔ พ้มต้องอยู่ช่วยพ่อช่วยแม่ปลูกมันสำปะหลัง  บางปีมันดีราคาก็ตก ราคาจะขึ้นสูงตอนปีที่มันไม่ดี ก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปขายเค้าให้พออยู่พอกิน
ก่อนจะลงกล้ามัน ถ้าไม่กำจัดหญ้าคาก่อนก็ไม่มีทางได้กิน  มีทางเดียวขรับ ต้องใช้ยาฆ่าหญ้า พ้มน่ะไม่ถูกกับยานี้เล้ย  ได้กลิ่นมันทีไรก็มึนงงไปทั้งวัน
ครั้งนึงกำลังพ่นยาอยู่เกิดลมหวนกลับ ยาปลิวมาโดนเต็มตัว  พ้มล้มทั้งยืน สลบไป ฟื้นมาแล้วผมตัดสินใจเลย ไม่เอาอีกแล้ว บอกพ่อบอกแม่ว่าจะขอตามไปอยู่กับพี่ฟ้อนละ ถ้าอยู่ต่อไปก็ตายแน่”

“มากันทั้งผัวทั้งเมียเลยหรือ”
“เปล่าขรับ ครั้งแรกพ้มมาคนเดียวก่อน ยังไม่ยอมให้เมียตามมา”

“อ้าว เหรอ แล้วทำไมตอนนั้นคุณลุงถึงไม่รับมงคลให้ทำงานล่ะ”
“คุณลุงหาว่าผมขี้เกียจขรับ พ้มก็ไม่รู้จะเถียงแกอย่างไร  ก็แกลงมาทีไรเห็นพ้มตอนเดินเข้าห้องน้ำทุกที ครั้งที่สาม แกเลยบอกว่าผมอู้งาน ไม่จ้างแล้ว ตอนนั้นถ้าคุณหม่อมไม่ให้งานพ้มทำ พ้มก็ไม่รู้จะไปไหนต่อ”
“แล้วเมียเราล่ะ”
“พอพ้มทำงานให้คุณหม่อมได้แน่ๆ พ้มเลยไปรับเมียมาสมัครงานกับพี่ฟ้อน คุณลุงก็ไม่ว่าอะไร ให้ทำงานมีที่อยู่ที่กินพร้อม เลยได้อยู่ด้วยกัน”

อึมม์…. แต่อีกเป็นปีแหละครับ ผมจึงได้ปลูกเรือนคนงานในบ้าน แล้วให้ผัวเมียคู่นี้ย้ายมาอยู่อาศัยในรั้วบ้านผม เพราะแน่ใจแล้วว่า บักหมงไม่ได้เป็นคนแบบที่คุณลุงตั้งข้อหาไว้ในสมองของผม ทั้งสองไม่เพียงแต่ไม่ขี้เกียจ แต่ยังขยันหางานโน่นงานนี่ในบ้านทำโดยไม่ต้องรอฟังคำสั่งจากใคร บ้านผมทั้งหลังในรูป ทั้งสีดำสีแดงสีขาว ตั้งแต่หลังคายันเสาเรือน บักหมงโชว์เดี่ยว “หมู” เมียของบักหมงนั้น ยังมีฝีมือทางทำกับข้าวถูกปากลูกๆผมด้วย เลยเลิกทำงานในโรงงานมาเป็นแม่บ้านแม่ครัวประจำบ้าน อยู่กินกับผมเลยทีเดียว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 26 ธ.ค. 15, 12:46
ต้นปาล์มขวดที่เห็นเบ่อเร่อเบ่อร่าในรูป ผมปลูกไว้ในที่นานแล้วก่อนจะตัดสินใจสร้างบ้าน ไม่ได้ใช้แบบที่สวนนงนุชบริจาคนะครับ

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=6418.0;attach=60198;image)

งั้นราคาคงไม่ถึงต้นละ ๑ แสนบาท   ;)  

ปาล์มขวดไม่ควรปลูกใกล้บ้าน  เพราะเมื่อต้นสูงแล้วก้านใบอันใหญ่โตจะหล่นใส่หลังคาบ้าน

ขอต้อนรับ "บิ๊กหมง" สู่กระทู้แห่งตำนาน ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 ธ.ค. 15, 13:16
ปาล์มขวดข้างบน มีผู้ให้มาตอนมันมีขนาดสูงสักศอกเดียว ผมก็เอามาปลูกไว้ในที่ดินของแม่ กะว่าเมื่อปลูกบ้านเมื่อไหร่จะได้มีร่มเงาให้ได้อาศัยบังแดดบ้าง
ครั้นปลูกบ้านเข้าจริงๆแล้ว ขยับแบบบ้านเท่าไหร่ก็ไม่ลงตัว จะตัดมันทิ้งก็เสียดายอุตสาห์เลี้ยงมันจนโตแล้ว เอาว่าเป็นตัดหลังคาดีกว่า

เรียกว่านอกคำครู นอกจากไม่กลัวใบจะตกใส่บ้านแล้ว ยังไม่กลัวชายคาหลอเสียอีก
ภาพนี้ก็อปปี้มาจากแมกกาซีนที่ลงภาพ "บ้านไม้ในแมกไม้" อีกที

ปาล์มขวดมันอายุประมาณ ๓๐ ปีก็ทะยอยกันตาย เดี๋ยวนี้ไม่เหลือสักต้น ชายคาผมก็ต่อเติมให้มันเต็มไปตามที่ควร


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 26 ธ.ค. 15, 13:17
นายฟ้อนตามบักหมงมาไหว้ผม เห็นว่าเป็นน้องชายก็เลยซักไปนิดนึงว่าทำไมถึงไม่ทำงานที่โรงงาน คือผมไม่อยากให้เพื่อนบ้านที่ดีแคลงใจว่าผมไปย่องตอดเอาคนของเขามา
“คุณลุงไม่รับครับ คนงานเต็มแล้ว”

ผมถือโอกาสบอกคุณลุงด้วยเพื่อพบกัน ว่าผมรับน้องชายของนายฟ้อนมาทาสีบ้านให้ผม
“มันขี้เกียจ อย่าไปเอามันเลย”
“อ้าว ผมตกปากรับคำไปแล้ว งั้นขอดูลายหน่อยแล้วกันนะครับ ไม่เป็นไร ผมจ้างเขาเป็นรายวัน ถ้าไม่ไหวก็จะเลิกจ้าง ขอบพระคุณครับที่บอก”

บักหมงหน้าตาดูซื่อๆ แววตามีความวิตกกังวลอยู่ยังไงไม่รู้ เขายังอาศัยซุกหัวนอนอยู่ในโรงงานของคุณลุง แต่เช้าก็เดินมาทำงานตั้งแต่ก่อนเวลา เที่ยงกลับไปล้อมวงกินข้าวคนงานกับพี่ชาย บ่ายก็กลับมาปีนกระไดไม้ไฝ่ เอาน้ำมันเครื่องก้นแคร้งทาฝาบ้านต่อ ไม่เคยอู้ไม่เคยหลบ สังเกตุอยู่หลายวัน คนอย่างนี้ถูกหาว่าขี้เกียจได้อย่างไร ผมนึกในใจ

คุณลุงมาบ้านผมบ่อยๆเพราะสนิทกัน เห็นนายมงคลทีไรก็มองแบบค้อนๆ แต่บักหมงก็สุภาพอ่อนน้อมกับคุณลุงเสมอทุกครั้งที่ประจันหน้ากันในบ้านผม
“คุณลุงรับเมียผมทำงาน ให้ข้าวพ้มกิน ให้ที่พ้มนอน มีบุญคุณกับพ้มมากเลยขรับ” เขาเล่าให้ผมฟังหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นผ่านมาแล้วนานทีเดียว

“พี่ฟ้อนเข้ามาทำงานที่กรุงเทพตั้งแต่อายุ ๑๔ พ้มต้องอยู่ช่วยพ่อช่วยแม่ปลูกมันสำปะหลัง  บางปีมันดีราคาก็ตก ราคาจะขึ้นสูงตอนปีที่มันไม่ดี ก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปขายเค้าให้พออยู่พอกิน
ก่อนจะลงกล้ามัน ถ้าไม่กำจัดหญ้าคาก่อนก็ไม่มีทางได้กิน  มีทางเดียวขรับ ต้องใช้ยาฆ่าหญ้า พ้มน่ะไม่ถูกกับยานี้เล้ย  ได้กลิ่นมันทีไรก็มึนงงไปทั้งวัน
ครั้งนึงกำลังพ่นยาอยู่เกิดลมหวนกลับ ยาปลิวมาโดนเต็มตัว  พ้มล้มทั้งยืน สลบไป ฟื้นมาแล้วผมตัดสินใจเลย ไม่เอาอีกแล้ว บอกพ่อบอกแม่ว่าจะขอตามไปอยู่กับพี่ฟ้อนละ ถ้าอยู่ต่อไปก็ตายแน่”

“มากันทั้งผัวทั้งเมียเลยหรือ”
“เปล่าขรับ ครั้งแรกพ้มมาคนเดียวก่อน ยังไม่ยอมให้เมียตามมา”

“อ้าว เหรอ แล้วทำไมตอนนั้นคุณลุงถึงไม่รับมงคลให้ทำงานล่ะ”
“คุณลุงหาว่าผมขี้เกียจขรับ พ้มก็ไม่รู้จะเถียงแกอย่างไร  ก็แกลงมาทีไรเห็นพ้มตอนเดินเข้าห้องน้ำทุกที ครั้งที่สาม แกเลยบอกว่าผมอู้งาน ไม่จ้างแล้ว ตอนนั้นถ้าคุณหม่อมไม่ให้งานพ้มทำ พ้มก็ไม่รู้จะไปไหนต่อ”
“แล้วเมียเราล่ะ”
“พอพ้มทำงานให้คุณหม่อมได้แน่ๆ พ้มเลยไปรับเมียมาสมัครงานกับพี่ฟ้อน คุณลุงก็ไม่ว่าอะไร ให้ทำงานมีที่อยู่ที่กินพร้อม เลยได้อยู่ด้วยกัน”

อึมม์…. แต่อีกเป็นปีแหละครับ ผมจึงได้ปลูกเรือนคนงานในบ้าน แล้วให้ผัวเมียคู่นี้ย้ายมาอยู่อาศัยในรั้วบ้านผม เพราะแน่ใจแล้วว่า บักหมงไม่ได้เป็นคนแบบที่คุณลุงตั้งข้อหาไว้ในสมองของผม ทั้งสองไม่เพียงแต่ไม่ขี้เกียจ แต่ยังขยันหางานโน่นงานนี่ในบ้านทำโดยไม่ต้องรอฟังคำสั่งจากใคร บ้านผมทั้งหลังในรูป ทั้งสีดำสีแดงสีขาว ตั้งแต่หลังคายันเสาเรือน บักหมงโชว์เดี่ยว “หมู” เมียของบักหมงนั้น ยังมีฝีมือทางทำกับข้าวถูกปากลูกๆผมด้วย เลยเลิกทำงานในโรงงานมาเป็นแม่บ้านแม่ครัวประจำบ้าน อยู่กินกับผมเลยทีเดียว


ชีวิต'บักหมง'แค่เริ่มต้นก็ดราม่าแล้ว รอลุ้นต่อค่ะ ว่ากว่าจะเป็น'บิ๊กหมง'จะต้องผ่านขวากหนามน้ำตาท่วมจอหรือไม่

เห็นตัวละครโผล่มาอีกตัวด้วย คาดว่าน่าจะเป็นตัวเอกในตอนต่อจาก'ว่าจะเป็นบิ๊กหมง' ขออนุญาตตั้งชื่อตอนคอยไว้ก่อนเลยนะคะ ว่า 'หมูของหมง' ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 26 ธ.ค. 15, 22:15
บ้านหลังเดียวกัน ถ่ายเมื่อเช้านี้

ฮิฮิ ชวนซายาเพ็ญกับท่านอาจารย์ใหญ่ไปนั่งเล่นรับลมที่ระเบียงกันดีกว่า  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 ธ.ค. 15, 08:01
เอาใจขาประจำหน่อย

หมูของหมง

หมูของหมงไม่ใช่ผู้หญิงสะสวย แต่ก็ไม่ขี้เหร่  ออกแนวท้วมๆ ผมว่าเธอมีดีที่ไม่ค่อยจะพูดเท่าไหร่ แต่ไม่ใช่ซื่อบื้อถามอะไรก็ไม่ตอบทำนองนั้น ตรงข้ามกับบิ๊กหมง ขานั้นพูดเสียงดัง ถ้าในวงของเขาแล้วละก็ มีโม้มีฝอยปะปนด้วยเสมอ

บิ๊กหมงเป็นคนดีไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เจ้าชู้ แต่อาจมีพนันเล็กน้อยเพราะผมเห็นว่าส่งเสียงเชียร์มวยตู้ดังเกินเหตุไปหน่อย แต่ประมวลแล้วไม่ถือว่าผิดมาตรฐานสามีที่ดีของภรรยา อาจจะผิดที่ดีเกินมาตรฐานของชายชาวชนบททั่วไปมากหน่อยเท่านั้น ศรีภรรยาอย่างหมูจึงมีชีวิตที่เรียบง่ายเสียจนผมนึกจะหาเรื่องอะไรมาเขียนให้พ้นความจืดชืดไม่เจอ

นึกออกอยู่เรื่องเดียว ตอนที่ทั้งสองมีลูกด้วยกัน ผมก็พาสมาชิกในครอบครัวก็ไปเยี่ยม ปรากฏว่าเป็นลูกสาว ถามว่าตั้งชื่อลูกหรือยัง
“ตั้งแล้วขรับ” คนเป็นพ่อยิ้มกว้างด้วยความภูมิใจ “ชื่อ..ฝัน”
“ชื่อขวัญค่ะ” คนเป็นแม่ที่นานๆพูดทีจะเอ่ยขัดขึ้นมา

เอาละซี ผัวเมียคู่นี้มีข้อขัดแย้งกันเรื่องชื่อลูกแล้ว

“เหรอ ตกลงชื่ออะไรนะ อีกทีซิ”
“ขวัญค่ะ”
“ครับ ชื่อฝัน”
“ขวัญ ?” ผมทวนคำอีกครั้ง ทั้งสองผัวเมียพยักหน้าแล้วตอบประสานเสียงกัน “ค่ะ-หรับ”

ลูกๆผมหันไปมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะงอหาย ก่อนที่ทุกคนจะหัวเราะตาม


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 ธ.ค. 15, 08:13
บ้านหลังเดียวกัน ถ่ายเมื่อเช้านี้

ฮิฮิ ชวนซายาเพ็ญกับท่านอาจารย์ใหญ่ไปนั่งเล่นรับลมที่ระเบียงกันดีกว่า  ;D

ดร.วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์ ชื่อที่บิ๊กหมงไม่มีวันเรียกถูก

รีบมาเลย มาให้ไวๆ ก่อนกุ้งปูจะสูญพันธุ์ อย่าลืมเอาสบู่อังกฤษมาฝากด้วยนะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 27 ธ.ค. 15, 08:32
ดูท่าลานบ้านของคุณนวรัตน นอกจากจะร่มรื่นน่านั่งรับลมแล้ว มโนว่าคงมีกลิ่นหอมโชยมาจากพรรณไม้ที่เป็นร่มเงาด้วยเป็นแน่แท้  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 27 ธ.ค. 15, 08:39
เอาใจขาประจำหน่อย

หมูของหมง

หมูของหมงไม่ใช่ผู้หญิงสะสวย แต่ก็ไม่ขี้เหร่  ออกแนวท้วมๆ ผมว่าเธอมีดีที่ไม่ค่อยจะพูดเท่าไหร่ แต่ไม่ใช่ซื่อบื้อถามอะไรก็ไม่ตอบทำนองนั้น ตรงข้ามกับบิ๊กหมง ขานั้นพูดเสียงดัง ถ้าในวงของเขาแล้วละก็ มีโม้มีฝอยปะปนด้วยเสมอ

บิ๊กหมงเป็นคนดีไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เจ้าชู้ แต่อาจมีพนันเล็กน้อยเพราะผมเห็นว่าส่งเสียงเชียร์มวยตู้ดังเกินเหตุไปหน่อย แต่ประมวลแล้วไม่ถือว่าผิดมาตรฐานสามีที่ดีของภรรยา อาจจะผิดที่ดีเกินมาตรฐานของชายชาวชนบททั่วไปมากหน่อยเท่านั้น ศรีภรรยาอย่างหมูจึงมีชีวิตที่เรียบง่ายเสียจนผมนึกจะหาเรื่องอะไรมาเขียนให้พ้นความจืดชืดไม่เจอ

นึกออกอยู่เรื่องเดียว ตอนที่ทั้งสองมีลูกด้วยกัน ผมก็พาสมาชิกในครอบครัวก็ไปเยี่ยม ปรากฏว่าเป็นลูกสาว ถามว่าตั้งชื่อลูกหรือยัง
“ตั้งแล้วขรับ” คนเป็นพ่อยิ้มกว้างด้วยความภูมิใจ “ชื่อ..ฝัน”
“ชื่อขวัญค่ะ” คนเป็นแม่ที่นานๆพูดทีจะเอ่ยขัดขึ้นมา

เอาละซี ผัวเมียคู่นี้มีข้อขัดแย้งกันเรื่องชื่อลูกแล้ว

“เหรอ ตกลงชื่ออะไรนะ อีกทีซิ”
ขวัญค่ะ”
“ครับ ชื่อฝัน
“ขวัญ ?” ผมทวนคำอีกครั้ง ทั้งสองผัวเมียพยักหน้าแล้วตอบประสานเสียงกัน “ค่ะ-หรับ”

ลูกๆผมหันไปมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะงอหาย ก่อนที่ทุกคนจะหัวเราะตาม


ฟังทีแรกไม่เก็ต เข้าใจว่าบิ๊กหมงกับเมียไอเดียต่างกัน พอฟํงจนจบ ดิฉันก็หัวเราะเหมือนลูกๆอาจารย์เลยค่ะ แถมยังคิดต่อไปอีกว่า นี่ถ้าหากบิ๊กหมงเป็นคนเล่าเรื่องเจ้าบุญรอดซะเอง ชื่อตอนคงเป็น "ฟายเอ๋ย อุตส่าห์ชื่อบุญรอด"


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 28 ธ.ค. 15, 09:37
ดูท่าลานบ้านของคุณนวรัตน นอกจากจะร่มรื่นน่านั่งรับลมแล้ว มโนว่าคงมีกลิ่นหอมโชยมาจากพรรณไม้ที่เป็นร่มเงาด้วยเป็นแน่แท้  

เฉลียง นอกจากจะเป็นที่โล่ง ใช้เป็นทางผ่านได้แล้ว ยังใช้ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันอื่นๆด้วย

ส่วนระเบียง เป็นทางผ่าน
ถึงแม้จะเป็นพื้นที่ใหญ่พอจะทำกิจกรรมอย่างอื่นได้ ก็ชั่วครั้งชั่วคราว เช่นเดินออกมารับอากาศ เด็กมาวิ่งเล่น หรือจัดงานเลี้ยงเป็นกรณีย์พิเศษเป็นต้น


ช่างร่มเย็นสบายดีแท้  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 28 ธ.ค. 15, 10:13
แล้ว'นอกชาน'ล่ะคะ อาจารย์ช่วยอธิบายด้วยภาพเหมือนอย่างข้างบนได้ไหมคะ มีภาพให้เห็นจะๆ เข้าใจแจ่มแจ้งเลยค่ะ 


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 28 ธ.ค. 15, 10:23
แล้ว'นอกชาน'ล่ะคะ อาจารย์ช่วยอธิบายด้วยภาพเหมือนอย่างข้างบนได้ไหมคะ มีภาพให้เห็นจะๆ เข้าใจแจ่มแจ้งเลยค่ะ 

รูปขวาบน น่าจะเป็นนอกชานนะครับ

ระเบียงคือส่วนต่อที่มีหลังคา ส่วนพื้นของระเบียงทที่ไม่มีหลังคาคือนอกชาน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ธ.ค. 15, 10:33
ตามคุณหมอCVTครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: walai ที่ 28 ธ.ค. 15, 10:47
เป็นบุญตาที่ได้รับชม ร่มเย็นดีจังค่ะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 28 ธ.ค. 15, 11:04
ตามคุณหมอCVTครับ

ที่ผมงง คือ ระเบียง กับ เฉลียง ครับ
แยกกันไม่ออกจริงๆ เพราะมันก็คือส่วนต่อเติมของตัวบ้านที่มีหลังคาเหมือนกัน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 28 ธ.ค. 15, 11:39
ท่านอาจารย์ NAVARAT.C  สรุปเองแล้ว

อันเฉลียงหรือระเบียงเป็นเพียงศัพท์       ใครจะจับจำแนกได้ให้หายฉงน
ยิ่งค้นคว้าก็ยิ่งบ้าเข้าตาจน                  ก็มันแล้วแต่คนจะเรียกกัน (...ฮึม ฮึม..หึ่ม ฮึม)

อันทางเดินบนอาคารพิมานสถาน          หรือพึ้นยื่นนอกบ้านงานสร้างสรร
เรียกระเบียงเรียกเฉลียงได้ทุกอัน          อย่าได้หวั่นว่าจะผิดสักนิดเอยฯ

(ขับร้องทำนองกราวนอก)


(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5082.0;attach=32041;image)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ธ.ค. 15, 16:32
ไม่ทราบว่าคุณๆจะร้องเพลงทำนองกราวนอกได้หรือเปล่า เพลงกราวนอกคือทำนองของเพลงกราวกีฬาไงครับ จำได้หรือเปล่า

...ฮึม ฮึม..หึ่ม ฮึม
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ ฮ้าไฮ้ ฮ้าไอ้
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ แก้กรองกิเลศทำคนให้เป็นคน
ผลของการฝึกตน เล่นกิฬาสากล ตะละล้า .....

ขอบคุณคุณหมอเพ็ญครับ อุตส่าห์ไปขุดของเก่าของผมมาใช้ใหม่ถูกต้องกาละเทศะพอดี


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ธ.ค. 15, 17:51
ระเบียงบ้านของผมนั้นออกแบบให้รองรับน้ำหนักคนได้กว่าร้อย สมัยแม่อยู่จะใช้ในงานทำบุญเลี้ยงพระวันเกิดของแม่ ซึ่งจะเป็นงานชุมนุมญาติไปด้วยทุกปี เมื่อแม่ไม่อยู่แล้วงานนั้นก็งดไป คงมีแต่งานชุมนุมสังสรรเพื่อนร่วมรุ่นของผมบ้างนานๆครั้ง

สถาปัตย์จุฬารุ่น๐๙มีศิลปินแห่งชาติสองคน คนหนึ่งคือนิธิ สถาปิตานนท์แห่ง A49 และที่เพิ่งเป็นเมื่ออาทิตย์ที่แล้วคือกฤษฎา โรจนกร แห่ง HABITA  ทั้งสองคือความภูมิใจของเพื่อนร่วมรุ่น

แต่ยังมีอีกท่านหนึ่งที่เป็นยิ่งไปกว่าความภูมิใจ สถาปัตย์รุ่นนี้ยังมีพระอาจารย์สกล สันติธัมโม แห่งวัดป่าศรีสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร
เมื่อท่านเรียนจบไปได้ไม่ถึงสองปี มารดาขอร้องให้บวชให้สักพรรษาหนึ่ง แต่หลังจากบวชแล้วเพลิดเพลินในสมณเพศ หายไปจากวงโคจรของเพื่อนๆนับสิบๆปี จึงมีผู้ได้ข่าวท่าน เมื่อผมไปหาท่านครั้งแรกกับคณะเพื่อนกลุ่มนึงนั้น กุฏิของท่านเป็นกระต๊อบเล็กๆอยู่ในป่าช้า จากนั้นเราจึงจัดผ้าป่ารุ่นของเราไปถวายวัดป่าศรีสว่างแดนดินทุกปี จนท่านเป็นเจ้าอาวาสแล้ว ญาติโยมปลูกกุฏิใหม่ให้อยู่ ท่านก็ให้รองเจ้าอาวาสไปอยู่แทน แต่ท่านยังอยู่ที่เดิมอย่างสมถะนั่นแหละ

อยู่มาปีนึงผมไปเรียนนิมนต์ท่านว่า เพื่อนๆหลายคนอยากจะไปกราบท่านร่วมกับคณะผ้าป่าแต่ก็ไปไม่ได้ ขอให้ผมนิมนต์ท่านขึ้นมาโปรดสัตว์ในกรุงเทพบ้าง ท่านก็เมตตามาให้ครั้งหนึ่ง ผมก็จัดที่ให้ท่านรับประเคนและฉันจังหันบนระเบียงนั้น ก่อนจะแสดงธรรมให้สดับ เพื่อนๆมากันเยอะมาก รามทั้งผู้ที่ออกนามไปแล้วทั้งสองคน ก็ปรากฏอยู่ในภาพนี้ด้วย

พระอาจารย์สกลละสังขารไปแล้วหลายปีก่อนด้วยโรคมะเร็งลำไส้ ช่วงสุดท้ายหมอเปิดหน้าท้องของท่านแล้วไม่เย็บปิดแล้ว เพราะต้องเปิดทำความสะอาดแผลที่ลำไส้ทุกวัน
“เราก็พิจารณากรรมฐานตลอดแหละหม่อม” นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ท่านพูดกับผมยาวๆ

เมื่อประชุมเพลิงศพของท่านแล้ว วันรุ่งขั้นพระเณร ศิษยานุศิษย์ของท่านพบว่าอัฐิธาตุส่วนหนึ่งของพระอาจารย์สกลเป็นแก้วใส


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ธ.ค. 15, 18:11
ดังภาพ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ธ.ค. 15, 10:12
ว่ากันต่อเรื่องของบิ๊กหมง


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ธ.ค. 15, 10:19
รปภ. ประจำกาย

บักหมงเป็นบุคคลสำคัญประจำบ้าน คือเป็นทั้งช่างไม้ช่างไฟช่างประปาช่างซ่อม ตลอดถึงเป็นกรรมกรแบกหาม คนสวน เป็นรปภ. เป็นซะทุกอย่าง ถ้าขาดบักหมงไปคนนึงละก็ คนอื่นๆในบ้านต้องลำบากแน่ๆ เขาดำรงตำแหน่งนั้นอยู่นับสิบปีไม่มีใครแย่ง จนเป็นหนุ่มใหญ่ ร่างกายกำยำสูงยาวเข่าดี ผิวคล้ำแบบกร้านแดดกร้านลม ลักษณะท่าทางดูคล้ายนักมวย จิ๊กโก๋ไม่กล้าแหยมกับบักหมงแน่

ระหว่างที่ผมทำงานบริษัทใหญ่ มีรถตำแหน่ง บักหมงไม่มีโอกาสแม้แต่จะล้างรถให้ผม เพราะคนขับรถประจำของบริษัทขยันเกิน มาแต่เช้ามืดเพื่อขัดสีฉวีวรรณรถในบ้านแบบไม่ไว้ใจคนอื่น  อีกคันหนึ่งที่ใช้รับส่งลูกๆ เมียผมก็ขับเอง ไม่วางใจบักหมงมือใหม่ แม้ผมจะให้คนรถพาบักหมงไปซ้อมมืออยู่เสมอ ก็เคยขับอีแต๋นมาก่อนอยู่แล้ว รถยนต์มันจะไปยากกว่ายังไง เพียงแต่ไม่ค่อยรู้จังหวะจะโคน จะวิ่งหรือจะหยุดบนท้องถนนให้สอดคล้องกับกฎจราจรเท่านั้น

เมื่อผมออกจากบริษัทมาแล้ว เงินสะสมตกเบิกจากบริษัทมีพอจะซื้อรถป้ายแดงได้คันหนึ่ง ผมก็เลือกซื้อรถตู้ญี่ปุ่นขนาดกลางของนิสสัน เพราะสะดวกสบายที่จะใช้ในเมืองหรือเดินทางไปต่างจังหวัด บักหมงก็ไม่ค่อยจะได้ขับอีกนั่นแหละ เพราะผมชอบไปไหนมาไหนแบบตัวคนเดียว ตอนอยู่บริษัทมันจำเป็นต้องมีคนรถ เพราะต้องรับรองแขกต่างประเทศบ่อยๆเท่านั้นแหละ

พอผมเริ่มมีงานแรกที่เชียงใหม่ ต้องขับรถขึ้นล่องยาวๆเดือนหนึ่งๆหลายครั้ง ผมก็ให้บิ๊กหมงไปเป็นเพื่อน ในฐานะรปภ.ประจำกายนะครับ ไม่ใช่คนขับรถ เพราะเวลาเดินทางไกลผมจะไม่ค่อยไว้ใจบักหมง ขี้เกียจนั่งไปเกร็งไป จนบางทีปวดกล้ามเนื้อท้องไปหมด สู้ขับเองสบายกว่า บักหมงก็ให้นั่งๆนอนๆไป
หากผมง่วงจนทนไม่ได้จริงๆก็จึงจะให้เขาขับ แล้วผมจะรีบหลับหูหลับตาโดยเร็วที่สุด


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ธ.ค. 15, 10:30
ขออนุญาตแยกกระทู้ เป็น "เสเพลบอยชาวไร่เล   ตอน บิ๊กหมง " ได้ไหมคะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ธ.ค. 15, 10:33
ขอความกรุณาเถอะครับ อย่าแยกเลย ผมใกล้จะจบเรื่องบิ๊กหมงแล้ว หมดพันธะสัญญาจะได้ลาโรงกระทู้นี้เสียที


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ธ.ค. 15, 10:35
รปภ.อย่างบักหมง ไม่ได้พกพาอาวุธอะไร แม้งานของผมจะอยู่ตามป่าตามเขานอกเมือง เป็นที่เปลี่ยวว่างั้นเถอะ แต่ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้ แต่เพื่อความไม่ประมาท ผมก็อัญเชิญเบญจภาคีขึ้นห้อยคอไปด้วยทุกครั้งที่รู้สึกไม่มั่นใจ รู้สึกว่าปลอดภัยกว่าพกปืน ซึ่งผมมีอยู่หลายกระบอกเหมือนกัน เพราะชอบ แต่มีไว้เก็บอยู่กับบ้าน
ปืนสมัยผมจบใหม่ๆมีเงินเดือนแล้วนั้น ถือว่าไม่แพง ที่ผมซื้อกระบอกละห้าหกพัน สมัยนี้เหยียบแสน ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหล็กไม่ถึงกิโลไหง๋จึงแพงขนาดนั้น แต่ก็ดี ขืนปืนถูกๆอย่างสมัยก่อนบ้านเมืองคงป่าเถื่อนกว่าทุกวันนี้

เมื่อไปซื้อที่ที่กระบี่ สมัยยังดิบๆอยู่นั้น ทั้งแม่และเมียเป็นห่วงผมมาก แถวปักษ์ใต้เชื่อกันว่าเป็นเมืองคนดุ ข่าวยิงกันตายปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์เป็นประจำ

“เฮ้ย ได้ข่าวว่าลื้อจะไปทำกิจการที่กระบี่เหรอ” เพื่อนรักคนหนึ่งโทรมาหา เขาทำงานอยู่สำนักพิมพ์ข่าวรายวันและรายสัปดาห์แห่งหนึ่ง “อย่าไปเลยวะ”
“ทำไมล่ะ”
“พูดไปลื้อก็ไม่เชื่อ เอางิ๊ เย็นนี้เจอกันได้ไหม มีอะไรให้ดู”

อะไรของเขาที่เอามาให้ผมดูก็คือจดหมายเรียกค่าคุ้มครอง เขียนด้วยลายมือของคนระดับที่จบ ป.๔ เพื่อนบอกว่าได้มันมาจากแหล่งข่าว เนื้อความประมาณว่า ขอค่าคุ้มครองกิจการเดือนละสองหมื่นบาท มิฉะนั้นไม่รับรองความปลอดภัย

“นี่มันขู่สวนยางนี่หว่า ไม่ค่อยเกี่ยวกับพวกบังกะโลเท่าไหร่  สวนยางมันอยู่ในป่าในดงลึกๆไกลปืนเที่ยง” ผมบอก
“ แต่เนี่ย อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่นะโว้ย เหตุเพิ่งเกิดไม่กี่เดือนเอง
อั๊วก็รู้ที่ของลื้อมันสวย แต่ขายทิ้งเสียเถิดวะ อย่าไปเสียดมเสียดายมันเลย คนอย่างลื้อไม่คุ้มที่จะไปเป็นอะไรอยู่ที่นั่น ทำอะไรๆอยู่กรุงเทพดีกว่า” ดูท่าเขาจะหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อเห็นปฏิกิริยาของผม

ความจริงแล้ว ข้อมูลที่เขาถ่ายเอกสารมาให้เป็นประจักษ์พยานได้สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้ผมไม่น้อย ต้องขอบใจในความห่วงใยของเพื่อน “ แต่ที่ดินมันไม่ใช่สายสร้อย จะได้ถอดขายง่ายๆ เออ ขอบใจโว้ยเพื่อน แล้วอั๊วจะพยายามออกตัวดู”
เขาแสดงท่าทีพอใจที่เห็นผมไม่ดื้อด้านต่อความปรารถนาดีของเขา

“ ปั๊ดโธ่…หม่อม” นายกสมาคมท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ ซึ่งถือเป็นเพื่อนกันไปแล้วแม้จะไม่นานร้องขึ้นมาเมื่อผมเอากระดาษแผ่นนั้นให้เขาดู “เยอะมาก เยอะจริงๆหนังสือขู่แบบนี้ แต่ถ้าเป็นคนกระบี่แล้วจะรู้สึกเฉยๆ”
“ อ้าว เหรอ”
“ คือยังงี้ครับพี่หม่อม สวนยางส่วนใหญ่ส่วนหนึ่งเป็นของนายทุนมาเลย์ เอาเงินมาลงทุนปลูกไว้แต่ไม่ค่อยมีเวลามาดูแล จ้างผู้จัดการไว้คนหนึ่งให้ทำแทนแบบแบ่งรายได้กัน ๕๐-๕๐ ผู้จัดการก็ไปแบ่งกับคนงานกรีดยางอีกที
แต่ ๕๐-๕๐ นี่มันไม่ตายตัว  บางที่ก็ ๖๐-๔๐ แล้วแต่ที่มันโหดไม่โหดขนาดไหน ไอ้ที่มันดุๆขนาดมีเผากันก็ผู้จัดการได้ ๗๕ เจ้าของสวน ๒๕ก็มี  มันก็เลยไม่ประหลาดอะไรที่วันดีคืนดีผู้จัดการก็แอบเผาแทรกเตอร์สักคัน แล้วเอาจดหมายเนี่ย แปะไว้ ตำรวจก็เฉยๆไม่ค่อยจะเอาเรื่อง เพราะไม่อยากเอาคนไทยเข้าคุกเพื่อให้คนมาเลย์รวยขึ้น จึงได้แต่ปรามๆ คนกระบี่เค้าเลยไม่ค่อยตื่นเต้นกัน
อย่างพี่หม่อมจะมาทำบังกะโลนี่ ไม่ต้องกลัว ไม่เคยมี กระบี่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซนต์”

“ปลอดภัยร้อยเปอร์เซนต์กับผีอะไรวะ ลื้อนี่” เพื่อนผมเสียงเขียวเมื่อเล่าความเห็นของคนกระบี่ให้เขาฟังเมื่อกลับมากรุงเทพแล้ว “สองปีที่แล้ว มีสองผัวเมียไปซื้อที่ชายทะเลจะทำบังกะโล กระบี่นี่แหละ ปลูกกระท่อมเสร็จก็ลาออกจากงาน พอจะเริ่มบุกเบิกก็โดนเรียกค่าคุ้มครองแบบนี้ เค้าก็ไม่ให้เพราะกลัวจะไม่จบแค่นั้น คืนหนึ่งได้ยินหมาลาบราดอร์ที่เอาไปเลี้ยงเป็นเพื่อนเห่าแถวริมรั้ว ไม่กล้าออกไปดูกระทั่งเช้า ไปเห็นแล้วเมียเป็นลมพับไป เพราะเห็นศพหมาถูกฟันคอขาดแบบฉับเดียวไม่มีร้อง
พอตั้งสติได้ก็เรีบเก็บข้าวของขึ้นรถกลับกรุงเทพ”

จริงไม่จริงไม่รู้แหละครับ ผมจึงต้องมีบักหมงแบบไปไหนไปด้วยทุกครั้งที่ไปกระบี่ แต่ไม่ได้เล่าเรื่องพวกนี้ให้เขาฟังหรอก กลัวจะตื่นเต้นเกินเหตุ

แล้ววันหนึ่งก็มีเหตุการณ์ที่ผมต้องพึ่งความสามารถเฉพาะตัวของบักหมงจริงๆ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ธ.ค. 15, 11:05
เรื่องที่จะเล่าต่อไป สืบเนื่องจากคคห.นี้

ยังครับยัง ยังไม่สุดยอด

เมื่อผมพานายแบ้งค์ผู้ให้กู้ไปดูที่ เขาบอกว่าคุณต้องได้ที่ดินที่จะออกหาดแหลมพระนางมาด้วย จึงจะสุดยอด ทำอะไรก็ได้ไม่มีขาดทุนแน่ ผมพยายามสืบหาเจ้าของอยู่นาน พอได้เบอร์โทรแล้วคุยกับเขา เขาบอกว่าไม่ขาย
ช่วงนี้เขาก็คงไปสืบด้วยว่าใครนะที่มาขอซื้อ เพราะไม่กี่เดือนต่อมาเขาก็โทรกลับมา ใช้สรรพนามเรียกผมว่าหม่อม แสดงว่าทำการบ้านมาดี

เขาบอกว่าถ้าเขาจะขายก็จะขายคนอย่างพี่หม่อมนี่แหละ แต่ขอขายในราคาอนาคตนะครับ
แหะๆ พระเดชพระคุณรุนช่องที่รักและเคารพ ราคาที่ดินประมาณสี่ไร่ที่เขาบอกนะครับ ผมแทบตกจากเก้าอี้ เพราะมันแพงกว่าที่ดินห้าสิบไร่เศษ ที่ผมวางมัดจำไว้แล้วเสียอีก อ้อ ที่ผมยังไม่ต้องจ่ายแปลงนั้นครบเพราะเป็นภาระของเจ้าของที่ ที่จะต้องขอเปลี่ยนเอกสารสิทธิ์เป็นนส ๓ เสียก่อนตามสัญญา

เอาละวา เป็นไงเป็นกัน ผมก็เอาหลักทรัพย์ทุกอย่างที่ผมมีไปวางไว้กับแบ้งค์ แล้วเอาเงินมาซื้อที่ของเขา คราวนี้แหละครับ พูดได้เต็มปากว่าสุดยอด ที่ดินของผม ๕๕ ไร่ ติดหาดที่สวยที่สุด ๓ หาด

ความจริง ต้องย้อนไปอ่านตั้งแต่ คคห.๖๖ ถึง คคห. ๘๔ อีกสักเที่ยวนะครับ พื้นภูมิจึงจะแน่น  ระหว่างทางจะแวะอ่านเรื่องที่วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์ปฏิเสธมิตรภาพของคุณแอนนาด้วยก็ยังทัน ไม่ต้องรีบร้อน ผมจะให้เวลา
 
จะรีรออยู่ใย กดระโยงข้างล่างนี้เลย

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6418.60 (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6418.60)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 29 ธ.ค. 15, 12:30
ขอความกรุณาเถอะครับ อย่าแยกเลย ผมใกล้จะจบเรื่องบิ๊กหมงแล้ว หมดพันธะสัญญาจะได้ลาโรงกระทู้นี้เสียที

ยังไม่ให้ไปง่ายๆ แน่นอนครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 30 ธ.ค. 15, 15:02
ความจริง ต้องย้อนไปอ่านตั้งแต่ คคห.๖๖ ถึง คคห. ๘๔ อีกสักเที่ยวนะครับ พื้นภูมิจึงจะแน่น  
 
จะรีรออยู่ใย กดระโยงข้างล่างนี้เลย

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6418.60 (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6418.60)

ความเดิมตอนที่แล้ว

เมื่อผมพานายแบ้งค์ผู้ให้กู้ไปดูที่ เขาบอกว่าคุณต้องได้ที่ดินที่จะออกหาดแหลมพระนางมาด้วย จึงจะสุดยอด ทำอะไรก็ได้ไม่มีขาดทุนแน่ ผมพยายามสืบหาเจ้าของอยู่นาน พอได้เบอร์โทรแล้วคุยกับเขา เขาบอกว่าไม่ขาย

ช่วงนี้เขาก็คงไปสืบด้วยว่าใครนะที่มาขอซื้อ เพราะไม่กี่เดือนต่อมาเขาก็โทรกลับมา ใช้สรรพนามเรียกผมว่าหม่อม แสดงว่าทำการบ้านมาดี

เขาบอกว่าถ้าเขาจะขายก็จะขายคนอย่างพี่หม่อมนี่แหละ แต่ขอขายในราคาอนาคตนะครับ

แหะ ๆ พระเดชพระคุณรุนช่องที่รักและเคารพ ราคาที่ดินประมาณสี่ไร่ที่เขาบอกนะครับ ผมแทบตกจากเก้าอี้ เพราะมันแพงกว่าที่ดินห้าสิบไร่เศษ ที่ผมวางมัดจำไว้แล้วเสียอีก อ้อ ที่ผมยังไม่ต้องจ่ายแปลงนั้นครบเพราะเป็นภาระของเจ้าของที่ ที่จะต้องขอเปลี่ยนเอกสารสิทธิ์เป็นนส ๓ เสียก่อนตามสัญญา

เอาละวา เป็นไงเป็นกัน ผมก็เอาหลักทรัพย์ทุกอย่างที่ผมมีไปวางไว้กับแบ้งค์ แล้วเอาเงินมาซื้อที่ของเขา คราวนี้แหละครับ พูดได้เต็มปากว่าสุดยอด ที่ดินของผม ๕๕ ไร่ ติดหาดที่สวยที่สุด ๓ หาด

มันมีอีกปัจจัยหนึ่งที่ผมตัดสินใจสู้ราคาโดยไม่ต้องคิดนาน คือที่ดินแปลงสี่ไร่เศษนี้เขามีกิจการบังกะโลติดที่อยู่ด้วยแล้ว แม้จะเป็นโครงสร้างง่ายๆหลังคามุงจาก ประกอบด้วยร้านอาหาร บังกะโลแบบเล้าไก่ ๑๕ หลัง และที่พักคนทำงานเป็นเรือนไม้ยาว ๆ ทั้งหมดเพิ่งจะสร้างเสร็จใหม่ ๆ เขายินดียกให้ผมในราคาที่ว่าด้วย

ผมมาคิดสะระตะดู ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณกลางปี พอปลายปีจะถึงหน้าหนาวของฝรั่ง เป็นโอกาสที่ผมจะทำเงินได้ทันทีเพื่อเอามาจ่ายดอกเบี้ย แต่ถ้าเก็บค่าห้องคืนละ ๒๐ บาท อย่างเขา ผมคงไม่ได้ผุดได้เกิด จึงคิดใหม่ทำใหม่ ทำอย่างไรผมจะเก็บให้ได้สักคืนละ ๘๐ บาท ผมต้องสร้างบังกะโลใหม่ให้ครบ ๖๐ หลังในระยะที่ ๑ และเพื่อจะให้สมราคา บังกะโลของผมจะต้องมีห้องน้ำในตัว ไม่ใช่ให้ฝรั่งไปยืนแก้ผ้าอาบกันที่ห้องอาบน้ำรวม และต้องมีแสงสว่างพอสมควรยามค่ำคืน คือต้องซื้อเครื่องปั่นไฟมาให้แสงสว่างแทนตะเกียง ก็แค่บังกะโลหลังละ ๒ หลอด ในห้องนอนหลอดหนึ่ง ห้องน้ำหลอดหนึ่ง ก็คงพอจะได้ราคานั้นแล้ว ตัดสินใจเสร็จก็ไม่รอช้า ลงมือจ้างเหมาทำงานทันที

วันหนึ่งผมเกิดฟิตขึ้นมา ไปนั่งยอง ๆ ช่วยเขาต่อท่อประปา ขณะก้มหน้าก้มตาทำงาน เห็นขาของแหม่มคู่หนึ่งมายืนค้ำศีรษะ ก็เลยเหลือบตาขึ้นดู ยัยแหม่มนี่นอกจากไม่สวยแล้วยังพูดจาไม่น่าฟัง นางบอกว่าผมกำลังทำให้สวรรค์วิมานของนางล่ม ผมก็ถามว่ามันเรื่องอะไรล่ะ นางบอกว่าผมเป็นไอ้หน้าเลือดที่จะขูดรีดคนจนอย่างนาง ได้ยินพวกฝรั่งลือกันที่ร้านอาหารว่าพอต่อน้ำต่อไฟเสร็จแล้วผมจะขึ้นราคาเป็นคืนละ ๘๐ บาท ผมก็บอกว่า ไม่เป็นอะไรหรอก พวกที่อยู่ ๆ เดิมแล้วก็เก็บราคาเดิม คนใหม่เข้ามาจึงจะเก็บราคาใหม่ นางบอกว่าก็นั่นแหละ ปีหน้าไอมายูจะเก็บราคาไหน ผมว่าก็ ๘๐ บาทนะซี  นางก็บอกว่านางเป็นคนจน เป็นแค่นางพยาบาล จะมาจ่ายแพง ๆ นั้นได้อย่างไร

ผมชักเลือดขึ้นหน้าแล้ว ถามไปว่ายูมาจากประเทศไหนล่ะ แทบไม่เชื่อหู นางบอกว่ามาจากสวิตเซอร์แลนด์ ผมว่า นี่แน่ะหล่อน ประเทศของหล่อนน่ะ ฉันเคยไปมาแล้ว เงิน ๘๐ บาทนี่ ซื้อโค้กได้กระป๋องเดียว นี่บังกะโลใหม่ ที่นอนหมอนมุ้งใหม่เอี่ยม มีน้ำมีไฟฟ้า ยูยังบอกว่าแพงอีกหรือ นางก็ยังยืนยันว่าผมเห็นแก่ได้ นางจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก
 
ป่วยการพูดกับนางคนนี้ ผมหันหลังเดินหนีก่อนบันดาลโทสะ ในใจสว่างแวบขึ้นมาทันที ไม่ว่าผมจะทำโรงแรมหรือที่พักระดับไหน ก็ย่อมจะมีคนมาชี้หน้าด่าผมว่าเป็นนายทุนหน้าเลือดอยู่ดี อย่ากระนั้นเลย  ไหน ๆ จะถูกด่าผมก็จะยอมอีกครั้งเดียว  คราวหน้าผมจะทำโรงแรมให้มันระดับสุด ๆ ไปเลย


ติดตามบทบาทของ "บิ๊กหมง" ต่อไปด้วยใจระทึก  ;)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 ธ.ค. 15, 09:36
เช้านี้เอารูปบิ๊กหมงกับหมูของหมงมาประกอบเรื่องเป็นการขัดตาทัพไปพลางๆก่อน

เด็กน้อยที่เห็นคือ น้องขวัญของแม่หมู หรือ ไอ้ฝันของพ่อหมง
ในภาพนี้ใครจะรู้ไหมล่ะนั่นว่าเด็กน้อยน่ารักที่เห็นจะเติบโตเป็นช้างน้อย ขนาดยืนบังพ่อมิดทั้งตัว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ม.ค. 16, 14:20
วันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่
 
ผมขออุทิศเวลาในวันหยุดพักผ่อน ทำ ส.ค.ส. ให้ผู้ติดตามกระทู้ของผม เป็นตอนต่อของเรื่องที่คั่งค้างอยู่แล้วกันนะครับ 
ส.ค.ส.สวยๆ คำเพราะๆที่ส่งกันท่วมFBกับLine ทุกท่านคงจะรับกันไม่หวาดไม่ไหวอยู่แล้ว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ม.ค. 16, 14:28
มันมีอีกปัจจัยหนึ่งที่ผมตัดสินใจสู้ราคาโดยไม่ต้องคิดนาน คือที่ดินแปลงสี่ไร่เศษนี้เขามีกิจการบังกะโลติดที่อยู่ด้วยแล้ว แม้จะเป็นโครงสร้างง่ายๆหลังคามุงจาก ประกอบด้วยร้านอาหาร บังกะโลแบบเล้าไก่ ๑๕หลัง และที่พักคนทำงานเป็นเรือนๆไม้ยาวๆ ทั้งหมดเพิ่งจะสร้างเสร็จใหม่ๆ เขายินดียกให้ผมในราคาที่ว่าด้วย

เจ้าของที่สี่ไร่เศษที่เขาบอกขายผมในราคาอนาคตนั้น สมมุติว่าชื่อคณิตก็แล้วกัน ลูกน้องคนใต้ของเขาจะออกนามว่านายฮั๊วข่าหนิด ทั้งๆที่เขาเป็นคนกรุงเทพพื้นเพแถวรังสิต

ผมย้ำทำความเข้าใจว่า ผมต้องการสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดของเขาด้วยตามสภาพ ตามที่ผมไปเห็นกำลังก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จเตรียมจะเปิดเป็นกิจการแล้ว โดยมีสองคนผัวเมียอายุเกษียณมาแล้ว อ้างตนเป็นเจ้าของ
“ไม่มีปัญหา ถ้าหม่อมโอนเงินดาวน์ให้ผมแล้ว ภายในสามวันหม่อมไปรับมอบจากไอ้เอี๊ยดได้เลย” นายคณิตบอกกับผมทางโทรศัพท์อย่างนั้น

หลังการทำสัญญาจ่ายเงินดงเงินดาวน์กันที่กรุงเทพแล้ว ผมก็นัดหมายเดินทางลงไปกับบักหมงเพื่อรับมอบกิจการ กะกันว่าหลังรับมอบแล้วหมงจึงจะขึ้นไปกวาดต้อนสมัครพรรคพวกจากบ้านท่าแยก อำเภอสระแก้วมาทำงานบุกเบิกสักสิบคน

เวลานั้นถ้าขับรถแบบไม่รีบเร่งนักก็จะใช้เวลาประมาณ ๑๐ ชั่วโมง จากกรุงเทพถึงกระบี่ เรานอนที่อ่าวพระนางคืนนึง เช้าวันนัดหมายผมกับบักหมงก็นั่งเรือหางยาวเข้าไปที่แหลมพระนางทางด้านอ่าวน้ำเมา กำชับให้คนเรือรอรับกลับแล้ว เราก็เดินผ่านกิฟท์บังกะโล กิจการแรกที่มาบุกเบิกบนไร่เลนี้ บังกิฟท์มาเช่าที่ดินบนที่ของบังโกบ ผู้ซึ่งตกลงขายที่ดินไปให้ผมก่อนหน้าแล้วโดยมีเงื่อนไขว่า ผมต้องยอมให้บังกิฟท์ทำบังกะโลต่อโดยไม่ได้รับค่าเช่า จนกว่าจะหมดเวลา ๒ ปี ตามสัญญา ผมก็โอเคโดยดี เพราะนอกจากจะไม่อยากให้เกิดปัญหาซับซ้อนแล้ว ผมเห็นว่า กิจการบังกะโลหลายๆเจ้าจะดีกว่ามีเพียงเจ้าเดียวโดดเดี่ยว โชคดีบังกิฟท์ก็เชื่ออย่างนั้น เขากับบังยมหุ้นส่วนเป็นคนมีการศึกษา ดูเหมือนจะจบจากวิทยาลัยครู นอกจากจะคุยกับฝรั่งรู้เรื่องแล้วยังคุยกับผมรู้เรื่องด้วย

ครับ คนแถวนั้นใช่ว่าจะคุยกับคนกรุงเทพรู้เรื่องทุกคน บางเรื่องก็ทำมึน ไม่เข้าใจเสียเฉยๆ ผิดถูกกูไม่รู้กูจะเอายังงี้ก็แล้วกัน คุยด้วยก็เสียกบาลมาก

สองผัวเมียดูเหมือนจะเตรียมตัวจะเดินทางกลับพร้อมอยู่แล้วหละ ผมเห็นเตรียมข้าวเตรียมของเรียบร้อย ผัวเอนตัวรออยู่บนเก้าอี้ผ้าใบ ส่วนเมียนั่งบนแคร่ข้างโรงอาหาร สองคนผัวเมียไม่มีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเห็นผมและบักหมงเดินเข้ามาในอาณาบริเวณ  ผมกับแกเคยคุยกันหลายครั้งแล้วแบบมิตร ตอนนั้นแกยังไม่ทราบว่าผมอยากจะซื้อที่ดินแปลงนี้ แต่คราวนี้ดูท่าทีไม่เป็นเช่นเดิม นายเอี๊ยดดูจะยังแฮ้งค์ๆจากฤทธิ์เหล้า แต่คุณผู้หญิงผู้ภรรยาจะออกอาการเศร้าสร้อย ไม่พูดไม่จา ไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าผมด้วยซ้ำไป
“นายฮั้วข่าหนิดมาด่วยไม๊” นายเอี๊ยดถาม หลังจากผมทักว่าสวัสดีครับ
“ไม่นี่ เขาให้ผมมารับมอบเอง เขาว่าเขามีธุระ ไม่ว่างจะมาด้วย” ผมตอบ
“เขาฝากเงินคุณมาด้วยหรือเปล่า” เขาถามต่อ เปลี่ยนสำเนียงเมื่อนึกได้ว่าผมไม่ใช่ค่นต้าย
“เปล่าครับ เขาว่าเขาจัดการเรียบร้อยแล้ว คุณก็พร้อมจะออกแล้ว ให้ผมมารับมอบได้เลย ใช่ไหม?” ผมก็ว่าไปตามความเป็นจริง

นายเอี๊ยดดูจะทั้งหัวเสียและผิดหวัง เขาตาขวางใส่ผม “ พร้อมฮ่าอะไร ผมลงเงินลงทองไปตั้งเยอะแยะ ยังไม่มีรายรับสักบาท จะมาไล่ผมอย่างหมูอย่างหมา ผมยอมตายอยู่ที่นี่แหละ ไม่ไปโว้ย”
ว่าแล้วเขาก็หันหลังให้ผม เดินเข้าไปในห้องหลังโรงอาหารที่เขาและเมียใช้เป็นที่อยู่ที่นอน  ฝ่ายผู้เป็นเมียก็ลุกขึ้น พูดอะไรฟังไม่ถนัดรู้แต่ว่าแกแดกดันผม ผมว่า แกไม่กล้าออกอาการแรงๆอะไรกับผม เพราะเห็นไอ้หนุ่มร่างใหญ่ยืนอยู่ด้วย เสียงผัวที่ตะโกนออกมาด่าเธอ ห้ามไม่ให้พูดลอดออกมาเต็มหู ด่าเมียก็จริงแต่ก็แบบตั้งใจให้กระทบผมนิดๆ
 
เมื่อเห็นว่าภารกิจไม่สำเร็จแน่แล้ว ผมก็ชวนบักหมงกลับไปตั้งหลักใหม่ที่ที่พักเมือคืน

แต่กว่าผมจะต่อโทรศัพท์ยุคบุกเบิกกลับไปกรุงเทพได้ก็ร่วมเย็น “คุณคณิตครับ นายเอี๊ยดเขาไม่ยอมออก ทำไงดี”
“อ้าวทำไมล่ะ” เสียงทางโน้นแสดงความแปลกใจเท่าๆกับไม่พอใจ
“ฟังเหมือน เขาว่า เขาไม่ได้เงินนะ” ผมตอบเข้าเป้า ไม่อ้อมค้อม
“เฮ้ยไอ้เอี๊ยดนี่ มันจะมากไปแล้ว…(เซ็นเซ่อร์)…” เขาเอ่ยวาจาผรุสวาทกลับมา ลืมไปว่าคนฟังคือผม ไม่ใช่นายเอี๊ยด
“หม่อมไม่ต้องเป็นห่วง ผมพูดคำไหนเป็นคำนั้น เดี๋ยวผมจะไปจัดการให้เรียบร้อย”
“เมื่อไหร่ล่ะ”
“เดี๋ยว ผมจะเดินทางเดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้เช้าเราเจอกันก่อนหกโมง หม่อมเตรียมเรือไว้เลย ไอ้…(เซ็นเซ่อร์)….เอี๊ยด มันรับคำกับผมแล้วยังทะลึ่งเบี้ยวหม่อม ไอ้ฮ่านี่มันต้องโดนสั่งสอนซะบ้าง”
“โอเค พรุ่งนี้เช้า เรือเข้าทางอ่าวพระนางได้ หกโมงเจอกันหน้าหาด” ผมสรุป




กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ม.ค. 16, 14:39
นายหัวคณิตก้าวลงมาจากรถเก๋งตรงเวลานัด หน้าตาคร่ำเครียดแสดงโทษะจริตเข้าครอบงำเต็มที่ ชายคนนี้อายุน้อยกว่าผมนิดหน่อย ท่าทางเป็นนักเลงแบบบู๊ล้างผลาญ รูปร่างผิวพรรณกร้านกร้าวพอฟัดพอเหวี่ยงกับบักหมง แต่เขาดูทรุดโทรม บักหมงสดกว่า ถ้าเจอกันบนเวทีมวยไทยก็คงจะไม่ครบยก แต่นอกเวทีไม่แน่ ผมแอบเห็นเขาล้วงปืนพกออกมาจากที่ซ่อนในรถแล้วเหน็บเข็มขัดไว้ข้างหลัง ผมเชื่อว่าบักหมงก็เห็นเหมือนๆกัน เพราะดูเขาจะจงใจให้เข้าตาเรา หากต้องการไม่ให้ประเจิดประเจ้อแล้วละก็ เขาสามารถหยุดรถเพื่อจัดการให้เรียบร้อยเสียก่อนที่ไหนก็ได้ แต่เอาเถิด มองอีกแง่หนึ่ง เขาอาจจะเพิ่งตัดสินใจเอาอาวุธออกมาพก เพราะคิดว่าผมยืนรอเขาอยู่กับมือปืนประจำตัวก็เป็นได้
 
เขาไม่ได้ทักทายผมตามธรรมเนียม ผมก็ยังไม่ทันพูดอะไร เขาก็บอกว่า “ไปกันเลยครับหม่อม”
“ขับรถมาทั้งคืนเลยเหรอครับเนี่ย”  ผมถามแทนการทักตามปกติ
“ครับ ขับบ้างพักบ้าง ได้ยินหม่อมแล้วผมก็ใจร้อน กลัวหม่อมจะเข้าใจผมผิดๆ วางโทรศัพท์แล้วก็ขับรถออกมาจากบ้านเลย”
“เหนื่อยแย่ พักกินอะไรเสียก่อนไหม” ผมมองดูฟ้า ขณะนั้นฝนที่เมื่อคืนลงหนักปานฟ้ารั่วเพิ่งจะขาดเม็ด นี่มันจะเทลงมาอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมไม่อยากเปียกอยู่กลางทะเล
“ไม่ละครับ ผมไม่หิว อยากรีบไปรีบกลับให้มันเสร็จๆ ผมมีธุระสำคัญ เสร็จจากนี่แล้วก็ต้องขับรถกลับกรุงเทพเลย”
“ โอ้โห ขอบคุณนะที่มา”

แต่อากาศหลังฝนตกก็แจ่มใส คลื่นลมสงบ เรือหัวโทงวิ่งฉิวไปบนผิวน้ำที่ราบเรียบ ดูเหมือนว่าไม่มีใครจะชื่นชมธรรมชาติอันสวยงามกับอากาศแสนบริสุทธิ์กันเลย เมื่อเรือเสียบหัวบนหาดถ้ำพระนางนั้น นายหัวคณิตเป็นคนแรกที่โจนลงจากเรือ แล้วเดินหายเข้าไปในช่องทางเดินระหว่างพุ่มไม้ชายหาดโดยไม่รอใคร
ต้องเข้าใจนะครับ ในพ.ศ.นั้น เช้าๆจะหาผู้คนบนหาดไม่เจอทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่น ผมกำชับคนเรืออีกทีให้เขารออยู่ที่นั่น เรือลำนี้เราต้องไปนัดหมายเขาไว้ล่วงหน้าเพราะไม่มีใครหากินกับนักท่องเที่ยวเป็นงานประจำ อาชีพหลักของคนเรือคือประมง เราต้องว่าจ้างเขาเป็นพิเศษเพื่อให้เขางดจับปลาในวันนั้นมาให้บริการเรา จากนั้นผมก็เดินตามเขาไปอย่างไม่รีบเร่ง
 
นายหัวคณิตกำลังด่าว่าอย่างเกรี้ยวกราด โดยทั้งสองผัวเมียนั่งก้มหน้านิ่งอยู่บนแคร่ตัวเดิม ดูเหมือนการมาของเราจะขัดจังหวะอาหารเช้าของทั้งคู่ เพราะกำลังหุงข้าวไว้บนเตาฟืนควันโขมงอยู่ตรงนั้น ยังไม่ได้ยกลง
“เอาเป็นว่า มึงจะไปหรือไม่ไป” พอผมเดินเข้าไปใกล้ ก็ได้ยินเสียงเขาก็คุกคามนายเอี๊ยดแบบรุกฆาต
“ไปได้อย่างไง เงินหมดแล้ว” นายเอี๊ยดกล่าวตอบเสียงอ่อยๆ
“ไอ้ฮ่า” เขาฮึดฮัด มองซ้ายมองขวา แล้วหันไปถีบหม้อข้าวกระเด็นลงจากเตา
สองผัวเมียมิได้สะทกสะท้านต่อการกระทำอันหยาบคาย ได้แต่มองตามด้วยอาการปลงตกและสงบนิ่ง ทำให้นายหัวคณิตฮึดฮัดยิ่งขึ้นไปใหญ่
“เดี๋ยวกูยิงแม่งซะเลย” เขาไพล่มือไปใต้ชายเสื้อด้านหลัง แต่ไม่ชักออกมาสักทีจนผมปราดเข้าไปถึงแล้วจับต้นแขนข้างนั้นไว้ “ใจเย็นๆนะคุณคณิต มันไม่คุ้มกัน”
“ผมรู้ครับหม่อม แต่ผมต้องสั่งสอนไอ้นี่บ้าง” เขาจ้องที่สองผัวเมียตาถลน
ยืนมองซ้ายมองขวาบนๆล่างๆอยู่แป๊บนึง เขาก็เดินไปที่เตาแล้วหยิบฟืนที่ยังติดไฟขึ้นมาดุ้นหนึ่ง ถอยหลัง แล้วไปปามันขึ้นบนหลังคามุงแฝกทันที
“เอ้า มึงจะดื้ออยู่จะทำบังกะโลฮ่านี่ก็แล้วไป กูก็จะเผาให้สิ้นทราก”


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ม.ค. 16, 14:42
พักเครียดดูภาพสถานที่เกิดเหตุหน่อยนะครับ จุดที่เกิดเรื่องอยู่ด้านขวามือ มีพุ่มไม้กับต้นมะพร้าวเล็กๆบังไว้
ภาพนี้ถ่ายหลังเหตุการณ์จบไปแล้วไม่นาน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ม.ค. 16, 15:00
ก็ตาเหลือกน่ะสิครับ
 
หามิได้ ไม่ใช่สองคนผัวเมียที่ตาเหลือก ผมนี่แหละตาเหลือก ก็ผมไม่ใช่หรือที่จะทำบังกะโลนี้ต่อไป ถ้ามันเกิดไฟไหม้วายวอด ไม่ใช่จะต้องเสียเวลาสร้างใหม่ ซึ่งเร่งยังไงๆก็ไม่มีทางทันฤดูเงินฤดูทองของนักท่องเที่ยวเท่านั้นนะครับ  ปั๊ดโธ่ เผลอๆอาจมีคดีความบานปลาย ทำลายแผนงานทุกสิ่งทุกอย่างของผมโดยสิ้นเชิง มีหรือที่ธนาคารจะสนับสนุนการเงินให้ผมลงทุนต่อไปในพื้นที่บ้านป่าเมืองเถื่อนเช่นนั้น

แม้จะเห็นอาการพลุ่งพล่านลุกลี้ลุกลนของผมที่จะหาอะไรมาดับไฟ คว้าไม้ยาวๆอะไรไม่รู้ได้ท่อนหนึ่ง จะเขี่ยดุ้นไฟลงแต่เอื้อมสุดแขนแล้วก็ไม่ถึง บักหมงก็ยังคงนั่งอยู่บนม้าเตี้ยๆใต้เงาพุ่มไม้เล็กๆเฉยอยู่อย่างใจเย็นสุดประมาณ จนผมต้องสั่งเสียงดัง  

“เฮ้ยหมง ขึ้นไปเอาลงมาหน่อย”

ไฟที่ลุกอยู่ที่ปลายฟืนดับไปแล้วแต่ยังป็นถ่านแดงๆควันฉุยอยู่ แสดงว่าอาจจะลุกโพลงขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้เมื่อได้เชื้อจากแฝก บักหมงลุกขึ้นอย่างช้าๆเหมือนคนขี้เกียจ ดูท่าทีไม่อนาทรร้อนใจอะไรเลย เขารับไม้ท่อนยาวไปจากผม แล้วเดินโย่งๆไปที่มะพร้าวต้นเล็กๆที่ขึ้นอยู่ใกล้ชายคา แหงนหน้ามองๆนิดนึงแล้วใช้มือขวาโหนตัวขึ้นไปเหมือนชะนี มือซ้ายจับปลายด้ามไม้ ยื่นไปเขี่ยๆฟืนท่อนนั้นสองสามครั้งก็พ้นหลังคา ตกลงมาแทบเท้านายหัวคณิต

ระหว่างนั้น ทุกคนเงียบกริบได้แต่มองดูบักหมง หลังเสร็จภารกิจแสนง่ายแล้ว บักหมงก็กลับไปม้านั่งตัวเดิมแล้วหย่อนก้นลงนั่ง ท่าทางเหมือนคนดูยี่เกงานวัดรอดูฉากต่อไป

“คุณคณิต ทำอย่างนี้ผมไม่สนุกแล้ว คุณกำลังจะทำให้ผมลำบากมากกว่านายเอี๊ยดอีกนะ เขาอยากได้อะไรทำไมคุณไม่ฟังเขาบ้าง” ผมเสียงแข็งขึ้นมาจริงๆ
ท่าทีของผมทำให้นายคณิตชะงักการแสดงบทบู๊ต่อไป นายเอี๊ยดได้ทีจึงเอ่ยปากพูดขึ้นบ้าง
“นายหัวก็พูดอยู่ข้างเดียวจะให้ผมเท่าโน้นเท่านี้  ไม่ถามผมสักคำว่าพอไหม ถึงเวลา ผมก็ยังไม่ได้สักเก๊เดียว หม่อมจะมาให้ผมไปแล้ว ผมจะไปได้ยังไง”
“คุณคณิต ปัญหามันดูจะแก้ไม่ยากนะ นายเอี๊ยดแกไม่ได้จะไม่ไป แกจะไป แต่ยังไม่ได้เงิน” ผมเสริม
“เอาละ เข้าใจละ ก็กูโอนเข้าบัญขีมึงแล้วนี่”  เขาพูดกับนายเอี๊ยดก่อนหันมาพูดกับผม “หม่อมครับ ขอโทษด้วย ผมขอพูดกับมันตามลำพังหน่อย หม่อมไปคอยผมที่เรือแป๊บเดียว เดี๋ยวผมจะตามออกไป รับรองว่าผมจะไม่ทำให้หม่อมเดือดร้อน”

“ไอ้ฮ่า” นายหัวคณิตสบถกับผมเป็นคำแรกหลังจากใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที “มันก็รู้ว่าผมโอนเงินชดเชยเข้าบัญชีให้มันแล้ว แต่มันบอกว่ามันไม่มีเงินสดติดตัวสักบาท จะให้มันเดินทางกลับสุราษฏร์ได้ยังไง มันจะขออีกหมื่นนึง ไอ้...(เซ็นเซอร์)...แม่งรู้มาก...(เซ็นเซอร์)... นี่เห็นแก่หม่อมนะ ผมก็ควักให้มันไปแล้วจะได้จบๆเรื่อง มันบอกว่าขอเวลาหุงข้าวกินหน่อยแล้วจะไป ผมว่าหลังเที่ยงหม่อมเข้ามาใหม่ได้เลย ผมเอาหัวเป็นประกัน ไม่มีปัญหาอีกแน่นอน”

นายหัวคณิตเดินทางกลับกรุงเทพทันทีเมื่อขึ้นจากเรือถึงฝั่ง และเมื่อผมกลับลงไปที่บังกะโลนั่นอีก นายเอี๊ยดกับเมียกำลังนั่งอยู่ที่ชายหาดพร้อมกับสัมภาระ รอเรือที่จะผ่านเข้าไปสักลำเพื่อที่จะได้อาศัยออกมา ดูทั้งสองผัวเมียมีสีหน้าผ่อนคลาย สบายใจขึ้น อย่างน้อยนายเอี๊ยดก็พูดกับผมอย่างเป็นมิตร และเมียเขายิ้มให้ผมเมื่อเราลาจาก ผมให้เรือที่ผมเช่าเหมาไว้ทั้งวันไปส่งทั้งคู่ที่อ่าวพระนาง บักหมงก็แสดงน้ำใจ ช่วยขนข้าวขนของลงเรือโดยที่ผมไม่ได้สั่ง


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ม.ค. 16, 15:12
ระหว่างที่รอเรือย้อนกลับมารับ ผมกับบักหมงก็เดินสำรวจอาคารสถานที่ ทุกอย่างคงสภาพเรียบร้อย  ผมเดินไปพิจารณาหลังคาที่นายหัวคณิตโยนฟืนที่ลุกโพลงเหมือนคบไฟขึ้นไปอีกครั้ง นี่ดีนะ เดชะบุญแท้ๆ มีรอยไหม้เพียงนิดหน่อยแทบมองไม่เห็น  นึกถึงภาพที่เขาค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วโหนกิ่งมะพร้าว เอื้อมมืออีกข้างไปเขี่ยๆท่อนฟืนยังติดตาผมอยู่ มันช่างใจเย็นเหลือประมาณกับความเป็นความตายของผม  คิดแล้วผมเกิดอารมณ์ยั๊วะขึ้นมาทันที ยังไม่ได้ด่าบักหมงเลย
 
“ เฮ้ยหมง ไอ้ฮ่า” ผมก็ใช้คำพูดแบบเดียวกับนายหัวคณิตได้คล่องไม่น้อย “ทำไมใจเย็นนักวะ ไอ้คณิตมันโยนไฟขึ้นไปบนหลังคาแฝก ไหงไม่อนาทรร้อนใจเลย ไฟไหม้ขึ้นมาซิ๊ปหายไปจะว่ายังไง”
“โอ้ย ไม่ไหม้หรอกขรับ” เขามองผมด้วยสายตาแบบดูถูกภูมิปัญญากันชัดๆ
“รู้ได้ยังไงวะจะไม่ไหม้ ไอ้ฮ่า ฟืนมันยังติดไปอยู่ หลังคาแฝกมันเป็นหญ้า ทำไมจะติดไฟไม่ได้”
“ไม่ติดหรอกขรับ ฝนเพิ่งหยุดตก หลังคาเปียกฉ่ำออกอย่างงั้น”  เขาหัวเราะในลำคอ 
“นายหัวคณิตมันก็รู้ ผมเห็นมันไม่ได้ตั้งใจจะเผาจริงๆหร๊อก ข่มขู่ไปยังงั้นแหละ ถ้าเอาจริงๆ มันยืนอยู่ใต้ชายคา เอาไฟจ่อข้างใต้ ตรงนั้นแฝกมันแห้ง ยังไงๆไฟก็ติดแน่นอน”

น้ำเสียงมันแบบว่า ผมทำเป็นตื่นเต้นเกินเหตุไปได้  เออแฮะ  ผมพิจารณาดูก็จริงของเขา ตอนที่บักหมงเขี่ยฟืนตกลงมานั้น ผมสังเกตุเห็นสีหน้าโล่งใจของนายหัวคณิตเข้าเหมือนกัน  คิดว่าเขาเก็งผิด น่าจะมีใครคนใดคนหนึ่งช่วยเขี่ยมันลงเร็วกว่านี้ เพราะหากว่าพลาดพลั้งไป ข้อหาวางเพลิงต้องติดคุกเมืองกระบี่นี่ ไม่ใช่เคราะห์กรรมธรรมดาๆเลยทีเดียว
 
บักหมงนี่ เค้ามีดีของเค้าจริงๆ ผมเลือกไม่ผิดหรอกที่เอามาเป็นรปภ.คู่กาย


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ม.ค. 16, 17:51
เข้ามาสวัสดีปีใหม่ หม่อม NAVARAT.C ค่ะ

เหตุการณ์ตอนนี้ ทำละครหลังข่าวได้เลยนะคะเนี่ย     
ถ้าแคสดาราได้ณเดชน์มาเล่นเป็นบิ๊กหมงละก็  เรตติ้งพุ่งโลด   นายหัวคณิต อาจจะต้องมอบบทให้ป๋อ ณัฐวุฒิ  มาเล่น  นอกจากฝีมือเฉียบขาด  เล่นได้ทั้งร้ายและดี   ผิวยังเข้มสมกับบทชาวใต้
ส่วนเจ้าของบังกะโลรายใหม่     ขออู๋ ธนากร มาเล่นดีกว่า  มาดเด็กเก่ามหาดเล็กหลวงเหมือนกัน   


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ม.ค. 16, 18:05
ดารานำ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 ม.ค. 16, 07:00
ท่านอาจารย์ใหญ่ก็ว่าซะ ผมไปต่อไม่ถูกเลย


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: walai ที่ 02 ม.ค. 16, 07:48
 :Pจากกระทู้..ต่อไปเป็น..หนังสือ..ละคร...จบด้วย ..ภาพยนต์...นะคะ@


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 ม.ค. 16, 08:12
ดี๋ ฮี ฮี ฮี่ ฮีม....ดรี้ม ดริ้ม ดรีม.....ดี๋  ฮี ฮี ฮี่ ฮีม

สงสัยจะรวยเละแล้ว อัตโน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 02 ม.ค. 16, 08:43
จากกระทู้..ต่อไปเป็น..หนังสือ

เดินหน้าทีละขั้น ตอนนี้ได้ ๓ เรื่องแล้ว  ;D

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=6418.0;attach=60050;image)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 ม.ค. 16, 09:04
อยากอ่านกระทู้ของคุณหมอเพ็ญชมพูบ้างง่ะ

เอาแบบที่ไม่ได้ต่อท้ายว่าประหลาดๆนะครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 02 ม.ค. 16, 09:14
:Pจากกระทู้..ต่อไปเป็น..หนังสือ..ละคร...จบด้วย ..ภาพยนต์...นะคะ@

ถ้าเป็นหนังก็ต้องเป็นหนังฮ่องกงเกรดเอ ประมาณพวกเจ้าพ่อที่เชือดเฉือนกันด้วยชั้นเชิง เพราะบิ๊กหมงจัดอยู่ในประเภทมือขวาที่ใช้มันสมอง ไมใช่อย่างในหนังเกรดบีที่เอะอะก็ "เดี๋ยวผมลุยมันเองครับ เจ้านาย" ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ม.ค. 16, 09:27
เจ้าของเค้าเลือกชื่อ เสเพลบอยชาวไร่เล  ไม่ใช่หรือคะ คุณหมอเพ็ญชมพู


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 ม.ค. 16, 09:43
ด้วยความสัตย์ ผมยังไม่ได้ปลงใจกับชื่อใดๆเลยครับ ไม่อยากใช้ชื่อไร่เล เพราะปัจจุบันหมายถึงกลุ่มที่พักบังกะโลโรงแรมบาร์เบียร์ฯลฯ ที่ต่อแดนไปจากดินแดนที่อดีตเป็นบังกะโลพระนางเพลส
ส่วนเสเพลบอยในความหมายของ 'รงค์ วงศ์สวรรค์ คือเสเพล+เพลย์บอย ไม่ค่อยโดนผมหรือบิ๊กหมงเท่าไหร่

 


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 02 ม.ค. 16, 09:52
อยากอ่านกระทู้ของคุณหมอเพ็ญชมพูบ้างง่ะ

เชื่อว่าทุกคนต้องมีบางช่วงของชีวิตที่น่าสนใจ แต่สิ่งที่ทุกคนมีไม่เท่ากันคือ "พรสวรรค์" ในการถ่ายทอดเรื่องนั้นเป็นตัวหนังสืออย่างมีอรรถรสชวนให้ติดตาม ในเรือนไทยนี้นอกจากท่านเจ้าเรือน มองไปรอบ ๆ แล้ว ก็เห็นมีแต่คุณนวรัตนนี่แหละที่พอจะขึ้นแท่นเป็นนักเขียนระดับแนวหน้าได้ อีกคนหนึ่งที่พอจะมองเห็นคือดอกเตอร์ประกอบ ถ้าหากขยันเขียนสักนิดก็น่าจะพอขึ้นแท่นในแนวทางนี้ได้ และมีอีกหลายท่านในเรือนไทยที่อยากจะเอาดีทางด้านนี้ แต่ยังไมเห็นผลงาน

ส่วนเพ็ญชมพูนามนี้ขออยู่ข้างท้าย คอยเฝ้าดูชาวเรือนไทยทั้งหลายแสดงฝีมือ และเอาใจช่วย  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 ม.ค. 16, 10:06
^


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 02 ม.ค. 16, 10:10
อยากอ่านกระทู้ของคุณหมอเพ็ญชมพูบ้างง่ะ

เชื่อว่าทุกคนต้องมีบางช่วงของชีวิตที่น่าสนใจ แต่สิ่งที่ทุกคนมีไม่เท่ากันคือ "พรสวรรค์" ในการถ่ายทอดเรื่องนั้นเป็นตัวหนังสืออย่างมีอรรถรสชวนให้ติดตาม ในเรือนไทยนี้นอกจากท่านเจ้าเรือน มองไปรอบ ๆ แล้ว ก็เห็นมีแต่คุณนวรัตนนี่แหละที่พอจะขึ้นแท่นเป็นนักเขียนระดับแนวหน้าได้ อีกคนหนึ่งที่พอจะมองเห็นคือดอกเตอร์ประกอบ ถ้าหากขยันเขียนสักนิดก็น่าจะพอขึ้นแท่นในแนวทางนี้ได้ และมีอีกหลายท่านในเรือนไทยที่อยากจะเอาดีทางด้านนี้ แต่ยังไมเห็นผลงาน

ส่วนเพ็ญชมพูนามนี้ขออยู่ข้างท้าย คอยเฝ้าดูชาวเรือนไทยทั้งหลายแสดงฝีมือ และเอาใจช่วย  ;D

งั้น ขอเสนอชื่อเข้าชิงเอาไว้ล่วงหน้าเลยนะคะ 'เรื่องสั้นชุดชาวเรือน' ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ม.ค. 16, 10:14
ส่วนเพ็ญชมพูนามนี้ขออยู่ข้างท้าย คอยเฝ้าดูชาวเรือนไทยทั้งหลายแสดงฝีมือ และเอาใจช่วย  ;D

ว้า...อดเลย..


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 04 ม.ค. 16, 14:09
อีกคนหนึ่งที่พอจะมองเห็นคือ ดอกเตอร์ประกอบ  ถ้าหากขยันเขียนสักนิดก็น่าจะพอขึ้นแท่นในแนวทางนี้ได้ และมีอีกหลายท่านในเรือนไทยที่อยากจะเอาดีทางด้านนี้ แต่ยังไมเห็นผลงาน

ส่วนเพ็ญชมพูนามนี้ขออยู่ข้างท้าย คอยเฝ้าดูชาวเรือนไทยทั้งหลายแสดงฝีมือ และเอาใจช่วย  
;D

ถ้าเรื่องสั้นชุด "ชาวเรือน" เป็นละครทีวีเมื่อไหร่   จะให้ใครเล่นเป็นคุณชลิโต ก็บอกมาได้นะคะ

ผมจองบทพระเอกไว้นะครับ  ส่วนนางเอกขอหลายๆ คนเลย ;D  ;D  ;D

ดอกเตอร์จะรับบทเป็นอะไร และนางเอกสักกี่คน ลงมือเขียนเรื่องลงกระทู้เรือนไทยได้ ณ บัดนี้  ;D  ;D  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 04 ม.ค. 16, 14:48
อีกคนหนึ่งที่พอจะมองเห็นคือ ดอกเตอร์ประกอบ  ถ้าหากขยันเขียนสักนิดก็น่าจะพอขึ้นแท่นในแนวทางนี้ได้ และมีอีกหลายท่านในเรือนไทยที่อยากจะเอาดีทางด้านนี้ แต่ยังไมเห็นผลงาน

ส่วนเพ็ญชมพูนามนี้ขออยู่ข้างท้าย คอยเฝ้าดูชาวเรือนไทยทั้งหลายแสดงฝีมือ และเอาใจช่วย  
;D

ถ้าเรื่องสั้นชุด "ชาวเรือน" เป็นละครทีวีเมื่อไหร่   จะให้ใครเล่นเป็นคุณชลิโต ก็บอกมาได้นะคะ

ผมจองบทพระเอกไว้นะครับ  ส่วนนางเอกขอหลายๆ คนเลย ;D  ;D  ;D

ดอกเตอร์จะรับบทเป็นอะไร และนางเอกสักกี่คน ลงมือเขียนเรื่องลงกระทู้เรือนไทยได้ ณ บัดนี้  ;D  ;D  ;D

ดูจากคาร์แรคเตอร์พระเอก+พล็อตเรื่องที่มีนางเอกเป็นโหล  น่าจะชื่อเรื่อง "ร้ายเสน่หา"  ;D 


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ม.ค. 16, 15:56
แนวสยองขวัญรึเปล่าคะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 07 ม.ค. 16, 08:21
ท่านอาจารย์ใหญ่ก็ว่าซะ ผมไปต่อไม่ถูกเลย
อาจารย์ไปไหนแล้วคะ ???


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 07 ม.ค. 16, 08:37

[/quote]
อีกคนหนึ่งที่พอจะมองเห็นคือ ดอกเตอร์ประกอบ  ถ้าหากขยันเขียนสักนิดก็น่าจะพอขึ้นแท่นในแนวทางนี้ได้ และมีอีกหลายท่านในเรือนไทยที่อยากจะเอาดีทางด้านนี้ แต่ยังไมเห็นผลงาน

ส่วนเพ็ญชมพูนามนี้ขออยู่ข้างท้าย คอยเฝ้าดูชาวเรือนไทยทั้งหลายแสดงฝีมือ และเอาใจช่วย  
;D

ถ้าเรื่องสั้นชุด "ชาวเรือน" เป็นละครทีวีเมื่อไหร่   จะให้ใครเล่นเป็นคุณชลิโต ก็บอกมาได้นะคะ

ผมจองบทพระเอกไว้นะครับ  ส่วนนางเอกขอหลายๆ คนเลย ;D  ;D  ;D

ดอกเตอร์จะรับบทเป็นอะไร และนางเอกสักกี่คน ลงมือเขียนเรื่องลงกระทู้เรือนไทยได้ ณ บัดนี้  ;D  ;D  ;D

ดูจากคาร์แรคเตอร์พระเอก+พล็อตเรื่องที่มีนางเอกเป็นโหล  น่าจะชื่อเรื่อง "ร้ายเสน่หา"  ;D 

แนวสยองขวัญรึเปล่าคะ

ขยายพล็อตจากชิงรักหักสวาท ให้ออกแนวสยองขวัญก็ได้ค่ะ ตอนท้ายให้พระเอกหายตัวไปอย่างลึกลับ นางเอกทั้งโหลตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าพัวพันกับคดีนี้ FBI , CIA, KGB, ต่างพากันมึนตึ้บ จับมือใครดมไม่ได้ สุดท้าย CSI เป็นคนคลี่คลายคดีนี้ จับได้ว่าหนึ่งในนางสิบสองเป็นมนุษย์ไคเมรา หลังลาย 


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ม.ค. 16, 09:09
พล็อตนี้แก้วเก้ายังจนปัญญา  ต้องดร.ประกอบเท่านั้นถึงจะเขียนได้


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 10 ม.ค. 16, 10:28
สงสัยด๊อกเตอร์ไปเที่ยวปีใหม่ต่อด้วยวันเด็กยังไม่กลับ

ผมมาต่อเรื่องของบิ๊กหมงอีกตอนหนึ่งก็แล้วกัน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 10 ม.ค. 16, 10:29
บนถนนสายกระบี่

ผมกับบิ๊กหมงขึ้นล่องกรุงเทพกระบี่เป็นว่าเล่นเมื่อทำกิจการบังกะโล เพราะต้องขนข้าวของสัมภาระใส่รถตู้ลงไปทำงานซ่อมสร้าง ส่วนใหญ่เราจะออกเดินทางกลางคืนไปสว่างเอาก่อนจะถึงที่หมายสักชั่วโมงสองชั่วโมง เส้นทางสะดวกที่สุดที่เลือกใช้ก็คือ หลังแยกเมืองสุราษฎร์มาแล้วก็เลี้ยวขวาเส้นเข้าแยกอำเภอเวียงสระ ทางนั้นเป็นทางหลวงชั้นสองที่ค่อนข้างจะเปลี่ยว ผ่านอำเภอพระแสง อำเภอปลายพระยา ไปเลี้ยวเข้าทางหลวงหลักที่อำเภออ่าวลึก แล้วมุ่งสู่เมืองกระบี่ ถ้าจะยังจำกันได้อำเภอเวียงสระคือตำแหน่งที่พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดีถูกผู้ก่อการร้ายยิงสิ้นพระชนม์นะครับ แม้เวลาจะผ่านไปนานพอสมควร กิตติศัพท์นี้ก็ยังเลื่องลืออยู่ว่าชาวบ้านบางกลุ่มบางพวกยังพูดให้เข้าหูกันยาก ช่วงที่ผมเดินทางขึ้นล่องบ่อยๆนั้นมีข่าวดังสองข่าว ข่าวแรกว่ามีรถตู้สีขาวตระเวนฉุดเด็กในที่เปลี่ยวขณะเดินไปโรงเรียน เพื่อเอาไปขายในมาเลเซีย เหตุเกิดซ้ำซ้อนขึ้นหลายครั้งแล้ว อีกข่าวหนึ่งก็คือ นานทีปีหนจะมีใครที่ไหนไม่รู้ นัดกันมาสวมบทโจรปิดถนนกลางดึก  แล้วปล้นรถทีเดียวสิบกว่าคันก่อนจะหนีหายเข้าป่าทึบข้างทาง เพื่อแบ่งสมบัติกันก่อนจะแยกย้ายกลับบ้าน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 10 ม.ค. 16, 10:30
คืนที่เกิดเรื่องนั้นผมเป็นคนขับ ส่วนหมงก็ตื่นแล้วตั้งแต่แยกเข้าเวียงสระ เพราะถนนมันขรุขระบางช่วงรถตกหลุมเป็นระยะๆ  ไม่ราบเรียบเหมือนทางหลวงสายหลัก ขณะฟ้าเริ่มจะสางผมมองตามแสงไฟหน้ารถไปข้างหน้าเห็นเงากลุ่มคนกลุ่มใหญ่ยืนออกันอยู่บนถนน  มีต้นไม้ขนาดย่อมๆถูกโค่นลงมาขวางถนนไว้ด้วย  ผมก็ชะลอรถทันทีโดยสัญชาตญาณ  เราหยุดอยู่ห่างจากจุดนั้นประมาณสักยี่สิบเมตรเห็นจะได้

“ถอยได้ไหมวะ หมง” ผมก็ถามไปยังงั้นแหละ เพราะเปลี่ยนเกียร์เป็นถอยหลังแล้วเริ่มขยับช้าๆ บิ๊กหมงเปิดกระจกยื่นหัวออกไปดู ผมเร่งเร็วขึ้นไปได้อีกนิดเดียวเพราะมันมืดมาก

“ยุด ๆ ยุดเดี่ยวหนี่” เสียงตะโกนตะเบ็งมาจากข้างหน้า ไฟฉายหลายดวงระดมพุ่งแสงมาที่เรา ชายสองสามคนสาวก้าวเดินออกมามุ่งสู่รถ สองคนถือปืนยาวอยู่ในท่าที่พร้อมจะยกขึ้นประทับบ่า จากแสงที่วอมแวมผมเห็นชัดกับตาว่าคนกลุ่มนี้สวมเครื่องแบบตำรวจ  แม้คนพุงพลุ้ยที่เดินนำมาจะมีผ้าขาวม้าคาดพุงอยู่ก็ตาม

ผมก็เลยหยุด


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 10 ม.ค. 16, 10:34
ลุงจ่าแกเดินเข้ามาหาผมด้วยความระมัดระวัง ตอนนั้นผมลดกระจกลงจนหมดแล้วนั่นพิงหลังรอแกอยู่  พอมาถึงผมก็ร้องทักหวัดดีครับออกไปก่อน

“จาไปหนั้ย” แกถามขณะที่ฉายไฟแบบระวังตัวสุดๆกลัวลูกสวน แล้วเมียงมองเข้ามาในรถ ลูกน้องสองนายที่ถือปืนก็อยู่ในท่าเตรียมพร้อมเต็มพิกัด
“ไปกระบี่ครับ” ผมตอบ

ตอนนั้นคนกลุ่มใหญ่เดินมาถึงแล้วและล้อมรถไว้ทุกด้าน  ต่างคนต่างช่วยกันฉายไฟผ่านกระจกรถเข้าไปดูข้างใน พอเห็นข้าวของที่ผมขนมาก็แสดงอาการคล้ายๆผิดหวัง

“ขนของไปทำอะไรกัน มากมาย” ลุงจ่าเปลี่ยนสำเนียงเมื่อได้ยินผมพูดตอบด้วยสำเนียงคนกรุงเทพ “ขอดูใบขับขี่ด้วย”
“ไปทำบังกะโลกันอยู่ครับ” ผมยื่นบัตรส่งให้ จ่ารับไปดูเห็นชื่อผมแล้วก็เสียงอ่อนลงเล็กน้อย

“เรียกให้หยุดแล้วทำไมไม่หยุด” ลุงจ่าถามแบบว่าไม่ได้จะเอาเรื่องอะไร
“ก็ผมคิดว่าโจรปล้น ก็ออกมากันซะอย่างนั้น” ผมก็ตอบลุงจ่าไปแบบว่าลุงจ่านั่นแหละหาเรื่อง
“หน่วยเหนือแจ้งมาว่า มีรถตู้สีขาวเพิ่งจับเด็กมาจากพุนพิน อาจผ่านมาทางนี้ เนี่ยะ พวกนี้ราษฎรอาสาทั้งนั้น” ลุงจ่าพูดเหมือนแก้ตัว
“เชิญครับเชิญ” ลุงจ่าถอยออกไป “ขออภัยในความไม่สะดวกด้วย”

ว่าแล้วลุงจ่าก็ส่งสัญญาณให้คนที่รออยู่ทางโน้นลากต้นไม้เบี่ยงออกไปจากพื้นที่ถนน พอให้รถผมผ่านได้ ตอนผ่านชาวบ้านกลุ่มนี้ไปช้าๆ เห็นมีดไม้นัยน์ตาของชายหญิงที่จ้องเขม็งมายังเราแล้ว  รู้สึกทันทีว่าถ้าพวกลักพาเด็กถูกจับได้ที่ด่านนี้ละก็ มีหวังโดนศาลเตี้ยน่วมแน่
“พ้มว่าคุณหม่อมเปลี่ยนรถได้แล้วละขรับ” บิ๊กหมงว่า หลังจากที่เราผ่านเหตุการณ์นี้ไปแล้ว “รถตู้สีขาวมันจะไม่ถูกโฉลกเท่าไหร่กับแถวนี้ นี่ถ้ามันยิงออกมา พ้มว่า มีได้มีเสีย”

(ยังมีต่อ)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ม.ค. 16, 14:42
อู๋ แอนด์ ณเดชน์   คัมแบ๊ค !!!
เชิญขาประจำกลับมาจองเก้าอี้แถวหน้ากันด่วน ค่ะ   


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ม.ค. 16, 17:36
ไม่มีใครมากดไลค์เลยหรือเนี่ย  
เดี๋ยวก็อดอ่านหรอกค่ะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 ม.ค. 16, 17:46
อู๋ แอนด์ ณเดชน์   คัมแบ๊ค !!!
ติดตาม น้าราม  เอ๊ย คุณนวรัตน อยู่เสมอ  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 10 ม.ค. 16, 19:23
โอ้โฮคุณหม่อมเรอะเนี่ย


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 10 ม.ค. 16, 20:03
เข้มจนเคลิ้ม ;)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 10 ม.ค. 16, 20:39
มีแบบนี้มั้ยครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ม.ค. 16, 20:57
 ???
ใครหนอ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 10 ม.ค. 16, 21:18
แล้วก็อุบไว้ตั้งนาน ทั้งเข้มทั้งคม
คุณอู๋ชิดซ้ายหลบรุ่นพี่ไปก่อนนะครับ
ถ้าได้เข้าวงการซะแต่ตอนนั้น ตั้วก็ตั้วเหอะ :P


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 10 ม.ค. 16, 22:05
???
ใครหนอ

ตามนี้เลยครับ ใครจะมาจ้างไปเล่นเรื่องอะไรขอให้บอก


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 ม.ค. 16, 08:37
แต่ผมก็ยังไม่เห็นความสำคัญของการซื้อรถใหม่เท่าไหร่ เพราะเจ้าNissan Vannette ที่ใช้อยู่นั้นเป็นรถเครื่องดีเซลประหยัดค่าน้ำมันที่นุมนวลแต่ถึกมาก ขนาดกำลังดี ผมใช้วิ่งเส้นทางกรุงเทพ-เชียงใหม่-กรุงเทพ-กระบี่ ไปรู้กี่เที่ยวต่อกี่เที่ยว ไม่เคยมีปัญหา รู้สึกรักรถคันนี้สุดๆ เมื่อปลดระวางไปแล้วก็ไม่อาจทำใจขายต่อได้ ราคาที่เต้นท์เสนอให้มันน้อยนิดสำหรับความทรงจำที่ผมมีต่อมัน คงเป็นความรู้สึกเดี๋ยวกับเถ้าเก๋เจ้าของเหลาที่เอาไม้คานสมัยหาบก๋วยเตี๋ยวเร่ขายไปปิดทอง แล้วนำมาแขวนผนังให้ลูกๆได้ตระหนักว่าเตี่ยก่อร่างสร้างตนเองมาอย่างไร

ลูกผมให้ฉายารถของพ่อคันนี้ว่าลูกรถ บอกกับใครๆว่าพ่อรักเหมือนลูก อ้ายน่านก็เกินปาย

ผมเก็บมันไว้เฉยๆสักยี่สิบปีกระมัง สุดท้ายก็ให้คนในบ้านที่มาแทนบิ๊กหมง ผู้ลาไปเป็นหมอหมง และเสี่ยหมงตามลำดับ เจ้าของใหม่ยกเครื่องเรียบร้อยแล้วเอาไปทำสีใหม่ตามที่เห็น แม้จะขัดตาผมหน่อยเพราะไม่ใช่สีขาวเดิมๆของมัน แต่ก็เอาละ นั่นมันรสนิยมของเค้า มีคนเอาไปใช้ประโยชน์ก็ดีกว่าปล่อยให้ผุไปเป็นเศษเหล็ก


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 11 ม.ค. 16, 09:40
???
ใครหนอ

ตามนี้เลยครับ ใครจะมาจ้างไปเล่นเรื่องอะไรขอให้บอก

เล่นเป็นบทท่านชายในเรื่องนี้ไหมครับ ....อิอิ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 11 ม.ค. 16, 10:07
คู่พระ คู่นาง ในรั้วจามจุรี  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ม.ค. 16, 10:46
มีพระเอกนางเอกครบแล้วค่ะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 ม.ค. 16, 10:58
ุึขาดโปรดิวเซอร์ง่ะครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ม.ค. 16, 11:07
ตั้งตู้รับบริจาคบนนอกชานเรือนไทยค่ะ

อ้างถึง
สุดท้ายก็ให้คนในบ้านที่มาแทนบิ๊กหมง ผู้ลาไปเป็นหมอหมง และเสี่ยหมงตามลำดับ

โอวววว   ละครทีวี บิ๊กหมง  มาแรงแน่ๆ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: นางมารน้อย ที่ 11 ม.ค. 16, 16:46
เข้ามาชูป้ายไฟให้ท่านอาจารย์ค่ะ ;D ;D ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: yanang ที่ 11 ม.ค. 16, 19:50
ลงทะเบียนเข้ามากราบอาจารย์ใหญ่ และอาจารย์ใหญ่กว่า  ;D
นักเรียนหายหน้าหายตาไปค่อนข้างนาน ด้วยหน้าที่การงานรุมเร้า
แต่มาแล้ว ก็ตั้งใจเรียนจนตาแฉะกันเลยทีเดียวค่ะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 11 ม.ค. 16, 20:00
ตั้งตู้รับบริจาคบนนอกชานเรือนไทยค่ะ

อ้างถึง
สุดท้ายก็ให้คนในบ้านที่มาแทนบิ๊กหมง ผู้ลาไปเป็นหมอหมง และเสี่ยหมงตามลำดับ

โอวววว   ละครทีวี บิ๊กหมง  มาแรงแน่ๆ


น่าดูทั้งสองเรื่องเลยค่ะ 'บิ๊กหมง' เป็นละครทีวี ดูฟรีอยู่แล้ว ส่วน 'บ้านทรายเงิน' พระเอกกับโพรดิวเซอร์ก็เป็นคนเดียวกันได้ ไม่ผิดกติกาหรอกนะคะ  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 ม.ค. 16, 20:57
ขอบคุณคุณมารน้อยกับคุณย่านางนะครับ
ส่วนคุณแอนนา ความคิดที่ว่าพระเอกกับโพรดิวเซอร์ก็เป็นคนเดียวกันได้นั้น น่าจะเป็นไปได้ที่สุด จริงครับ เรื่องนี้ไม่ต้องจ้างใครเพราะผมแสดงคนเดียว ถ่ายทำระบบเซลฟีนีมาสโคป ตัดต่อเองแล้วก็ดูเองด้วย

อิ อิ บ้านทรายเงิน ดังแน่ๆเลยอัตโน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 ม.ค. 16, 08:07
(เรื่องสยองบนถนนกับบิ๊กหมง-ต่อ)

อยู่มาวันหนึ่งไปเจอของดีเข้าที่เต็นท์แถวรัชดา เห็นรถที่ดังมากๆเมื่อสิบกว่าปีก่อนหน้ามาจอดให้คนงานขัดสีฉวีวรรณอยู่  ความที่ชอบรถพันธุ์นี้มาก ผมจึงเข้าไปเมียงมอง ยิ่งพิศยิ่งงาม เจ้าของเต็นท์เห็นว่าผมคงสนใจจริงเลยเดินเข้ามาสนทนา

“รถของคุณโชคชัยน่ะครับ” เขาเอ่ยแทนคำสวัสดี ห้ามถามต่อนะครับโชคชัยไหนผมจะไปรู้ได้ไง
“แล้วทำไมเขาถึงขายละครับ สภาพยังดีอยู่เลย” พูดไปงั้นๆเช่นกัน
“โอ๊ย คุณโชคชัยแกมีรถสิบกว่าคัน จอดเต็มโรงรถ เบนซ์ บีเอ็ม มีตั้งสามสี่คันทั้งเก๋งทั้งสปอร์ต อะไรอีกล่ะ เดมเลอร์ก็ยังมีเลย พอซื้อคันใหม่มาไม่มีที่จะจอดแกก็ขายคันเก่าๆไปเพื่อเอาที่ แต่คันนี้แกหวงไว้นานนะ รถอื่นบางทีสามสี่ปีแกก็ให้ผมไปเอามาขายแล้ว” เสี่ยเต็นท์พูดเสียงดัง
“แกชอบตรงนี้ไง” กล่าวแล้วเฮียแกก็เปิดประตูหลังออกมากว้างขวาง “ คุณลองไปนั่งซี่ เนี่ยเล้กรูม(leg room)ยาวขึ้นตั้ง๓๕เซนต์นะ เป็นรุ่นสำหรับบุคคลระดับผู้นำใช้ไง แกให้บริษัทสั่งพิเศษมาให้แกเลย รุ่นนี้ที่ฟรองซัวส์ มิแตรรองด์ใช้เชียวนะคุณ”

ชื่อที่เขาเอ่ยน่ะประธานาธิบดีฝรั่งเศสนะขอรับพระคุณท่าน  ผมรีบซี๊ดปากไว้เพื่อไม่ให้น้ำลายหกไปเลอะรถเค้า “แล้วตั้งใจจะขายเท่าไหร่ครับ” มาถึงตรงนี้แล้วก็ต้องถาม
“นี่คุณมาเห็นตั้งแต่ผมเพิ่งขับเข้ามาจอด ยังไม่ทันได้ตั้งราคาเลย เอางี้แล้วกัน ถ้ารักจริงชอบจริง ผมเอาสามแสนห้าแล้วกัน กำไรนิดหน่อยพอแล้ว”
“ฮ้า” ผมร้องในใจดังสนั่นได้ยินไปทั่วอู่ รถคันนี้ใหม่ๆร่วมสองล้านตอนที่ผมมีเงินเดือนสองพันห้า เดี๋ยวนี้ราคาที่เขาว่ามาผมไหวนะครับเนี่ย พี่น้อง

เขียนมาถึงตรงนี้ ต้องขอร้องคุณหมอเพ็ญชมพูนะครับ หากท่านเคยอ่านเรื่องนี้ของผมเจอที่ไหน กรุณาอย่าเพิ่งเอาไต๋มาเผยก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะไปต่อไม่เป็น ผมเขียนจากเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องแต่งที่จะสร้างมุกได้ดังใจ เคยเขียนไว้ที่ไหนอย่างไร เขียนขึ้นอีกกี่ครั้งๆก็อย่างนั้น ส่วนท่านอยากรู้อะไรก็ส่องเห็นไปเสียหมด ขนาดรูปผมกับภรรยาตอนเป็นแฟนกันยังค้นหามาลงได้ เชื่อเลย
นี่ถ้าเป็นแฟนคนละคนกัน ผมเละไปแล้ว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 12 ม.ค. 16, 08:33
“รถของคุณโชคชัยน่ะครับ” เขาเอ่ยแทนคำสวัสดี ห้ามถามต่อนะครับโชคชัยไหนผมจะไปรู้ได้ไง

กำลังจะเฉลยเชียวว่า "โชคชัย" ไหน เผอิญอ่านตรงที่คุณนวรัตนขอร้องไว้ เลยต้องหยุดไว้ก่อน  :-X


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 ม.ค. 16, 08:49
เฮอออออออ โล่งอก
ไปเฉลยคนละโชคชัยเข้าละแย่แน่ เพราะไม่ใช่คนแถวๆบ้างบ้านคุณหมอเพ็ญนะครับ ขอบอก


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 ม.ค. 16, 08:59
คุณหมออึดไว้อีกหน่อยนะครับ อย่าเพิ่งเปิดโปงอะไรต่อ

ผมพาผู้หญิงคนเดียวกับในรูปที่คุณเพ็ญเอามาแปะไปลองรถซีตรองคันดังกล่าว ซึ่งเป็นตัวท๊อปเรียกว่ารุ่นเพรสตีจ ซึ่งถือเป็นเรือธงของรถฝรั่งเศสทุกรุ่นทุกยี่ห้อ

บริษัทผลิตรถซีตรองโด่งดังมาจากการออกแบบรถที่แหวกแนวชาวบ้านไม่เหมือนใคร นอกจากรูปทรงเพรียวลมสะดุดหัวใจชาวโลกแล้ว ที่เด็ดที่สุดคือระบบกันสะเทือนแบบไฮโดรลิก ในขณะที่รถอื่นทั้งหลายใช้แหนบหรือสปริงควบกับโชคอัพ ทำให้รถเคลื่อนตัวไปบนถนนคล้ายมีเบาะลมรองรับไปตลอดทาง สมัยเป็นวัยรุ่นเคยนั่งรถซีตรองของญาติไปเมื่องกาญจน์ ถนนลูกรังฝุ่นตลบแต่รถคันนั้นก็วิ่งคล้ายลอยไป เหมือนนั่งพรมวิเศษของอาละดิน  จากนั้นซีตรองจึงเป็นรถในฝันของผม ทั้งที่รถคันดังกล่าวไม่ช้าไม่นานญาติผมก็ต้องขายทิ้งไปในราคาที่ขาดทุนยับเยิน เพราะทนค่าซ่อมระบบโฮโดรลิกไม่ไหว

หลังจากรุ่นนั้น ฝรั่งเศสทุ่มทุนวิจัยพัฒนามหาศาลต่อเพื่อผลิต Citroën CX ขึ้นมา หวังจะให้เป็นรถที่ดีที่สุดในโลก ได้รับรางวัล  European Car of the Year 1975 สำหรับบุคคลระดับผู้นำนั้น บริษัทได้ผลิตรุ่น CX Prestige ขึ้นหวังจะรวยเละ แต่ไปไม่ถึงดวงดาวเพราะชื่อเสียในอดีตเรื่องระบบไฮโลลิกที่ยอดเยี่ยมแต่เปราะบาง ความล้มเหลวซีตรอง เพรสตีจ ในเรื่องยอดขาย ถึงกับดึงเอาบริษัทซีตรองเละไปเสียเอง

สุดท้ายรัฐบาลฝรั่งเศสไม่สามารถทนให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์อันมีประวัติยาวนาน และมีสินทรัพย์ทางปัญญามากมายล้มละลายไปต่อหน้าต่อตา จึงได้เข้าซื้อไปรวมกับบริษัทผู้ผลิตฝรั่งเศสอื่นๆเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ พอที่จะแข่งขันกับผู้ผลิตรถสัญชาติอื่นในตลาดโลกต่อไป ทุกวันนี้คุณจึงยังเคยเห็นรถซีตรองรุ่นใหม่ๆวิ่งอยู่บนถนน แต่ก็มิได้ใช้ระบบกันเสทือนแบบไฮโดรลิกล้วนๆแล้ว

สรุปก็คือ วันนั้นผมก็ได้ขับซีตรอง เพรสตีจ พาภรรยากลับบ้าน ให้บิ๊กหมงขับรถตู้กลับไป


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 ม.ค. 16, 09:41
ผมเสียเงินไปอีกเยอะเหมือนกันเพื่อจะทำให้มั่นใจว่ามันจะเป็นพาหนะที่ผมควรจะใช้เดินทางขึ้นล่องแทนเจ้าแวนเน็ทท์ที่ชราภาพแล้วได้ แต่ไม่นาน เจ้าซีตรอง เพรสตีจคันนี้ก็ได้พิสูจน์คุณค่าของมัน

ครั้งนั้นเป็นเวลากว่าตีสามแล้ว ผมผลัดมาขับให้บิ๊กหมงได้นอนบ้าง เราตีรถออกจากกระบี่ค่ำแล้วจะให้มาทันเช้าที่กรุงเทพ พอเลยชะอำมานิดนึง ผมสังเกตเหมือนล้อรถวิ่งทับไปบนกะลาได้ยินเสียงดังปุ รถยังอยู่ที่ความเร็วประมาณ๑๑๐ และไม่มีอาการสะดุ้งสะเทือนเลย
พอถึงท่ายางมีด่านตรวจของตำรวจ ผมก็ชะลอรถ ทั้งหมู่ทั้งจ่าฉายไฟมาที่รถผมกันใหญ่ คนหนึ่งโบกมือให้สัญญาณให้ผมจอดรถให้สนิท ผมเฉยๆกับเหตุการณ์เพราะไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย ผมลดกระจกไฟฟ้าลงแล้วถามว่ามีอะไรหรือครับ
“พี่ๆ เชิญลงมาดูอะไรนี่หน่อย”  จ่าบอก “พี่ขับมาได้อย่างไรครับนี่”

ผมลงไปเห็นล้อหน้าด้านขวาแล้วเป็นฝ่ายตาเหลือก มันเหลือแต่ขอบยางรุ่งริ่งอยู่กับกระทะล้อ ซีตรองเพรสทีจของผมวิ่งตะบึงมาด้วยล้อเพียงสามล้อโดยผมไม่รู้ตัวสักนิดเดียว
กิตติศัพท์เรื่องรถซีตรองสามารถวิ่งโดยใช้ล้อเพียงสามล้อนั้น มันพิสูจน์ให้ผมได้ประจักษ์แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง ก่อนหน้านี้ก็ไม่เข้าจว่าวิศวกรฝรั่งเศสจะออกแบบไว้อย่างนั้นไปทำไม ตอนนั้นเข้าใจแล้ว

บิ๊กหมงตื่นลงมาดูบ้างก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ยิ้มฟันขาวดีใจที่รอดตาย ตำรวจน้อยใหญ่ได้พากันมามุงดู แล้ววิพากษ์วิจารณ์กันให้แซ่ด โดยมีบิ๊กหมงพยายามจะเป็นวิทยากร
“พี่ๆ มีพระดีหรือเปล่า” คนหนึ่งเอียงคอเข้ามาถามผม
ผมเอามือคลำหน้าอก ท่านก็อยู่กันครบทุกองค์ “ พระก็ดีครับ แต่รถก็ดีด้วย ซีตรองครับ มันวิ่งสามล้อได้”
“เกิดมาเพิ่งเคยเห็น” หมู่ครางเบาๆ

“เดี๋ยวๆ พี่เลื่อนรถมาข้างถนนก่อนดีกว่า ตรงนี้จะเกะกะคนอื่น”
พอขยับรถเข้าข้างทาง บิ๊กหมงก็จัดแจงเอายางอะไหล่มาเปลี่ยน ก่อนจะวิ่งมาถึงกรุงเทพทันกำหนดเวลา

ซีตรองเพรสทีจคันนี้ ลูกผมจึงนับว่าเป็นลูกรถของพ่อเช่นเดียวกัน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 ม.ค. 16, 09:59
เดี๋ยวนี้ลูกรถคันนี้ยังดีอยู่ ยกให้ลูกเขยไปแล้วเป็นของรับไหว้เพราะเห็นเขาชอบมาก


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 ม.ค. 16, 10:02
ที่กลัวคุณหมอเพ็ญก็กลัวว่าเอาเองระโยงนี้มาเปิดก่อนหน้าครับ ขออภัย

http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2009/03/V7592040/V7592040.html (http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2009/03/V7592040/V7592040.html)

ผมเขียนไว้ตั้งแต่ปีมะโว้


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 ม.ค. 16, 10:25
เอารูปนี้มาลงอีกที ไม่ใช่รูปลูกชายผมหรอกครับ เป็นเด็กในบ้านผมเดี๋ยวนี้โตจะขึ้นชั้นมัธยมแล้ว
 
เล้กรูมของซีตรองเพรสทีจกว้างยาวมากตามที่เห็น ครั้งหนึ่งผมพาลูกชายกับเพื่อนวชิราวุธในวัยประถมรวมสี่คนไปเที่ยวกระบี่ด้วยรถคันนี้ บิ๊กหมงเป็นผู้ขับ ผมนั่งข้างหน้า  เด็กๆคุยกันตะเบ็งเซ่งแซ่ด้วยเรื่องของเขา บางเรื่องผมก็ต้องอมยิ้มนึกถึงสมัยที่ผมยังอยู่ในวัยของลูก เรียนโรงเรียนเดียวกัน เรื่องราววีรกรรมสนุกสนานก็คล้ายๆกัน บิ๊กหมงก็นั่งฟังหัวร่อหึๆไปด้วย

พอรถออกถึงถนนโล่งพอที่จะวิ่งทำความเร็วได้สักพัก ผมสังเกตุว่าเสียงของเด็กๆเงียบไป พับบังตาลงมาดูกระจกส่องหลังแล้วใจหายวาบ บนเบาะหลังไม่มีใครอยู่สักคน หรือมันปลิวออกหน้าต่างไปหมดแล้วหว่า
รีบปลดเข็มขัดรัดตัว หันหลังชะโงกกลับไปดู ก็อดหัวเราะไม่ได้ ทั้งสี่คนนอนสุมกันหลับเป็นตายอยู่บนพรมปูพื้นเหมือนลูกหมา เรียกก็ไม่มีใครยอมเปิดตา

ถามในตอนหลังว่าทำไมไม่นอนบนเบาะ เขาว่า เบาะมันนั่งสบาย แต่นอนไม่สบาย พ่อ นอนกับพื้นสบายกว่า  


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 12 ม.ค. 16, 11:13
ซีตรอง CX นี่พ่อผมก็ใช้นานหลายเลย ตั้งแค่ผมเกิดจนหนุ่ม สมัยเด็กๆ นี่เวลาไปไหน ผมนอนหน้ากระจกหลังตลอด มันกว้างพอให้เด็กนอนได้  แต่ถ้าเป็นสมัยนี้เอาเด็กไปนอนแบบนั้นคงโดนจับหรือถ่ายรูปประจานลงเน็ต  รถซีตรองรุ่นนี้นี่เวลาจอดรถมันจะเตี้ยลงเลียบพื้น แต่พอติดเครื่องมันจะยกตัวขึ้นสูงเอง  รถเค้าดีจริงนุ่มจริงและซ่อมยากจริงๆ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 ม.ค. 16, 11:20
อ้อ มาแล้วเหรอผ้อ ไปเที่ยวไหนมาหายไปซะนาน แฟนๆหาตัวกันวุ่นวาย


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 ม.ค. 16, 11:29
ดูเค้าวิ่ง ๓ ล้อนะครับ เสียดายผมหาคลิ็ปที่วิ่ง ๓ ล้อขาดล้อหน้าไม่เจอ (คุณเพ็ญอาจจะเจอ)
กรณีย์ของผมน่ะ ยางหน้าด้านขวาซะด้วย ถ้าเป็นรถอื่นก็ไถลเข้าหารถที่สวนมาเลย คิดแล้วสยอง

ก่อนเขียนเรื่องนี้ ผมเอามันมาให้ลูกน้องถอดล้อด้านหน้าขวาออก กะจะวิ่งถ่ายทำคลิ๊ปสำหรับฉากในเรื่องบ้านทรายเงิน ปรากฏว่ามันไม่ยอมครับ สงสัยแก่แล้ว นานๆจะติดเครื่องทีระบบไฮโดรลิกจึงทำงานไม่เหมือนเดิมๆ

http://www.youtube.com/watch?v=0t-JjbOblPc (http://www.youtube.com/watch?v=0t-JjbOblPc)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 ม.ค. 16, 11:40
ซีตรอง CX นี่พ่อผมก็ใช้นานหลายเลย ตั้งแค่ผมเกิดจนหนุ่ม สมัยเด็กๆ นี่เวลาไปไหน ผมนอนหน้ากระจกหลังตลอด มันกว้างพอให้เด็กนอนได้  แต่ถ้าเป็นสมัยนี้เอาเด็กไปนอนแบบนั้นคงโดนจับหรือถ่ายรูปประจานลงเน็ต  รถซีตรองรุ่นนี้นี่เวลาจอดรถมันจะเตี้ยลงเลียบพื้น แต่พอติดเครื่องมันจะยกตัวขึ้นสูงเอง  รถเค้าดีจริงนุ่มจริงและซ่อมยากจริงๆ
http://www.youtube.com/watch?v=Yl6EYKRdfu4 (http://www.youtube.com/watch?v=Yl6EYKRdfu4)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 12 ม.ค. 16, 12:54
อ้อ มาแล้วเหรอผ้อ ไปเที่ยวไหนมาหายไปซะนาน แฟนๆหาตัวกันวุ่นวาย

ไปตามหารักแท้แถวลำปางมาครับ  จังหวัดอะไรก็ไม่รู้ คนสวยๆ เยอะจริงๆ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 12 ม.ค. 16, 13:45
คงไปหาวัตถุดิบเขียนเรื่อง "ร้ายสเน่หา"   ;D

ดอกเตอร์จะรับบทเป็นอะไร และนางเอกสักกี่คน ลงมือเขียนเรื่องลงกระทู้เรือนไทยได้ ณ บัดนี้  ;D  ;D  ;D

ดูจากคาร์แรคเตอร์พระเอก+พล็อตเรื่องที่มีนางเอกเป็นโหล  น่าจะชื่อเรื่อง "ร้ายเสน่หา"  ;D  


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 12 ม.ค. 16, 15:35
ที่กลัวคุณหมอเพ็ญก็กลัวว่าเอาเองระโยงนี้มาเปิดก่อนหน้าครับ ขออภัย

http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2009/03/V7592040/V7592040.html (http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2009/03/V7592040/V7592040.html)

ผมเขียนไว้ตั้งแต่ปีมะโว้


มีอีกระโยงหนึ่ง อยู่ในเรือนไทยนี้เอง  เขียนหลังปีมะโว้มา ๑ ปี  ;D

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3438.msg69954#msg69954 (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3438.msg69954#msg69954)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ม.ค. 16, 16:09
จำได้ว่าซีตรองเป็นรถหรูเมื่อหลายทศวรรษก่อนในเมืองหลวงค่ะ       ตอนนั้นเรียนจบกลับมาบ้าน    จำเป็นต้องซื้อรถใหม่  ก็ไปเมียงมองอยู่ตามโชว์รูมหลายแห่ง     พยายามจะหารถที่ราคาพอลงตัวกับเงินในกระเป๋า    
มีเพื่อนคนหนึ่งขับซีตรอง จำได้ว่าเวลาเธอเหยียบคันเร่งให้รถวิ่งฉิว   มันดูลอยล่องไปเหนือพื้นถนน   โก้ซะมิมี  

พอเพื่อนฝูงรู้ว่าจะซื้อรถ  ตำนานรถยี่ห้อต่างๆก็เซ็งแซ่มาเข้าหู    หนึ่งในตำนานคือซีตรองเป็นรถน่าซื้อมาก แต่ถ้าใครมีกะตังค์ซื้อ ต้องมีกะตังค์ซ่อมด้วย  เพราะอย่างหลังนี้มาแรงแซงโค้งอย่างแรก
ตำนานค่าซ่อมของซีตรองเป็นเรื่องยอดฮิท แซงขึ้นหน้าค่าซ่อมเบนซ์อย่างไม่น่าเชื่อเลยจริงๆค่ะ

ซีตรองหายไปจากท้องถนนกรุงเทพเมื่อไรไม่ได้จำ   แต่คิดว่านานแล้วนะคะ

ป.ล. โชคชัยไหนคะ คุณหมอเพ็ญ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 12 ม.ค. 16, 16:50
ป.ล. โชคชัยไหนคะ คุณหมอเพ็ญ

เมื่อวันเด็กที่ผ่านมา มีโอกาสไปแวะที่ฟาร์มโชคชัยแถวบ้าน มีพิพิธภัณฑ์เพิ่งเปิดใหม่มีของสะสมสารพัดของคุณโชคชัย (คนที่ขี่ม้าในภาพนั่นแหละ) หนึ่งในของสะสมของท่านคือ "รถยนต์" อยู่ในห้องกระจกชั้นล่างหลายสิบคัน ทำให้นึกถึงว่าคุณโชคชัยที่คุณนวรัตนเอ่ยถึงน่าจะเป็นคนนี้นี่เอง  ;D

ภาพข้างล่างเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รังสิต ปทุมธานี


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 ม.ค. 16, 19:01
ผมเก็งไม่ผิดว่าหวยคุณหมอเพ็ญจะไปออกที่คุณโชคชัย บุลกุล ซึ่งคนละคนกับเสี่ยโชคชัย เจ้าของเดิมรถซีตรองของผม
เสี่ยคนนั้นผมจำนามสกุลของแกไม่ได้ เพราะยาวประมาณว่าพอๆกับวิรุศฑ์ษมาศร์
หรือไม่ก็ อัฐน์อังการจณ์ อะไรทำนองนี้แหละ

ว่าแต่ว่า ดร.วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์ เที่ยวตะเวนหารักแท้มานานนม ยังไม่สำเร็จเสียที มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า
สงสัยตอนเด็กๆคุณพ่อเอาไปนอนตากแดดที่เหนือเบาะหลังซีตรองมากไปหน่อย เลยหน้าตาผิวพรรณเกรียมไปนิดหรือเปล่า
สาวลำปางเขาออกขาวผ่อง ไม่ตรงสเป็กเค้ามั๊ง


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 12 ม.ค. 16, 22:10

ว่าแต่ว่า ดร.วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์ เที่ยวตะเวนหารักแท้มานานนม ยังไม่สำเร็จเสียที มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า
สงสัยตอนเด็กๆคุณพ่อเอาไปนอนตากแดดที่เหนือเบาะหลังซีตรองมากไปหน่อย เลยหน้าตาผิวพรรณเกรียมไปนิดหรือเปล่า
สาวลำปางเขาออกขาวผ่อง ไม่ตรงสเป็กเค้ามั๊ง


เดี๋ยวนี้เค้านิยมคล้ำๆ กันแล้วครับท่าน ดูนางงามไทยรุ่นนี้สิ คล้ำๆ หน่อยไทยแท้ถึงจะน่ารัก ส่วนสาวลำปางนี่ ไปเดินตลาดคนเดินเค้าตอนค่ำๆ แม่ค้าสวยๆ หลายร้านเลย มีร้านนึงขายตุ้มหู สวยมาก หน้าตาคล้ายๆ คุณแอนนาเลย  จะขอถ่ายรูปมาฝากท่านอาจารย์ใหญ่ยืนยันว่าสวยจริงกว่าก็ไม่กล้า  สงสัยมัวแต่อาย เลยหารักแท้ไม่เจอซะที  ;D  ;D  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ม.ค. 16, 10:31
ส่งมาเลย ผมจะได้ลงคู่กับรูปของดอกเตอร์นักล่ารัก ดูซิ หล่อกับสวยคนไหนโหงวเฮ้งจะต้องกันเป็นเนื้อคู่แท้


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ม.ค. 16, 10:39
เรื่องสยองบนถนนกับบิ๊กหมง (ต่อ)

ซีตรองเพรสตีจของผมมีข้อเสียอีกอย่างนึง เพราะความยาวตัวรถและที่นั่งในห้องโดยสารอันรโหฐานของมัน เวลาขับไปไหนมาไหนในกรุงเทพคนเดียวจะมีความรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นคนขับรถ  จะวานบิ๊กหมงขับไปแล้วผมนั่งเต๊ะจุ้ยอยู่เบาะหลังก็เกรงใจเค้า ไม่อยากเอาคนที่ชอบหางานในบ้านทำไปเรื่อยไปแกร่วแบบคนขับรถให้เจ้านายทั้งหลาย คนอาชีพนั้นบทจะว่างก็ว่างมาก โดยเฉพาะพวกมีนายชอบเล่นกอล์ฟ ครั้นนายออกรอบอย่างเบาะๆก็ห้าหกชั่วโมงพวกนี้ก็เอาเสื่อมาปู หาที่นั่งที่นอนฆ่าเวลากันใต้ร่มไม้ ไอ้ที่แย่ที่สุดคือพวกคนขับรถให้นายญี่ปุ่น พวกนี้ได้รับคำสั่งสอนว่าพอนายขึ้นไปนั่งบนรถเมื่อไหร่แอร์ต้องเย็นฉ่ำ เขาหมายถึงให้เปิดแอร์เตรียมไว้เลยก่อนที่นายจะขึ้นรถ แต่พวกคนขับลายครามทั้งหลายจะถือโอกาสติดเครื่องยนต์ค้างไว้ เพื่อเปิดแอร์เปิดเพลงฟัง นอนหลับรอนายอยู่ในรถแบบว่ายาวไปเลย นายเล่นกอล์ฟเสร็จเรียกรถมานั่ง รถเย็นฉ่ำ ชื่  น ใ จ หารู้ไม่ค่าน้ำมันหมดไปเท่าไหร่ เพราะเลขาเบิกบริษัทให้ก็ไม่สนใจ

ผมเจอทีไรก็เห็นกิเลศตัวโทษะผลุดปุดๆขึ้นมารบกวนจิตใจอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเห็นในสนามกอล์ฟหรือที่จอดรถเวลานายไปทำธุระหรือพาลูกค้าไปกินข้าวเอนเทอเทนเป็นชั่วโมงๆ

พอใช้ซีตรองเพรสตีจมาได้สักสามปี ตอนนั้นชีวิตอันเกี่ยวเนื่องกับสตางค์ในกระเป๋าก็ถือว่าประสบความสำเร็จไประดับหนึ่งแล้ว เจ้ารถในดวงใจก็มีอันต้องเข้าอู่ซ่อมบำรุงบ่อยเข้าเนื่องจากถูกใช้งานหนัก ผมก็จำเป็นต้องเปลี่ยนรถอีกครั้ง คราวนี้เป็นรถป้ายแดงไปเลย

แต่ก่อนจะเลิกใช้เจ้าลูกรถเอามันไปขึ้นคานไว้ ผมกับบิ๊กหมงก็เจอเหตุการณ์สำคัญเข้าอีกรอบเป็นการส่งท้าย


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ม.ค. 16, 12:10
คืนนั้นอากาศที่กระบี่ค่อนข้างหนาว ผมอ่อนเพลียจากภารกิจมาก พอกินข้าวเย็นเสร็จ ขึ้นรถมุ่งจะกลับบ้านได้สักครู่รู้สึกหนังตาหนักก็เอนพนักพิงลงเกือบเป็นแนวราบ ฝากชีวิตไว้กับบิ๊กหมงแล้วผลอยหลับไปเลยตั้งแต่หัวค่ำ นอนซมซะซมเซิงไม่รับรู้เรื่องรู้ราวอะไร มารู้สึกตัวอีกทีตอนได้ยินเสียงบิ๊กหมงเรียกเบาๆ

“คุณหม่อมขรับ    คุณหม่อมขรับ”
เสียงนั้นกระเส่า ดังเท่าเสียงกระซิบ พออนุสติบอกตนว่าผมไม่ได้ยินเสียงเรียกในความฝันแน่นอน ผมก็ลืมตาขึ้นโดยอัตโนมัติ รถซีตรองขณะนั้นจอดสนิทโดยเครื่องยนต์ยังติดอยู่ บิ๊กหมงเองตัวแข็งเหมือนหิน ใบหน้าตรงไป มือกุมพวกมาลัยแน่น

ผมรีบกระดกพนักพิงขึ้น สิ่งที่กระทบโสตประสาทเริ่มจากหูมาตาก็คือ เสียงดังก๊องๆแก๊งๆที่กำลังใกล้เข้ามาจนเกือบถึงตัวแล้วนั้น ปลุกเร้าความรู้สึกเหมือนกำลังดูหนังผี ช่วงก่อนที่ผีจะปรากฏร่างบนจอ  ผมใช้เวลาสักเสี้ยววินาทีเดียวเพื่อที่จะโงหัวให้พ้นขอบกระจก สิ่งแรกที่อยู่ในสายตาข้างหน้าท่ามกลางแสงมลังเมลืองของคืนเดือนหงาย เสริมด้วยแสงจากโคมไฟหน้าอันทรงพลังของซีตรองทะลุผ่านชั้นหมอกหนา เห็นฝูงโคนับร้อยๆเดินตะคุ่มๆมาถึงรถแล้วก็เลยผ่านไปทั้งสองด้าน สายตาดวงโตของมันบางตัวชัดเจนว่ามันก็สงสัยเหมือนกัน สัตว์ตัวที่ขวางทางเดินของพวกมันอยู่นี้คือตัวอะไร

แต่สิ่งที่ทำให้บิ๊กหมงตัวแข็งอยู่กับที่ และทำให้ผมรู้สึกหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง คือร่างที่สลัวอยู่ข้างหน้าท่ามกลางหมอกนั้นดูเหมือนจะเป็นร่างของคนห่มผ้าคลุมสีขาวๆที่ทรงตัวแทบจะไม่อยู่ แขนที่โผล่ออกมาเป็นสีดำคล้ำนั้น แห้งๆผอมเกร็งเหมือนแขนตาแก่ มือหนึ่งถือไม้ยาว พยายามจะชูขึ้นกวัดแกว่งต้อนฝูงโคให้เบี่ยงออกจากถนนแต่ก็ไม่สำเร็จ คุณพระช่วย ผมมองอย่างไรก็ไม่เห็นศีรษะของร่างๆนั้น มันมีครบทุกอย่างนอกจากเหนือบ่าขึ้นไปแล้วมีแต่ความว่างเปล่า

“คุณหม่อมเห็นเหมือนกับผมไหมขรับ” บิ๊กหมงครางเบาๆแบบกลัวว่าร่างนั้นจะได้ยิน
“ก็เห็นนะสิ” ผมก็ครางตอบไปด้วยระดับเสียงและความรู้สึกเดียวกัน

สงสัยจะมีญาณวิถีที่ทำให้ร่างนั้นได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของเรา จึงค่อยๆหันโงนเงน ๆ ม า อ ย่ า ง ช้ า  ๆ
ภาพที่เราเห็นเหนือฝูงโคนั้น คือร่างดังกล่าวกำลังเคลื่อนที่มาหาเรา ใกล้เข้ามา ใกล้ เข้า มา   ใ ก ล้  เ ข้ า  ม า


(ขอโทษครับขอเวลานอก ผมจะต้องออกไปธุระสักหน่อย ไม่ทราบว่าวันนี้จะเข้ามาต่อได้อีกเวลาไหน)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 13 ม.ค. 16, 12:50
นอนรอตอนต่อไปอย่างใจระทึก


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ม.ค. 16, 13:26
รูปประกอบของคุณประกอบใช้ประกอบเรื่องไม่ได้
รูปประกอบที่ประกอบเรื่องได้ประกอบด้วยคุณสมบัติตามภาพประกอบข้างล่าง

ขอให้คุณประกอบหาภาพมาประกอบใหม่ให้สมกับชื่อประกอบหน่อย


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ม.ค. 16, 13:28
ไปละ คราวนี้กำลังจะออกจากบ้านจริงๆละ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: walai ที่ 13 ม.ค. 16, 13:48
 >:ถึงตอนน่ากลัวกว่าตอน.. ศาลพระนาง..แล้วนะคะ  รออ่านด้วยใจระทึกเลยละค่ะ  :o


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 13 ม.ค. 16, 14:48
เหวอ อ อ.. น่ากลัวจริง ๆ    ;)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ม.ค. 16, 20:55
รูปประกอบของคุณหมอเพ็ญค่อยน่าดูหน่อย
คุณประกอบพึงศึกษาไว้


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 13 ม.ค. 16, 20:57
มันจะต้อง anti climax แน่นอน เพราะผีไม่มีจริงๆๆๆๆๆ นะโมตัสสะ ผีไม่มีจริงๆๆๆๆๆ บรึ๋ยส์


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ม.ค. 16, 21:13
ร่างนั้นเคลื่อนทีช้าๆ โยกไปซ้ายที ขวาที ในขณะที่เสียงก๊องแก๊งป๊องแป๊งของกระดึงที่ผูกคอโคดังอยู่รอบตัวเรา ก้องหูเหมือนเสียงรัวระนาดเหล็กของชวา เขย่าประสาทของเราจนกระเจิดกระเจิง ทั้งที่ตายังจ้องเขม็งอยู่ที่ภาพข้างหน้า ในวินาทีเหล่านั้นเราทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากจะรอให้มันถึงที่สุดของที่สุด

แต่....ดูเหมือนชะตาของเราทั้งสองคนจะยังไม่ขาด ขณะที่หัวใจทำท่าจะหยุดเต้นหลังจากที่มันรัวเร็วและหนักหน่วง พลันก็ปรากฏมนุษย์สามสี่คนเดินออกมาจากหมอกในทิศเดียวกับร่างนั้น มุ่งมาทางเราอย่างรีบเร่ง....


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ม.ค. 16, 21:16
คุณม้าาาา นะโมตัสสะไม่พออออ รีบสวดอิติปิโสถอยหลังร้อยจบ ด่ ว น น น น


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ม.ค. 16, 22:26
เรามันงุ่มง่ามกว่าเขาเพื่อน    กว่าจะเข้ามา   น่าเป็นว่าผีจะออกไปจากซีนซะแล้ว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 13 ม.ค. 16, 22:43
บรรยากาศขนหัวลุกแบบนี้ นึกถึงภาพประกอบเรื่องผีๆสางๆของครูเหม เวชกร
ค่อยๆแง้มดูหน้าภาพประกอบ เห็นแล้วรีบปิด เปิดผ่านๆไปหน้าอื่น
ท่านอาจารย์ใหญกว่าเล่าเหมือนเราเข้าไปอยู่ในรถกับท่านด้วย :-\


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ม.ค. 16, 22:46
คุณ Jalito อย่าเพิ่งกลัวผีหลอกนะคะ     ดิฉันสงสัยว่าคนจะถูกคนหลอกจับไข้หัวโกร๋น ยิ่งกว่าผี
เผลอๆผีโดนหลอกด้วย
     


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 13 ม.ค. 16, 22:56
ครับ อยากเรียนรู้ลีลาระดับอาจารย์
เผื่อไว้ใช้เวลาคับขัน 8)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ม.ค. 16, 07:38
ให้เวลาจนถึงประมาณนี้ คาดว่าคุณม้าในฐานะแอดมินจะสวดอิติปิโสร้อยจบครบแล้ว อาจจะแถมพาหุงมหากาไปด้วย จึงน่าจะคุ้มครองชาวเรือนไทยให้ปลอดภัยจากผีสางนางไม้ทั้งปวงแล้ว ผมจึงจะขอดำเนินเรื่องต่อ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ม.ค. 16, 08:25
คนพวกนั้นเป็นแขกโคบาล ที่สมัยก่อนประเทศไทยยอมให้คนต่างด้าวพวกนี้ต้อนวัวข้ามพรมแดนเข้ามาขายในเมืองไทยได้ ก็มักจะต้อนกันมาเป็นร้อยๆตัวอย่างนี้แหละ ปกติจะให้เดินอยู่ข้างถนน ถ้าเป็นตอนกลางวันรถก็ติดบีบแตรกันสนั่นลั่นไปเพราะกลัววัวจะล้ำเส้นออกมา นี่พวกนี้ไปรู้ไปไหนจึงปล่อยให้วัวขึ้นมาครองผิวจราจรเลย พอเห็นว่ารถของเราจอดรออยู่ก็ช่วยกันใช้ไม้ยาวไล่ต้อนจากปลายฝูง ขับไล่บรรดาวัวให้แตกตื่นลงไปเดินข้างถนนดังเดิม


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ม.ค. 16, 08:31
แขกเลี้ยงวัวทั้งหมดผ่านร่างที่ปราศจากคอไล่ต้อนฝูงวัวต่อมาด้วยท่าทีปกติ ราวกับว่ามองไม่เห็นสิ่งที่มิใช่มนุษย์กำลังยืนโงนเงนกวัดแกว่างไม้ช่วยไล่วัวอยู่ตรงนั้น  หรือผีมันจะจงใจให้เห็นเฉพาะผู้ที่มันต้องการจะหลอกหลอนหรือเปล่า ผมก็ไม่มีเวลาขบคิดมากหลอกครับ เพราะหลังจากพวกหนุ่มโคบาลคล้อยผ่านมาแล้ว ร่างนั้นก็ค่อยๆหมุนตัวช้าๆ ผมเพิ่งจะรู้ว่ามันยืนหันหลังให้อยู่ และบัดนี้มันกำลังจะหันหน้ามาทางเรา

คุณพระ….แล้วภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าชัดๆก็ทำให้ผมลืมหายใจ..



ขอเบรครับประทานอาหารเช้าครับ



กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ม.ค. 16, 09:23
ข้ามฉากระทึกใจไปก่อน    ปล่อยให้ชาวเรือนไทยคนอื่นๆถูกหลอกไปพลางๆ  ;) ;)

คนพวกนั้นเป็นแขกโคบาล ที่สมัยก่อนประเทศไทยยอมให้คนต่างด้าวพวกนี้ต้อนวัวข้ามพรมแดนเข้ามาขายในเมืองไทยได้ ก็มักจะต้อนกันมาเป็นร้อยๆตัวอย่างนี้แหละ ปกติจะให้เดินอยู่ข้างถนน ถ้าเป็นตอนกลางวันรถก็ติดบีบแตรกันสนั่นลั่นไปเพราะกลัววัวจะล้ำเส้นออกมา นี่พวกนี้ไปรู้ไปไหนจึงปล่อยให้วัวขึ้นมาครองผิวจราจรเลย พอเห็นว่ารถของเราจอดรออยู่ก็ช่วยกันใช้ไม้ยาวไล่ต้อนจากปลายฝูง ขับไล่บรรดาวัวให้แตกตื่นลงไปเดินข้างถนนดังเดิม
น่าจะเป็นแขกปาทาน    คำนี้ได้ยินคนรุ่นพ่อแม่เรียกพวกที่มีอาชีพต้อนวัวมาขาย      ไม่ทราบว่าเป็นพวกไหน   เมื่อมีร.ร.กู๊กเกิดขึ้นมา ไปถามครูกู๊กก็ได้ความว่ามาจากอัฟกานิสถาน   



กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 14 ม.ค. 16, 09:56
น่าจะเป็นแขกปาทาน    คำนี้ได้ยินคนรุ่นพ่อแม่เรียกพวกที่มีอาชีพต้อนวัวมาขาย      ไม่ทราบว่าเป็นพวกไหน   เมื่อมีร.ร.กู๊กเกิดขึ้นมา ไปถามครูกู๊กก็ได้ความว่ามาจากอัฟกานิสถาน  

ต้นตอของแขกปาทานอาจจะอยู่ในอัฟกานิสถานอย่างที่จารย์กุ๊กว่า แต่ถ้าพูดถึงพวกที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยน่าจะมาจากบังคลาเทศหรือปากีสถานตะวันออกเดิม  วัวที่ข้ามแดนเข้ามาในเมืองไทยส่วนมากก็มาจากพม่า และส่วนหนึ่งก็มาจากบังคลาเทศนี่แหละ ปัจจุบันก็ยังมีวัวจากแหล่งนี้ข้ามแดนมาขายในเมืองไทยอย่างเป็นล่ำเป็นสันโดยผ่านทางอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก

มีรายละเอียดเรื่องนี้ให้ศึกษาที่ http://blogazine.pub/blogs/achariyach/post/5381 (http://blogazine.pub/blogs/achariyach/post/5381)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ม.ค. 16, 10:09
ครับน่าจะ
จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าทั้งหมดแต่งตัวชุดขาวๆดังรูปที่ผมหามาประกอบ แต่ตอนนั้นแต่ละคนมีผ้าคลุมบวกเข้าไปอีกเพราะอากาศมันหนาว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ม.ค. 16, 10:16
อ้างถึง
แขกเลี้ยงวัวทั้งหมดผ่านร่างที่ปราศจากคอไล่ต้อนฝูงวัวต่อมาด้วยท่าทีปกติ ราวกับว่ามองไม่เห็นสิ่งที่มิใช่มนุษย์กำลังยืนโงนเงนกวัดแกว่างไม้ช่วยไล่วัวอยู่ตรงนั้น  หรือผีมันจะจงใจให้เห็นเฉพาะผู้ที่มันต้องการจะหลอกหลอนหรือเปล่า ผมก็ไม่มีเวลาขบคิดมากหลอกครับ เพราะหลังจากพวกหนุ่มโคบาลคล้อยผ่านมาแล้ว ร่างนั้นก็ค่อยๆหมุนตัวช้าๆ ผมเพิ่งจะรู้ว่ามันยืนหันหลังให้อยู่ และบัดนี้มันกำลังจะหันหน้ามาทางเรา

คุณพระ….แล้วภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าชัดๆก็ทำให้ผมลืมหายใจ..

เจ้าประคุณรุนช่องเอ๋ย ร่างนั้นมีคอ มีหัวครับ ทั่นทั้งหลาย

ภายใต้ผ้าห่มกันหนาวที่คลุมไว้คือหัวที่สั่นง๊อกแง๊กอยู่ แต่คอสิครับทั่น คอนั้นแทนที่จะตั้งตรงเช่นมนุษย์ทั่วไป กลับหักฉากจากข้อต่อกระดูกสันหลังลงมาอยู่ในแนวขนานกับพื้น ชายผู้นี้ต้องมีชีวิตที่ก้มหน้าก้มตาดูพื้นดินอยู่ตลอดเวลา

“คนเว้ยหมง” ผมยังพูดด้วยเสียงกระซิบเหมือนเดิม

เรายังคงนิ่งเงียบเฝ้าดูแกเคลื่อนที่ผ่านเราไปด้วยความเร็วพอๆกับพวกหนุ่มๆที่ต้อนฝูงวัวผ่านๆไป  อ๋อ ที่แกเคลื่อนที่มาหาเราช้าๆก่อนหน้านี้เพราะแกยืนหันหลัง ถอยมาทีละก้าวสองก้าว คอยใช้ไม้กวัดแกว่งเฆี่ยนตีวัวไม่ให้เดินเข้ามาปะทะรถของเรานั่นเอง  คราวนี้พอแกเดินหน้ามาถึงรถ ตาเฒ่าก็ตะแคงหน้าหันมา แลเห็นตาขาวๆเหลือกอยู่บนใบหน้าดำๆหนวดเคราหรอมแหรม  แกแสยะยิ้มฟันหลอแสดงความขอโทษแบบหลอนๆ ก่อนจะก็เดินตามฝูงวัวหายไปในความมืดเบื้องหลัง

“โห ว ว ว ว ว..โฮ๊ะ ๆ ๆ ๆ โฮ่ ”
ผมไม่รู้เหมือนกันว่านั่นมันเสียงที่บิ๊กหมงระเบิดหัวเราะหรือเปล่งคำอุทาน แต่มันเป็นน้ำเสียงที่ปลดปล่อยความกดดันทั้งหมดออกมาจากหัวอกอย่างเต็มที่
“โอ้ย อะไรกันจะขนาดน้าน เป็นยังงี้ยังจะออกมาเดินถนนดึกๆดื่นๆอีก โฮ้ววว …..นี่พ้มขับมาคนเดียวมีหวังซ๊อกตายคาพวงมาลัยรถแน่”

ว่าแล้วบิ๊กหมงก็หันมายิ้มยิงฟันขาวกับผม ก่อนจะถอนเท้าออกจากเบรคแล้วเหยียบคันเร่งให้เจ้าซีตรองค่อยๆคลานเคลื่อนที่ฝ่าหมอกต่อไปข้างหน้าช้าๆ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ม.ค. 16, 10:23
ไม่ทราบว่าพวกเราในเรือนไทยจะมีโอกาสได้พบบุคคลที่น่าสงสารพวกนี้หรือเปล่า พวกเขาเป็นโรคชนิดหนึ่งที่เรียกว่าไคโฟสิส  ประเภทที่จำแนกเป็น Thoracic Kyphosis นั้นคืออาการงอของกระดูกสันหลัง หากเป็นตรงคอต่อก็จะทำให้คอหนัก กล้ามคอด้านหลังจะเริ่มพัฒนาผิดปกติ เพราะคอยื่นมาข้างหน้าเพราะกล้ามเนื้อด้านหลังที่คอยดึงไว้
ที่สุดของอาการนี้จะเรียกว่า Hyperkyphosis คือ คอและไหล่จะโน้มลงจนแทบจะเอาแขนเดินแทนเท้าเหมือนคิงคองเลยทีเดียว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ม.ค. 16, 10:46
ถูกหลอกจริงด้วย


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 14 ม.ค. 16, 10:52
น่าจะคล้ายๆ กับกษัตริย์ริชาร์ดที่ 3 แห่งอังกฤษที่เพิ่งค้นพบโครงกระดูกไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เพียงแต่พระเจ้าริชาร์ดไม่ได้เป็นมากขนาดนี้  แต่อยากฟังเรื่องผีจริงๆ ต่อครับ ต้องมีบ้างหละน่า


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 14 ม.ค. 16, 11:05
พลันก็ปรากฏมนุษย์สามสี่คนเดินออกมาจากหมอกในทิศเดียวกับร่างนั้น มุ่งมาทางเราอย่างรีบเร่ง....

บรรยากาศที่มีหมอกนี่เป็นสูตรสำเร็จของเรื่องสยองขวัญทีเดียว อ่านถึงตอนนี้แล้วแว็บเรื่อง ThE MIST ขึ้นมาโดยพลัน  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ม.ค. 16, 11:40
ตาแขกเฒ่าคนนั้นน่าจะเป็นตัวพ่อที่ยังคิดว่าตนเองยังไหวพอที่นำบรรดาลูกชายมาทำมาหากิน ไล่ต้อนวัวไปขายตามอาชีพบรรพบุรุษ ไม่รู้เหมือนกันว่าคนกลุ่มนี้ต้อนวัวจากไหนแล้วจะไปไหน
เหตุการณ์ขณะถึงจุดสุดขีด ผมมิได้ตื่นเต้นมากมายเท่าบิ๊กหมง เพราะเมื่อตาเห็นว่าอะไรเป็นอะไรแล้วนั้น  เพราะมันแว๊บขึ้นมาในความจำทันทีว่าผมเจอกรณีย์เดียวกันนี้มาแล้วครั้งหนึ่งในชีวิต  คราวนั้นก็น่ากลัวพอๆกับคราวนี้นี่แหละ
ช่วงนั้นยังอายุแค่๑๖-๑๗ เอง ไปเที่ยวงานวชิราวุธานุสรณ์ที่วังสราญรมณ์จนงานเลิกตอนหกทุ่ม จะตีหนึ่งแล้วผมกับเพื่อนต่างจังหวัดซึ่งค้างอยู่ด้วยกันจึงได้อาศัยรถเขาจะกลับบ้านที่อยู่ข้างวัดมกุฏฯ  คนรถมาส่งลงตรงศาลาสันติธรรมที่เดี๋ยวนี้เป็นที่ทำการของUN ริมถนนราชดำเนิน ให้เราเดินกลับไปเอง

เส้นทางนั้นต้องผ่านหน้าวัดมงกุฎ แม้มีแสงไฟฟ้าข้างถนนอยู่ก็สว่างไม่ครบดวง บนถนนเงียบสงัดไม่มีรถผ่านมาเลยแม้แต่คันเดียว ถัดถนนไปคือคลองผดุงกรุงเกษม
เราเดินกันไปสองคนอย่างเร็วๆ หาเรื่องคุยไปเรื่อยๆไม่ให้มันเงียบ พอจะเข้าแนวเขตวัดตรงกับฌาปนสถาน ร่างหนึ่งก็โงนเงนออกมาจากเงามืดของต้นไม้ มาเดินตะคุ่มๆอยู่ข้างหน้า

ผมกับเพื่อนหุบปากเงียบกริบทันที แต่ยังคงรักษาอัตราความเร็วของฝีก้าว พอร่างข้างหน้าเข้าสู่รัศมีของแสงไฟจากดวงโคมข้างถนน เราก็เห็นชัดเจนเต็มตาว่าร่างนั้นมีแต่บ่า หัวขาดไปตั้งแต่คอ
เท้าไวเท่าความคิด ผมก้าวขาเดินข้ามถนนทันที เพื่อนผมก็ทำเช่นนั้นพร้อมๆกันโดยไม่มีใครเร็วช้ากว่าใคร
“ลื้อเห็นหรือเปล่าวะ” ผมถามขณะอยู่กลางถนน
“ก็เห็นน่ะซีโว้ย” เพื่อนผมตอบทันที

เราเดินต่อไปบนทางเท้าด้านเลียบคลองผดุงมุ่งสู่ทิศทางเดิม พอผ่านจุดที่ด้านตรงข้ามของถนนชายคนนั้นยังเดินโงนเงนอยู่ ผมก็แข็งใจหันหน้าไปดู จึงได้เห็นหัวของเขาที่ติดกับคอที่หักลงตั้งฉากกับลำตัว  นี่เองที่ทำให้เราเห็นเขาเป็นผีหัวขาด

แต่เรื่องนี้คงจะจบแบบค้างคา ถ้าผมไม่เห็นเขาอีกในสองสามวันต่อมา คราวนี้กลางวันแสกๆ เขายืนก้มหน้ารอรถเมล์อยู่ที่ป้ายแถวหน้าบ้าน เพราะผมอยู่โรงเรียนประจำนั่นเอง จึงไม่พบชายที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในชุมชนของเรามาก่อนจนกระทั่งกลางดึกคืนนั้น แต่นั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นเขา ไม่รู้ชะตากรรมต่อไปเหมือนกัน

ถ้าไม่มีอินทรเนตรผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าชายที่น่าสงสารทั้งสองคนที่พบเป็นโรค Kyphosis  และเดี๋ยวคุณหมอตัวจริงคงจะมาขยายความให้ชัดๆยิ่งขึ้น


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 14 ม.ค. 16, 14:39
ประเภทที่จำแนกเป็น Thoracic Kyphosis นั้นคืออาการงอของกระดูกสันหลัง

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=6418.0;attach=60322;image)

Thoracic Kyphosis หมายถึงอาการโค้งงอของกระดูกสันหลังส่วนหน้าอก

ถ้าหากมีเฉพาะส่วนศีรษะที่ก้มลงมาน่าจะเป็น Dropped Head Syndrome เป็นการโค้งงอของกระดูกสันหลังระหว่างส่วนคอและอก (severe kyphotic deformity of the cervico-thoracic spine)

รายละเอียดอ่านได้ที่ http://www.eorthopod.com/dropped-head-syndrome/topic/217 (http://www.eorthopod.com/dropped-head-syndrome/topic/217)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 14 ม.ค. 16, 21:24
ครับ อยากเรียนรู้ลีลาระดับอาจารย์
เผื่อไว้ใช้เวลาคับขัน 8)

คิดเหมือนกันเลยค่ะ
แถมยังได้รู้ว่ามีโรคอะไรแบบนี้ในโลกด้วย น่าสงสารคนที่เป็นโรคนี้จังเลยค่ะ เวลากินข้าวกับดื่มน้ำคงกลืนลำบากแย่ :(


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 ม.ค. 16, 08:19
คุณ Jalito อย่าเพิ่งกลัวผีหลอกนะคะ     ดิฉันสงสัยว่าคนจะถูกคนหลอกจับไข้หัวโกร๋น ยิ่งกว่าผี
เผลอๆผีโดนหลอกด้วย
ข้ามฉากระทึกใจไปก่อน    ปล่อยให้ชาวเรือนไทยคนอื่นๆถูกหลอกไปพลางๆ  
ถูกหลอกจริงด้วย

นักเรียนจงตอบคำถามนี้ให้ครบทุกประเด็น

เรื่องข้างบนดังกล่าว สรุปว่าใครหลอก หลอกอะไร และใครโดนหลอก โดนหลอกอย่างไร

๑๐๐ คะแนน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: walai ที่ 15 ม.ค. 16, 10:02
 :-*ตอบ..ก.พ่อแขกปาทาน  ข.เป็นผีหัวขาด ค.คุณชาย/บิ๊กหมง  ง.หันหลังหลอกเป็นผีหัวขาด


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: นางมารน้อย ที่ 15 ม.ค. 16, 14:10
เพิ่งมีเวลามาตามไล่อ่านจนจบค่ะ

เรื่องเจ้าหญิงทั้งสองนี่น่าเอามาแต่งนิยายสักเรื่องนะคะ

ติดตามท่านอาจารย์นวรัตน์ดอทซีมานานตั้งแต่อยู่พันทิป ก็ขอติดตามต่อไปค่ะ อ่านเรื่องที่อาจารย์เขียนสนุกดีค่ะ

เล่าอีกนะคะติดตามอ่านค่ะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Naris ที่ 15 ม.ค. 16, 14:29
ส่งการบ้าน
1. อ. นวรัตน์หลอก
2. ว่าเจอผี
3. ผู้อื่นท่านอื่นๆ
4. เชื่อว่า อ. นวรัตน์ เจอผี แต่จริงๆ เจอแขกป่วย กำลังต้อนวัว
ครับ 


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Koratian ที่ 16 ม.ค. 16, 12:19

1. ผู้อ่าน ผู้ติดตาม
2. หลอกให้หาเรื่องสนุกๆ มาเล่าต่อ
3. ท่านเจ้าของเรื่อง
4. ช่วยกันเข้ามาติดตามอย่างต่อเนื่อง จนต้องเขียนต่อไปเรื่อยๆ

 ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 16 ม.ค. 16, 12:21
 ;D
ตลก


ไปติดตามเล็บขบหรือยังครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Koratian ที่ 16 ม.ค. 16, 12:38

กระทู้เล็บขบ รูปประกอบน่ากลัวมาก
ไม่เหมาะกับคนขวัญอ่อนอย่างกระผมครับ
 ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 16 ม.ค. 16, 13:05
 ??? ใครหลอกใครอีกแล้ว

10 คะแนน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 19 ม.ค. 16, 15:58
บิ๊กหมง ผู้ลาไปเป็นหมอหมง และเสี่ยหมงตามลำดับ
อาจารย์หายเล็บขบ อารมณ์ดี๊ดีแล้วใช่ไหมคะ ;D ทวงค่ะทวง บิ๊กหมงยังขาดอีกสองตอนนะคะ ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 19 ม.ค. 16, 16:20
เอ๋


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 19 ม.ค. 16, 19:44
บิ๊กหมง ผู้ลาไปเป็นหมอหมง และเสี่ยหมงตามลำดับ
อาจารย์หายเล็บขบ อารมณ์ดี๊ดีแล้วใช่ไหมคะ ;D ทวงค่ะทวง บิ๊กหมงยังขาดอีกสองตอนนะคะ ;D

ยังขาดรายละเอียดของสองตอนนี้ค่ะ 'หมอหมง'กับ'เสี่ยหมง'


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ม.ค. 16, 20:27
ถ้าไม่อยากตั้งกระทู้ใหม่   ก็กระทู้นี้ละค่ะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 19 ม.ค. 16, 20:33
เอาที่นี่แหละครับ ไม่ต้องไปไหน
ตอบการบ้านมาให้เสร็จๆก่อน เกือบหมดเวลาแล้วมีคนส่งไม่กี่คน แล้วจะให้ขึ้นเรื่องใหม่ได้ไง


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ม.ค. 16, 20:36
คุณ Jalito อย่าเพิ่งกลัวผีหลอกนะคะ     ดิฉันสงสัยว่าคนจะถูกคนหลอกจับไข้หัวโกร๋น ยิ่งกว่าผี
เผลอๆผีโดนหลอกด้วย
ข้ามฉากระทึกใจไปก่อน    ปล่อยให้ชาวเรือนไทยคนอื่นๆถูกหลอกไปพลางๆ  
ถูกหลอกจริงด้วย

นักเรียนจงตอบคำถามนี้ให้ครบทุกประเด็น

เรื่องข้างบนดังกล่าว สรุปว่าใครหลอก หลอกอะไร และใครโดนหลอก โดนหลอกอย่างไร

๑๐๐ คะแนน


ครูนวรัตนมีเงื่อนไขด้วย       นักเรียนคนไหนอยากอ่านหมอหมงกับเสี่ยหมง  ช่วยกันตอบหน่อยเร้ว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 20 ม.ค. 16, 05:58
ตอบแล้วหนอ  ;D


กระทู้เล็บขบ รูปประกอบน่ากลัวมาก
ไม่เหมาะกับคนขวัญอ่อนอย่างกระผมครับ

 ;D

??? ใครหลอกใครอีกแล้ว

10 คะแนน


ใจของเราหลอกใจให้ตระหนก
จิตใจตกอกสั่นด้วยขวัญหาย
เรื่องเล็บขบมีวิธีให้ผ่อนคลาย
ช่วยสลายปัญหาได้ไม่กังวล



กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 ม.ค. 16, 07:40
คนละเรื่องเดียวกันอ๊ะปล่าว ?


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 ม.ค. 16, 08:05
คนขวัญอ่อนบอกถูกหลอนภาพเล็บขบ
ดูจนจบเห็นยังไหง๋ก็ไม่หลอน
คนทำคลิ๊ปเลยสงสัยจะถูกย้อน
ขวัญแข็งหลอกบอกว่าอ่อนวอนให้ทาย

๑๐ คะแนน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 20 ม.ค. 16, 08:11
เรื่องแขกปาทานก็คำตอบเดียวกัน  ;D

นักเรียนจงตอบคำถามนี้ให้ครบทุกประเด็น

เรื่องข้างบนดังกล่าว สรุปว่าใครหลอก หลอกอะไร และใครโดนหลอก โดนหลอกอย่างไร

๑๐๐ คะแนน

ใจของเราหลอกใจให้ตระหนก
จิตใจตกอกสั่นด้วยขวัญหาย
แขกปาทานศีรษะค้อมไม่สบาย
ยังกลับกลายเป็นผีที่น่ากลัว


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 ม.ค. 16, 10:08
ใครหลอกบอกหน่อยผี         หรือคน
หลอกอะไรให้ฉงน              ใคร่รู้
ใครโดนหลอกบอกผล          หน่อยพ่อ แลแม่
โดนหลอกอย่างไรในกระทู้      สูตอบตามความ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ม.ค. 16, 10:18
เอิ่ม....ไม่เห็นฝั่งหมงแล้วนะคะ
เด็กชายประกอบช่วยติดตามเลกเชอร์หน่อยได้ไหมว่า อาจารย์เขาพูดเรื่องอะไรกันอยู่


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 20 ม.ค. 16, 11:29
ใครหลอกบอกหน่อยผี         หรือคน
หลอกอะไรให้ฉงน              ใคร่รู้
ใครโดนหลอกบอกผล          หน่อยพ่อ แลแม่
โดนหลอกอย่างไรในกระทู้      สูตอบตามความ

ผู้หลอกที่ใคร่รู้            คือกมล
หลอกว่าผีใช่คน          แน่แท้
ดวงจิตคิดสับสน          ถูกหลอก
ติดกับเรื่องเล่าแล้        หลอกให้หลงทาง



กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 ม.ค. 16, 11:41
สนุกแฮะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 20 ม.ค. 16, 21:55
อาจารย์สนุกกันเองอยู่สองคน ไม่เห็นแก่ลูกศิษย์ตาดำๆ :'( :'( :'(


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 ม.ค. 16, 22:29
มีการบ้านไม่ทำ จะฟังแต่นิทาน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: walai ที่ 21 ม.ค. 16, 06:23
 ???iiรอดูคะแนนที่จะได้รับ กลัวสอบตกจังเลย ???


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 ม.ค. 16, 08:13
ไม่มีตกครับ ผมเพียงอยากจะทราบว่า(อันนี้ซีเรียสนะ)สิ่งที่ผมพยายามจะสื่อ ผู้รับจะเข้าใจดังที่ผมต้องการหรือเปล่า จะได้ปรับปรุงการเขียนของผม

หรือใครจะช่วยวิจารณ์ตรงๆก็ได้ครับ ยินดีรับฟัง


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ม.ค. 16, 08:46
ดีแล้วละค่ะ  ปรับปรุงอย่างเดียวคือช่วยเขียนเร็วๆหน่อย   เสียงเรียกร้องแยะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 ม.ค. 16, 08:58
อาจารย์ใหญ่มาเอง ::)

แถมให้การบ้านข้อเบ้อเริ่ม หนักเลยอัตโน



กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ม.ค. 16, 09:15
 ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 21 ม.ค. 16, 13:02
สไตล์เดิมน่ะแหละครับ ท่านอาจารย์ใหญ่กว่า นักเรียนตรึมทั้งนอกห้องในห้อง
จะหักมุมแบบแค่หักฉาก หรือหักกลับไม่มีปี่มีขลุ่ย ก็เร้าใจแฟนคลับเกินแล้ว ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 21 ม.ค. 16, 13:16
อาจารย์ใหญ่มาเอง ::)

แถมให้การบ้านข้อเบ้อเริ่ม หนักเลยอัตโน



ที่ไม่ส่งการบ้านเพราะเน็ทที่บ้านไม่ค่อยดีค่ะ ขนาดอยู่กลางกรุงมีรถไฟฟ้าวิ่งผ่านทั้งบนฟ้าทั้งใต้ดิน ไม่ได้อยู่แถวห้วยขาแข้งนะคะ
นี่ก็เพิ่งเสร็จจากงานจำเป็นรีบด่วนที่ต้องทำ ว่าจะทำการบ้านส่งซะที ก็เป็นอันว่าไม่ต้องแล้วนะคะ เพราะอาจารย์ต้องทำการบ้านส่งอาจารย์ใหญ่ คงไม่มีเวลาตรวจการบ้านลูกศิษย์แน่ๆ  ;D ;D ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 ม.ค. 16, 13:50
หรือใครจะช่วยวิจารณ์ตรงๆก็ได้ครับ ยินดีรับฟัง

การเดินเรื่องยอด สำนวนเยี่ยม แต่ถ้าจะให้บิ๊กหมงเด่นพอที่จะสร้างเป็นตัวเอกในละครทีวี (ชื่อลำลอง "ยอดชายนายหมง") เห็นทีจะต้องแยกกระทู้ เริ่มตั้งแต่ คคห. ๓๑๑ หน้า ๒๑ (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6418.msg149725#msg149725) จนถึงปัจจุบันหน้า ๓๒ ก็ปาเข้าไป ๑๒ หน้าแล้ว ถ้าคุณนวรัตนเขียนต่อเรื่อง หมอหมง กับ เสี่ยหมง ก็น่าจะได้เกิน ๒๐ หน้า

ผู้สร้างละครทีวีก็จะหาได้ง่าย นายหมงใครจะแสดงก็แล้วแต่ผู้จัด แต่ผู้แสดงเป็นคุณนวรัตนขอตัวจริงแสดงน่าจะเหมาะ  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 21 ม.ค. 16, 16:03

ผู้สร้างละครทีวีก็จะหาได้ง่าย นายหมงใครจะแสดงก็แล้วแต่ผู้จัด แต่ผู้แสดงเป็นคุณนวรัตนขอตัวจริงแสดงน่าจะเหมาะ  ;D

เรื่องนี้ขอจองบทตัวโกงหรือตำรวจครับ บทพระเอกขอสงวนให้ท่านอื่น


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 26 ม.ค. 16, 12:59
ไม่มีตกครับ ผมเพียงอยากจะทราบว่า(อันนี้ซีเรียสนะ)สิ่งที่ผมพยายามจะสื่อ ผู้รับจะเข้าใจดังที่ผมต้องการหรือเปล่า จะได้ปรับปรุงการเขียนของผม

หรือใครจะช่วยวิจารณ์ตรงๆก็ได้ครับ ยินดีรับฟัง

ดูท่าว่าถ้าไม่ส่งการบ้าน คงอดฟังนิทานแน่ๆเลยอัตโน ;D

เข้าสู่โหมดซีเรียสเลยนะคะ

มิบังอาจวิจารณ์ครูบาอาจารย์ แค่แสดงความคิดเห็นในฐานะแฟนคลับพันธุ์แท้คนหนึ่งนะคะ ที่ชอบอ่านงานของอาจารย์เพราะชอบวิธีการเล่าเรื่องซึ่งมีชีวิตชีวา ดำเนินไปเหมือนการเต้นของชีพจร มีจังหวะขึ้นลงตามอารมณ์ของเรื่อง ชวนให้ติดตาม ส่วนเรื่องที่อยากจะขอให้ปรับปรุง ก็มีความเห็นเช่นเดียวกับท่านอาจารย์ใหญ่ค่ะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 ม.ค. 16, 13:08
โอเคร์คร้าบ โอเคร์เรยย์

ที่ผมหายไปเพราะมีเหตุของมัน
เพิ่งกลับจากต่างจังหวัดเมื่อคืน เรื่องของบิ๊กหมงขอเวลาอีกสักหน่อยขอรับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ม.ค. 16, 16:59
เรื่องสั้นชุดบิ๊กหมงตอนอวสาน

จากบิ๊กหมง เป็นหมอหมง และเสี่ยหมง

ชีวิตของบิ๊กหมงมีความสุขลงตัวอยู่ได้จนกระทั่งลูกสาวอยู่มัธยมปลายเตรียมจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ความไม่เที่ยงแท้แน่นอนก็แสดงสัจธรรม หมู-เมียร่วมชีวิตก็ปรากฏอาการป่วยที่ไม่ธรรมดา แต่เพราะนิสัยเงียบๆไม่พูดมากของเธอ และยังทำหน้าที่แม่บ้านงานครัวโดยไม่บกพร่องนั่นเองที่ทำให้เราไม่ทราบ แม้ดูเหมือนจะมีอาการคล้ายเป็นหวัดอยู่เสมอๆ แต่เราก็เข้าใจว่าเป็นโรคภูมิแพ้ตามที่เธอบอก สมัยที่ช่วยพ่อแม่ทำไร่มันสำปะหลังซึ่งต้องใช้ยาฆ่าหญ้าฉีดพ่นปราบหญ้าคาทุกปี หมูก็เผลอสูดดมเอาสารพิษเข้าสู่ร่างกายเสมอๆ ครั้นอายุมากขึ้นก็ปรากฏอาการ เป็นมาหลายปีเข้าจนถึงจุดที่หมูทนไม่ไหว ขอให้บิ๊กหมงเปลี่ยนโรงพยาบาล พาไปหาหมออื่นบ้างเพราะหมอคนเดิมคงรักษาไม่หายแล้ว
 
ผมแนะนำและฝากฝังให้ไปที่โรงพยาบาลจุฬา และแล้วข่าวที่ไม่สู้จะดีนักก็ตามมาหลังจากนั้น หมอพบสิ่งผิดปกติในส่วนลึกของโพรงจมูกและได้เจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ  หมงบอกว่าหมอนัดให้ไปเพื่อฟังผลในสัปดาห์ต่อไป

หนึ่งสัปดาห์แห่งการรอคอยทำให้ครอบครัวนี้เศร้าซึม บ้านของเราก็เลยพลอยหงอยไปทุกคน

ผลการวิเคราะห์ชิ้นเนื้อไม่มีหักมุม ไม่ว่าจะหักโค้งหรือหักงอ หมอพบว่าหมูเป็นมะเร็งในขั้นที่เลยระยะจะรักษาให้หายขาดมาแล้ว
   “คงอยู่ได้สักสองปีละขรับ” หมงตอบไม่อ้อมค้อมเมื่อผมถาม  “คุณหมอถามพ้มว่ามีเงินไหมล่ะ”
   “แปลว่าอะไรละหว่า” ผมงง ไม่มีเงินก็จะไม่รักษาหรือ
   “หมอบอกว่า หมอก็จะรักษาให้ดีที่สุดตามยาที่โรงพยาบาลมี แต่คนมีเงินก็มักจะถามว่า ยาที่ดีกว่านี้มีอีกมั้ย หมอบอกก็ว่ามีอยู่ แต่แพงมาก ต้องสั่งซื้อใช้เงินล้านกว่าบาท โห่ พ้มก็บอกว่าไม่มีละสิขะรับ” หมงพูดไปส่ายหัวไป
   “แล้วไง ถ้าใช้ยาตัวแพงนั่นแล้วหมอบอกว่าจะหายยังงั้นหรือ” ผมถามต่อ
“ เปล่าขรับ หมอว่า ก็คงยืดอายุไปได้อีกซักเท่านึง” เขาตอบเซ็งๆ
“ คือจากสองปีเป็นสี่ปี แล้วหมงคิดอย่างไรล่ะ” ผมอยากรู้
“มันไม่คุ้มหรอกครับ เค้าก็จะแค่ทรมานนานยิ่งขึ้นไปอีกเท่านั้น สุดท้ายก็ตายอยู่ดี”
เห็นไหมครับ บิ๊กหมงเป็นคนมีปัญญา เขาไม่อ้อนผมให้ช่วยออกเงินให้ด้วยคำพูดตรงๆ
“เราเห็นด้วยนะหมงที่มีความคิดอย่างนี้ เรื่องเจ็บเรื่องไข้นี่คนมีเงินมากก็ยิ่งทุกข์ยาวนานมาก” ผมนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “ความจริงแล้ว คนเราไม่กลัวความตาย แต่กลัวความเจ็บก่อนที่จะถึงความตายนะ เอาอย่างนี้ซี่ หมงไปบอกหมอ หากเมื่อใดถึงคราว เกิดเจ็บปวดมาก ขอให้หมอสั่งยาระงับความปวดให้เป็นพิเศษ เราจะช่วยตรงนี้ก็แล้วกัน”

หมงมีสีหน้าดีขึ้นเมื่อเขาขอตัวเดินกลับไปบ้านของเขา จากเช้าวันรุ่งขึ้น สองผัวเมียก็ยังดำเนินชีวิตไปตามปกติ หมูก็ต้องไปหาหมอเป็นระยะๆและมาทำงานที่บ้านผมน้อยลง ส่วนหมงก็ลดกิจกรรมอดิเรกลงเพื่อทำงานบ้านของตนเองแทนเมีย เขาทั้งขายทั้งแจกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ไก่ชนที่เลี้ยงไว้นับสิบตัวให้บรรดาขาประจำที่มาซื้อลูกไก่ที่เขาผสมพันธุ์ไว้ขาย หมงไม่ได้เป็นนักเลงตีไก่ แต่มีความรู้เรื่องไก่ชนแบบมืออาชีพ เรื่องร้ายที่เกิดขึ้นทำให้หมงหมดกะจิตกะใจที่จะคอยดูแลเอาใจใส่ไก่ โดยเอาเวลานั้นไปดูแลเมียแทน


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ม.ค. 16, 17:04
ควบคู่กับการไปโรงพยาบาล หมงพาหมูไปรักษามะเร็งในโพรงจมูกด้วยวิธีไสยศาสตร์และแสวงหาแพทย์ทางเลือกทุกแห่งที่ใครต่อใครแนะนำว่าดี เขาใช้รถตู้คันเก่าที่ผมให้เขาใช้เหมือนรถประจำตำแหน่งพาเมียตระเวนไปหลายจังหวัด ผมก็ไม่ว่าอะไร เรื่องนี้มันเป็นเรื่องกำลังใจ ตราบใดคนยังมีความหวัง ความทุกข์ก็ถดถอยน้อยลง

ผมคุยกับเขาเรื่องการรักษาแนวนี้เหมือนกัน หมงบอกว่ามียาดีที่เขาได้มา เป็นยาที่สกัดมาจากเห็ดเมืองจีน หมูกินแล้วมีอาการดีขึ้น ผมก็อือๆออๆไปตามเรื่อง มาทึ่งจริงๆก็ในวันหนึ่งที่น้องสาวลูกของน้ามาที่บ้าน ไอ้เราก็นึกว่าน้องมาเยี่ยม ที่ไหนได้ มารับยาจากบิ๊กหมง

“อ้าว พี่ไม่รู้หรือคะ มงคลเค้าเป็นเอเยนต์ยารักษามะเร็ง เห็นว่ากินยานี้แล้วหมูอาการดีขึ้นเลยไปขอเค้าเป็นตัวแทนจำหน่ายให้ในกรุงเทพ หนูเลยสั่งจองไว้สองขวด ว่าจะไปให้ป้าสุรีย์แกลองกินดู” น้องผมสาธยายก่อนที่บิ๊กหมงจะหิ้วขวดยาขนาดขวดน้ำปลามาสองขวด บรรจุอยู่ในกล่องอย่างดีมาที่บ้านผม
“ขวดละเท่าไหร่วะหมง” ผมถาม
“เขาขายพันสองขรับ นี่ผมขายให้คุณหนูเท่าทุน พันเดียว” บิ๊กหมงตอบอย่างหยิ่งๆ
“โอโหเว้ยเฮ้ย ขวดละพันเชียวหรือ” ผมทึ่ง
“ไม่แพงนะขะหรับ ขวดนึงนี่กินได้ร่วมเดือน กินติดต่อกันสักเดือนเดียวก็เห็นผลแล้ว ไม่ดีจริงก็ไม่ต้องกินต่อ ถ้าดี กินสักหกเดือนถึงปีนึงก็หาย” บิ๊กหมงตอบอย่างมั่นใจ

นี่น้องสาวผมจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย(ขอสงวนชื่อเพราะอาย)นะครับ ยังเชื่อวาทะไดเร็กเซลล์ของบิ๊กหมง จึงไม่แปลกที่บางวันผมจึงเห็นรถเก๋งบ้าง รถปิ๊กอัพบ้างมาจอดหน้าบ้าน ถามแล้วได้ความว่าพวกนี้มาซื้อยากับบิ๊กหมง เอาละซีพระเดชพระคุณท่าน

และหมูก็อยู่มาได้เกินสองปีที่คุณหมอทำนายไว้ แต่อาชีพเสริมของบิ๊กหมงทางขายยาก็เนือยๆไป การบำบัดด้วยการฉายแสงก่อนหน้านั้นทำให้พรีเซนเตอร์ใบหน้าเกรียมไปข้างหนึ่ง ลูกค้ายามาเห็นก็ใจฝ่อเปลี่ยนใจไม่ซื้อดีกว่า หมูต้องนอนรักษาตัวในห้องพักที่ผมติดแอร์ไว้ให้ และจะฝืนยิ้มเมื่อเราไปเยี่ยม แต่พอมาถึงขั้นที่ต้องทำคีโม เพียงไม่กี่ครั้งร่างกายก็ทนไม่ได้ หมูก็จากโลกไปอย่างสงบโดยคุณหมอได้ดูแลเป็นอย่างดี ไม่มีค่ายาเพิ่ม บิ๊กหมงและลูกสาวได้อยู่เป็นกำลังใจด้วยจนนาทีสุดท้าย

ชีวิตของสองพ่อลูกก็ดำเนินต่อโดยทิ้งความทุกข์ไว้ที่วัด  บิ๊กหมงขอให้น้องสาวคนเล็กมาอยู่เป็นเพื่อนลูกจนเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว วันหนึ่งเขาก็หาโอกาสมาพูดถ้อยความอันสำคัญกับผม
 
“คุณหม่อมครับ พ้มคงต้องไปจากคุณหม่อมแล้วละขรับ” เขาสบตากับผมแพร๊บนึง แล้วเฉไฉไปมองอย่างอื่น
“อ้าว ทำไมล่ะหมง” ผมตกใจ แม้จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้ตลอดเวลาว่าคนเรานั้นพบกันก็เพื่อจะจาก ไม่จากเป็นก็จากตาย ผมก็อดใจหายไม่ได้
“พ้มจะแต่งงานใหม่ขรับ” เขาตอบน้ำเสียงเรียบๆ หันกลับมามองหน้าผม
“อ้าว ก็ดีซี ทำไมไม่พามาอยู่ด้วยกันที่นี่ล่ะ” ผมฉงน  จริงสิ บ้านที่ผมสร้างให้เขาอยู่นั้น ถ้าปรับปรุงเสียใหม่อีกครั้งก็เป็นเรือนหอได้สบายๆ
“แฟนพ้มเค้ามีฐานะดีครับ เป็นเจ้าของร้านขายของสารพัด แต่งงานกันแล้วผมจะต้องไปช่วยกิจการเค้า”

(ยังมีต่อ)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: walai ที่ 28 ม.ค. 16, 17:25
 :Dอ่านจบแล้วต่ะ  สนุก สั้น ได้ครบเรื่องที่อยากรรู้เรื่องของบิ๊กหมงค่ะ และยังชอบประโยคคิกขุ...โอโหเว้ยเฮ้ย...และวาทะส่วนตนของคุณหม่อม...ชีวิตของสองพ่อลูกก็ดำเนินต่อ""โดยทิ้งความทุกข์ไว้ที่วัด""""ข้อความนี้บอกเล่าเรื่องราวได้ยืดยาวโดยไม่ต้องสาธยาย  ชอบมากค่ะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 ม.ค. 16, 18:07
^


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 28 ม.ค. 16, 20:46
ภาพประกอบ (ซึ่งไม่ใช่ดร.ประกอบ) เผื่อใครจะจำหน้าหมอหมงพร้อมเมียและลูกไม่ได้   ;D

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=6418.0;attach=60235;image)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ม.ค. 16, 07:06
(ต่อ)

ฉายาว่าบิ๊กหมงนี่เริ่มต้นจากเด็กสระแก้วที่หมงไปชักชวนมาทำงานกับผมที่บังกะโลพระนางเพลส ตอนแรกๆก็เรียกพี่มงคล หลังๆที่สนิทสนมกันมากขึ้นก็ไม่รู้ว่าใครเรียกบิ๊กหมงขึ้นก่อน คนอื่นๆเลยเรียกตาม เด็กชุดนี้น่ารักมากทั้งผู้หญิงผู้ชาย ทำงานทำการขยันขันแข็งยิ้มย่องผ่องใสทุกคน พอผมเลิกกิจการบังกะโล จ่ายเงินชดเชยให้เกินที่กำหนดตามกฎหมายแล้วถามความสมัครใจ หากใครต้องการทำงานโรงแรมต่อก็จะให้สิทธิ์ เมื่อใดเปิดรับพนักงานจะมีหนังสือไปจ้างให้มาสมัครใหม่ แต่เมื่อถึงเวลานั้นจริงๆมีผู้มาตามนัดหมายไม่ถึงครึ่ง พวกที่ไม่มาส่วนหนึ่งได้แต่งงานแต่งการกันไปแล้วกับเนื้อคู่ที่เจอกันที่นั่น หลายคนฝังรากลึกอยู่แถวปักษ์ใต้นั้นเลย

พอถึงสงกรานต์เด็กเหล่านี้กลับไปเยี่ยมบ้านที่สระแก้ว ก็จะเจอกับบิ๊กหมงเป็นประจำ แล้วคนหนึ่งในนั้นนั่นแหละที่เป็นแม่สื่อแม่ชัก แนะนำเมียใหม่ให้บิ๊กหมง

เจ๊ปองแม้จะเป็นสาวโสดแต่ก็มีอายุแล้ว พ่อเป็นคนจีนแม่เป็นคนใต้ สร้างเนื้อสร้างตัวจากขายของจนมีร้านอยู่ในย่านตลาดของตำบลแห่งหนึ่งในจังหวัดตรัง สุดท้ายเป็นร้านใหญ่ขนาดสามสี่ห้องเห็นจะได้ เจ๊ปองเป็นลูกสาวคนเดียวทำงานช่วยพ่อแม่จนไม่มีเวลาให้ใครจีบ จนพ่อตายไปคนนึงเจ๊เลยยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่ ผู้หญิงนี่ถ้าปล่อยเวลาให้เนิ่นนานเท่าไหร่ก็ยิ่งขึ้นคานหนักเข้าไปทุกทีจนเจ๊ปองหมดหวังว่าจะมีผู้ชายคนใดกล้ามาจีบ ความจริงก็มีคนอยากจะจีบอยู่หรอก แต่ทั้งหมดที่เสนอหน้าเข้าไปเจ๊ปองแกไม่เอา

ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบิ๊กหมงแอบตามแม่สื่อลงไปพบกับเธอเมื่อไหร่ยังไง เพียงเจอกันไม่กี่ครั้ง แม่สื่อก็กล่อมจนตกลงโอเคทั้งสองฝ่าย
“เค้าทำอาหารเก่งมากเลยครับ เก่งกว่าหมูอีก พ้มน่ะดูอย่างเดียวนี้แหละ อยู่กันแล้วไม่อดแน่ก็เอาเลย” หมงตอบผมหลังคำถามที่ว่าไปติดใจอะไรเค้า
“แล้วจะไปทำมาหากินอะไรวะหมง จะไปช่วยเมียขายของเหรอ” ผมสงสัย
“พ้มก็คงต้องช่วยเค้าบ้าง แต่เค้ายังมีสวนอีกห้าหกไร่ พ่อแม่ปลูกพืชผักผลไม้ทิ้งไว้แต่ไม่มีคนดูแล พ้มคงจะหนักตรงนี้แหละขรับ”

เมื่อหมงพาเจ๊ปองลงไปสระแก้วเพื่อไหว้พ่อแม่ของตนเพื่อฝากเนื้อฝากตัว และแวะมาไหว้ผมขอให้ไปสวมมงคลให้ในวันแต่งงาน ผมพินิจเจ๊ปองแล้วก็ห่วงๆบิ๊กหมงอยู่เหมือนกัน ท่าทางจะดุเอาการ แต่ก็ช่างมันเถอะยังไงหมงคงเอาตัวรอด ลูกสาวของบิ๊กหมงก็ไม่ว่าอะไรที่พ่อจะมีเมียใหม่ ตัวเองเรียนจบแล้วก็ไปได้งานต่างจังหวัด ไม่มีกลัวอะไรใครเพราะตัวเท่าลูกช้าง ส่วนน้องสาวหมงที่มาอยู่ด้วยกันก็ได้ข่าวว่าจะแต่งงาน หมงจึงหมดห่วงคนทางกรุงเทพ

ผมแห่ลงไปตรังทั้งครอบครัวพ่อแม่ลูก หมงดีใจมากเมื่อเห็นเรา แขกของเจ้าบ่าวที่ไปในงานมีเพียงไม่กี่คนถ้าเทียบกับฝ่ายเจ้าสาว

งานเลี้ยงพระและรดน้ำสังข์เขาจัดในบ้านที่อยู่ส่วนบนของร้านค้า เจ๊ปองขายเสื้อผ้าผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ แม้จะมีข้าวของเครื่องใช้สำหรับครัวเรือนอย่างอื่นอยู่บ้างก็ไม่มากนัก ผมก็ชักเป็นห่วงบิ๊กหมงมากขึ้นไปอีก น่าสงสารแท้ๆหากจะถูกเมียใช้ให้ขายเสื้อผ้าสตรี


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ม.ค. 16, 08:26
สักปีเศษๆหลังจากนั้น ผมมีธุระจะต้องขับรถจากกระบี่ไปหาดใหญ่ เมื่อเส้นทางต้องผ่านตำบลนั้น ผมก็เลยแวะเข้าไปเยี่ยมบิ๊กหมง
เขายืนยิ้มกว้างคอยผมอยู่หน้าร้านตามที่โทรไปบอกล่วงหน้า พอเจอกันแล้วสิ่งแรกก็คือถามสารทุกข์สุกดิบ

“ผมสบายดีขรับ มีอะไรต่ออะไรให้ทำทุกวัน” เขาตอบเริงร่า
“แล้วไง ทุกวันนี้มีเงินเดือนหรือเปล่า” ผมถามตรงๆ ศักดิ์ศรีของผู้ชายอยู่ตรงนี้ ถ้าเมื่อไหร่ต้องแบมือขอเงินเมียใช้แบบไม่เป็นระบบก็เป็นอันว่าหมดกัน
“ไม่หรอกครับ ผมพอที่จะหาเองได้อยู่…” เขาขยับจะเล่าต่อ แต่ก็ถูกขัดจังหวะจากชายคนหนึ่งที่มาตะโกนอยู่หน้าร้าน

“หมอ หมอ….อ้าวหมออยู่นี่เอง” ชายคนนั้นมองผ่านราวแขวนเสื้อผ้าผู้หญิงมา เมื่อเห็นบิ๊กหมงก็สาวเท้าเข้าหา “เราจะมาบอกหมอ ยาที่จัดให้ไปดีมากเลย แค่วันสองวันไอ้แดงหายหงอย วันนี้ยอมกินข้าวแล้ว แจ๋วจริงๆ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงลิงโลด
“อ้าวเจ๊”  เขาหันไปอีกทาง เจ๊ปองแกได้ยินเสียงลูกค้าขาประจำจึงโผล่ออกมาต้อนรับขับสู้ “เมียเราเค้าสั่งให้ซื้อกระติกน้ำร้อนไปให้เค้าซักใบ ไหน เจ๊มีแบบไหนบ้าง ดูซิ ๆ” ว่าแล้วชายคนนั้นก็เดินตามเจ๊ปองไปทางอื่น

“หมง เดี๋ยวนี้เป็นหมอแล้วหรือวะ” ผมถามเมื่อชายหญิงทั้งสองเดินลับไปแล้ว
“ขะรับ คนที่นี่เค้าเรียกพ้มเป็นหมอกันทั้งนั้นแหละขรับ” หมงตอบแบบซื่อๆพลางยิ้มอายๆ
“เห้ย เป็นเล่นไป เอายาอะไรมาขายให้ลูกเขากิน ไอ้หมง ติดคุกนะโว้ย ” ผมตกใจ พยายามพูดให้เบาเป็นเสียงกระซิบ
“ ฮ่ะ ๆ ๆ” หมงหัวเราะ “ไม่ติดหรอกครับ ผมขายยาไก่”
“ยาไก่” ? ? ?

“หมอ” ชายคนนั้นเดินกลับมาอีก “ ไอ้แดงน่ะ หน้าซีดหงอนซีดแทบจะไม่มีสีเลือดอยู่แล้ว บอกตรงๆละนะ ตอนเจียดยาของหมอไปน่ะ เราไม่ได้เชื่อเล้ยว่ามันจะรอด แต่เห็นว่าไหนๆก็ไหนๆ ให้มันลองกินดู เช้ามันสดขึ้นมาทันตาเห็น โว้ว เยี่ยมแท้ๆ”
“นี่ ตั้งใจจะมาซื้อยากำลังวัวเถลิงกลั่นที่หมอว่าอีกสักขวดนึง ไปเสริมมันหน่อย เท่าไหร่นะ ห้าร้อยเหรอเห็นว่า” เขาพูดพลางควักกระเป๋าหยิบเงินมาให้บิ๊กหมง ซึ่งรับเงินที่เขายื่นให้แล้วขอตัวไปหยิบยา ชายคนดังกล่าวก็เดินตามไป ผมได้ยินเสียงพูดจาแนะนำการใช้ยาดังกล่าวอีกเล็กน้อย

“ตอนนี้ยางราคากิโลละแปดสิบแล้วละขรับ” บิ๊กหมงบอกผมเมื่อลูกค้ารายนั้นไปแล้ว
“คนใต้เค้าจะควักกระเป๋าง่าย ไม่ค่อยต่อรองอะไรมากนะขะรับ เดี๋ยวนี้เวลาติดบ่อนไก่กันที่ไหน ผมก็จะไปจอดรถขายยาไก่หมอมงคล ตั้งแต่เที่ยงเที่ยงถึงเย็นอย่างน้อยสองสามพันต้องได้ มีทุกเสาร์อาทิตย์ผลัดกันไปแต่ละอำเภอ ก็สบายขรับ ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาพ้มไม่เคยยุ่งกับเงินของแม่ปองเค้าเลย”


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ม.ค. 16, 09:20
ตามมาลุ้นหมอหมงค่ะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ม.ค. 16, 09:28
ครับ คนมันจะรวยซะอย่าง อะไรก็ห้ามไม่ได้

คราวหนึ่งผมมีงานจะต้องไปทำแถวๆถิ่นของเค้า ก็นัดบิ๊กหมงให้หารถไปรับผมที่สนามบิน ผมเห็นรถขายยาหมอมงคลแล้วต้องทึ่ง เขาเปิดประตูประทุนหลังแบบรถเร่ขายของทั่วไปให้ดูสินค้าเกี่ยวกับไก่ชนสารพัด จะขาดก็แต่สุ่มไก่เท่านั้น ส่วนยาก็มีทั้งที่มียี่ห้อและยาปรุงเองสูตรหมอหมง เขาโม้ว่าตัวเขาเองดัดแปลงจากยาสูตรโบราณชื่อเบญจโกฐ ซึ่งปรากฏในพระคัมภีร์ปฐมจินดา ส่วนประกอบหลักเช่นสมุนไพร โกฐสอ โกฐเขมา โกฐจุลาลำภา โกฐหัวบัว สี่ตัวนี้ขาดไม่ได้ ปักษ์ใต้หายากแต่แถวสระแก้วมีเยอะ เอามาตำเป็นผงแล้วใช้เกสรดอกบัวแห้งเป็นกระสายบดปั้นแท่งไว้ เวลาจะใช้ก็ฝนกับน้ำผนกลางหาวละลายด้วยน้ำตาลงบน้ำอ้อยแท้ ยาสูตรนี้คนสระแก้วเรียนต่อๆกันมาจากหมอไก่เขมรที่มีเชื้อสายสืบทอดจากคนเลี้ยงไก่ของพระเจ้าวรมันที่ ๗  พอหมอหมงเอามาทำขายหน้าบ่อนได้ไม่นานก็ร่ำลือกันว่าทั้งถูกทั้งดี รถหมอมงคลไปจอดที่ไหนนักเลงไก่ก็จะมาถามหา มุงไปมุงมาก็ซื้อของอื่นติดมือไปอีกทุกครั้ง กำไรก็อยู่ที่ของซื้อมาขายไปพวกนี้แหละ

เมื่อผมเสร็จธุระแล้ว กำลังบ่ายหน้าจะกลับไปรอเครื่องบิน บิ๊กหมงก็ขอเวลาแวะที่บ่อนไก่เพื่อเอาของไปส่งลูกค้า สำหรับผู้ที่ไม่เคยทราบนะครับ จะเล่าให้ฟังว่าบ่อนไก่ทางใต้นี่เขาทำใหญ่โตราวกับสนามมวย ตีตั๋วเสียอากรสำหรับเล่นการพนันถูกต้องตามกฎหมาย คนไปดู ซึ่งก็คือไปเล่นพนันนัดหนึ่งๆเป็นร้อยเป็นพัน  ในสังเวียนไก่ก็ตีกันไป คนเชียร์ก็เชียร์สนั่นเร้าใจ ส่วนนอกสังเวียนคนอีกกลุ่มก็เดินกันพลุกพล่าน คอยสืบหาข่าวจากซุ้มนั้นซุ้มมี้ แอบดูไก่ที่เจ้าของเตรียมเอาขึ้นสังเวียนคู่ต่อๆไปว่าคึกไหมคึก สู้ไหมสู้ เป็นมหกรรมใหญ่ที่ผมเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน
 
บิ๊กหมงหายไปสักพักโดยผมขอออกไปยืนดูสภาพการณ์ทั่วๆไปอยู่นอกรถ พักเดียวคนก็มาล้อมรถเต็ม พอบิ๊กหมงกลับมาก็รุมซื้อนั่นโน่นนี่  ซื้อขายกันเพลินกว่าจะนึกขึ้นได้ว่าผมรออยู่
เห็นอย่างนี้แล้วผมจึงอดที่จะแสดงความชื่นชมบิ๊กหมงไม่ได้ น่าสรรเสริญที่สุดตรงที่เขาไม่สนใจจะเล่นพนันนี่แหละ

ทุกๆปีราวๆสงกรานต์ บิ๊กหมงจะขับรถพาเมียตีรวดจากตรังกลับไปบ้านที่สระแก้วเพื่อเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ แม้เวลาจะน้อยแต่ผ่านกรุงเทพทีไรก็มีแก่ใจแวะมาเยี่ยมผมด้วย แม้จะสักสิบห้ายี่สิบนาทีผมก็ชื่นใจ ของฝากประจำของเขาก็กล้วยเล็บมือนางที่ผมชอบ หมงจะแวะซื้อที่เขารูปช้างที่ชุมพรแบบยกเครือเช่นเดียวกับที่ผมจะต้องหยุดรถซื้อทุกครั้งที่ผ่านทั้งขาขึ้นขาล่อง พักหลังๆนี้เขาอ้วนขึ้นจนสังเกตุได้ชัด คงจะเพราะกินฟรีมีเกียรติ ทักว่าเหมือนเสี่ยทีไรก็ยิ้มกว้างเอามือลูบพุงทุกครั้งไป
  
ทั้งคู่ไม่มีลูกด้วยกัน เมื่อทั้งพ่อและแม่เสียชีวิตแล้ว บิ๊กหมงก็หมดความจำเป็นที่จะต้องกลับสระแก้วทุกปี แต่ผมกับเขาก็ยังได้คุยกันทางโทรศัพท์เสมอ อย่างน้อยถึงปีใหม่คราวใดเขาต้องโทรมาหาผม ผมจึงทราบข่าวคราวของเขาตลอด เมื่อแม่ของเจ๊ปองเสียไปอีกคนหนึ่งแล้ว ร้านเจ๊ปองก็ปรับปรุงกิจการไปขายของอย่างอื่นฉีกแนวออกไปโดยมีบิ๊กหมงเป็นผู้ช่วย ฟังว่าเขาเลิกขับรถตระเวนขายยาแล้ว เพราะตอนหลังๆนี้มีคู่แข่งเยอะขึ้นมาก ตัวเองก็เริ่มเนือยเกิน จะไปจอดรถแต่หัววันเพื่อจองทำเลดีๆหน้าบ่อนก็ไม่ไหว ยอดขายจึงตกฮวบฮาบ จึงหันมาปักหลักขายของที่ร้านแทนดีกว่า

หามิได้ ร้านเจ๊ปองไม่ได้ขายอะไรเกี่ยวกับไก่ บิ๊กหมงแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งในร้าน เปิดขายเครื่องไฟฟ้าที่เป็นเครื่องมือช่างสารพัด โดยมีเซลล์แมนจากกรุงเทพนำของไปทิ้งไว้ให้แบบฝากขายถึงที่

ปีที่แล้ว ผมอยากได้ต้นทุเรียนเทศ ที่กรุงเทพตลาดขายแพงมากหลังจากมีข่าวว่าใบของมันมีสรรพคุณทางรักษาโรคมะเร็งได้ จึงโทรไปถามบิ๊กหมงว่าแถวบ้านเขามีขายไหม หมงบอกว่ามีเยอะเลยขรับ ผมเลยสั่งว่า ฝากซื้อสักยี่สิบต้น ถ้าจะขึ้นมาเมื่อไหร่ให้ใส่รถมาด้วย
ไม่รู้ว่าไปฟังข่าวจากใครอีก หมงจึงคิดว่าผมเป็นอะไรไปแล้วถึงขนาดจะปลูกต้นทุเรียนเทศไว้กินใบเอง ไม่นานเขากับเจ๊ปองก็ขับรถเอาต้นที่ว่ามาส่งให้ผมถึงบ้าน  ลูกชายผมเล่นกับหมาอยู่หน้าบ้านตอนที่บิ๊กหมงมาปิ๊นๆอยู่หน้าประตูเป็นผู้เดินไปเปิด ผมเห็นรถฟอร์จูนเนอร์ป้ายแดงขับเข้ามายังไม่รู้ว่าเป็นใคร สักพักจึงได้ยินเสียงที่ผมคุ้นเคยพูดคุยทักทายกันให้ลั่นไปหมด ลูกชายเดินนำขึ้นกระไดมาแล้วพูดว่า  “พ่อ เสี่ยหมงมาหา”  

อ๊ะ เสี่ยหมง ไม่เคยได้ยิน รู้จักแต่หมอหมง

เมื่อจบขั้นตอนของการดีอกดีใจที่ได้พบกันไปแล้ว ทุกคนก็นั่งลงคุยกันในอาการที่สงบขึ้น เขาถามเรื่องสุขภาพของผมซึ่งผมยืนยันว่าไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว ผมก็เป็นฝ่ายถามบ้างถึงอาชีพการงานของเขา ซึ่งทั้งคู่ตอบว่าพอไปได้ เครื่องมือช่างที่เริ่มดำเนินกิจการนั้น บัดนี้ขยายพื้นที่ไปกว่าครึ่งร้านแล้ว ขายดีเพราะเป็นรายแรกในตลาดของตำบลนี้
มิน่าผมจึงสังเกตุเห็นว่า ที่คอของหมงมีสายสร้อยทองเส้นเขื่องแขวนอยู่ ดูด้วยสายตาน่าจะมีน้ำหนักประมาณสิบบาท  ลูกชายเห็นทั้งรถป้ายแดงทั้งสายสร้อยจึงเรียกพี่มงคลว่าเสี่ยหมง ชะรอยสายสร้อยเส้นนี้จะเป็นโบนัสพิเศษที่เจ๊ปองซื้อให้หัวหน้าแผนกเครื่องมือช่าง
ไม่ใช่แต่บนคอบิ๊กหมงเท่านั้นนะ ที่ข้อมือของเจ๊ปองก็มีกำไลทองอร้าอร่ามใส่มาอวดผมเหมือนกัน
“เออยินดีด้วยนะ ทำมาค้าขายได้เงินได้ทองสุขสบายกันดี” ผมชื่นชมอย่างจริงใจ

“สายสร้อยเส้นนี้”
ผมถือวิสาสะดึงมันออกมาจากคอเสื้อของบิ๊กหมง ผมเองไม่เคยคิดจะใส่ทองหนักขนาดนี้เลย  เห็นแล้วนึกถึงโซ่ผูกคอลิง ใส่ไปคงไม่มีความสุข ทั้งหนัก ทั้งกลัวโจรจะกระชากจนคอเราขาดตามไปด้วย “เอ้อเฮอ เส้นใหญ่ดีนะ ปองเค้าซื้อให้เหรอ”
“เปล่าค่ะ เปล่า” เจ๊ปองร้องเสียงดัง เสียงบิ๊กหมงหัวเราะเหอะๆ  ก่อนที่จะจบด้วยประโยคทองที่ทำให้ผมอึ้งแบบใบ้กินไปเลย
“พี่เค้าซื้อเองค่า เนี่ยะ กำไลนี้ก็ด้วยค่า พี่เค้าก็ซื้อให้หนูวันครบรอบแต่งงานค่า”


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ม.ค. 16, 09:29
จบบริบูรณ์ :D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ม.ค. 16, 10:51
ดีใจไปกับเสี่ยหมงด้วยค่ะ    ที่ชีวิตเป็นไปด้วยดี
เรื่องนี้จบอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง เหมาะจะทำละครสั้นเชิงธรรมะยิ่งนัก   ไม่รู้รายการไหนสนใจบ้าง  
ถ้าสนใจเชิญติดต่อท่านนวรัตนเจ้าของลิขสิทธิ์เอง

ชีวิตบิ๊กหมง เขาปฏิบัติตัวได้สมชื่อแท้ๆ คือดำเนินชีวิตด้วยมงคล  จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม  
มงคลข้อสำคัญที่สุดคือกตัญญูรู้คุณต่อผู้มีพระคุณ  ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ที่สระแก้ว หรือนายเก่าที่กรุงเทพ   บิ๊กหมงให้ความเคารพเอาใจใส่ไม่เคยละเลย  ยังคงปฏิบัติตนเสมอต้นเสมอปลาย นับว่าเป็นการปฏิบัติตามมงคลสูงสุดข้อ ๒๕  ได้อย่างดี
นอกจากนี้  บิ๊กหมงสงเคราะห์ภรรยาและลูก ตรงตามทิศทั้ง ๖ ในพุทธศาสนา   เขาดูแลเอาใจใส่ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก เจ็บป่วยก็รักษาสุดความสามารถ  จนตายจากกันไป   กับลูกสาวเขาก็ส่งเสียเลี้ยงดูจนเรียนจบทำงานได้  ไม่หาแม่เลี้ยงมารังแกลูก  นับว่าบิ๊กหมงทำหน้าที่สามีและพ่อไม่ขาดตกบกพร่อง     เมื่อได้ภรรยาใหม่ เขาก็ไม่ฉวยโอกาสกอบโกยทรัพย์สินของภรรยา แต่ทะนุบำรุงเธอด้วยดี  สมเป็นลูกผู้ชาย

ส่วนเรื่องบิ๊กหมงสร้างฐานะขึ้นมาได้  จะว่าไปแม้ว่าหายาก แต่ก็ไม่น่าแปลกใจ  เมื่อพิจารณาจากธรรมะของพระพุทธองค์ ที่ปรากฏในทีฆชาณุสูตร  ว่าบุคคลจะร่ำรวยได้ ต้องอาศัยการปฏิบัติตัว ๔ ประการคือ
๑ ขยันทำงานหาทรัพย์
ข้อนี้บิ๊กหมงทำมาตลอด ไม่ว่าทำงานกับนาย ขึ้นล่องลงกระบี่ด้วยกัน ขับรถกันทั้งคืน     ผลิตยารักษาไก่  เปิดร้านขายเครื่องมือช่าง   ล้วนแต่อาศัยความขยันทั้งนั้น
๒ รักษาทรัพย์ที่ได้มาให้ดี
ถ้าบิ๊กหมงขายยารักษาไก่พลาง  แวะไปพนันชนไก่พลาง   ป่านนี้ทรัพย์สินที่หามาได้คงไม่เหลือ
๓ รู้จักเลือกคบคนมีธรรมะ
นายเก่าของบิ๊กหมง เป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่สร้างฐานะด้วยความขยันหมั่นเพียรในทางสุจริต    ภรรยาเก่าและใหม่ของบิ๊กหมงก็เป็นผู้หญิงดีทั้งคู่     แสดงว่าบิ๊กหมงเลือกผู้หญิงด้วยสติและความรอบคอบ  มากกว่าอารมณ์
๔ ใช้ชีวิตให้เหมาะกับระดับทรัพย์สินที่มี
รวยขนาดนีิ รถป้ายแดงกับสร้อย ๑๐ บาทแถมกำไลทองให้เมีย   ก็ถือว่าเหมาะกับระดับทรัพย์สินแล้วค่ะ    มีตังค์แล้วกระเบียดกระเสียรให้เมียใส่แต่กำไลพลาสติก  ตัวเองใส่สร้อยสเตนเลส มันก็เกินไป
แต่ห่วงแกหน่อย ใส่สร้อยสิบบาทเดินฉุยฉายในตลาด   หรือนั่งประกาศสร้อยศักดาอยู่ในร้าน  อาจเจอมอเตอร์ไซค์ถือปืนเข้ามาขอสร้อยไปใช้ได้ง่ายๆ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ม.ค. 16, 11:13
ท่านอาจารย์ใหญ่ก็สมควรจะห่วงเสี่ยหมงอยู่ละครับ แต่ผมคิดว่าเขาคงต้องการใส่มาให้ผมถามมากกว่า ผมจะได้สบายใจว่าเขาไม่ได้อยู่ทางใต้เป็นชาวเกาะ
คือเกาะเมียกิน

เดี๋ยวขึ้นรถก็ถอดแล้ว คนอย่างหมง


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 30 ม.ค. 16, 13:38
ขอบคุณท่านอาจารย์ใหญ่ที่สรุปคติที่ได้จากชีวิตบิ๊กหมง คนสนิทของท่านNAVARAT.C
คาดว่าความสำเร็จส่วนหนึ่งของเขา อาจจะได้แบบอย่างจากแนวทางของนายของเขาก็เป็นได้


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 30 ม.ค. 16, 18:27
ครบทั้งสาระและบันเทิงตามสไตล์อาจารย์ Navarat C. ครั้งนี้ยังมีโปรโมชั่นจากอาจารย์เทาชมพูแถมให้ตอนท้ายด้วย คุ้มสุดๆ  
ขอบพระคุณค่ะ







กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Koratian ที่ 31 ม.ค. 16, 22:18

  จบจนพระเอกหมง   คืนถิ่น
  บดี จารย์ใหญ่กว่า   แต่งไว้
  ริร่างเรื่องราวหวัง    หมู่มิตร อ่านนา
  บูรณ์ บำเรอรมย์ให้  อ่านแล้ว สรรเสริญฯ

 ;D



กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 01 ก.พ. 16, 06:34
เรื่องของ "ยอดชายนายหมง" จบบริบูรณ์อย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง ยังมีการบ้านจากท่านอาจารย์ใหญ่อยู่อีกหนึ่งข้อใหญ่

คุณนวรัตนยังไม่ได้เล่าถึงแขกในโรงแรม  สต๊าฟของโรงแรม   และบรรดาเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงแถวอ่าวพระนางเลยค่ะ

เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับผู้คน "หลายชีวิต" คงมีเรื่องน่าสนใจอยู่หลายเรื่องเป็นแน่แท้ ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.พ. 16, 08:55
แล้วแต่ท่านอาจารย์ใหญ่กว่าจะกรุณาค่ะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ก.พ. 16, 09:30
ผมขอตอบทุกท่านอย่างนี้นะครับ

ผมได้เล่านานาสาระในกระทู้นี้ในแบบบันเทิงคดีก็ใช่อยู่ แต่ได้อิงอยู่กับความจริงที่เกิดขึ้นโดยตลอด
ครั้นยิ่งเขียนมากก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดที่จะไม่ไปพาดพิงถึงบุคคลใดที่มีตัวมีตน มีคนที่รู้จักเขาและเธอ อันจะนำไปให้เกิดความเข้าใจผิดต่อบุคคลเหล่านั้นได้

ตอนนี้เนื้อหามันงวดมากแล้ว หากเขียนต่อมีพาดพิงมากขึ้นแน่ จะแต่งเรื่องใหม่ก็ขัดกับหลักการที่ประกาศไว้แต่แรก

ทางเลือกที่จะขอยุติตรงนี้น่าจะดีที่สุดครับ
ขออภัยและขอความเห็นใจด้วยครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.พ. 16, 09:36
จะแต่งเรื่องใหม่ก็ขัดกับหลักการที่ประกาศไว้แต่แรก

ประกาศหลักการใหม่   แต่งเรื่องใหม่เลยค่ะ   เป็นเหตุการณ์สมมุติที่พื้นฐานจากประสบการณ์  แบบเดียวกับ "เมืองนิมิตร ความฝันของนักอุดมคติ"
บอกแต่แรกเลยว่าตัวละคร มาจากจินตนาการ    แบบเดียวกับรุ่ง จิตเกษม เป็นคนละคนกับม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน

แค่นี้ก็ไม่ขัดกับหลักการเดิมแล้วละค่ะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ก.พ. 16, 10:26
ขอบคุณที่ให้ข้อคิดครับ

เอาไว้หมดเรื่องจริงที่จะอยู่ในห้องประวัติศาสตร์ต่อไปได้แล้ว จะได้เอามาหางานทำต่อ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.พ. 16, 10:30
ขอต่อรองหน่อย 
ควบสองห้องเลยก็ได้ค่ะ  ไม่ผิดกติกาอันใด

ใครเห็นด้วยช่วยเชียร์นะคะ 
กด like เลยค่ะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 01 ก.พ. 16, 10:43
เห็นด้วย ๑๐๐ %  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 01 ก.พ. 16, 16:16
ขอจองเก้าอี้ตัวที่สามแถวหน้าค่ะ ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 01 ก.พ. 16, 18:13
กำลังสนุกขนาดนี้ มาลงชื่อรอต่อด้วยคนค้าบบบ  ;D  ;D  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.พ. 16, 19:03
อยู่ในช่วงโปรโมชั่น   เชิญมาลงชื่อเยอะๆค่ะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Koratian ที่ 01 ก.พ. 16, 20:52

ยกมือสนับสนุนครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: walai ที่ 01 ก.พ. 16, 21:51
อยู่ในช่วงโปรโมชั่น   เชิญมาลงชื่อเยอะๆค่ะ
[           /quote]                :ขอจองเก้าอี้แถวหน้านะคะ :P     


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Naris ที่ 02 ก.พ. 16, 08:54
ร่วมด้วย ช่วยเชียร์ครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: PATAMA.M ที่ 02 ก.พ. 16, 16:16
ขอยกมือสนับสนุนค่ะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: visitna ที่ 04 ก.พ. 16, 10:50
ขอสนับสนุนยกมือเต็มที่อีกคน

วันก่อนคุยกับเพื่อนสนิทที่เป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่เด็ก
เขาบอกว่ารู้จักพี่หน่อด้วย เพราะเคยทำงานที่ 4 เอซ
แม้ว่าโลกจะใหญ่โต แต่เพราะโลกเราที่กลม หรือเปล่า ??
ทำให้คนหลายคนผูกโยงกันได้(ถ้าคิดอย่างเข้าข้างตัวเอง)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 ก.พ. 16, 11:09
คุณวรวิชคงจะเป็นวิศวกรที่ทำงานร่วมกับสำนักงานโฟรเอสในบางโครงการน่ะครับ ไม่ได้เป็นลูกน้องโดยตรงของผม

ผมไม่ได้ยุ่งกับงานโครงการเหล่านั้นสักเท่าไหร่ แต่พอรู้จักเพื่อนร่วมงานบางคนบ้างเท่านั้นแหละครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 12 มี.ค. 16, 08:46
ขอบคุณที่ให้ข้อคิดครับ

เอาไว้หมดเรื่องจริงที่จะอยู่ในห้องประวัติศาสตร์ต่อไปได้แล้ว จะได้เอามาหางานทำต่อ

มาด้อมๆมองๆที่บอร์ดหน้าห้องลงทะเบียน เผื่ออาจารย์จะเปิดให้ลงชื่อจองวิชานี้ช่วงซัมเมอร์  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: superboy ที่ 10 มิ.ย. 16, 22:12
รายงานตัวและลงชื่อครับ เก้าอี้กลางห้องเลยจะไม่เหล่สาวแล้ว  :-\


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Lonelybankz ที่ 11 มิ.ย. 16, 01:26
มารายงานตัวลงชื่อครับ อ่านกระทู้ตั้งอต่ยังไม่เข้ามหาลัย จนตอนนี้เรียนจบละฮับ  ;)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 มิ.ย. 16, 09:59
นักเรียนเก่ามารายงานตัว 2 คน
น่าเสียดาย  คุณ NAVARAT.C  ติดภารกิจสำคัญ ต้อนรับหลานสาวคนใหม่ที่เพิ่งออกมาชมโลก   
สงสัยจะอีกนานกว่าจะมีเวลากลับมาเรือนไทยอีกค่ะ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: superboy ที่ 11 มิ.ย. 16, 14:42
ยินดีกับคุณ NAVARAT.C ด้วยครับ รอได้เสมอ ผมแวบไปแวบมาอยู่แถวนี้แหละ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 มิ.ย. 16, 18:06
โทษทีครับ มือไม่ว่างจริงๆคร้าบ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 12 มิ.ย. 16, 18:47
ยินดีด้วยคร้าบบบบ ท่านอาจารย์ใหญ่กว่า  ;D  ;D  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 12 มิ.ย. 16, 19:29
น่ารักน่าชัง

หลานปู่ หรือ หลานตา (หนอ)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 มิ.ย. 16, 20:11
หลานตาครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: visitna ที่ 12 มิ.ย. 16, 22:18
ยินดีด้วยครับ กับหลาน จมูกโด่งมาก


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Koratian ที่ 13 มิ.ย. 16, 09:47

Like Like Like  ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Naris ที่ 13 มิ.ย. 16, 10:12
น่ารักมากๆครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 มิ.ย. 16, 12:54
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาแสดงความยินดีกับตาและหลานนะครับ ขอบคุณมาก


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 13 มิ.ย. 16, 15:39
ยินดีด้วยครับ หลานน่ารักมากครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 13 มิ.ย. 16, 15:57
ยินดีด้วยครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: superboy ที่ 13 มิ.ย. 16, 20:22
หลานตาน่ารักน่าชัง  ;)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 07 ต.ค. 16, 02:37
สารภาพว่าพึ่งจะเจอกระทู้นี้ครับ ลงชื่อไว้อ่านให้ครบ 35 หน้าครับ

สำหรับผม ท่าน NAVARAT.C เป็น ฮีโร่เลยทีเดียว (สำนวนคนรุ่นผมนะ) แต่ถ้าสำนวนเด็กสมัยนี้ต้องบอกว่าท่านเป็น idol เลยครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Naris ที่ 07 ต.ค. 16, 09:46
สำนวนสมัยนี้

ผมอยากสมัครเป็น "ติ่ง" ของอาจารย์ครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ต.ค. 16, 10:00
เอ้ เวลาเขินนี่ วัยรุ่นเค้าจะเขียนตอบยังไงครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ต.ค. 16, 10:05
ขอถือโอกาสแก้เขินแบบนี้ทีนึงก่อน

https://www.facebook.com/1174884455908584/photos/a.1174934195903610.1073741828.1174884455908584/1220008614729501/?type=3&theater


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 07 ต.ค. 16, 10:39
สำนวนสมัยนี้

ผมอยากสมัครเป็น "ติ่ง" ของอาจารย์ครับ

โอ เดี๋ยวนี้วัยรุ่นเขาไปไกลแล้วตามไม่ทันจริงๆ  ฮ่าๆๆ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ninpaat ที่ 07 ต.ค. 16, 16:54
เรียน ท่านอาจารย์นวรัตน์ ครับ

ชิ่อหนังสือ "เรื่องระเคืองเบื้องพระบาท ร.5" นั้น
ไม่ทราบว่า น่าจะเป็น  "เรื่องระคายเคืองเบื้องพระบาท ร.5" หรือไม่ครับ

คือผมดูจากรูปที่ท่านอาจารย์ได้แสดงไว้ บนเฟซบุ้ค วันที่ 7 ต.ค.2559 นี้

และถ้าผมเข้าใจอะไรผิดไป ก็ต้องกราบขออภัยท่านอาจารย์ไว้ล่วงหน้าก่อนครับ




กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ต.ค. 16, 17:17
ผมเห็นว่ามันยาวไป ตกหน้ากระดาษ เลยตัดสั้นลง
คิดว่าเป็นศัพท์สมัยใหม่ก็ได้ครับ วัยรุ่นไม่ชอบอะไรยาวๆ ภาษาก็วิวัฒนาการไปตามนั้น


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 ต.ค. 16, 21:24
คงต้องบันทึกเป็นหลักฐาน ณ ที่นี้ ผู้ที่ใช้คำว่า "ระเคือง" ในความหมายว่า "ระคายเคือง" คนแรก คือ หม่อมหลวงชัยนิมิตร นวรัตน (เผื่อว่าในอนาคตคำนี้จะฮิตติดตลาดขึ้นมา) ;D


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 ต.ค. 16, 07:29
อย่าถึงกับขนาดนั้นเลยครับคุณหมอเพ็ญ เดี๋ยวคนที่เคยใช้มาก่อนจะรุมถล่มผมเละ

16 ส.ค. 2552 - ถวายฎีกา โพลล์เผยปชช.ห่วงถวายฎีการะเคืองพระยุคลบาท โดย news.thaiza.com โดย news.thaiza.com.
http://news.thaiza.com/%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%8A%E0%B8%8A-%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%96%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8E%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97/159708/

... ลดความร้อนบริเวณหนังศีรษะ และฟื้นฟูผิวหนังที่อักเสบ ที่เกิดจากการระเคืองจากการทำเคมี ป้องกันเชื้อรา ช่วยให้เส้นผมมีกลิ่นหอม และรู้สึกผ่อนคลาย. ยี่ห้อ : ตรีสลาสมุนไพรไทย ...
http://www.trisla.com/article-11


ชื่อระคายหูแต่มองดูไม่ระเคืองตา RENAULT CAPTUR บริษัทรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศสซึ่งรู้จักกันในชื่อ เรอโนลต์ (RENAULT) นับเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายเก่าแก่อีกรายหนึ่ง ...
http://www.autoinfo.co.th/article/91551/

พี่ทับทิมด่าได้โดนใจไม่มีคำหยาบคายแต่ระเคืองไปถึงหัวใจ โอ้ยโดน
https://plus.google.com/104094531113275518801/posts/jpHW62p4GfG

แต่ท่านขุนบอกกล่าวเสมอว่า 'ข้ามีเมียแล้วที่เมืองหลวง เจ้าต้องฝากเนื้อฝากตัวอย่าให้หล่อนระเคืองใจเด็ดขาด' เอื้องคําได้มาเห็นกับสายตาแล้วว่ามะลิมีความสวยงาม แต่ถือตัว .
https://books.google.co.th/books?id=gld9CAAAQBAJ&pg=PT213&lpg=PT213&dq=%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87&source=bl&ots=lPF5ULpaOC&sig=lhkD796aOqig3bjoZ0sg6OShi8Y&hl=th&sa=X&ved=0ahUKEwi366aj9cnPAhXJrJQKHXy9AX84FBDoAQg6MAY#v=onepage&q=%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87&f=false

แต่บังเอิญว่าฉันเป็นพวกประเภทตายยาก ลูกปืนแค่สองสามลูกมันไม่ระเคืองผิวฉันหรอก” เมื่อโดนเบรกคนถามก็เลยไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก “นายว่าเพชรที่นายใส่สวยไหม” ...
https://books.google.co.th/books?id=0xcnCgAAQBAJ&pg=PT101&lpg=PT101&dq=%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87&source=bl&ots=tjGHcHZf_m&sig=n-hpE9fFOg4Dbl_zHQue2Y9ouVk&hl=th&sa=X&ved=0ahUKEwi9_9Xe9snPAhWBF5QKHSIHAwk4HhDoAQgZMAA#v=onepage&q=%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87&f=false

ถ้าดูแต่รอยอินละก็ ตกสมัยได้นะครับ
แต่..ผมอยากให้คุณหมอเพ็ญเปิดประเด็น(ตั้งกระทู้ใหม่) เรื่องที่ราชบัณฑิตเสนอให้เปลี่ยนตัวสะกดภาษาไทยที่เอาคำมาจากภาษาอังกฤษใหม่ จะน่าสนุกกว่านะครับ




กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ต.ค. 16, 17:22
คุณหมอเพ็ญไปเปิดไว้แล้วที่นี่ค่ะ

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6600.0


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: lookpong ที่ 26 ต.ค. 16, 12:46
ออกตัวก่อนเลยครับ ผมไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือเท่าไหร่ นอกจากหนังสือเรียนที่ต้องอ่านไปสอบ จะมีหนังสือไม่กี่เล่มที่อ่านจนจบ
พอมาได้อ่านเรื่องที่อ.NAVARAT.C เขียนเล่าเรื่องประวัติศาตร์ให้ได้รับรู้  ยิ่งชวนติดตาม เลยหาอ่านเรื่องอื่นที่อ.ได้เขียนตามๆมา

ขอบคุณอ.NAVARAT.C และอ.ท่านอื่นๆด้วยที่เข้ามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแง่คิดผสมให้เรื่องน่าติดตามมากขึ้น มีชีวิตชีวาเพิ่มเติม

ขอบคุณจากใจจริงๆครับ

ปล. ยินดีกับสมาชิกใหม่ของครอบครัวด้วยนะครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 ต.ค. 16, 13:33
ขอบคุณที่ทำให้ผมชุ่มชื่นขึ้น เมื่อได้ทราบว่าคนรุ่นใหม่ที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ เริ่มหันมาสนใจเรื่องอดีตของชาติเราบ้างแล้ว ไม่เสียทีที่ผมได้อุทิศกำลังและสติปัญญาหลังขดหลังแข็งหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อถ่ายทอดจากสมองคนลงไปในสมองกล หวังให้มันอยู่จีรังกว่า เพื่อเป็นประโยชน์แก่อนาคตของประเทศไทยและคนไทยเอง

และขอขอบคุณแทนสมาชิกใหม่ของครอบครัวด้วยครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Naris ที่ 26 ต.ค. 16, 13:39
อ๊า.. หลานน่ารักมากครับ   :) :) :)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 27 ต.ค. 16, 23:03
กำลังรัดเนื้อเชียว!


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: tita ที่ 13 พ.ย. 16, 10:18
ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ
ช่างน่าชังเหลือเกิน  หน้าเหมือนคุณตาเลย
ตัวยาวด้วย  อีกหน่อยเธอคงสูงระหง 


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 พ.ย. 16, 13:04
ขอบคุณทุกท่านครับ


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 ก.พ. 17, 10:39
ตอนนี้คุณนวรัตนกำลังระลึกถึงความทรงจำดี ๆ แต่ครั้งอดีตอีกคราหนึ่งใน FB หากนำมาแชร์เป็นกระทู้ใหม่ในเรือนไทยคงจะน่าสนใจไม่น้อย

จาก FB สู่สื่อหลัก คิดว่าคุณนวรัตนคงมีโอกาสออกทีวีอีกหลายรายการ  ;D

http://www.nationtv.tv/main/content/social/378534070/


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: ninpaat ที่ 10 ก.พ. 17, 13:28
ท่านอาจารย์นวรัตน ได้ตอบรับคำ ของท่านอาจารย์เพ็ญชมพูแล้วครับ


ขอประชาสัมพันธ์กับชาวเรือนไทยที่ยังไม่เห็นหน่อยครับ

ผมนำภาพเก่าสะสมของผมมาลงใน FB เมื่อสองวันที่แล้ว นึกไม่ถึงจริงๆว่าจะมีคนเข้ามาเห็นโพสต์ที่ว่าถึงสี่แสนกว่าคนแล้ว คนไทยมีความปิติศรัทธาต่อสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่จริงๆ
ท่านสามารถเข้าไปชมได้โดยระโยงนี้ครับ

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1351008971629464&id=1174884455908584


ภาพเก่าสมเด็จพระสังฆราช อัมพรมหาเถระ อันทรงคุณค่ายิ่ง (http://www.reurnthai.com/index.php?PHPSESSID=f993ef74ef65d9e4fe06c1fdfdf7d764&topic=6746.msg156165;topicseen#msg156165)




กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 19 เม.ย. 17, 12:06
รู้จักคุณนวรัตนผ่าน คม ชัด ลึก

http://www.komchadluek.net/news/people/272271


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 19 เม.ย. 17, 13:31
ผมไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นคนเขียนแล้วนำไปลงนะครับ อย่างไรก็ขอขอบคุณ ขอบคุณคุณหมอเพ็ญชมพูด้วยที่เอามาให้อ่านกันในนี้


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 เม.ย. 17, 15:01
ดังไม่หยุด ฉุดไม่อยู่


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 19 เม.ย. 17, 16:41
ใช้คำอย่างกะดาราละครทีวี ขนลุกกกกกกกก


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 เม.ย. 17, 15:53
เค้าเรียกเน็ตไอดอลค่ะ ท่านออกญาศรีนวรัตน 


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 เม.ย. 17, 16:33
ซี๊ดดดดดดดดดด


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 26 พ.ค. 18, 14:09
แปลกไหมครับ ผมได้รับขวัญวันเกิดอายุเจ็ดสิบจากแม่ (https://www.facebook.com/notes/%E0%B8%A1%E0%B8%A5-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%99/%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%9C%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88/1831398670257156/)


กระทู้: ใครอยากรู้จัก NAVARAT.C เชิญที่กระทู้นี้
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 พ.ค. 18, 15:52
^