naitang
|
ความคิดเห็นที่ 345 เมื่อ 05 ต.ค. 21, 19:31
|
|
ก็น่าสนใจอยู่เหมือนกันว่า อาหารแบบปักษ์ใต้ที่ดูจะมี tag ชื่อว่าเป็นอาหารของครัวแบบจังหวัดโน่นนี่นั้น ก็อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของข้าวแกงรสจัดจ้านและอร่อยๆตามสถานีรถไฟได้เหมือนกัน ท่านที่เคยเดินทางด้วยรถไฟขบวนรถเร็วและขบวนหวานเย็นที่แวะจอดเกือบจะทุกสถานี น่าจะนึกออกสภาพดังกล่าวนี้ได้บ้าง
สายใต้ก็จะเริ่มจากที่นครปฐม ก็มีอาทิ ข้าวหมูแดง ข้าวหลาม ไก่ย่าง เข้าเขตราชบุรีก็มีไก่ย่างบางตาล ข้าวเหนียว เข้าเขตเพชรบุรีก็จะมี ข้าวราดแกง ขนมหม้อแกง และขนมหวานอื่นๆ ฯลฯ สายเหนือก็จะเริ่มที่อยุธยา แต่นึกไม่ออกแล้ว จำได้แต่แถวบางมูลนาก พิจิตร ก็จะมีนกกระจาบทอดกรอบ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
unicorn9u
มัจฉานุ
ตอบ: 65
|
ความคิดเห็นที่ 346 เมื่อ 06 ต.ค. 21, 09:14
|
|
ก็จะมีนกกระจาบทอดกรอบ
ตอนนี้ไม่น่าจะมีแล้วครับ นกกระจาบและรังนกกระจาบเป็นสัตว์คุ้มครองไปแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 347 เมื่อ 06 ต.ค. 21, 18:44
|
|
ใช่ครับ ไม่มีแล้ว ตัวนกกระจาบและรังของมันก็เกือบจะไม่มีให้เห็นแล้วอีกด้วย นกกระจาบจะอยู่กันเป็นฝูงๆ เห็นมากในช่วงที่ข้าวแก่จัดกำลังสุก ชาวนาไม่ชอบเพราะมันจะลงมากินข้าวที่กำลังจะเก็บเกี่ยว ได้รับความเสียหายในระดับที่สามารถสังเกตเห็นได้ง่าย ช่วงเวลาหนึ่งคงเห็นว่าจะไล่ก็ไม่จบเรื่องเสียที เลยจับเอามาถอนขนแล้วทอดขายบ้างก็คงจะดีกว่า คนที่จะกินนกกระจาบทอดก็คงจะเป็นพวกตั้งวงสนทนายามแดดร่มลมตก ที่จะเอาไปทำผัดหรือแกงสับนกก็คงจะไม่มีมากนัก เพราะนกตัวเล็กมาก มีเนื้อน้อย มีแต่กระดูก
หากขับรถขึ้นเหนือโดยใช้เส้นทาง อ.อินทร์บุรี จ.สิงหฺบุรี - อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ก็จะเห็นที่ราบที่กว้างใหญ่มองไกลสุดลูกหูลูกตาทั้งสองฝั่งถนน ตลอดเส้นทางประมาณ 200+ กม. ล้วนแต่เป็นพื้นที่ใช้ทำนากันทั้งนั้น
จากข้อมูลที่คุณ unicorn9u ว่า นกกระจาบเป็นสัตว์คุ้มครองไปแล้ว ก็ทำให้มองได้ใน 2 ด้าน ในด้านหนึ่งดูจะบ่งบอกว่า นกกระจาบถูกจับไปบริโภค ถูกจับไปทำลาย หรือมีการตัดตอนวงจรชีวิตของมัน มากไปจนเกินความเหมาะสมของการคงสายพันธุ์ตามธรรมชาติ (species sustainability) ในอีกด้านหนึ่งดูจะบ่งบอกว่า สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติได้แปรเปลี่ยนไปโดยการกระทำของมนุษย์ จนทำให้มันไม่สามารถเจริญพันธุ์ได้ในปริมาณที่มากพอเพื่อการคงสายพันธุ์ตามธรรมชาติ ก็ดูเป็นเรื่องที่น่าสนใจนะครับ พื้นที่ๆเป็นแหล่งอาหารสำคัญของพวกมันใหญ่ขนาดนั้น ประชากรของพวกมันก็คงจะต้องมีอยู่เป็นจำนวนมากเลยทีเดียว วันหนึ่งพวกมันก็หายไปมากพอที่จะต้องถูกคุ้มครอง แล้วสาเหตุหรือต้นเหตุที่แท้จริงคืออะไร เป็นไปได้ใหมว่าเกี่ยวเนื่องกับเรื่องของการใช้ยาปราบแมลงต่างๆ แมลงมักจะเป็นส่วนหนึ่งในวงจรอาหารการกินของนกโดยเฉพาะในวัยแรกเกิดและเริ่มโต
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 348 เมื่อ 06 ต.ค. 21, 20:32
|
|
ลืมบอกกล่าวถึงของดีๆของสงขลา ก็มีมะม่วงเบาแช่อิ่ม และผ้าฝ้ายทอมือของเกาะยอ มะม่วงเบาเป็นมะม่วงที่อร่อย ออกผลทั้งปี ผลดิบไม่มีรสที่เปรี้ยวจัด เอามากินกับน้ำปลาหวานจะอร่อยมาก จะเป็นน้ำปลาหวานที่ทำแบบลวกๆหรือที่แบบแบบมีเครื่องปรุงครบก็อร่อยทั้งนั้น สำหรับที่หาดใหญ่ก็น่าจะลองไปกินปลากระบอกแช่เย็น อร่อยมาก และก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาหมึก
ก็มีเรื่องของข้าวมันไก่ที่น่าสนใจอยู่ว่า เขาว่าไก่เบตงและข้าวมันไก่เบตงนั้นมีความสุดอร่อย ไก่สายพันธุเบตงนั้น เท่าที่พอจะมีความรู้ เขาว่าเป็นสายพันธุ์ที่มาจากมณฑกวางสีของจีน ซึ่งเป็นพื้นที่ๆใช้ภาษาในกลุ่มภาษาไทยและภาษาจีนกวางตุ้ง แต่ที่เราในภาคกลางมักจะรู้กัน คือข้าวมันไก่อร่อยต้องเป็นแบบไหหลำ ก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วมีความอร่อยต่างกันเช่นใด
แวบออกนอกเส้นทางหน่อยนึง -หากประสงค์จะสัมผัสกับความรู้สึกที่ตื่นเต้นในพื้นที่ภาคใต้บ้าง ก็น่าจะลองขับรถในช่วงเวลาก่อนพลบค่ำบนถนนระหว่างอำเภอในพื้นที่ส่วนใต้ตัว จ.สงขลา ลงไป จะรู้สึกโดดเดี่ยวและวังเวงดีครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 349 เมื่อ 06 ต.ค. 21, 20:42
|
|
ข้าวมันไก่เบตง ข้าวมันไก่ไหหลำ ข้าวมันไก่สิงคโปร์ ต่างจากข้าวมันไก่ธรรมดาอย่างไรครับ? https://pantip.com/topic/36253716
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 350 เมื่อ 07 ต.ค. 21, 17:49
|
|
แต่ก่อนนั้น ข้าวมันไก่จะต้องมีต่อท้ายด้วยคำว่า 'ตอน' เหมือนกับจะบอกว่าเป็นข้าวมันไก่ที่ใช้ไก่ตอน มิได้ใช้ไก่ตัวใหญ่อ้วนๆธรรมดาๆ และในแต่ละจานที่สับไก่ใส่ลงไปก็จะต้องมีเลือดไก่สองสามชิ้น มีเครื่องในไก่เป็นกึ๋นและตับอีกอย่างละชิ้นสองชิ้นแนมมาด้วย บางเจ้าในต่างจังหวัดมีการใส่ไข่อ่อนมาด้วยก็มี แต่หากเป็นแบบสับไก่โปะหน้าข้าวก็จะมีแต่เพียงเลือดหนึ่งชิ้นเท่านั้น ในปัจจุบันนี้ดูทุกเจ้าดูจะเหลือแต่เลือดเท่านั้น แต่ก็มีเจ้าที่สับไก่แบบพิถีพิถันในอีกแบบหนึ่ง คือ ลอกหนังไก่ออกมา ขูดเอามันออกไป เอาหนังนั้นปะกลับไปบนเนื่อแล้วจึงสับใส่จาน ร้านน่าจะยังคงอยู่แถวๆย่านบรรทัดทอง
ข้าวมันไก่นั้นดูคล้ายกับจะเป็นอาหารที่ทำง่ายๆ แท้จริงแล้วไม่ง่ายนัก เพราะมีสูตรและวิธีการทำที่หลากหลายทีเดียว ทั้งวิธีการต้มไก่และวิธีการหุงข้าวมันให้อร่อย กระทั่งน้ำจิ้มของมัน แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะแต่ละวิธีดูจะเหมาะกับลักษณะและสภาพของแต่ละครัวที่แตกต่างกัน หากจะทำกินเองก็จึงควรจะต้องหาอ่านสูตรการทำต่างๆที่เหมาะสมกับสภาพสิ่งแวดล้อมของตน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 351 เมื่อ 07 ต.ค. 21, 18:44
|
|
ก็มีอีกไม่กี่เรื่องที่จะกล่าวถึงสำหรับในพื้นที่ภาคใต้
ลงไปเที่ยวใต้ถึงพังงาแล้วก็ควรจะหาโอกาสไปบ้านบางพัฒน์ เป็นหมู่บ้านเล็กๆอยู่ปากคลองบางลิง ก้นอ่าวพังงา บ้านอยู่อาศัยของชุมชนมีลักษณะคล้ายๆกับหมู่บ้านชาวเลของเกาะลันตา ผู้คนที่นี่มีอัธยาศัยดีและมีความเป็นมิตรกับคนต่างถิ่นมาก มีร้านอาหารอร่อย ไปหมู่บ้านนี้แล้วรู้สึกสบายใจและผ่อนคลายกับธรมชาติที่เกือบจะไร้การปรับแต่งโดยฝีมือของมนุษย์
ขากลับออกจากเมืองพังงาก็น่าจะลองหาซื้อข้าวดอกข่าติดมือกลับมาด้วย เอามาลองหุงทานกัน ข้าวดอกข่าเป็นข้าวพันธุ์โบราณของพื้นที่แถบนั้น มีการปลูกแบบข้าวไร่ จัดว่าเป็นข้าวไร่สายพันธุ์หนึ่งที่ยังคงมีการปลูกกันที่พังงา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 352 เมื่อ 07 ต.ค. 21, 19:28
|
|
พักอยู่ในเมืองพังงา พอตกบ่ายๆก็ขับรถไป อ.ท้ายเหมือง ตรงลงหาดไปเลย หาดทรายแถบนี้เป็นพื้นที่อยู่สำคัญของตัวจั๊กจั่นทะเล ซึ่งเป็นสัตว์มีเปลือกพวก Crustacean เอามาทำกินได้หลายอย่าง สำหรับคนต่างถิ่นก็อาจจะนิยมเอามาทอดกรอบ สำหรับคนพื้นที่ก็อาจเอามาใช้ในแกงต่างๆ
ที่จะกล่าวถึงนั้นเป็นเรื่องของความสนุกในการจับตัวจั๊กจั่น จะจัดเป็นการไป picnic ง่ายๆที่หาดท้ายเหมืองก็ได้ เป็นหาดที่มีผู้คนน้อย จึงไม่ต้องมีเรื่องใดที่จะต้องกังวลมากนัก เมื่อพร้อมแล้วก็ออกไปทำความคุ้นเคยกับคลื่นที่เข้ามากระทบฝั่งและระยะที่น้ำซัดเข้ามาบนหาดทราย ตั้งใจรอดูว่าในช่วงเวลาที่น้ำที่ซัดเข้ามาบนหาดนั้นกำลังไหลกลับทะเล จะเห็นฟองน้ำปุดๆอยู่ ก็รีบวิ่งไป ณ จุดนั้นโดยเร็ว แล้วเอามือขุดวิดทรายออกมา ก่อนที่มันจะฝังตัวลงไปนิ่งอยู่ใต้ทราย ก็สนุกดี ได้ออกกำลังเล็กๆน้อยๆ ก็คงไม่สามารถหาตัวมันได้มากพอที่จะเอามาทำกิน หากจะลองกินมันก็คงต้องไปหาเอาตามร้านอาหาร ก็อาจจะขับรถเข้าตลาดซึ่งอยู่ใกล้ๆเพื่อดูลักษณะอาคารที่ทำเป็นคอนโดของนกนางแอ่นก็ได้อยู่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 353 เมื่อ 07 ต.ค. 21, 19:39
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 354 เมื่อ 07 ต.ค. 21, 19:41
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Anna
|
ความคิดเห็นที่ 355 เมื่อ 08 ต.ค. 21, 14:14
|
|
ของดีๆของสงขลา ก็มีมะม่วงเบาแช่อิ่ม มะม่วงเบาเป็นมะม่วงที่อร่อย
ไม่รู้จักมะม่วงเบาค่ะ ตอนแรกไม่อยากรบกวนอาจารย์เลยไปถามอากู๋ ปรากฏอากู๋ไม่มีคำอธิบายอะไรเลยค่ะ มีแค่รูปมะม่วงให้ดู สังเกตได้ว่าเป็นมะม่วงลูกเล็กๆทั้งนั้น ทำให้ไม่แน่ใจว่ามะม่วงเบาหมายถึงมะม่วงลูกเล็กๆน้ำหนักเบา หรือว่าเป็นชื่อพันธุ์ เลยต้องมารบกวนขอความรู้จากอาจารย์ ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 356 เมื่อ 08 ต.ค. 21, 19:05
|
|
คงจะให้ความเห็นตามความรู้ที่ประมวลได้จากการทำงานภาคสนามในพื้นที่ต่างๆ และเป็นความเห็นนอกตำราทางภาษาศาสตร์และทางเกษตรศาสตร์
ผลิตผลของพืชไร่/พืชสวนต่างๆนั้น จะมีแบบที่ออกดอกผลตามฤดูกาลตามธรรมชาติของมัน และมีแบบที่ออกดอกผลนอกฤดูกาลของมัน ชาวบ้านจะนิยมเรียกพืชผลที่ออกนอกฤดูกาลโดยใช้คำว่า 'ทะวาย' ต่อท้ายชื่อพืชผลนั้นๆ ในกรณีที่ระยะเวลาตั้งแต่พืชผลนั้นๆออกดอกจนสามารถเก็บเกี่ยวผลได้ มีช่วงเวลาที่สั้นกว่าที่เป็นไปตามธรรมชาติตามปกติของพืชผลนั้นๆ ก็นิยมจะใช้คำว่า 'เบา' ต่อท้ายชื่อนั้นๆ
พืชผลที่เป็นพวก 'ทะวาย' และ 'เบา' นั้นมีทั้งที่เป็นไม้สายพันธุ์ตามธรรมชาติ มีทั้งไม้ที่มาจากการตัดต่อข้ามสายพันธุ์ หรือกระทั่งการใช้สารเคมีเพื่อแปรผันวัฎจักรช่วงเวลาของการออกดอกผลและการให้ผลผลิตของมัน
ผมมีความเห็นว่า มะม่วงเบาก็คือมะม่วงป่าสายพันธุ์หนึ่งที่มีการเอามาปลูกกันในสวน ที่ใช้คำว่าเบาต่อท้ายนั้น น่าจะหมายถึงการเอามะม่วงที่ยังไม่แก่ (เม็ดในยังไม่เป็นเปลือกแข็ง) เก็บเอามากินกัน ซึ่งจะได้ทั้งกลิ่นและรสที่ชวนกินมากกว่าตอนที่มันแก่และสุกแล้ว (ซึ่งจะมีเนื้ออยู่น้อยมากเพราะว่ามันเป็นลูกมะม่วงขนาดเล็ก)
แล้วมะม่วงเบามีสายพันธุ์หรือไม่ ก็มี ดูจะเป็นชื่อของสายพันธุ์ตามชื่อจังหวัดหรือสวนที่เพาะพันธุ์ขายกัน เชื่อว่าน่าจะเน้นไปในเรื่องของปริมาณผลผลิตมากกว่าในเรื่องของรสและกลิ่น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 357 เมื่อ 08 ต.ค. 21, 20:02
|
|
จาก อ.ท้ายเหมือง ขึ้นเหนือไปตามถนนเพชรเกษม ก็จะผ่านเขาหลัก ผ่านบ้านน้ำเค็ม ซึ่งเป็นพื้นที่ๆได้มีพิบัติภัยอย่างรุนแรงทางธรรมชาติจากคลื่น Tsunami เมื่อ พ.ศ.2547 แล้วก็เข้าสู่ จ.ระนอง ซึ่งบ้านเมืองได้เปลี่ยนไปจนเกือบจจะไม่หลงเหลือภาพเดิมๆให้เห็นเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 358 เมื่อ 09 ต.ค. 21, 19:06
|
|
ก็มีเรื่องหนึ่งที่กั๊กไว้เพื่อเอามาเล่ารวมกันเมื่อถึงระนอง ก็คือ เรื่องของแร่ดีบุก แหล่งแร่ดีบุกของไทยเรานั้น พบกระจายอยู่ตามแนวเทือกเขาตะนาวศรี ที่เป็นแหล่งใหญ่มีชื่อที่รู้จักกันดี ทางตอนเหนือก็คือ บ.ปิล๊อก อ.ทองผาภูมิ ซึ่งมีแร่วูลแฟรม (Wolframite) เกิดร่วมอยู่ด้วย ใต้ลงมาก็มี ห้วยเต่าดำ อ.ไทรโยค ใต้ลงไปอีกก็จะเป็นที่ ตะโกปิดทอง และ เจิงเจ้ย อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี แล้วก็ไปที่ หาดส้มแป้น จ.ระนอง ทางฝั่งอ่าวไทย ก็จะเริ่มพบใต้ลงไปของเส้นทางหลวงสาย อ.หลังสวน (ชุมพร) - ต.หงาว (ระนอง)
แหล่งแร่ดีบุกเกือบทั้งหมดของไทยจะอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า Placer deposit ตัวแร่ดีบุก (Cassiterite)จะอยู่ปะปนกับชั้นทรายปนกรวด การทำเหมืองจึงใช้วิธีการฉีดน้ำแรงๆเพื่อทำให้ดินทรายแตกตัวออกจากกัน แล้วปล่อยในน้ำปนทรายนั้นให้ไหลผ่านรางน้ำที่มีลูกขั้น แร่ดีบุกซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าทรายก็จะตกสะสม จากนั้นก็เอามาล้างทำให้มันสะอาด เอาทรายที่ยังคงเหลือออกให้หมด แร่ดีบุกปริมาณประมาณ 1 กระป๋องนมข้น จะมีน้ำหนักประมาณหนึ่งกิโลฯกับอีกขีดสองขีด
ขอย้อนกลับไปนิดนึง บนเส้นทางยะลา-เบตง จะต้องผ่าน บ.ปินเยาะ ต.ถ้ำทะลุ ที่ปินเยาะก็มีการทำเหมืองแร่ดีบุก เป็นเหมืองที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวตลอดยุคเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ พื้นที่นี้ได้เคยเป็นเสมือนจุดเชื่อมต่อของเจตนารมภ์ของการ compromise ของทั้งสองฝ่าย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 359 เมื่อ 09 ต.ค. 21, 20:08
|
|
แร่ดีบุก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|