ผนวก ๕ ผู้ดีย่อมเป็นผู้มีสง่าข้อนี้หมายความว่า ผู้ดีจะต้องรู้จักภาวะของตัว จะเดินเหินนั่งลุก ก็ควรให้มีท่าทางสง่าผ่าเผย เช่น ไม่นั่งหลังงอหรือทาซอมซ่ออย่านี้ไม่ควรแท้ แต่ก็ต้องระมัดระวังอย่าให้กลายเป็นข่มเพื่อนหรือ แสดงความยิ่งใหญ่ของตนเกินไป
กายจริยา หมายความว่า การแสดงกิริยาท่าทางให้สง่าผ่าเผยสมภูมิสมฐานะ
(๑) ผู้ดีย่อมมีกิริยาอันผึ่งผายองอาจ หมายความว่าต้องยืนเดินนั่งนอนให้เหมาะสมเช่น ต้องยืนตัวตรง เดินตัวตรง นั่งตัวตรง ไม่ยืนชิดผู้ใหญ่จนเกินไป ไม่เดินเร็วหรือช้าเกินไป ไม่นั่งหลังขด หลังงอ ทั้งนี้เป็นการช่วยให้ส่วนของร่างกายทุกส่วนทำงานได้ตามสภาพของมันด้วย แต่ต้องระวังมิให้เกิดท่าทางที่จะกลายเป็นหยิ่งหรือจองหอง จึงควรให้สุภาพเรียบร้อยเท่าที่ควร
(๒) ผู้ดีจะยืนนั่ง ย่อมอยู่ในระดับอันควรไม่เป็นผู้แอบอยู่หลังคนหรือหลีกเข้ามุม หมายความว่า เมื่อจะยืนจะนั่งในชุมนุมชน ในหมู่ในพวก ต้องยืนนั่งตามลำดับอันสมควรแก่ตน คือควรอยู่หน้า ต้องอยู่หน้า ควรอยู่หลังต้องอยู่หลัง ถ้าเป็นผู้ใหญ่ไปอยู่ข้างหลังเท่ากับเป็นการกีดกันที่ยืนที่นั่งของผู้น้อย ในเวลาเข้าแถวปรกติต้องไปตามลำดับผู้ใหญ่ผู้น้อย แต่ถ้าในแถวคอยต้องไปตามลำดับ ก่อนหลังอย่างนี้จึงสมควร
(๓) ผู้ดีย่อมไม่เป็นผู้สะทกสะท้านงกเงิ่นหยุด ๆ ยั้ง ๆ ความหมายว่า ในชุมนุมชนต้องมีความองอาจ ความแกล้วกล้าจะมีคนมากก็ตามคนน้อยก็ตาม ต้องทำประหนึ่งว่าเหมือนไม่มีคนแสดงอาการ ทุกอย่างให้เป็นปรกติ การที่จะให้มีความกล้าหาญได้นั้นต้องเป็นผู้สนใจในวิชาความรู้ ต้องเป็นผู้สนใจในขนบธรรมเนียมประเพณี ต้องเป็นผู้สนใจในระเบียบแบบแผน และต้องหมั่นเข้าร่วมชุมนุม ในที่ซึ่งตนจะเข้าร่วมได้ตามกาลเทศะ มิฉะนั้นแล้ว ก็อดจะสะทกสะท้านบ้างไม่ได้ ไม่มากก็น้อย เมื่อมีอาการอย่างนั้น จำต้องข่มใจหรือนึกถึงความรู้ความสามารถของตัวที่มีอยู่แล้วนำออกใช้ในเวลา เท่านั้น ก็อาจทาให้หายสะทกสะท้าน แสดงกิริยาอาการให้เป็นปรกติ
วจีจริยา หมายความว่า การใช้วาจาให้เหมาะสมเป็นสง่า
(๑) ผู้ดีย่อมพูดจาฉะฉานชัดถ้อยความ พูดชัดให้ได้เรื่อง ไม่อุบอิบอ้อมแอ้ม หมายความว่า ต้องพูดให้เสียงดังพอควรแก่ผู้ฟังพูดชัดเจนให้ได้เรื่อง ไม่อุบอิบอ้อมแอ้มให้ผู้ฟังต้องฉงนสนเท่ห์หรือ ซักถาม
มโนจริยา หมายความว่า การแสดงน้ำใจอันงามให้ปรากฏ
(๑) ผู้ดีย่อมมีความรู้จักงามรู้จักดี หมายความว่าต้องฝึกตาให้รู้จักดู ต้องฝึกหูให้รู้จักฟัง ต้องฝึกจมูกให้รู้จักดม ต้องฝึกลิ้นให้รู้จักลิ้ม ต้องฝึกกายให้รู้จักจับต้อง ต้องฝึกใจให้รู้จักงามอย่างไรดีอย่างไร แล้วฝังจิตใจในความดีความงามนั้นให้แน่นแฟ้น เมื่อได้เห็นสิ่งต่างๆก็สามารถเปรียบเทียบให้รู้ได้ เลือกเอาแต่สิ่งที่ดีที่งาม ดั่งนี้จึงควร
(๒) ผู้ดีย่อมมีอัชฌาสัยอันกว้างขวางเข้าไหนเข้าได้ หมายความว่าต้องรู้จักเข้าสังคม คบกับบุคคลได้ทุกชนิดโดยการสังเกตและรอบรู้ เช่น รู้ว่าบุคคลนั้น ๆ มีฐานะอย่างไร ตนมีฐานะอย่างไร รู้จักกาลว่าขณะใดควรพูดเป็นเรื่องราว หรือพูดเล่นเพื่อสนุกไม่ถือตัวและแสดงความเมตตากรุณา รู้จักอดทน และให้อภัย และรู้จักรับผิดเมื่อผิดพลาด
(๓) ผู้ดีย่อมมีอัชฌาสัยเป็นนักเลง ใครจะพูดหรือเล่นอันใดก็เข้าใจและต่อติด หมายความว่า ต้องวางใจเป็นนักกีฬา คือรู้จักแพ้ รู้จักชนะ รู้จักผิด รู้จักถูก รู้จักยกโทษให้ผู้อื่น มองคนทั้งหลาย แต่ในทางที่ดีที่ชอบ มีความอดทน ฟังคนอื่นให้เข้าใจ และรู้จักพูดเล่นติดต่อกับเขาได้ไม่นิ่งเฉยเสีย
(๔) ผู้ดีย่อมมีความเข้าใจไหวพริบ รู้เท่าถึงการณ์ หมายความว่า ต้องเป็นพหูสูตร คือเรียนรู้ดี ผู้ที เรียนรู้ดีนั้นต้องประกอบด้วยลักษณะดังนี้
๑. จำได้
๒. คล่องปาก
๓. ขึ้นใจ
๔. เข้าใจ
คนที่มีลักษณะเช่นนี้เรียกว่ารู้ดี คนที่มีความรู้ดีนั้นเมื่อได้พบได้เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมรู้เท่าถึงการณ์นั้น นี้กล่าวเฉพาะในส่วนที่เรียนรู้เอาได้ ส่วนไหวพริบอันแท้จริงนั้น เกิดจากธรรมชาติเดิม คือปัญญาเดิมตั้งแต่เกิด มีมาอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น ปัญญาใหม่ คือวิชาความรู้ที่เล่าเรียนนั้นใครเรียนอย่างใดก็ รู้อย่างนั้น เรียนดีรู้ดี ความรู้ดีย่อมทำให้รู้เท่าถึงการณ์ได้
(๕) ผู้ดีย่อมมีใจองอาจกล้าหาญ หมายความว่าต้องมีใจแกล้วกล้าอดทน ไม่ย่อท้อในภัยอันตราย อันจะมีมาซึ่งหน้าเช่นเป็นนักรบก็จะไม่กลัวตาย หาญสู้ศัตรูเพื่อประเทศชาติของตนเพื่อรักษา เกียรติประวัติที่ดีไว้ เช่น เป็นนักเรียน เป็นครู เป็นแพทย์ ก็ต้องอดทนกล้าหาญที่จะทำกิจของตน ๆ ไม่ทำใจฝ่อหรือไม่ขลาดกลัวโดยไม่สมควร