เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์โลก => ข้อความที่เริ่มโดย: ประกอบ ที่ 06 ส.ค. 12, 18:17



กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 06 ส.ค. 12, 18:17
เกริ่นก่อน

ช่วงนี้เจอแต่เนื้อหาหนักๆ แต่น่าติดตามทั้งนั้นในเรือนไทย  เลยลองมาตั้งกระทู้เพื่อให้เห็นถึงอนิจจังความไม่เที่ยงแท้ดูบ้าง
เลยเอาเรื่องตายแล้วไปไหนมาเล่าสู่กันฟังดีกว่า


ตายแล้วไปไหน?  ถามแบบตรงๆ ถ้าตอบแบบกวนๆ หน่อยก็คือ ก็เอาไปฝังหรือเอาไปเผาไง   
จึงเป็นที่มาของความน่าสนใจว่า แล้วคนใหญ่คนโตในอดีต เช่น King Queen Emperor  เชื้อพระวงศ์ คนใหญ่คนโตทั้งหลาย พอตายแล้วเค้าเอาไปไว้ที่ไหนกัน
แล้วคนใหญ่คนโตที่ว่า แต่ละคนเค้าเป็นใครกัน

อย่างที่เคยอวดอ้างไว้ในเรือนไทย ว่ากระผมเองได้มีวาสนามาต่างประเทศกับเค้าเหมือนกัน  แถมตอนนี้นั่งอ้วนอยู่ที่อังกฤษเชียวนะ และสถานที่หนึ่งที่ตัวผมเองนิยมไปเยี่ยมชมคือสุสานต่างๆ ทั้งของคนธรรมดาสามัญ ทหารกล้า รัฐบุรุษ หรือแม้แต่เจ้านายฝรั่ง เพื่อพิจารณามรณานุสติให้เห็นถึงความไม่เที่ยงของชีวิต แถมได้มีโอกาสใกล้ชิดกับกษัตริย์ราชินีอังกฤษแบบว่าอยู่ห่างกันไม่กี่เมตร เพียงแต่ท่านเหล่านั้นอยู่ในโลงเท่านั้น

แหม่ เกริ่นซะธรรมะจ๋า  ยังไม่เข้าเนื้อหาเลย พอดีได้ไปเจอเว็บไซต์หนึ่งที่เจ้าของเว็บมีรสนิยมเดียวกัน คือชอบไปเยี่ยมชมสุสาน  แถมเค้าเจ๋งกว่าเพราะมีภาพน่าสนใจเยอะ จึงถือโอกาสเอาภาพของเค้ามาใช้ซะเลย เพราะสุสานหลายๆ แห่งโดยเฉพาะของกษัตริย์ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ หรือบางที่เปิดให้ชมแค่เพียงปีละหนก็มี

กระทู้นี้อาจใช้เวลานาน ค่อยๆ update ไปเรื่อยๆ ตามแต่ความขี้เกียจของกระผมเอง  ต้องขออภัยล่วงหน้าไว้ด้วยที่อาจจะช้าไม่ทันใจแฟนๆ(ถ้ามี)  แถมข้อมูลที่เอาลงก็จะไม่เรียงตามลำดับเวลา  ราชวงศ์ หรือแม้แต่ประเทศ เอาตามสะดวกของเป็นเองเป็นหลัก(เผด็จการจริงๆ) ท่านใดมีข้อมูลอะไรร่วมแจมด้วยจะเป็นพระคุณยิ่งครับ โดยเฉพาะท่านอาจารย์เทาชมพู  เพิ่มงานให้ท่านซะเลย


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 06 ส.ค. 12, 18:27
คนแรก เพื่อเป็นการเอาใจท่าน han_bing  ขอนำเสนอฮวงซุ้ยของซูซีไทเฮาก่อนเลย
ซูซีไทยเฮา สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกา 1908 เมื่อปี 2008 มีการทดสอบร่างที่เหลือของพระนางและคณะผู้ทดสอบลงความเห้นว่าพระนางสิ้นพระชนม์จากการได้รับสารหนู แถมมีการถ่ายภาพพระศพของพระนางเผยแพร่ด้วย  เห็นกระโหลกชัดเจน   ปัจจุบันฮวงซุ้ยของซูซีไทเฮาอยู่ที่สุสานราชวงศ์ชิง ทางตะวันออกของกรุงปักกิ่งห่างจากกรุงปักกิ่งราว 130 กม.

ภาพแรกเป็นภาพด้านนอก ภาพที่สองเป็นภายในสุสานครับ ภาพจาก wikipedia




กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 06 ส.ค. 12, 18:41
จากเมืองจีนข้ามน้ำข้ามทะเลไปที่ญี่ปุ่นกันบ้าง

จักรพรรดิที่ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งของญี่ปุ่นทุกคนคงนึกถึงจักรพรรดิเมจิ  เพราะในรัชสมัยของพระองค์เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นเปิดประเทศ มีพัฒนาก้าวหน้าจนกลายเป็นมหาอำนาจในทุกวันนี้
จักรพรรดิเมจิ(1852 - 1912)เป็นจักรพรรดิองค์ที่ 122 ของญี่ปุ่น ครองราชฯตั้งแต่ปี 1867 ปัจจุบันสุสานของพระองค์อยู่ที่ชานเมืองเกียวโต
*** ภาพส่วนใหญ่มาจาก wikipedia และ http://www.unofficialroyalty.com นะครับ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 06 ส.ค. 12, 18:50
รัชสมัยถัดจากสมัยเมจิคือสมัยไทโช จักรพรรดิไทโช(1879-1926) ครองราชฯต่อจากจักรพรรดิเมจิ  จริงๆ แล้วจักรพรรดิไทโชไม่ค่อยมีบทบาทหรือเป็นที่รู้จักนักเพราะไม่ค่อยจะทรงปกติสักเท่าไหร่  สุสานของจักรพรรดิไทโชอยู่ที่สุสานหลวงมุซาชิ ในโตเกียว


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ส.ค. 12, 18:51
ขออภัยที่ปาด ครับ

           ตอนแรกนึกว่าจะเป็นกระทู้ธรรมะ

           ชอบเรื่องสุสานเช่นกัน รออ่าน รอชม ครับ

และรอคุณประกอบเล่าเรื่องหลุมฝังศพของ Victor Noir

 


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 06 ส.ค. 12, 19:05
จักรพรรดิอีกคนที่ในช่วงรัชสมัยของพระองค์น่าตื่นเต้นไม่น้อย ทั้งการที่ประเทศกลายเป็นมหาอำนาจ ก่อสงคราม จนแพ้สงคราม จนมาถึงช่วงการพัฒนาจนกลายมาเป็นประเทศอุตสาหกรรมและมีเศรษฐกิจใหญ่ยักษ์ในปัจจุบัน คือสมัยโชวะของจักรพรรดิฮิโรฮิโต(1901-1989) ซึ่งปัจจุบันสุสานของพระองค์อยู่ที่เดียวกันกับของจักรพรรดิไทโช

เพิ่มเติมซักนิด จริงๆ แล้วคำว่าเมจิ ไทโช โชวะ หรือเฮเซ เป็นคำที่ใช้เรียกรัชสมัยของจักรพรรดิแต่ละพระองค์ ซึ่งจริงๆ แล้วจักรพรรดิจะมีพระนามด้วย เช่นจักรพรรดิมัซสุฮิโต ใช้ชื่อรัชสมัยว่าเมจิ หรือจักรพรรดิโยชิฮิโต ใช้ชื่อรัชสมัยไทโช  อย่างปัจจุบันจักรพรรดิอากิฮิโต ใช้ชื่อรัชสมัยเฮเซเป็นต้น

รัชสมัยของจักรพรรดิฮิโรฮิโต เรียกว่าสมัยโชวะ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: visitna ที่ 06 ส.ค. 12, 19:25
นายกคนแรกของเมืองไทย ตายไปแล้ว ยังกลับบ้านไม่ถูก

http://www.manager.co.th/columnist/ViewNews.aspx?NewsID=9540000132307


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 06 ส.ค. 12, 19:40
ฮิฮิ  มีหลายท่านมาร่วมแจม  สุสานของพระยามโนฯนี่เข้ากับกระทู้ในเรือนไทยช่วงนี้ยิ่งนัก ส่วน Victor Noir นี่ ผมได้ยินมานานแล้วว่าหลุมศพแกดัง น่าจะเพราะรูปสลักบนหลุมนั่นแหละ แต่จริงๆ แล้วเคยเห็นรูปสลักบนหลุมศพที่เท่ๆ กว่านั้นก็มีครับ  บางอันเป็นรูปอัศวินนอนไขว่ห้างด้วยซ้ำ เคยถ่ายรูปไว้เอง แต่ตอนนี้ยังหาไม่เจอว่าเก็บภาพไว้ที่ไหน

เมื่อมีสุสานจักรพรรดิฮิโรฮิโตแล้ว ไม่มีสุสานจักรพรรดินีก็กระไรอยู่ ตามภาพคือสุสานของจัรพรรดินีโคจุน(1903-2000) หรือชื่อเดิมเจ้าหญิงนากาโกะ พระมเหสีของจักรพรรดิฮิโรฮิโตและพระมารดาของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน สุสานของพระนางอยู่ที่เดียวกับของพระสวามีครับ




กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 06 ส.ค. 12, 19:58
ขอส่งภาพในดินแดนประเทศไทยสักหน่อย

หมู่พระโกศอดีตพระบรมบูรพกษัตริยาธิราชเจ้าทั้ง ๘ ครับ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 06 ส.ค. 12, 20:04
ในบรรดาสุสานของราชวงศ์ญี่ปุ่นแล้ว ที่เป็นที่รู้จัก(เพราะถูกอ้างถึงในการ์ตูนหลายๆ เล่ม ;)) คือสุสานของจักรพรรดินินโทกุ จักรพรรดิองค์ที่ 16 ของญี่ปุ่น เชื่อว่าครองราชฯช่วงปี ค.ศ. 313 - 399 รายละเอียดต่างๆ ของจักรพรรดิองค์นี้มีเล็กน้อยมาก แต่สุสานของพระองค์ในโอซาก้ายิ่งใหญ่มาก เป็นหนึ่งในสุสานที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นเกาะกลางน้ำรูปคล้ายรูกุญแจที่มีคูน้ำล้อมรอบ 3 ชั้น แต่บริเวณที่ฝังพระศพไม่ทราบแน่ชัด


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 06 ส.ค. 12, 20:06
"ที่นี่เป็นวัดแห่งพระภิกษุแห่งกรุงกบิลพัสด์"

เป็นอักษรที่แกะออกจาจารึกที่เหนือผอบขุดพบใต้ดินลึก ๖ เมตร ซึ่งถือว่าเป็น "อัฐิธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" แบบและลักษณะเช่นเดียวกันกับที่เคยขุดได้สมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ได้นำมาประดิษฐานไว้ที่ยอดพระบรมบรรพต กาลเวลาผ่านมากว่า ๗๕ ปีจึงมีการขุดค้นทางโบราณคดีที่เดียวกันและได้พบอัฐินี้อีกครั้ง

จึงนำมาให้ชมได้เห็นอัฐิธาตุพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในวาระพุทธชยันตี


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: piyasann ที่ 06 ส.ค. 12, 20:12
พาไปเที่ยวอังกฤษ ครับ

Queen Elizabeth I ในวิหาร Westminster Abbey


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 06 ส.ค. 12, 20:16
พาไปเที่ยวอังกฤษ ครับ

Queen Elizabeth I ในวิหาร Westminster Abbey

ที่ยุโรปงามมากครับคุณ Piyasann มีการสร้างรูปหินอ่อนประดับไว้อย่างงดงาม ในวิหารเวสมินส์เตอร์มีเพียบเลยครับ แต่แถบฝั่งอิตาลี ฝรั่งเศส เยรมันก็มีพวกนักบวชเป็นมัมมี่อยู่ใต้ดินเพียบเลยนะ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: piyasann ที่ 06 ส.ค. 12, 20:36
ของ Queen Victoria กับ Prince Albert of Saxe-Coburg-Gotha ที่ Royal Burial Grounds at Frogmore , Windsor

กับพระสวามี ท่านรักกันมากกกกกก...... เมื่อ สิ้นแล้ว ควีึน ก็ทรงไว้ทุก์ (แต่งดำ) ตลอดพระชนม์ชีพ บางกระแสว่า ทรงทอดอาลัย ไม่เป็นอันทำอะไร อยู่หลายปี แต่ด้วย นายกรัฐมนตรีเก่งเรียกว่า ตลอดรัชกาล และ ทรงมี พระขัตติยะมานะ อังกฤษจึงเป็นมหาอำนาจในโลกยุคก่อนได้


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 06 ส.ค. 12, 20:45
ของ Queen Victoria กับ Prince Albert of Saxe-Coburg-Gotha ที่ Royal Burial Grounds at Frogmore , Windsor

กับพระสวามี ท่านรักกันมากกกกกก...... เมื่อ สิ้นแล้ว ควีึน ก็ทรงไว้ทุก์ (แต่งดำ) ตลอดพระชนม์ชีพ บางกระแสว่า ทรงทอดอาลัย ไม่เป็นอันทำอะไร อยู่หลายปี แต่ด้วย นายกรัฐมนตรีเก่งเรียกว่า ตลอดรัชกาล และ ทรงมี พระขัตติยะมานะ อังกฤษจึงเป็นมหาอำนาจในโลกยุคก่อนได้

ท่านรัก Prince Albert เป็นอย่างมากครับ แน่นอนว่าท่านทรงไว้ทุกข์แต่งดำตลอดเสมอมา ไม่ทราบว่าพระพันปีหลวงทรงไว้ทุกข์แบบเดียวกันหรือไม่ เหมือนเคยอ่านเจอว่าทรงเสียพระทัยมากเช่นกันและไว้ทุกข์ตลอดมา


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 06 ส.ค. 12, 20:46
สุสานของ Queen Elizabeth นี่จริงๆ แล้ว Queen ไม่ได้อยู่คนเดียว แต่เป็นหลุมร่วมกับ Queen Mary พี่สาวต่างพระมารดาของ Queen Elizabeth I นี่ถ้าดูตามประวัติศาสตร์น่าจะไม่ค่อยถูกกับพี่สาว คือ Queen Mary of Tudor หรือ Bloody Mary นัก เพราะทั้งสองนับถือคริสต์คนละนิกายกัน เพียงแต่เมื่อสิ้น Queen Mary แล้วไม่มีรัชทายาท ทำให้ Princess Eสizabeth ได้ครองราชต่อเป็น Queen Elizabeth I

ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ถูกกันนักยามมีชีวิต แต่ทั้งคู่ต้องใช้พื้นที่สุสานร่วมกัน แถม Queen Mary เองไม่มีรูปปั้นบนหลุมศพครับ



กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: piyasann ที่ 06 ส.ค. 12, 20:50
อันนี้ ใกล้คำถามของ จ.ข.ก.ท. ขึ้นมาอีกนิด

อยู่ใต้นครรัฐวาติกัน นี้เอง เป็นสถานที่ฝั่งศพ (และวางหินรากฐาน) ของนักบุญ ซีโมน ( st. Peter)


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: piyasann ที่ 06 ส.ค. 12, 21:16

ตายแล้วไปไหน ฝรั่ง ทั้งคริสต์ ทั้งยิว เขาว่า (เพราะมาจากตำรา ไบเบิ้ล เช่นกัน) มนุษย์นี้ เมื่อตายไปแล้ว จะไปรออยู่ใต้โลก (ภาษาำไทยแปลแปลก ว่า เมืองบาดาล !!!)  เรียกต่างๆ กันว่า sheol บ้าง hades บ้าง 

เพื่อรออีก ๑,๐๐๐ ปี เมื่อวันพิพกาษา (Day of Judgment) มาถึง พระผู้่เป็นเจ้าจะส่ง พระบุตร ลงมาตัดสินว่า ผู้ใดรับเชื่อ และ เป็นคนดีหรือไม่

ถ้ารับเชื่อ และเป็นคนดี ก็จะส่งไปอยู่ใน New Jerusalem (ตามพระธรรมเอเสเคียล) ส่วน Heaven นัี้้้น เป็นที่อยู่ของพระเป็นเจ้า (เว้นแ่ต่เราจะทำความดีถึงขนาน ถึงจะไปรวมอยู่กับพระองค์)

แต่ชาวยิวเชื่อว่าในเมืองบาดาล ต้องมีสองส่วน สำหรับคนดีแห่งหนึ่ง และคนชั่วแห่งหนึ่ง 

ถ้าเป็นคนรับเชื่อในพระเจ้า ก็อยู่ที่ดีหน่อย ชื่อ Paradise แต่อันว่า พาราไดซ์ นี้ ไม่ไ้ด้อยู่ด้านบนของโลก ก็อยู่บนโลกนี้แหล่ะ

ส่วนคนไม่ดี ตายแล้ว ไปรอวันพิพากษาอยู่ที่ Gehenna (เกเฮนนา) หรือ Tartarus ตามคำชาวกรีก

ปี ค.ศ. ๑๙๗๑ นักธรณีวิทยา ได้ขุดสำรวจก๊าซธรรมชาติ บริเวณที่เรียกกันว่า ดาร์วาซา ในประเทศเติร์กเมนิสถาน  ค้นพบเห็นหลุมขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 50-100 เมตร เพื่อป้องกันการรั่วไหลของก๊าซพิษเหล่านี้ ทีมนักสำรวจจึงตัดสินใจ ว่าจะทำการเผาก๊าซทิ้ง แต่เผามาเกือบสี่สิบปีแล้ว ก็ยังไม่ดับซักที (ตอนแรกคาดว่า จะหมด - ดับภายใน ไม่กี่ปี) หลุมแห่งนี้ จึงถูกเรียกว่า “ประตูสู่นรก”  หรือ Gehenna

สวยจังครับ แต่ไม่น่าไปอยู่้ อิอิ

ขอตอบคำถาม ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ และยิว เป็นทางเลือกไปอยู่ครับ !!!!!!!!!




   
       


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: piyasann ที่ 06 ส.ค. 12, 21:28
สุสานของ Queen Elizabeth นี่จริงๆ แล้ว Queen ไม่ได้อยู่คนเดียว แต่เป็นหลุมร่วมกับ Queen Mary พี่สาวต่างพระมารดาของ Queen Elizabeth I นี่ถ้าดูตามประวัติศาสตร์น่าจะไม่ค่อยถูกกับพี่สาว คือ Queen Mary of Tudor หรือ Bloody Mary นัก เพราะทั้งสองนับถือคริสต์คนละนิกายกัน เพียงแต่เมื่อสิ้น Queen Mary แล้วไม่มีรัชทายาท ทำให้ Princess Eสizabeth ได้ครองราชต่อเป็น Queen Elizabeth I

ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ถูกกันนักยามมีชีวิต แต่ทั้งคู่ต้องใช้พื้นที่สุสานร่วมกัน แถม Queen Mary เองไม่มีรูปปั้นบนหลุมศพครับ



แม่นแล้วครับ คุณประกอบ แ่ต่ ท่านไม่ได้ นอนเคียงกัน อย่างกับควีน วิคตอเรีย นาครับ ท่านซ้อนกันอยู่

การมีทายาท (hair) เป็นเรื่องสำคัญ ของชาวยุโรปมาก เพราะเป็นการสืบทอดชื่อตัวต่อไป เช่น ชื่อ นายจอห์น (John) พ่อก็ชื่อ จอห์น ปู่ก็ชื่อจอห์นฯ ทวดก็ชื่อจอห์น บ่งชี้ถึงความเชื่ออันอิงกับความเป็นอมตะ หรือการคงอยู่อะไรประมาณนี้ (ฉนั้น เวลาหาชื่อคนฝรั่งจึงยาก เพราะชื่อ-นามสกุลเดียวกันหมด ต้องคอยดูปีเกิด ปีตายแทน)

อีกเหตุผลหนึ่งคือ การมีทายาท เอาไว้ทำศพ และดูแลหลุมศพ เพื่อรอวันพิพากษา ตามความเชื่อ อ่านมาแล้วก็ลืมว่า ควีนทั้งสององค์นี้ ไม่มี hair เขาจัดการกันอย่างไร ? แตกต่างกันอย่างใดกับ กษัตริย์ - ราชินี ที่มีทายาท ยิ่ง บวกด้วยกระแสการเมือง + ความเชื่อตามคตินิยมแล้ว เขาว่า ต่างกับกษัตริย์องค์อื่นในบางประการ

เรื่องนี้ ต้องร้อนถึง ท่านอาจารย์ฺใหญ่ ผู้เป็นพหูสูตร ประวัติศาสตร์ตะวันตก ได้โปรดให้ความรู้ขอรับ ......


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 ส.ค. 12, 22:18
ไม่เคยเรียนเรื่องการเฝ้าศพเสียด้วยค่ะ  สมัยอยู่ร.ร. ก็ไม่มีสอนไว้ในหลักสูตร  ???
เคยแต่จำได้รางๆจากหนังสือว่า เมื่อถึงวันสิ้นโลกก็จะถึงกำหนดของวันพิพากษา หรือ The Judgment Day   พระผู้เป็นเจ้าจะพิพากษาความดีชั่วของมนุษย์ในขั้นสุดท้ายว่าใครจะได้ไปอยู่สวรรค์ ใครจะตกนรกหมกไหม้ชั่วกัปป์ชั่วกัลป์   ไม่มีการเวียนมาเกิดใหม่อย่างพุทธศาสนา
เมื่อถึงวันพิพากษา ผู้ตายทั้งหมดที่หลับไหลอยู่ในสุสาน ก็จะฟื้นกลับขึ้นมาในรูปกายเดิมครบถ้วน     ด้วยความเชื่อข้อนี้จึงกลายมาเป็นเงื่อนไขของการฝังศพผู้ตายลงในหลุมศพโดยไม่เผา      เพราะถ้าเผาจนหมดอย่างคนไทย   จะไม่มีรูปกายให้ฟื้นขึ้นมารับคำพิพากษาอีก 
ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา ก็เป็นหน้าที่ลูกหลานจะดูแลหลุมศพให้ดี  มิให้ใครมารบกวนศพของบรรพบุรุษหรือก่อความเสียหายอย่างใดแก่สุสาน    ถ้าเป็นเศรษฐีผู้ดีมีตระกูลก็สร้างอาคารใหญ่ไว้มั่นคงแข็งแรง บรรจุโลงศพเรียงกันเป็นตับไว้ในนั้นเสียเอง   หลายๆปีจะเปิดที   คือต่อเมื่อมีใครตายแล้วต้องหามโลงไปเก็บในนั้น   ใส่กุญแจแข็งแรงไม่ให้ใครงัดเข้าไปได้
ส่วนกษัตริย์และราชินีก็มีที่เก็บพระศพหลายแบบ เช่นในยุคกลางก็เก็บไว้ในโบสถ์ เท่ากับเจ้าอาวาสโบสถ์ดูแลให้เสร็จสรรพ   คุณประกอบไปเดินดูโบสถ์เก่าๆในอังกฤษจะเห็นรูปหินอ่อนนอนหงายพนมมือกันอยู่มากหน้าหลายตา   นั่นแหละค่ะ 
ต่อมาเมื่อบ้านเมืองเจริญขึ้น โบสถ์สร้างใหญ่โตประจำอาณาจักร  ก็มีธรรมเนียมว่าเป็นที่เก็บพระศพของพระเจ้าแผ่นดิน ทั้งราชาและราชินี หลายต่อหลายพระองค์  คือ  Westminster Abbey เป็นที่เก็บพระศพเหล่านี้   ไม่ต้องมีลูกหลานมาดูแล  ราชอาณาจักรและศาสนจักรดูแลให้เอง
คุณ piyasann พูดถึง heir หรือทายาท   (อ่านออกเสียงว่าแฮร์ เหมือน hair แต่สะกดด้วย e ค่ะ)    ถ้าเป็นกษัตริย์หรือราชินีที่ครองราชย์  ต่อให้สิ้นพระชนม์ไปโดยไม่มีลูก ก็จะมี heir อยู่เสมอ   คือนับจากญาติใกล้ชิดทางสายเลือดเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นหลัก อาจเป็นน้อง  เป็นหลานลุงหลานอา  หรือลูกพี่ลูกน้อง  ยังไงก็ได้ที่เป็นญาติ  รับรองว่ายังไงก็ต้องเจอเข้าสักคน   
พระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๑ ทรงเป็นสาวพรหมจารีไม่เคยเสกสมรส    เมื่อสิ้นพระชนม์ ราชบัลลังก์ก็ตกไปอยู่กับพระญาติที่เป็นเจ้าชายชาวสกอต  ซึ่งร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นหน้ากัน   พระองค์ก็ต้องข้ามจากสกอตแลนด์มานั่งบัลลังก์อังกฤษ   ชื่อพระเจ้าเจมส์ที่ ๑   ค่ะ   


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 ส.ค. 12, 22:40
เอารูปมาให้ดูค่ะ

นี่คือรูปสลักเหมือนจริงของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 4 แห่งอังกฤษ นอนคู่กับพระนางโจนแห่งนาวาร์ พระราชินี  รูปสลักทั้งสองนี้วางไว้บนฝาหีบพระศพ เก็บไว้ในวิหารใหญ่ของอังกฤษในเมืองแคนเทอเบอรี่  ที่รู้จักกันในนาม Canterbury Cathedral
พระเจ้าเฮนรี่ทรงอยู่ในยุคกลาง ปลายศตวรรษที่ 14   ถ้าถามว่าตายแล้วไปไหน  สมัยนั้น ตายแล้วไปโบสถ์ (หรือวิหาร) ค่ะ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: piyasann ที่ 07 ส.ค. 12, 00:55
ควีน อลิซาเบธ ท่านไม่มีลูกแบบ official  แต่มีเอกสาร มีหนังสือ และจดหมายหลายฉบับ "เมาส์" กันว่า ทรงแต่งงานกับแผ่นดินอังกฤษ ยกเว้นพระอู่

มีคนไปวิเคราะห์เอกสาร ราชการ แบบพระราชกิจรายวันของ ควีน ว่า ทรงหายไปจากพระราชสำนัก เป็นเวลา ๘ - ๙ เดือน บ้าง กลับมาก็ทรงผิดปกติไปชนิด คนเคยคลอดลูก เขาดูกัุนออก .......  เขาว่าอีก , คนที่รู้เรื่องดีที่สุดก็ ตาวิลเลียม เซซิล บารอนแห่งเบอร์ลีย์ที่ 1 อัครมหาเสนาบดี คู่พระทัย กับ ลูกชายที่รับหน้าที่ต่อนั้นแหล่ะ ที่เป็นคนจัดการ ชนิด พอออกจากอู่เสร็จ ก็ยกให้เป็นลูกผู้มีบรรดาศํกดิ์ คนอื่นให้เลี้ยงไว้ แม้แต่ พ่อ หรือเสด็จแม่ ก็ไม่ทราบว่า ลูกตัวคือใคร !!!! (ภาพยนต์ เอาเรื่องนี้ มาทำเป็นเรื่องบัดสี ชนิด Marquis de Sade ยังอาย ก็มี, แต่เขาก็เล่าตามทฤษฏี Prince Tudor theory ซึ่งต้องค้นหากันต่อไป)

การเมืองเรื่องขั้วอำนาจ จึงเห็นว่า คนที่น่าจะคว้ามาครอบไว้มากที่สุดคือ คิงส์ เจมส์ ที่ ๖ แห่งสก๊อตแลนด์ ซึ่งต้องยอมเปลี่ยนศาสนามาเป็นกษัตริย์อังกฤษ ตามบทบัญญัติ ปลายรัชสมัย ก็มีเกิดกบฏ แย่งชิงราชบัลลังก์ โดยผู้กระทำคือ Earl of Essex (คนโปรด!!! - อ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์จากทางแม่ ที่เป็น พระญาติกับ เฮนรี่ ที่ ๘) แต่ไม่สำเร็จ หนึ่งในกบฏ มีลูกลับของควีน รวมอยู่ด้วย

คิงส์เจมส์  ที่ ๖ ก็ไม่ใช่ใครอื่น ก็เป็นลูกของ ควีน แมรี่ ออฟ สก็อต ที่พระนางสั่งประหาร (อันนี้ก็แล้วแต่ ข้อมูล บ้างก็ว่า พระนางสั่งเอง บ้างก็ว่า พระนาง กรี๊ดๆ ฟูมฟาย ว่าไม่ได้สั่ง ประหาร) ดูในภาพยนต์ ทำเวอร์ไปหน่อย ว่า คิงส์เจมส์บอกว่า บ้านเมืองก็ให้ ไอ้เตี้ย (ศัพท์ของควีน อลิซาเบธ ทรงเรียก Robert Cecil, 1st Earl of Salisbury) ดูแลไป ส่วนฉันจะได้เล่นไล่จับกับมหาดเล็กของควีนองค์ก่อนได้สบายใจเฉิบ !!!!

แต่จริงๆ แล้ว คิงส์เจมส์ที่ ๑ ของอังกฤษ (และที่ ๖ แห่งสก็อตแลนด์) ทรงเป็นปราชญ์ มีความรอบรู้มากเช่นกัน เพียงแต่ พระพักต์ และวรกาย ไม่สง่างาม (เรียกว่า ......... เชิญหาอ่านเอาน่ะครับ ) แต่สิ่งที่คนจดจำพระองค์มากที่สุดคือ ทรงให้แปล พระคำภีร์ไบเบิ้ล จากภาษาละติน ภาษาเยอรมัน เป็นภาษาอังกฤษ และแปลได้อย่างไพเราะ วิเศษ นัก เรียกกันว่า ฉบับ King Jame's Version (KJV) ให้คนทั่วไปได้อ่านกันจะได้เข้าถึงพระธรรมคำสั่งสอน โดยไม่ต้องผ่านคนกลาง แต่ถ้าไปอ่านเอกสารของฝ่าย Atheist เขาจะว่า โอ๊ !! พระเจ้า เป็นฉบับที่ซ้อนอะไรไว้มากจริงๆ !!!  ถ้าท่านใดชอบประวัติศาสตร์ช่วงนี้ มีให้อ่านมากเหลือเกิน เป็นช่วงมันส์ ของราชวงศ์อังกฤษ

ฉนั้น ควีน อลิซาเบธ จึงไม่ทรงมี heir (ขอบพระคุณที่แก้ไขครับ) ตามบทบัญญัติทั้งทางโลก และทางธรรม (ศาสนาไม่รับ) เวลาไปรอเฝ้าพระเป็นเจ้า จึงต้อง ชวนพี่สาวผู้แสนดี (จริงๆ เขารักกันน่ะ แต่ก็แข่งกันเก๋ และคนละนิกาย) กุมมือกันไว้ และไปด้วยกัน..........



กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 12, 09:16
Prince Tudor theory ที่คุณ piyasann ยกมา เป็นประเภทพงศาวดารกระซิบ ค่ะ   ฝรั่งเรียกว่า old wives' tale   
เรื่องประเภทเขียนขึ้นจากคำเล่าลือบ้าง  จากการตีความเอกสารหรือบันทึกในอดีตบรรทัดสองบรรทัดบ้าง  แล้วไปค้นหลักฐานมาปะติดปะต่อกันเข้าเป็นเรื่อง   บางทีก็เกิดจากนิยายก่อนแล้วทึกทักกันว่าเป็นเรื่องจริง      แนวเรื่องที่ฮิทที่สุดคือเรื่องพระโอรสลับของกษัตริย์ต่างๆ
เรื่องประเภทนี้ของไทยเราก็มีหลายเรื่อง    เช่นเรื่องพระเจ้าปราสาททองเป็นพระโอรสลับของพระเอกาทศรถ   พระเพทราชาเป็นพระโอรสลับของสมเด็จพระนารายณ์
แต่เป็นเรื่องที่ประวัติศาสตร์ไม่รับรองค่ะ    เพราะเจาะลึกลงไปแล้วหาหลักฐานมาสนับสนุนไม่ได้ มีแต่หลักฐานขัดแย้ง    ตกลงว่าในปวศ.อังกฤษ  พระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 ก็ยังเป็น The Virgin Queen  อยู่เช่นเดิม   เพราะพระโอรสลับที่ลือกันนั้นเอาเข้าจริงก็ไม่เห็นจะโผล่หน้ามาเป็นที่ยอมรับกันสักคน


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 ส.ค. 12, 10:01
         มีเกร็ดเรื่องของข้างพระวรกายในหีบพระศพของควีนวิคทอเรีย ครับ

           ควีนทรงโปรดให้วางฉลองพระองค์ของเจ้าชายอัลเบิร์ทไว้ด้านขวา ส่วนทางด้านซ้าย
เป็นรูป กับปอยผมของนายบราวน์
           มีข้อมูลที่เปิดเผยในปี ๒๐๐๘ นี้ว่า แหวนแต่งงานของมารดาบราวน์ก็ได้ถูกนำมาวางไว้
ในพระหัตถ์ของควีนด้วย
 
กระทู้เก่าเรื่อง Mrs. Brown ครับ

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=2687.15


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 ส.ค. 12, 13:33
นอกจากราชาและราชินีแล้ว ผู้ที่มีสิทธิ์นอนในโลงภายในโบสถ์ของฝรั่งเห็นจะได้แก่ พระ

ตอนไปแคนาดา มองจากห้องพักที่โรงแรมเห็นหลังคาโบสถ์แห่งหนึ่งสวยงามที่เดียว

ใช้อินทรเนตรค้นหาได้ชื่อว่า Mary, Queen of the World Cathedral (http://en.wikipedia.org/wiki/Mary,_Queen_of_the_World_Cathedral)


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 ส.ค. 12, 13:40
เดินจากโรงแรมไม่กี่สิบก้าว ก็ถึงโบสถ์

ภายในมีสิ่งที่น่าสนใจคือ รูปปั้นบนหีบศพ

ค้นในอินทรเนตรเช่นกัน ได้ความว่าคือ Ignace Bourget (http://en.wikipedia.org/wiki/Ignace_Bourget) บิชอปแห่งมอนทรีออล  

ไม่ทราบว่าโบสถ์คริสต์ในเมืองไทยมีการเก็บรักษาศพบาทหลวงคนสำคัญในลักษณะนี้หรือไม่

 ???


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 07 ส.ค. 12, 13:51
เดินจากโรงแรมไม่กี่สิบก้าว ก็ถึงโบสถ์

ภายในมีสิ่งที่น่าสนใจคือ รูปปั้นบนหีบศพ

ค้นในอินทรเนตรเช่นกัน ได้ความว่าคือ Ignace Bourget (http://en.wikipedia.org/wiki/Ignace_Bourget) บิชอปแห่งมอนทรีออล  

ไม่ทราบว่าโบสถ์คริสต์ในเมืองไทยมีการเก็บรักษาศพบาทหลวงคนสำคัญในลักษณะนี้หรือไม่

 ???

บาทหลวงปาเลกัวซ์ ได้ฝังร่งของท่านบนผืนแผ่นดินไทย เมื่อไม่กี่ปีมานี้มีการขุดโครงกระดูกท่านมาล้างใหม่บริเวณสุสาน ซึ่งไม่ได้มีการก่อสร้างรูปหินอ่อนแบบทางยุโรป

แต่ถ้าทางศาสนาพุทธแล้ว มีพระสงฆ์ที่ไม่เน่าเปื่อย นอนอยู่ในโลงแก้วอย่างมากมายครับ เช่น

หลวงพ่อทบ วัดชนแดน จ. เพชรบูรณ์

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ จ.อุทัยธานี

หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ

หลวงพ่อเกษม เขมโก จ.ลำปาง

หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค จ.นครสวรรค์

และอื่่น ๆ อีกมาก


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 07 ส.ค. 12, 16:30
สำหรับราชวงศ์อังกฤษ โดยเฉพาะกษัตริย์และราชินีต่างๆ นั้นส่วนใหญ่มักจะฝังร่างไว้ที่ Westminster Abbey หรือ St. George Chapel ในปราสาท Windsor


St. George Chapel เป็นโบสถ์หรือสถานที่สวดภาวนาประจำปราสาท Windsor ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ประทับหลักของพระราชินีอังกฤษ  ตัวโบสถ์มีอายุประมาณ 700 - 800 ปีแล้ว เป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 ข้างใต้พื้นของปราสาทแบ่งเป็นห้องต่างๆ หลายห้อง แต่ละห้องก็ใช้เป็นที่เก็บศพและพระศพบุคคลสำคัญต่างๆ ห้องที่ใหญ่ที่สุดชื่อว่า Royal Vault เพิ่งสร้างเมื่อช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19  มีพื้นที่พอสำหรับวางโลงศพได้ 48 โลง   


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 07 ส.ค. 12, 16:38
ภาพวาดของ Royal vault ใต้โบสถ์ St. George ครับ เป็นภาพวาดเก่าตั้งแต่ร้อยกว่าปีที่แล้ว  จะเห็นได้ว่าเค้าก็เอาโลงศพไปวางๆ เรียงกันไว้เฉยๆ เท่านั้น


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 07 ส.ค. 12, 16:55
กษัตริย์องค์หนึ่งที่มีชีวิตที่หวือหวาและโด่งดังมากโดยเฉพาะเรื่องการใช้ราชินีเปลืองก็คือ King Henry VIII หรือเฮนรี่ที่ 8 พระบิดาของ Queen Mary I และ Elizabeth I
หลังจากสิ้นพระชนม์แล้ว ร่างของเฮนรี่ถูกฝังไว้ใต้ทางเดินในโบสถ์ St. George  

จริงๆ แล้วหลังจากถูกฝังไว้  มีการปรับปรุงซ่อมแซมโบสถ์ St.George หลายครั้งจนไม่มีใครทราบสถานที่แน่ชัดที่ฝังร่างของเฮนรี่ จนประมาณ 150 ปีที่แล้ว มีการซ่อมปรับปรุงตัวโบสถ์อีกครั้งจนมีการค้นพบห้องใต้ทางเดินที่ฝังร่างของเฮนรี่ไว้
ภาพที่ 1 เฮนรี่ที่ 8
ภาพที่ 2 ทางเดินในโบสถ์ด้านบนของห้องเก็บพระศพ
ภาพที่ 3 ป้ายจารึก




กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 07 ส.ค. 12, 17:02
เฮนรี่ไม่ได้นอนโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาอยู่คนเดียว  ในห้องเดียวกัน เคียงข้างกันคือโลงศพของ Queen Jane Seymour ราชินีคนที่ 3 ของเฮนรี่ ซึ่งสิ้นพระชนม์จากการคลอดบุตร และเชื่อว่าอาจจะเป็นราชินีที่เฮนรี่รักมากที่สุดเพราะความอ่อนหวานอ่อนโยน

ภาพแรก Queen Jane Seymour
ภาพที่ 2 ห้องที่เก็บพระศพใต้ทางเดินในโบสถ์


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 07 ส.ค. 12, 17:13
บางท่านดูภาพแล้วอาจจะบอกว่า เอ๊ะ ไหงมี 3 โลง ไม่ใช่ 2 โลงหละ

ใช่แล้วครับ ในห้องใต้ทางเดินนั้น นอกจากจะมีเฮนรี่และเจน ซีมัวร์แล้ว ยังมีกษัตริย์อังกฤษอีกพระองค์ถูกเก็บไว้ด้วย  นั่นคือกษัตริย์ชาลส์ที่ 1 (1600 - 1649)

ในรัชสมัยพระเจ้าชาลส์ที่ 1 พระองค์ทรงขัดแย้งกับรัฐสภาในเรื่องพระราชอำนาจและการใช้อำนาจ ในที่สุดจึงเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นระหว่างฝ่ายรัฐสภาซึ่งนำโดยโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ กับฝ่ายของกษัตริย์ซึ่งสุดท้ายฝ่ายกษัตริย์แพ้ พระองค์ถูกจับและถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการบั่นพระเศียร :-\ หลังจากนั้นอังกฤษถูกปกครองโดยระบอบสาธารณะที่มีครอมเวลล์เป็นผู้นำเป็นระยะเวลาสั้นๆ จนเมื่อครอมเวลล์ตาย อังกฤษก็กลับไปใช้ระบบกษัตริย์อีก  ศพของครอมเวลล์เองพระเจ้าชาลล์ที่ 2 พระโอรสของชาลล์ที่ 1 บัญชาให้ขุดมาตัดคอแล้วแขวนประจานบนตะแลงแกง ชีวิตนี่มันไม่เที่ยงจริงๆ

พระศพของพระเจ้าชาลล์ที่ 1 ถูกนำมาเก็บไว้ด้วยกันกับเฮนรี่ที่ห้องใต้ทางเดินในโบสถ์นี่เอง


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 12, 17:15
สงสัยว่าทำไมต้องมีหินทับไว้บนฝาโลงด้วย

กลัวท่านจะลุกออกมาหรือครับ ???


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 07 ส.ค. 12, 17:40
โฮะๆ ท่านอาจารย์นวรัตนแวะมาด้วย   ถ้าตอบแบบกวนๆ ก็ต้องว่าที่มีหินทับอาจจะกันไม่ให้เฮนรี่ลุกออกมาอาละวาดกระมังครับ  ถ้าเป็นแบบไทยๆ คงใช้สายสินจ์พันรอบโลงระโยงระยางไปหมด
แต่ถ้าตอบแบบจรงๆ คือตอนที่มีการค้นพบเมื่อประมาณ 150 ปีก่อนนั้น ตรงกับช่วงที่กำลังก่อสร้างและปรับปรุงโบสถ์ครับ ภาพนั้นเป็นภาพร่างตอนที่ช่างเข้าไปเห็นห้องเก็บพระศพ  หินน่าจะมาจากส่วนเพดานของห้องบางส่วนพังลงมาครับ

เมื่อพูดถึงเฮนรี่ พระราชามากรักแล้วก็ควรจะพูดถึงราชินีของเฮนรี่ด้วย ว่าหลังจากเฮนรี่มีราชินีใหม่ ราชินีเก่าๆ เค้าเอาไปไว้ที่ไหนกันบ้าง
เนื่องจากนึกราชาศัพท์ไม่ค่อยออก ขออนุญาตใช้ภาษาธรรมดานะครับ  ขออภัยที่ภาษาอาจไม่สละสลวย เพราะผมนั่งนึกว่าลูกสาวนี่ราชาศัพท์ว่าอะไรมาเกือบชั่วโมงแล้ว จำไม่ได้เลย

ราชินีพระองค์แรกก็คือแคทเธอรีนแห่งอารากอน(1485 - 1536)
ราชินีแคทเธอรีน เป็นลูกสาวของกษัตริย์เฟอดินันแห่งอารากอน และพระราชินีอิสซาเบลลาแห่งคาสตีล ซึ่งปกครองเสปนที่เป็นมหาอำนาจใหญ่ในตอนนั้น พระนางเดินทางมาอังกฤษเพื่อสมรสกับเจ้าชายอาเธอร์ซึ่งเป็นรัชทายาทของกษัตริย์เฮนรี่ที่ 7 แห่งอังกฤษ แต่เมื่ออาเธอร์เสียชีวิตลงแคทเธอรีนจึงแต่งกับเฮนรี่ซึ่งเป็นน้องชายและเป็นรัชทายาทแทนพี่ชาย และขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์เฮนรี่ที่ 8

ทั้งคู่มีลูกสาวด้วยกัน 1 องค์ คือเจ้าหญิงแม่รี่ ซึ่งต่อมาครองราชย์เป็นพระราชินีแมรี่ที่ 1
ต่อมาเฮนรี่ไปหลงเสน่ห์แอน โบลีน จึงหาเรื่องหย่ากับพระราชินีแคทเธอรีน ด้วยข้ออ้างว่าพระนางไม่อาจให้กำเนิดบุตรชายได้ แต่ทางสันตปาปาแห่งโรมไม่อนุญาตให้ทั้งคู่หย่าขาด เฮนรี่จึงแยกคริสต์อาณาจักร เกิดเป็นนิกาย Church of England  ไม่ขึ้นกับสันตปาปาอีกต่อไป

ร่างของพระราชินีแคทเธอรีนฝังไว้ที่  Peterborough Cathedral  แถว Cambridge ในประเทศอังกฤษ

ภาพที่ 1 แคทเธอรีนแห่งอารากอน
ภาพที่ 2 Peterborough Cathedral 
ภาพที่ 3 หลุมศพของพระนาง


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 12, 17:55
อ้างถึง
ถ้าตอบแบบกวนๆ ก็ต้องว่าที่มีหินทับอาจจะกันไม่ให้เฮนรี่ลุกออกมาอาละวาดกระมังครับ  ถ้าเป็นแบบไทยๆ คงใช้สายสินจ์พันรอบโลงระโยงระยางไปหมด

แต่ถ้าตอบแบบจริงๆ คือตอนที่มีการค้นพบเมื่อประมาณ 150 ปีก่อนนั้น ตรงกับช่วงที่กำลังก่อสร้างและปรับปรุงโบสถ์ครับ ภาพนั้นเป็นภาพร่างตอนที่ช่างเข้าไปเห็นห้องเก็บพระศพ  หินน่าจะมาจากส่วนเพดานของห้องบางส่วนพังลงมาครับ

ถึงตอบแบบจริงๆก็ยังกวนๆอยู่ดีและครับ ;D

แปลกนิ ที่มีให้หินร่วงตั้งเยอะไม่ร่วง มาร่วงตรงหีบศพพอดี ท้้งเฮนรี่และชาลส์ตอนเป็นๆอยู่ก็เฮี้ยนน่าดู ไม่ทราบว่าหีบกลางนั้นใครนอนอยู่ครับ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 07 ส.ค. 12, 18:09
แห่ะๆ ท่านอาจารย์สั่งการบ้านมา เลยต้องไปหาข้อมูลต่อ
ภาพที่นำมาลงเป็นภาพที่วาดขึ้นเมื่อปี 1813 ครับเมื่อมีการเปิดสำรวจห้องเก็บศพนี้

โลงตรงกลางนั้นเป็นโลงของเฮนรี่ที่ 8 ครับ โลงทางด้านขวาเป็นของราชินีเจน ซีมัวร์  ส่วนโลงดำๆ ทางซ้ายเป็นของชาลส์ที่ 1 ถ้ามองดีๆ จะเห็นได้ว่าบนโลงของชาลส์ที่ 1 มีโลงเล็กๆ อีกใบด้วย นั่นเป็นโลงทารกของราชินีแอนน์ครับ แต่ข้อมูลที่หามาไม่ได้บอกว่าแอนน์ไหน


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 12, 18:33
โอ้ว เฮนรี่ที่๘จอมโหด กับโอรสของแอนน์ โบลีนที่ถูกพระสวามีสั่งบั่นพระเศียร
.
.
ต้องมีทับหินไว้แน่นอน ถ้าคนไม่เอามาทับ หินก็ต้องหล่นมาเองยังงี้



กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 12, 18:56
เอามาช่วยงานคุณประกอบบ้าง

ผมเคยถูกหลอกให้เข้าดูวิหารนี้ตอนไปเที่ยวโรม  แต่พอเดินเข้าไปแล้วทีแรกก็หลอนมาก แต่ก็ดีไปอย่างที่ได้เห็นซากกระดูกมนุษย์นับพันๆที่เขาเอาประดับที่นั่น ตั้งแต่ในทางเดินแคบๆไปจนถึงทุกส่วนในห้อง ปลงตกเลย นึกถึงซากสัตว์ที่บางคนชอบเอาไปประดับอาคาร มันก็อะไรคล้ายๆกัน

เห็นว่ากระดูกเหล่านี้เป็นของพวกพระทั้งหมด ผมจำชื่อวิหารไม่ได้ แต่ทำลิงค์ไว้ให้เข้าไปดูกันเองครับ

http://www3.sympatico.ca/tapholov/pages/bones.html


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 07 ส.ค. 12, 18:57
โลงเล็ก ๆ น่าจะเป็นโลงของลูกของราชินีแอนน์ (Queen Anne, Queen of Great Britain 1665 - 1714) เป็นราชินีที่ครองราชย์แบบเดียวกับควีนอลิซาเบธหรือควีนแมรี่ครับ  ควีนแอนน์ สมรสกับเจ้าชายจอร์จแห่งเดนมาร์ก ควีนแอนน์มีลูกมากถึง 17 คน แต่ไม่มีใครอยู่รอดจนถึงวัยผู้ใหญ่เลย ควีนแอนน์เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายในราชวงศ์สจ๊วตครับ รูปปั้นราชินีที่หน้าหมาวิหาร St. Paul ของอังกฤษก็คือรูปของราชินีแอนน์นี่แหละ

ควีนแอนน์และพระสวามีถูกฝังไว้ที่ Westminster Abbey  ในห้องใต้ดินหรือ Vault ในส่วนของวิหารที่เรียกว่า Henry VII Chapel ด้านบนของ vault เป็นรูปปั้นของ George Monck, Duke of Albemarle ครับ




กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 07 ส.ค. 12, 19:16
โอ้ว เฮนรี่ที่๘จอมโหด กับโอรสของแอนน์ โบลีนที่ถูกพระสวามีสั่งบั่นพระเศียร
.
.
ต้องมีทับหินไว้แน่นอน ถ้าคนไม่เอามาทับ หินก็ต้องหล่นมาเองยังงี้



เป็นไปได้ว่าที่เอาหินทับไว้เพราะว่ากันโลงแตกหรือเปล่า เพราะพระเจ้าเฮนรี่ที่ ๘ ทรงอ้วนมาก ๆ  อ้วนจนเดินไม่ไหว


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 12, 19:25
ทัวร์ดูกระโหลกผีที่ท่าน Navarat.C ไปดูมาน่าจะเป็นทัวร์ชั้นดีราคาแพงของโรม     ทัวร์ธรรมดาไม่ค่อยมี   ยิ่งทัวร์ไทยยิ่งหายากที่จะพาลูกทัวร์ไปดูสุสานหลอนๆ แบบนี้   

แต่ถ้าใครสนใจ   ไปดูได้อีกแห่งที่ปารีส ชื่อ Catacomb Museum    ที่นี่เป็นคำตอบสำหรับคุณประกอบว่า "ตายแล้วไปไหน" อีกคำตอบหนึ่ง   คือถ้าถามชาวปารีเซียนว่าตายไปแล้วไปไหน    คำตอบคือไปอุโมงค์ใต้ดิน
ทั้งนี้มาจากเหตุผลว่า เมืองปารีสนั้นขยายใหญ่ขึ้นทุกทีในแต่ละยุคสมัย  จนป่าช้าทั้งหลายถูกรุกที่เอาไปใช้สอยประโยชน์อย่างอื่น   ทางการก็เลยต้องขนศพทั้งหลายลงไปเก็บไว้ใต้ดิน   กลายเป็นสุสานชื่อนี้ ซึ่งประกอบด้วยโครงกระดูกไม่ต่ำกว่า ๖ ล้านโครงถูกเก็บไว้ที่นี่    ไม่แปลกอะไรที่ชาวบ้านลือกันว่าเป็นแหล่งหลอนแห่งหนึ่ง  เช่นมีเสียงแปลกๆลอดออกมา  หรือไม่ก็เห็นเงาวอบแวบไปมาในนั้น
ใครประสาทแข็งจะแวะไปพิสูจน์ก็ได้นะคะ

http://www.youtube.com/watch?v=eyHchwQ_TBc


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 12, 19:32
อ้างถึง
ทัวร์ดูกระโหลกผีที่ท่าน Navarat.C ไปดูมาน่าจะเป็นทัวร์ชั้นดีราคาแพงของโรม     ทัวร์ธรรมดาไม่ค่อยมี   ยิ่งทัวร์ไทยยิ่งหายากที่จะพาลูกทัวร์ไปดูสุสานหลอนๆ แบบนี้

ไม่ได้ไปกับทัวร์ครับ ไปเยี่ยมท่านทูตๆถามว่าเดี๋ยวอยากไปเที่ยวไหน ผมบอกว่าไม่รู้สิ เคยไปมาหมดแล้ว ท่านก็บอกว่างั้นต้องไปดูที่นี่ แล้วเรียกลูกสาว(หลานรักของผม ตอนน้้นยังไม่เป็นวัยรุ่นเลย)บอกให้เอารถพ่อพาอาไปดูโบสถ์(?) หลานผมบอกว่าได้เล้ย ถามว่ามันดียังไงก็ไม่ยอมบอก

แหง๋ละ ถ้าบอกก็ไม่ยอมไปนะซี้


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 07 ส.ค. 12, 19:35
บินไปยุโรปกันหมดเลย  :-\

ขอบินมาเอเซียกันหน่อย ที่ประเทศจีน ณ สุสานปาต้าหลิง เป็นสุสานจักรพรรดิ์ว่านลี่ เทียบช่วงรัชสมัยราวกรุงศรีอยุธยาตอนต้น

ประวัติจักรพรรดิ์วั่นลี่
ประสูติเมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1563 – 18 สิงหาคม ค.ศ. 1620 ขึ้นครองราชย์ระหว่างค.ศ. 1572-1620 ระยะนานถึง 48 ปี ถือว่าเป็นจักรพรรดิ์ราชวงศ์หมิงที่ครองราชย์ยาวนานที่สุด
พระราชกรณียกิจด้านสำคัญในสมัยพระองค์
1.   ต่อต้านชาวมองโกลที่รุกชายแดน
2.   ส่งกองทัพช่วยต่อต้านการรุกรานเกาหลี จากญี่ปุ่น
3.   ปรากกบฎหยางยินหลง

พระองค์มีพระมเหสีเสี่ยวต้วนและ พระมเหสีเสี่ยวจิง และเจ้าจอมเช็ง

สุสานก่อสร้างเป็นห้องใต้ดินรูปเกือกม้า กรุผนังด้วยหินอ่อน ทางรัฐบาลจีนเปิดสุสานเมื่อราว 40 ปีที่ผ่านมา พบโลงศพ 3 โลงผุพังตามกาลเวลา ภาพที่เห็นเป็นภาพจักรพรรดิ์ว่านลี่ บรรทมอยู่บนฟูกหนา ใต้ฟูกเป้นก้อนทองคำ ก้อนเงิน แท่งหยก และสมบัติล้ำค่าอีกมากมาย


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 07 ส.ค. 12, 19:36
พวกทัวร์กระโหลก ทัวร์สุสาน ไม่ว่าจะในอิตาลี ปารีส หรือบางที่ในยุโรปตะวันออกนี่ของชอบผมเลยนะครับ ไม่รู้ทำไมชอบดูก็ไม่รู้ แต่ดูแล้วมันปลงอนิจจังดี ชีวิตมันก็แค่นั้น สุดท้ายไม่ถูกเผาก็ต้องไปนอนในโลงโดนฝังไว้  ท่าน อ. นวรัตนไม่รู้จักของดีซะแล้ว  โบสถ์แบบนี้ผมเดินชมได้เป็นวันๆ ไม่มีเบื่อเลยนะเนี่ย


ด้วยความชอบส่วนตัว มาอยู่อังกฤษก็เดินดูสุสานแถวบ้านว่ามีใครต่อใครฝังไว้มั่ง ใครแก่ใครเด็ก ไปเที่ยวเมืองอื่นๆ ก็ชอบแวะไปชมสุสานของเมืองนั้นๆ   ไม่ก็แวะชมสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมดังๆ   นี่ถ้ามีโอกาสต้องทำโปรแกรมตะลุยสุสานเข้าไปเยี่ยมชมให้ทั่ว หรือลองไปนอนซักคืนสองคืนก็ไม่เลว ยิ่งถ้าได้ไกล้ชิดขนาดได้เจอโครงกระดูกเรียงกันเป็นตับนี่ยิ่งชอบ เสียดายแถวอังกฤษนี่ไม่มี หรือมีแต่ผมไม่รู้ก็ไม่รู้ ไม่งั้นจะไปชมซะหน่อย สุสานแถวเมืองอังกฤษนี่ดูไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ แต่ตอนค่ำๆ หน่อยก็ดูเอาเรื่องอยู่เหมือนกันครับ  8)


ตอนนี้หน้าร้อนมืดช้า  ก่อนหน้านี้ช่วงหนาวๆ มืดเร็ว เวลากลับบ้านผมต้องขี่จักรยานผ่านสุสาน 1 แห่งทุกวันซะด้วย แต่ยังไม่เคยเจอดีซะที


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 07 ส.ค. 12, 19:39
ผมไปสุสานปาตาหลิง 2 ครั้ง ก็แตกต่างกันไปด้วยเขาปรับปรุงสภาพให้ทันสมัยขึ้นมาก ครั้งนี้ถ่ายภาพก้อนทองคำจำนวน 103 ก้อนได้ครับ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 12, 20:09
ลองมีรสนิยมประสาทแข็งแบบนี้  สุสานในรัฐทางตะวันตกของอเมริกาเห็นทีจะไม่อยู่ในสายตาคุณประกอบละค่ะ     
สุสานในเมืองที่อยู่ ขับรถผ่านไปหลายครั้ง ตอนแรกนึกว่าเป็นสวนสาธารณะ เพราะหน้าตามันเป็นสนามหญ้าเขียวสดกว้างขวาง   มีดอกไม้สีสวยบนพื้นหญ้า มองเผินๆนึกว่ากอดอกไม้เขาปลูกไว้    ต้องจ้องมองจริงๆถึงเห็นว่าเป็นดอกไม้ที่ญาติเอามาปักไว้บนหลุมที่มีแผ่นหินเรียบวางบนพื้น

นานมาแล้ว  เมื่อไปเที่ยวตามรัฐต่างๆ   พบว่าสุสานน่าจะเป็นการดำเนินการธุรกิจโดยเอกชน  มีการประกาศสรรพคุณและคุณภาพกันว่าน่าอยู่น่านอนยังไงแบบไหน   บางแห่งทำเสียสวยกระจุ๋มกระจิ๋มราวกับเป็นแดนเนรมิต   สำนักงานก็ออกแบบราวกระท่อมสโนไว้ท์ก็ไม่ปาน   ดูสวยงามสะอาดตา ผาสุกชวนให้ไปพักผ่อนชั่วกาลนานอยู่ที่นั่น   ไม่มีอะไรหลอนแม้แต่น้อย     
ถ้าจะไปดูที่หลอนจริงๆเห็นจะต้องไปดูจาก DVD หนังสยองขวัญ    หลอนแบบไหนเลือกได้เลยค่ะ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 12, 20:50
อ้างถึง
พวกทัวร์กระโหลก ทัวร์สุสาน ไม่ว่าจะในอิตาลี ปารีส หรือบางที่ในยุโรปตะวันออกนี่ของชอบผมเลยนะครับ ไม่รู้ทำไมชอบดูก็ไม่รู้ แต่ดูแล้วมันปลงอนิจจังดี ชีวิตมันก็แค่นั้น สุดท้ายไม่ถูกเผาก็ต้องไปนอนในโลงโดนฝังไว้  ท่าน อ. นวรัตนไม่รู้จักของดีซะแล้ว  โบสถ์แบบนี้ผมเดินชมได้เป็นวันๆ ไม่มีเบื่อเลยนะเนี่ย

โอ้ พระเจ้าจอจ์ชที่ 6.32
เชิญหาความสำราญตามสบายนะครับ ผมไปก่อนละ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 12, 20:58
อ้างถึง
ด้วยความชอบส่วนตัว มาอยู่อังกฤษก็เดินดูสุสานแถวบ้านว่ามีใครต่อใครฝังไว้มั่ง ใครแก่ใครเด็ก ไปเที่ยวเมืองอื่นๆ ก็ชอบแวะไปชมสุสานของเมืองนั้นๆ   ไม่ก็แวะชมสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมดังๆ   นี่ถ้ามีโอกาสต้องทำโปรแกรมตะลุยสุสานเข้าไปเยี่ยมชมให้ทั่ว หรือลองไปนอนซักคืนสองคืนก็ไม่เลว

ระวังเจอแบบนี้ จะไม่ได้กลับออกมาละน๊า


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ลุงไก่ ที่ 07 ส.ค. 12, 21:00
ขอมานั่งฟังด้วยครับ ... ติดตามอย่างใจจดใจจ่อ

 ;D     ;D     ;D





กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 07 ส.ค. 12, 21:33
^
หลอนมากอะลุงไก่


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 07 ส.ค. 12, 22:45
สุสานของจีนจะมีลักษณะแตกต่างกันไปตามแต่บุญญาธิการของผู้ - สวรรคต - ทิวงคต - สิ้นพระชนต์ - สิ้นชีพิตักษัย - ถึงแก่อนิจกรรม - ถึงแก่กรรม แล้วแต่กรณี

สิ่งสำคัญที่จะบ่งบอกว่าผู้ตายสำคัญยิ่งแค่ไหนดูได้จากองค์ประกอบต่างๆของสุสาน แต่ที่เด่นที่สุดคือรูปสลักหินหน้าสุสานซึ่งจะทำเป็นรูปต่างๆ มากน้อยแล้วแต่ฐานะของผู้ตาย ของพระจักรพรรดิ์จะมีรูปสลักมากที่สุดเพราะเป็นบุคคลสำคัญที่สุด สัตว์บางอย่างจะสงวนไว้สำหรับประดับหลุมพระบรมศพของพระจักรพรรดิเท่านั้น อาทิ รูปกิเลน เพราะเขาถือว่า กิเลนเป็นสัตว์มงคลที่จะปรากฎตัวเฉพาะบ้านเมืองสงบ จักรพรรดิมีคุณธรรม ดังนั้นจึงใช้ประดับที่ทางเดินหน้าหลุมพระบรมศพได้

ภาพที่แสดงต่อไปนี้คือภาพสุสานของพระจักรพรรดิพระองค์แรกของราชวงศ์หมิง พระเจ้าจูหยวนจาง (朱元璋:zhu yuan zhang) หรือที่เรียกว่าหมิงไท่จู (明太祖:ming tai zu)

พระรูปพระเจ้าจูหยวนจาง



กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: piyasann ที่ 07 ส.ค. 12, 22:48
กระทู้นี้ คงต้องจัดเป็นทัวร์ หลอน ๆ พาไปดูหลุมศพ กันทั่วโลก แต่หลุมศพนี้แหล่ะ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทำเงิน ชั้นดีของหลายประเทศ เที่ยวไป เจริญ มรณสติไปด้วย ดีแท้เน้อ

สุสานในวิหารต่างๆ ในยุโรป ถ้าเป็นกษัติย์ ราชวงศ์ คนมีชื่อเสียง ก็ดีหน่อย มีหลุมฝังศพเป็นกิจลักษณะ สวยงาม วิจิตรบรรจง สุดแต่กำลังความสามารถ .......

แต่ในระดับคนทั่วไปซีครับ ลำบาก การจะได้ไปอยู่ในสุสานฝังศพใต้วิหาร อันศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องมีการ "ซื้อขาย" กันเกิดขึ้น ยิ่งจ่ายแพง ก็ได้ไปอยู่ใกล้แท่นบูชา หรือในส่วนสำคัญมากขึ้น เงินน้อยหน่อย ก็อยู่ไกลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลง..........  หลายๆ วิหาร (อันนี้ คุณพ่อนิกายคาทอลิกเท่าให้ฟัง ) ว่า พอตาย จ่ายเงินให้พระเสร็จ เขาก็หามแปลเอาศพ ทับๆ กันไว้ ต้องรีบออกมาเพราะมีแต่ซากศพเหม็นเน่า อุจาดตา ฉนั้นด้านใต้วิหารสำคัญๆ ก็คือแหล่งเพาะเชื้อโรค จากซากศพดีๆ นี้เอง ............

วิหาร หรือหลุมฟังศพ คนมีเงินสมัยก่อน ก็ใช่ว่าจะสวยงาม มีหลุมเป็นสัดเป็นส่วนแบบสมัยนี้  บางประเทศ หลุมศพราชวงศ์ ก็กองๆ กันไว้ เพิ่งมีการทำหีบ ทำหลุม ฝังอย่างสวยงามเมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้  


ใน Westminster Abbey ชอบหลุมนี้ที่สุด ....... นั่งรอจนเง่กแล้ว ของีบหนอ่ยจ๊ะ..........


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 07 ส.ค. 12, 22:52
รูปทางเดินสัตว์มงคล

ถือว่าสวยงามที่สุดในเมืองนานกิง เพราะทางการปลูกต้นไม้ไว้ร่มรื่น เป็นต้นแปะก๊วย เวลาใบไม้ร่วงจะเปลี่ยนเป็นสีแดงและทอง สวยมาก ข้าพเจ้าไปถ่ายรูปเรื่อยๆ แม้ว่าจะต้องปีนเขา

สุสานนี้ทางเดินสัตว์มงคลจะสร้างคดเคี้ยวไปตามทางบนเขา บางคนว่าเป็นอย่างนี้เพราะว่าไม่อยากให้พลังชี่ (ไม่รู้จะแปลไทยอย่างไร) มาทางตรง ไม่เหมาะ ควรให้ไหลไปตามทางธรรมชาติ บางคนก็ว่าเพราะว่าไม่มีพระประสงค์ให้คนเห็นสุสานหลวงตรงๆ บางคนก็ว่าเพราะทรงสงสารคนงาน ไม่อยากให้ขุดเขาให้ยุ่งยาก

ผลที่ได้คือทางเดินนี้จะคดไปมาตามไหลเขางดงามยิ่ง


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 07 ส.ค. 12, 22:58
ภาพต่อไปคือภาพทางเข้าสู่สุสานหลวง ประตูทางเข้า และหอบวงสรวง

ทั้งหมดสร้างใหม่เพราะว่าของเดิมถูกทำลายวินาศไปครั้งเกิดกษฎไท่ผิงปลายราชวงศ์ชิง

สุสานนี้พระเจ้าเฉียนหลงเสด็จพระราชดำเนินมาด้วยพระองค์เองยามประพาสทางใต้ เพื่อเอาใจประชาชนชาวจีน


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 07 ส.ค. 12, 23:17
แต่ถ้าเป็นขุนนางธรรมดา หากระดับสูงหน่อย ก็สามารถใช้รูปสัตว์ประดับได้ จากรูปภาพต่อไปนี้ เป็นสุสานของขุนนางชั้นสูงในไต้หวั่นครั้งราชวงศ์ชิง ชื่อว่า เจิ้งยงซี่ (郑用锡:zheng yong xi) มีรูปสลักคน ม้า  แพะและเสือ วางประดับไว้ โดยคนจะอยู่ในสุด

ที่เขาให้มีม้าเพราะม้าเป็นสัตว์ใช้งาน ใกล้ชิดกับคน เลยให้ม้าอยู่ด้วย ทั้งยังให้ตั้งอยู่ใกล้ที่สุดกับหลุมศพ ธรรมเนียมนี้ไม่เว้นแม่แต่สุสานหลวง

ที่มารูป http://www.tonyhuang39.com/tony0768/dbtt0768.html


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 07 ส.ค. 12, 23:23
สุสานแบบนี้เมืองไทยก็มีเหมือนกัน คือ สุสานเจ้าเมืองระนองนั้นเอง

เขียนประวัติไว้ดังนี้

เป็นสุสานแบบจีนฝังศพของ เจ้าพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) เจ้าเมืองระนองคนแรก สุสานนี้เป็นที่ดินที่ได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่ 5 บริเวณสุสานปูด้วย ศิลา 3 ชั้น สองข้างมี ตุ๊กตาแกรนิตโบราณ นำมาจากประเทศจีน

สุสานเจ้าเมืองระนอง ตั้งอยู่ที่เนินเขาระฆังทอง ตำบลบางนอน สร้างในปี พ.ศ.2426 ห่างจากเทศบาลเมืองประมาณ 1 กิโลเมตร ไปตามทางหลวงหมายเลข 4004 (ระนอง-ปากน้ำ) ประกอบด้วยรูปขุนนางจีนฝ่ายบู๊ หมายถึงขุนนางที่ทำหน้าที่ในสนามรบ, รูปขุนนางจีนฝ่ายบุ๋น หมายถึง ขุนนางที่ทำหน้าที่ในราชสำนัก, รูปม้าแสดงถึงข้าทาสบริวาร, รูปแพะแสดงถึงโภคทรัพย์ ความมั่งคั่ง และรูปเสือสื่อถึงพลังอำนาจความยิ่งใหญ่

ที่มาจาก http://travel.upyim.com/2011/09/29/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%87/


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 07 ส.ค. 12, 23:24
สรุปแล้วตามคติจีน ตายแล้ว วิญญาณไปสวรรค์ไม่ก็นรก แล้วแต่กรรมทำมา ส่วนร่างนั้นไซร้

ลงหลุม


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: piyasann ที่ 07 ส.ค. 12, 23:53
มาคิดๆ ดูว่า ตั้งแต่สมัยอียิปต์ รุ่งเรือง  ก็พยายามทำให้มีชีิวิตเป็น "อมตะ" เก็บร่าง เก็บเรื่องราว สร้างถวารวัตถุไว้มากมาย  หวังว่า วันหนึ่งจะได้ฟื้นคืนมา แบบตายแล้วฟื้น, แต่ก็ยังไม่เห็นมัมมี่ตนใด ลุกขึ้นได้ซักที............. แต่เรื่องราว และร่างกาย กับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ ซิ ล้วนถูกนำมาจัดแสดง ถูกเล่า กล่าวขานกันมา มากกว่า ๒,๐๐๐ ปี บางที การที่มีคนกล่าวถึง พูดถึง เรื่องราวของเขา แม้เวลาจะผ่านพ้นไปนานแล้ว ก็เป็น "ความเป็นอมตะ" อย่างหนึ่ง ...........

บุคคลสำคัญต่างก็พยายามสร้างผลงาน สร้างชื่อเสียงให้ปรากฏ เพื่อให้มีการกล่าวถึงต่อๆ ไป อย่างไ่ม่ถูกลืมเลือน แม้ว่าจะจริงบ้าง ไม่จริงบ้่าง แต่ก็ขอให้ชื่อตัวดำรงอยู่ในสารบบของ บันทึกการเวลา

ฉนั้น ขอเสนอ ไว้เป็นทางเลือกอีกทางครับ ว่า (สำหรับคนมีชื่อเสียง) ตายแล้ว ไปอยู่ในประวัติศาสตร์ ครับ



..............หรือตายแล้ว ไปอยู่แบบนี้ ก็เก๋ดี  อยู่ในมรดกโลก และสถานที่ท่องเที่ยว กับเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลก "ทัชมาฮาล"


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ส.ค. 12, 09:10
เสนอบ้านในฝันของคุณประกอบ ให้คุณประกอบพิจารณา
สมัยเรียนหนังสือเคยขับรถผ่านไปทางรัฐ Nebraska  เจอบ้านหลังหนึ่ง หลอนตามมาจนทุกวันนี้  เป็นบ้านเก่าโบราณเหมือนบ้านในหนังเรื่อง Psycho   ที่มองจนเหลียวหลังคือสนามหญ้าหน้าบ้านใกล้ตัวบ้านเขามีหลุมฝังศพอยู่ในนั้น  มีกางเขนปักอยู่สองหรือสามอัน  เจ้าของบ้านมองจากหน้าต่างห้องก็จะเห็นชัดเจน 
คืนไหน ข้างขึ้นพระจันทร์สว่าง   มองลงมาจากหน้าต่างห้องนอน คงได้บรรยากาศวังเวงพิลึก    เจ้าของหลุมศพก็คือปู่ย่าพ่อแม่ของเจ้าของบ้านหลังนี้นี่เอง
เป็นทางเลือกอีกทางของตายแล้วไปไหน  คือตายแล้วก็ไม่ไปไหน  ยังฝังอยู่ในบริเวณบ้าน

หาบ้านแบบเดิมไม่ได้ค่ะ   ได้แต่บ้านแบบอื่นเอามาลงให้ดู  ทำให้รู้ว่ารสนิยมทำนองนี้ไม่ได้มีอยู่หลังเดียว 
เชิญคุณประกอบเลือกแบบได้ตามสบาย


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 ส.ค. 12, 10:15
คุณประกอบเดินทางบ่อยๆ ถ้าชอบทางนี้ ไปฟิลลิปปินส์อย่าลืมแวะ Pasay Public Cemetery ในกรุงมนิลานะครับ
 
https://www.google.co.th/search?hl=th&q=manila+cemetery+living&bav=on.2,or.r_gc.r_pw.r_qf.&biw=1093&bih=458&wrapid=tlif134439360597210&um=1&ie=UTF-8&tbm=isch&source=og&sa=N&tab=wi&ei=otEhULm6DKLdmAXVm4GICA#um=1&hl=th&tbm=isch&sa=1&q=manila+cemetery+slum&oq=manila+cemetery+slum&gs_l=img.12...25982.27678.2.29777.4.4.0.0.0.0.208.812.0j1j3.4.0...0.0...1c.NwP2KcXXuJw&bav=on.2,or.r_gc.r_pw.r_qf.&fp=a466789f66a76b2d&biw=1093&bih=458

บางทีอาจชอบคอนโดสักหลังนึง อากาศปลอดโปร่งเหมือนอยู่กลางแจ้ง มีกลิ่นธรรมชาติฉุยๆลอยมาเบาๆในท่ามกลางบรรยากาศเสมือนมีสวนสาธารณะอยู่รอบตัว มีเพื่อนบ้านรสนิยมเดียวกันช่วยให้ไม่เหงา และมีของใหม่ๆมาให้ชมอยู่เสมอ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ส.ค. 12, 10:17
เอาแบบบ้านในฝันมาให้เลือกอีก
ชนกลางอากาศกับค.ห.59  เล่นเอาบ้านที่เลือกมาจืดไปเลย  :-[


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: piyasann ที่ 08 ส.ค. 12, 11:14
หาของหลอนมาแจม.......

http://hilight.kapook.com/view/73519

ไม่กล้า แนบภาพ บางท่านอาจขวัญอ่อน ไม่อยากดูชม ........

ตายแล้วไปไหน? ตายแล้ว ยังมีคนพาเดินกลับบ้าน บรึ๊ยยยยย !!!!!!!


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 ส.ค. 12, 11:46
^
หลอนของจริง


คุณประกอบหายไปแล้ว
คุณประกอบไปไหน..?


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: piyasann ที่ 08 ส.ค. 12, 11:56
มีเรื่องเล่า (อีกแล้ว.....)

เจ้านายไทย บางพระองค์ ก็ทรงรับเป็นพระธุระ จัดการเรืองการพระศพเจ้านายฝ่ายใน

เช่น ที่วัง กรมหมื่นปราบปรปักษ์ฯ (คือกรมศิลปากรปัจจุบัน) ด้ามมุมวังติดกับวัดพระมหาธาตุ มีเรือนทาสีชมพูหลังหนึ่ง ชื่อ "ตำหนักสีชมภู" อยู่หน้าวัง เป็นที่เก็บพระโกษฐ์ของเจ้านายฝ่ายใน เพราะเจ้านายฝ่ายในหลายพระองค์ ไม่ทรงมี heir สืบทอดทำบุญถวาย ในกรมฯ ปราบ ก็ทรงเป็นพระธุระ นำพระอัฐิมารวมไว้ที่เดียวกัน ............ ส่วนตัวพระองค์ท่านเอง ก็ทำพระโกษฐ์ฺขึ้นใหม่ องค์หนึ่ง ชั้นโกษฐ์กุดั่นน้อย รูปกระทัดรัดสวยงามมาก พระโกษฐ์นี้ เลยได้ใช้ทรงพระองค์ท่านเอง



ครั้งหนึ่ง ในกรมฯ ปราบฯ ทรงรับศพ เจ้าจอมมารดา ท่านหนึ่งเข้ามาตั้งไว้ที่ในวัง ที่ท้องพระโรงเก่าของ ในกรมพระยาบำราบฯ  เหตุเพราะหอธรรมสังเวช ไม่ว่าง หรือเพระเหตุใดไม่ปรากฏ พระโอรส หลานเธอ ข้าหลวง ต่างกลัวผีกันกันยกใหญ่ !!!!!

ดังนั้น เจ้านายฝ่ายใน เดิมก่อนที่จะรวมไว้ในพระบรมมหาราชวัง (หอ .........? .....) ตาย(ขออนุญาตใช้คำสามัญ)แล้วไปอยู่วิมานสีชมภู (ปัจจุบันถูกรื้อไปแล้ว)

ชักงง งวย ? ว่า ท้องพระโรงของกรมฯ บำราบ จะเป็นองค์เดียวกับท้องพระโรงวังท่าพระหรือไม่?


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 08 ส.ค. 12, 15:38
น่าสนใจนะครับ พาศพเดินกลับบ้าน ฟังดูเหมือนบริการในเมืองจีนที่มีการพาศพกลับบ้าน ที่มีผีดิบโดดดึ๋งๆ ที่ฮิตๆ กันในหนังจีนยุคเมื่อซักสิบกว่าปีที่แล้ว

อีกประสบการณ์ที่ผมอยากลองซักครั้งคือไปร่วมล้างป่าช้า อยากเห็นกับตาว่าไม่ล้างป่าช้า(ที่ไม่ใช่ GT200) มันชี้กันได้แม่นยำจริงไหม  แต่ไม่เคยเจอกำหนดการก่อนเค้าจะล้างกันเลย เห็นข่าวทีไรเค้าล้างกันเรียบร้อยแล้วทุกที เลยยังไม่มีโอกาสไปร่วมล้างกับเค้าซะที


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: samun007 ที่ 08 ส.ค. 12, 15:51

สุสานนี้ทางเดินสัตว์มงคลจะสร้างคดเคี้ยวไปตามทางบนเขา บางคนว่าเป็นอย่างนี้เพราะว่าไม่อยากให้พลังชี่ (ไม่รู้จะแปลไทยอย่างไร) มาทางตรง ไม่เหมาะ ควรให้ไหลไปตามทางธรรมชาติ บางคนก็ว่าเพราะว่าไม่มีพระประสงค์ให้คนเห็นสุสานหลวงตรงๆ บางคนก็ว่าเพราะทรงสงสารคนงาน ไม่อยากให้ขุดเขาให้ยุ่งยาก

ผลที่ได้คือทางเดินนี้จะคดไปมาตามไหลเขางดงามยิ่ง

พลังชีวิต ก็ได้ครับ

เพราะปกติตามคติของจีน ชี่ จะมีอยู่ในทุกสรรพสิ่ง บ้านเรือนก็มีชี่ เพราะฉะนั้นบ้านเรือนใด ที่เจ้าของไม่บำรุงรักษา เขาก็จะเรียกว่าขาดชี่  ซึ่งพลังชี่ของหลุมศพตรงนี้ คติทางจีนเชื่อกันว่าจะไปเกื้อหนุนให้ลูกหลานอยู่เย็นเป็นสุขได้  เพราะฉะนั้นบรรดาพระจักรพรรดิ บรรดาเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง เศรษฐี หรือแม้แต่ชาวบ้าน ต่างก็สรรหาสถานที่ตรงตามตำราเฟิ่งสุ่ย เพื่อให้มีผลดีต่อตระกูลตัวเองในรุ่นหลัง ๆ ครับ



กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 08 ส.ค. 12, 17:00
ข้ามน้ำข้ามทะเลกลับไปที่ประเทศฝรั่งอังกฤษกันอีกหน เมื่อวานพูดถึงที่ฝังศพราชินีคนแรกของกษัตริย์เฮนรี่ที่ 8 ไปแล้ว  ก็ต้องถึงคิวราชินีคนที่ 2 แอนน์ โบลีน(1501/1507–1536) ซึ่งถ้าใครศึกษาประวัติศาสตร์อังกฤษ หรือดูหนัง The Other Boleyn Girl น่าจะรู้จักกันดีในฐานะหญิงสาวที่ใช้เสน่ห์และมารยาหญิงมัดใจกษัตริย์มากตัณหาอย่างเฮนรี่จนหาเรื่องหย่ากับราชินีเก่าและประกาศไม่ขึ้นต่อคริสต์ศาสนจักรที่วาติกันอีกต่อไป  ทั้งหมดเพียงเพื่อสนองตัณหาส่วนตัวล้วนๆ

แอนน์ โบลีนเป็นพระมารดาของราชินีอลิซาเบธที่ 1   หลังจากเหม็นเบื่อเธอแล้วแถมแอนน์ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายกับเฮนรี่ได้ ราชินีแอนน์ถูกกล่าวหาว่าคบชู้ แถมชู้รักก็คือพี่ชายตัวเองซะด้วย สุดท้ายถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการตัดคอที่ Tower of London ศพถูกฝังไว้อย่างลวกๆ ที่ Chapel of St. Peter ad Vincula ซึ่งเป็นโบสถ์เล็กๆ ขนาดเล็กมากๆ ใน Tower of London ในภาพคือตึกรูปสี่เหลี่ยมชั้นเดียวนั่นแหละ หอคอยสูงๆ ข้างขวาของรูปนั่นไม่ใช่

เมื่อปี 1870 มีการซ่อมปรับปรุงโบสถ์นี้ครั้งใหญ่ คนงานได้ขุดพบโครงกระดูกที่เชื่อกันว่าเป็นของแอนน์ โบลีน เนื่องจากโครงกระดูกนี้มีนิ้วมือที่ยาวและมีลำคอยาวคล้ายกับคำเล่าลือเรื่องสรีระของพระนาง ปัจจุบันร่างของแอนก็ยังถูกฝังแบบรวมๆ ไว้กับศพอีกจำนวนมากใทั้งที่อยู่ใต้พื้นและในผนังโบสถ์แห่งนี้


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ส.ค. 12, 17:58
คั่นรายการด้วยเพลง  Wishing You Were Somehow Here Again
จากภาพยนตร์ The Phantom of the Opera

         http://www.youtube.com/watch?v=74S7EMUAKFs


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: นิลนนท์ ที่ 08 ส.ค. 12, 23:24
ถ้าเบื่อกับการนอนอุดอู้ในโลงแคบ ๆ หรืออยากชมแสงตะวันเหนือพื้นดินบ้าง จะลองขึ้นไปกินลมชมวิวจากมุมใต้เพดานบ้างไหมครับ
หรือว่าจะเป็นเครื่องประดับ(บ้าน)แบบสวย ๆ
ภาพจาก Kutna Hora ครับ ถ่ายมาอาจไม่สวยเท่าไร แต่บรรยากาศด้านในน่าชมครับ
ภาพที่ 1 ภาพด้านนอกของโบสถ์
ภาพที่ 2 กระถางพร้อมสายประดับด้านข้าง
ภาพที่ 3 แชนเดอเลียร์ประดับกลางโบสถ์
ภาพที่ 4 ถ่ายจากโปสเตอร์ของเขาเข้าท่ากว่าครับ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: นิลนนท์ ที่ 08 ส.ค. 12, 23:41
มีตราอาร์มของตระกูล Schwarzenberg ที่ได้เป็นเจ้าของที่ด้วยครับ
ใครอยากขึ้นไปอวดท่าสวย ๆ กันบนนี้ก็เชิญได้นะครับ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ส.ค. 12, 08:27
ถ้าใครมีเงินเหลือกินเหลือใช้ อยากจะไปปลงอสุภกรรมฐานที่สาธารณรัฐเช้ก ก็ลองไปที่โบสถ์ Ossuary Sedlec ที่คุณนิลนนท์นำเที่ยวนะคะ
ดีไซเนอร์ของโบสถ์นำกระดูกคนตายถึง 40,000 คน มาตกแต่งได้ลงตัว กลายเป็นโบสถ์โด่งดังถูกใจคุณประกอบ  อินทรเนตรให้ข้อมูลว่ากระดูกส่วนหนึ่งเป็นของคนมีฐานะในหลายประเทศของยุโรปกลางที่นิยมนำศพมาฝังด้วยความเชื่อว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ส่วนหนึ่งเป็นของผู้เสียชีวิตจากการระบาดของกาฬโรคจำนวนมากถึง 30,000 คน และอีกส่วนหนึ่งคือผู้เสียชีวิตในช่วงสงคราม Hussite


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 ส.ค. 12, 10:14
คลิปภาพชัดประกอบเสียงหวีดหลอน ครับ

      http://www.youtube.com/watch?v=twIAnhrs3lM


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ส.ค. 12, 10:26
ถ้าคุณ SILA ไปดูมาแล้ว หรือจะไปดูเมื่อไหร่  ช่วยกลับมาเล่าให้ฟังบ้างนะคะ   ส่วนดิฉันถ้าไปก็คงจดๆจ้องๆอยู่นอกโบสถ์สักพัก     ถ้าหลังห้าโมงเย็นแล้วไม่เข้าค่ะ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ส.ค. 12, 11:24
ถ้าถามชาวฮินดูว่าตายแล้วไปไหน   เขาก็ไปที่แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ -แม่น้ำคงคา ที่เมืองพาราณสี     เผาอยู่ข้างแม่น้ำ แล้วลอยกระดูกและอัฐิที่เหลือไปตามแม่น้ำ 

http://www.youtube.com/watch?v=0hqhMQgEB1I


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 09 ส.ค. 12, 11:25
ถ้ามีงบน้อยลองไปปลงใกล้ ๆ บ้านเราที่ พิพิธภัณฑ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โตน สเลง (http://en.wikipedia.org/wiki/Tuol_Sleng_Genocide_Museum) เขมร

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/f/ff/Tuolsleng4.JPG/640px-Tuolsleng4.JPG)

หรือไปไกลหน่อยที่ พิพิธภัณฑ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มูแรมบี (http://en.wikipedia.org/wiki/Murambi_Genocide_Memorial_Centre) รวันดา

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/d/db/Rwandan_Genocide_Murambi_skulls.jpg)

จะได้เห็นกับตาว่า

ความขัดแย้งอันเกิดจากความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันทางการเมืองส่งผลร้ายแรงเพียงใด

 :'(


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: นิลนนท์ ที่ 09 ส.ค. 12, 20:23
kutna hora เป็นเมืองมรดกโลก ห่างจากกรุงปรากเพียงประมาณ 65 กิโลเมตรเท่านั้นเอง มีโบสถ์ที่สวยหลายแห่ง แต่ที่ไม่เหมือนใครก็ต้องโบสถ์กระดูกแห่งนี้ครับ บรรยากาศภายนอกสดชื่นปลอดโปร่งมาก ตอนไปถึงก็ยังไม่รู้ว่ามีอะไรข้างในให้ดู นึกว่าเป็นโบสถ์ธรรมดา เข้าไปแล้วก็เลยอดทึ่งไม่ได้ ที่เข้าใจตกแต่งโดยไม่ต้องมีพรม หรือผ้าม่านประดับ ข้างในไม่ได้ดูน่ากลัวเพราะว่าไม่ได้มีเสียงดนตรีหวีดประกอบ มีคนเยอะเป็นเพื่อนให้อุ่นใจ พื้นที่ภายในไม่ได้กว้างขวางมาก ไม่มีซอกหลืบอะไร แต่ถ้าอาจารย์เทาชมพูใช้เวลาคิดนานเข้าโบสถ์ไปตอน 5 โมงเย็น ก็ระวังติดค้างคืนอยู่ข้างในนะครับ เพราะว่าหน้าหนาวโบสถ์ปิด 5 โมงเย็น (แต่คงได้บรรยากาศการชมที่ไม่เหมือนใครมาเล่าสู่กันฟัง)


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ส.ค. 12, 20:36
แต่ถ้าอาจารย์เทาชมพูใช้เวลาคิดนานเข้าโบสถ์ไปตอน 5 โมงเย็น ก็ระวังติดค้างคืนอยู่ข้างในนะครับ เพราะว่าหน้าหนาวโบสถ์ปิด 5 โมงเย็น (แต่คงได้บรรยากาศการชมที่ไม่เหมือนใครมาเล่าสู่กันฟัง)
คงไม่มีโอกาสมาเล่าสู่กันฟังอีกนานเชียวละค่ะ  ต้องไปทำพิธีบายศรีสู่ขวัญก่อน

ในอังกฤษ  มีคฤหาสน์หรือปราสาทเก่าๆอยู่ทุกเมืองก็ว่าได้   เกือบทุกแห่งเปิดให้ประชาชนเข้าชม    ห้องหับต่างๆก็ตกแต่งสวยงามเพราะเขาดูแลอย่างดี 
แต่ถ้าไปชมตอนบ่าย อยู่จนกระทั่งห้าโมงเย็น ถึงเวลาปิด เขาก็เชิญให้นักท่องเที่ยวออก  บางแห่งเขาเตรียมเปิดเป็นภัตตาคารในตอนค่ำ บางแห่งก็ถึงเวลาปิดทำการ(เฉยๆ)   ตอนที่เดินอยู่เป็นกลุ่มสุดท้ายกลับออกมานี่แหละ  จำได้ว่าบรรยากาศของสถานที่ พอเริ่มว่างวายจากนักท่องเที่ยว มันวังเวงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก  เห็นจะเป็นเพราะสถานที่เขากว้างมาก  ห้องหับต่างๆก็เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์จนดูทึบ มีซอกมุมหลืบเงาตรงทางเดินบ้างอะไรบ้าง   พอขาดกลุ่มคนเดินส่งเสียงซุบซิบกันไปมาพอให้อุ่นใจ  มันก็หนาวเย็นสันหลังขึ้นมาเฉยๆ  ทั้งที่เป็นฤดูร้อน

แต่คุณประกอบคงจะยินดีมากถ้าติดอยู่ในโบสถ์ที่ว่าทั้งคืน  สมใจเจ้าตัวจริงๆ  ;)


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: นิลนนท์ ที่ 10 ส.ค. 12, 08:58
ตายแล้วไปไหน? บางทีก็ไปนอนเล่นในพิพิธภัณฑ์


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 ส.ค. 12, 09:02
บางทีก็ไปเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนแพทย์


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: นิลนนท์ ที่ 10 ส.ค. 12, 09:27
หรือว่าจะกลายมาเป็นเพชรจริง ๆ กันดี?
ด้วยวิธีการการสังเคราะห์ขึ้น โดยสกัดคาร์บอนจากอัฐิกระดูก โดยใช้วิธีทางเคมีและความร้อนเพื่อขจัดสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ออกไป นำไปผ่านขบวนการที่มีความร้อนและความดันสูงที่ 50,000 เท่าของความดันบรรยากาศ เลียนแบบการเกิดเพชรในธรรมชาติ แล้วก็รอเวลา 3-4 เดือน ก็จะได้เพชรสีฟ้า(blue diamond) ซึ่งเป็นสีจากโบรอนที่ปนอยู่ในกระดูก เพชรสังเคราะห์มีคุณสมบัติเหมือนเพชรธรรมชาติทุกประการ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: Ratananuch ที่ 10 ส.ค. 12, 11:13
แล้วถ้าเอาไปทำเป็นเครื่องประดับ เจ้าของกระดูกไม่ตามมาอยู่ด้วยหรือคะ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 ส.ค. 12, 11:26
ไอเดียในการเสนอขายของเจ้าของธุรกิจนี้ เขามีว่า

เราไม่ได้ขายเรื่องของความเชื่อ ไม่ใช่การบูชา แต่เราขายความทรงจำที่คุณมีต่อคนที่คุณรัก (http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/bizweek/20090605/48494/%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%8A%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%81-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2.html)

คุณอยากเก็บความทรงจำถึงคนรักไว้ในเพชรจากเถ้ากระดูกไหม

 :D


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: piyasann ที่ 10 ส.ค. 12, 12:49
เคยอ่านข่าวว่า ค่าทำเพชรชนิดนี้ ตกกะรัตละ แสนกว่าบาท  บ้านเราอาจจะว่าแพง แต่บางประเทศ ค่าจัดการศพ ฮวงซุ้ย แพงกว่าหลายเท่า เป็นการแก้ปัญหาการจัดการศพได้

ตายแล้ว ไม่เป็นภาระลูกหลาน แบบ ไปเป็นอาจารย์ใหญ่ ไปเป็นเพชร ก็น่าสนอยู่............


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 10 ส.ค. 12, 16:35
เมื่อวานหายไปหนึ่งวันเนื่องจากมัวไปเดินป่าเที่ยวน้ำตกมาครับ ได้เดินไต่เขาเป็นระยะทาง 8 กม. เล่นเอาขาแข็งไปเลยทีเดียว ขากลับปลายทางเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ Ingleton ได้ผ่านโบสถ์ของหมูบ้านจึงได้เห็นสัญลักษณ์หนึ่งที่มักจะเห็นตามหมู่บ้านเล็กๆ ต่างๆ ที่มีมากมายในอังกฤษ  เป็นสัญลักษณ์รูปไม้กางเขน  บางที่ทำเป็นอนุสาวรีย์รูปทหาร   โดยแต่ละแห่งเป็นอนุสรณ์เพื่อละลึกถึงคนในหมู่บ้านที่ไปสละชีวิตในสงครามโลกทั้งครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2  ทุกครั้งที่เห็นอนุสรณ์สถานผมก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปอ่านรายชื่อว่ามีใครในหมู่บ้านสละชีวิตเพื่อชาติในสงครามไปบ้าง

ในสงครามโลกครั้งแรก ทหารและพลเรือนอังกฤษสละชีพไปประมาณหนึ่งล้านคน  ฝรั่งเศสหนึ่งล้านเจ็ดแสน อเมริกันแสนเจ็ดหมื่น อิตาลีหนึ่งล้านสองแสน โรมาเนียเจ็ดแสน รัสเซียสามล้านหกแสน  เยอรมันสองล้านห้าแสน ออสเตรีย-ฮังการีล้านหาแสน และตุรกีประมาณสามล้านคน รวมแล้วมีคนตายไปอย่างไร้ค่าประมาณ 16 ล้านคน  เป็นทหารซะเก้าล้านเจ็ดแสนคน

ภาพอนุสรณ์สถานลำลึกถึงชาวหมู่บ้าน Ingleton ที่สละชีพในสงครามโลก


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ส.ค. 12, 20:08
ขอคั่นเวลาพาไปห่างอังกฤษหน่อยค่ะ
ถ้าหากว่าเกิดเป็นฟาโรห์  ตายแล้วก็ได้ไปนอนอยู่หลายศตวรรษในนี้  แต่ไม่ได้นอนสงบตลอดไป  นอกจากขโมยชุม   ลักลอบเข้าไปขนทรัพย์สมบัติแล้ว   ฝรั่งยังชอบไปขุดค้นหนักกว่านั้นเสียอีก


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ส.ค. 12, 20:10
สงสารเหมือนกัน  ตายแล้วยังถูกรบกวนการนอนอีก


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 ส.ค. 12, 20:23
เดือนนี้ปีที่แล้วอยู่ที่แคนาดา พบภาพประทับใจ เป็นพิธีไว้อาลัย Jack Layton   (http://en.wikipedia.org/wiki/Jack_Layton) ผู้นำฝ่ายค้านของแคนาดาหน้าศาลาว่าการเมืองโตรอนโต

นักการเมืองที่ดี ๆ ตายแล้วไปอยู่ในใจของคน

ใครหนอเขียนคำไว้อาลัยเป็นภาษาไทยไว้

 ;D


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 10 ส.ค. 12, 20:46
ในประเทศอังกฤษ  กษัตริย์ ราชินี เจ้านาย หรือบุคคลสำคัญต่างๆ เมื่อตายแล้วจะได้รับเกียรติฝังศพไว้ที่ Westminster Abbey หรือ St. Paul Cathedral

ตัวอย่างบุคคลสำคัญที่ฟังไว้ที่ Westminster Abbey ก็เช่นไอแซค นิวตั้น  นักฟิสิกส์   ชาลล์ ดาวิน ผู้ให้กำเนิดทฤษฏีวิวัฒนาการต่างก็ฝังไว้ที่นี่

แต่สำหรับตำแหน่งที่โดดเด่นที่สุด กลางมหาวิหารเลย น่าจะเป็นตำแหน่งที่ฝังร่างของชายฝรั่งไม่ทราบชื่อ ที่ถูกเรียกกันว่านักรบนิรนาม (Unknow Warrior) ผู้สละชีพเพื่อชาติในสงครามโลกครั้งที่ 1

ในสงครามโลกครั้งแรก ทหารอังกฤษเสียชีวิตจากสงครามไปเกือบเก้าแสนนาย  ทำให้ในปี 1920 มีการดำริจะนำร่างของทหารนิรนามมาฝังไว้ที่ Westminster เพื่อเป็นตัวแทนของทหารจำนวนมากที่สละชีวิตในสงคราม และคนที่รักไม่มีโอกาสแม้แต่จะไปเคารพศพพวกเค้าเหล่านั้น
ดังนั้น จึงมีการคัดเลือกร่างของทหารนิรนาม ที่เสียชีวิตจากสนามรบ 4  แห่ง และสุ่มเลือกมา 1 ร่าง เพื่อเป็นตัวแทนทหารทั้งหมดที่เสียชีวิตเอามาฝังที่อังกฤษ ไม่มีใครรู้ว่าร่างของทหารที่ถูกเลือกมาเป็นใคร  ยศอะไร อาจจะเป็นลูกชายของท่านลอร์ดซักคน หรือเป็นกรรมกรระดับล่างที่ถูกเกณฑ์เข้ามาเป็นทหารก็ได้  แต่เชื่อกันว่าร่างของทหารนิรนามน่าจะเป็นทหารประจำการของกองทัพบกอังกฤษ ที่รับราชการมาตั้งแต่ก่อนสงคราม

เมื่อร่างมาถึงอังกฤษ ร่างของทหารนิรนามถูกฝังไว้ในตำแหน่งกลางมหาวิหาร เป็นจุดที่โดดเด่นที่สุด ดูสำคัญที่สุด  โดยใช้แค่ใช้แค่แผ่นหินที่เรียบง่ายและคำจารึกด้านบน


ในวันแต่งงานของ Lady Elizabeth Angela Marguerite Bowes-Lyon หรือควีนมัม พระมารดาของราชินีอลิซาเบทคนปัจจุบัน   พระนางได้วางช่อดอกไม้เจ้าสาวบนหลุมศพของทหารนิรนาม เพื่อเป็นการละลึกถึงพี่ชายที่เสียชีวิตไปในสงครามนี้เช่นกัน  จนเกิดเป็นธรรมเนียมมานับแต่นั้นที่เจ้าสาวทุกคนที่แต่งงานในวิหาร จะนำช่อดอกไม้มาวางบนหลุมฝังศพนี้

ภาพมหาวิหารและ Unknow warrior


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 ส.ค. 12, 21:22
Th' Applause of list'ning Senates to command,
The Threats of Pain and Ruin to despise,
To scatter Plenty o'er a smiling Land,
And read their Hist'ry in a Nation's Eyes.

Elegy Writen in a Country Churchyard - Thormas Gray

คุณเอ๋ยคุณเหลือ                    ผู้เอื้อเฟื้อเกื้อชาติซึ่งอาจหาญ  
แน่วนับถือซื่อสัตย์ต่อรัฐบาล       ไม่เห็นการส่วนตัวไม่กลัวตาย  
แสวงชอบกอบคุณอุดหนุนชาติ    กษัตริย์ศาสน์แม้ชีวิตปลิดวาย  
ไว้ปวัตน์แก่ชาติญาตินิกาย        ได้อ่านภายหลังลือระบือ เอย.

กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า - พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) จากต้นฉบับแปลของเสฐียรโกเศศ

 ;D



กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ส.ค. 12, 09:23

แสวงชอบกอบคุณอุดหนุนชาติ    กษัตริย์ศาสน์แม้ชีวิตปลิดวาย  

 ;D
กษัตริย์ศาสน์แม้ชีวิตปลิดถวาย 
วรรคที่สองของกลอน คำท้ายต้องเป็นเสียงเอก โท หรือจัตวาค่ะ  เป็นเสียงสามัญไม่ได้


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 11 ส.ค. 12, 11:07
ขอบพระคุณที่กรุณาแก้ไข

คิดว่า ถวาย น่าจะถูกต้องกว่า วาย

ข้อมูลที่ได้มาจาก ตู้หนังสือเรือนไทย (http://www.reurnthai.com/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2)

 ;D



กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 11 ส.ค. 12, 12:01
ขอบพระคุณที่กรุณาแก้ไข

คิดว่า ถวาย น่าจะถูกต้องกว่า วาย

ข้อมูลที่ได้มาจาก ตู้หนังสือเรือนไทย (http://www.reurnthai.com/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2)

 ;D



แก้ไขแล้วครับ ขอบคุณครับ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: นิลนนท์ ที่ 11 ส.ค. 12, 15:22
ในอินเดียก็เผากันง่าย ๆ สุมไม้เป็นกองฟอน เผากันที่ริมแม่น้ำคงคา
คนที่เคยไปมาเล่าให้ฟังว่า สัปเหร่อเป็นคนจัดการให้ บางทีก็เผาหมดบ้างไม่หมดบ้าง แล้วแต่ว่าไม้ฟืนที่สุมเผามีพอหรือไม่(เนื่องจากต้องซื้อ) ข้างญาติบางทีกลับก่อนไม่ได้เฝ้ารอจนไหม้หมดก็มี สัปเหร่อก็จัดการกวาดเถ้าลงแม่น้ำไป บางครั้งถ้าไม่มีญาติเฝ้าก็เก็บฟืนไว้ใช้ต่อไม่ยอมเผาจนหมดก็มี

ภาพนำมาจากของคุณชามะนาวครับ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: นิลนนท์ ที่ 11 ส.ค. 12, 15:31
ขอคัดลอกนำข้อมูลจาก board palungjit มาให้เพิ่มเติม
พระอาจารย์ราเชนทร์ วิสารโท ซึ่งมาเรียนปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยพาราณสี เป็นพระที่คลุกคลีอยู่กับชาวเมืองภารตะมานาน และศึกษาเกี่ยวกับพิธีเผาศพของชาวฮินดูที่เมืองนี้ บอกเล่าเรื่องราวให้ฟัง
         ความผูกพันของคนพาราณสีกับแม่น้ำคงคานี้มีมาตั้งแต่เกิดจนไปถึงตาย และไม่ใช่เฉพาะชาวเมืองพาราณสีเท่านั้นที่มุ่งหน้าและนึกถึงที่จะมาแม่น้ำสายนี้สักครั้งหนึ่งในชีวิต ซึ่งที่นี่มีการเผาศพมานานกว่า 4,000 ปีมาแล้ว เมื่อมีคนตายในบ้าน ประเพณีของคนอินเดียเป็นกฎหมายก็ว่าได้ เจ้าภาพจะต้องนำศพออกจากบ้านภายใน 24 ชั่วโมง โดยจะเชิญพราหมณ์มาทำพิธีที่บ้าน แล้วญาติที่เป็นผู้ชายจะนำศพนั้นเคลื่อนขบวน บ้านที่พอมีเงินก็นำขึ้นรถไปยังฝั่งแม่น้ำคงคาบริเวณที่ใกล้ที่สุด หรือบางบ้านที่ยากจนก็หามไป แต่ที่สำคัญที่ขาดไม่ได้คือต้องมีแคร่ไม้ไผ่
         ก่อนจะเผาช่วงเดินจากบ้านไปยังแม่น้ำคงคาจะต้องท่องสวดไปด้วยว่า "ราม นาม สัจจะแฮ" หมายถึงว่า พระรามเป็นสัจจะ เป็นความจริงเที่ยงแท้ แปลว่า ความตายเป็นของเที่ยงแท้แน่นอน ท่องไปจนถึงบริเวณที่จะเผาศพที่เรียกว่า "ท่ามณิกรรณิการ์ฆาต" เจ้าภาพจะเข้าไปต่อรองราคากับสัปเหร่อที่มีหน้าที่ดูแลจัดการเผาศพด้วยราคาฟืน ราคาค่าตัว โดยปกติราคา 16-18 รูปีต่อกิโล เมื่อก่อน ใช้ไม้อย่างดี แต่ปัจจุบันใช้ไม้ตามแต่ที่จะหาได้ เมื่อตกลงราคาได้แล้วก็นำฟืนมากองเหมือนกองฟอนบ้านเรา

@ ขบวนการไม้ฟืนมือสอง
เมื่อนำศพมาถึงก็นำศพไปสัมผัสกับแม่น้ำคงคาก่อน พอวางให้สะเด็ดน้ำแล้วก็นำผ้าออกจากร่างที่ไร้วิญญาณเหลือแต่ร่างที่เปล่าเปลือย เมื่อนำร่างวางบนเชิงตะกอนแล้วพราหมณ์จะนำน้ำจากแม่น้ำคงคามาประพรม มาราดบนหัว บนเท้า บนหน้าอก และที่สำคัญคือนำใบสะระแหน่ซึ่งเขาถือว่าเป็นใบไม้บูชาอย่างหนึ่งใส่ปากผู้ตายแล้วนำน้ำคงคากรอกเข้าไป

จากนั้นให้ลูกชายคนโตจุดไฟเผา เมื่อเผาไปได้ 10-20 นาที ญาติบางคนกลับไป บางคนก็อยู่รอจนกระทั่งศพไหม้หมด แต่บางศพฟืนหมดศพยังไหม้ไม่หมด เขาก็จับโยนลงแม่น้ำคงคา ดับฟืนเอาฟืนไว้ขายต่อ แปลว่าญาติกลับไปหมดแล้วไม่รอจนกระทั่งศพไหม้หมด เลยเกิดขบวนการอย่างหนึ่งคือขายฟืนมือสอง ศพที่ญาติกลับไปแล้วสัปเหร่อก็เอาศพที่ไหม้ไม่หมดโยนลงน้ำไปให้กลายเป็นเหยื่อของเต่า ปลา อีกา แร้งไป ส่วนฟืนที่เหลือก็ดับแล้วกองไว้ต่างหาก เอามาไว้ขายให้คนจนในราคาไม่เกินกิโลละ 8-9 บาท ศพศพหนึ่งถ้าจะใช้ฟืนเผาให้หมด ศพผู้ดีใช้ไม้ดีหน่อยจะใช้เงินประมาณห้าพันรูปี แต่ถ้าคนจนที่ต้องการจะเผาศพที่"ท่ามณิกรรณิการ์ฆาต"ก็มีไม้หลายราคาให้เลือก อย่างไรก็ตามพื้นเพแล้วที่เมืองพาราณสีมีคนจนมากกว่าคนรวย

@ เชื่อวิญญาณคนตายสู่สวรรค์
หลังจากที่เผาศพเรียบร้อยญาติพี่น้องก็เกิดความประทับใจว่าวิญญาณของคนตายต้องไปถึงสวรรค์แน่นอนเพราะแม่น้ำคงคาไหลมาจากสวรรค์ เมื่อเรามาเห็นการปลงศพของที่นี่แล้วก็เกิดความสลดใจว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอน ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ควรจะเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในตัวตนของเรา ชีวิตจบลงก็เอาอะไรไปไม่ได้ คนอินเดียเขาทำเหมือนว่าเป็นตัวอย่างชีวิตที่ติดดิน

@ ศพคนจนคนรวยแตกต่างกัน
เท่าที่สังเกตศพผู้หญิงใช้ผ้าสวยหน่อย ถ้าเป็นศพผู้ชายจะใช้ขาวธรรมดา ศพผู้หญิงจะมีลวดลายของผ้า ที่ไม่เผาคือศพเด็ก ซึ่งมีศพ 5 ประเภทที่ไม่เผาที่ "ท่ามณิกรรณิการ์ฆาต" คือ 1.เด็กทารก 2.หญิงพรหมจรรย์ 3.นักบวช 4.คนถูกงูกัด 5.คนถูกฟ้าผ่า เพราะมีความเชื่อว่า 5 ประเภทนี้ไม่มีราคี ไม่มีบาปเป็นพรหมจรรย์
        ศพคนรวยคนจนจะสังเกตได้จากขบวนแห่ อาตมาเคยเห็นรถซาเล้งเหมือนบ้านเราเขาเอาศพวางไว้ข้างบนแล้วก็มีคนเดินตาม 2-3 คน รู้เลยว่าเป็นศพคนจน ผ้าที่พันศพก็พันไม่มิด ส่วนเท้าโผล่ออกมา ส่วนแขนโผล่ออกมา กลิ่นก็เหม็น บางครั้งอาจจะไม่มีญาติ คนข้างบ้านอาจจะช่วยกัน
ท่าที่ใช้เผาศพที่แม่น้ำคงคาที่พาราณสีนี้มี 2 ท่า "ท่ามณิกรรณิการ์ฆาต" อีกท่าหนึ่งคือ หิริจันทคราส คือการเผาศพที่ทันสมัย ใช้ระบบน้ำมัน ใช้ระบบไฟฟ้าเหมือนบ้านเรา แต่ไม่เป็นที่นิยม ที่อินเดียที่ไหนมีแม่น้ำที่นั่นก็อธิษฐานเอาว่าเป็นแม่น้ำคงคา นำศพเอาไปเผาข้างแม่น้ำคงคาพอเผาเสร็จก็โกยขี้เถ้าลงแม่น้ำ

@ ญาติผู้เสียชีวิตไม่ร้องไห้
เท่าที่มีโอกาสได้นำญาติโยมคนไทยมาล่องแม่น้ำคงคานี้ พวกเขามีทุนของความศรัทธาความเชื่อว่าการเกิดความแก่ความเจ็บความตายเป็นเรื่องธรรมดาก็เกิดความสลดใจ เมื่อกลับไปบ้านมีหลายคนที่ได้คิดว่าเราไม่น่าจะสิ้นเปลืองตรงนี้มาก เมื่อมีคนในบ้านตายมัวแต่โศกเศร้าร่ำไห้รำพึงรำพันไม่ไปทำมาหากิน ไม่ได้ไปทำงานการต่างๆ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: นิลนนท์ ที่ 11 ส.ค. 12, 16:04
เพิ่งสะกิดใจ ไปอ่านกระทู้ของคุณประกอบใหม่ ว่าเป็นเรื่องสุสานของคนใหญ่คนโต
ต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่พากระทู้ของคุณประกอบกลายเป็นพิธีศพไปเฉย


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 11 ส.ค. 12, 17:26
อย่าเพิ่งไปไหนครับคุณนิลนนท์ ทีแรกว่าจะเอาเรื่องสุสานคนใหญ่คนโต  แต่พอมีเรื่องพิธีศพ มัมมี่ เรื่องแปลกๆ มันยิ่งสนุกสนานน่าสนใจติดตาม  มีรสมีชาติ ยิ่งมีผู้ร่วมแจมมากๆ ยิ่งดีครับ  นี่ยังขาดแต่เรื่องลึกลับ เรื่องผีๆ  สางๆ สงสัยต้องรอท่านอาจารย์เทาชมพูมาเจิมซักเรื่อง ท่านอาจารย์น่าจะพอมีประสบการณ์เรื่องนี้บ้าง รับรองว่าเรื่องผีมาเมื่อไหร่ คนเข้ามาอ่านล้นหลามแน่ๆ  ;D

พูดถึงเรื่องพิธีศพที่เรียบง่าย หรือตายแล้วยังเป็นประโยชน์  ยังมีอีกทางเลือกสำหรับผู้สนใจทางเลือกใหม่ ว่าตายแล้วจะ(เอาศพ)ไปไว้ที่ไหนดี  เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่รู้สึกในไทยจะยังไม่มี นั่นคือที่ Body Farm หรือฟาร์มศพครับ

Body farm  มีเนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ อยู่ที่ University of Tennessee at Knoxville ก่อตั้งขึ้นโดยนักมนุษยวิทยา Dr. William M. Bass  ในปี 1981 เนื่องจาก ดร. บาสได้รับการขอปรึกษาจากตำรวจเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมต่างๆ บ่อยครั้ง เพราะเมื่อมีการพบศพที่เสียชีวิตมาเป็นระยะเวลานานๆ  มักจะมีข้อสงสัยเรื่องระยะเวลาการเสียชีวิต  ดร. บาสเลยต้องการศึกษาการเน่าสลายของศพมนุษย์ในเงื่อนไขแบบต่างๆ ศึกษาแมลงต่างๆ ที่มาเจาะไช ฯลฯ

ดังนั้น เมื่อมีผู้บริจาคร่าง  ร่างของผู้บริจาคจะถูกนำไปวางไว้ในที่ต่างๆ สร้างเงื่อนไขในการทดสอบ เช่นวางไว้ใต้ต้นไม้ วางไว้กลางแจ้ง มีเสื้อผ้าคลุม ฯลฯ   จากนั้นทำการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของศพในช่วงเวลาต่างๆ อย่างละเอียด วัดการเจริญเติบโตของหนอนแมลง ฯลฯ เพื่อเป็นประโยชน์ในการสอบสวนสืบสวนหาอายุของศพในคดีต่างๆ ต่อไปในอนาคต

Body fram ได้รับความนิยมมาก มหาวิทยาลัยหลายแห่งได้จัดสร้าง body fram เพื่อทำการศึกษาเรื่องการเน่าสลายของศพด้วย เช่น Western Carolina University, Texas State University


ดร. แบสผู้ก่อตั้งฟาร์มศพเองก็เป็นผู้บริจาคคนหนึ่งเช่นกัน ตอนนี้แกยังมีชีวิตอยู่แต่แกเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เมื่อแกตาย แกหวังจะถูกนำร่างไปไว้ใต้ต้นไม่ใน body farm แล้วถูกปล่อยให้เน่าสลายไปตามธรรมชาติเช่นกัน



กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 ส.ค. 12, 17:32
^
น่าจัดตั้งสถานอสุภกรรมฐานภาวนาร่วมด้วย


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ส.ค. 12, 17:40
อย่าเพิ่งไปไหนครับคุณนิลนนท์ ทีแรกว่าจะเอาเรื่องสุสานคนใหญ่คนโต  แต่พอมีเรื่องพิธีศพ มัมมี่ เรื่องแปลกๆ มันยิ่งสนุกสนานน่าสนใจติดตาม  มีรสมีชาติ ยิ่งมีผู้ร่วมแจมมากๆ ยิ่งดีครับ  นี่ยังขาดแต่เรื่องลึกลับ เรื่องผีๆ  สางๆ สงสัยต้องรอท่านอาจารย์เทาชมพูมาเจิมซักเรื่อง ท่านอาจารย์น่าจะพอมีประสบการณ์เรื่องนี้บ้าง รับรองว่าเรื่องผีมาเมื่อไหร่ คนเข้ามาอ่านล้นหลามแน่ๆ  ;D

คุณประกอบจะหลอกดิฉันให้เล่าเรื่องผีหลอกชาวบ้านก็บอกมาเถอะค่ะ    ถ้ามีคนกด like เกิน 5 คน  จะไปหาเรื่องผีมาเจิมกระทู้


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 11 ส.ค. 12, 17:48
ตอนนี้บ้านผม 3 คน รอท่านอาจารย์เล่าเรื่องผีอยู่ครับ อ้าว สมาชิกท่านอื่น นักเรียนหลังห้องทั้งหลาย แสดงตัวกันหน่อยเร้วววววววว   ด่วนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 ส.ค. 12, 18:00
เอาไป๓


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ส.ค. 12, 18:04
สมาชิก 1 คน ต่อ 0.1 เสียงค่ะ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 11 ส.ค. 12, 18:09
คุณประกอบจะหลอกดิฉันให้เล่าเรื่องผีหลอกชาวบ้านก็บอกมาเถอะค่ะ    ถ้ามีคนกด like เกิน 5 คน  จะไปหาเรื่องผีมาเจิมกระทู้

ง่า ตามเงื่อนไขอ่านอาจารย์ตั้งไว้เป็นจำนวนคน ไม่ใช่จำนวนเสียงครับ  เงื่อนไขนี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้    ดังนั้นต่อให้คนละ 0.001 เสียงก็ไม่มีผลครับ  เพราะนับคนเป็นหลัก  ตอนนี้ถ้าเฉพาะคนก็ 2 คนแล้วแน่ๆ  ;D


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 11 ส.ค. 12, 18:19
รออ่านด้วยคน

 ;D


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 11 ส.ค. 12, 18:20
จัดไปเสริม  ;D


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 11 ส.ค. 12, 18:26
เมื่อคุณประกอบพูดถึงเรื่อง body Farm ผมก็เคยดูสารคดีการอุทิศศพให้ พร้อมกับนักวิทยาศาตร์ทำการวิเคราะห์ศพในแต่ละช่วง วิเคราะห์แมลงตลอดช่วงอายุไข ศพหน้าร้อน ศพหิมะตกวิเคราะห์ไว้หมด

ตอนนี้ท่านใดอยากเป็นอมตะ ผมขอเสนอ Body World ครับ เป็นการรักษาศพแนวใหม่ที่นำเอาร่างกายลงไปเคลือบไว้ด้วยยางพาราและสารกันเน่า และย้อมสีไว้ หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ เลาะผิวหนังออกเหลือแต่กล้ามเนื่อ เส้นประสาทแล้วจัดท่าทางในอิริยาบทต่าง ๆ จัดแสดงไปแล้วทั่วโลก

ในประเทศไทยก็เคยมาจัดแสดงใจช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รับรองว่าร่างกายท่านจะเป็นอมตะตลอดกาล


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: piyasann ที่ 11 ส.ค. 12, 18:35
ตามกระแส......


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 11 ส.ค. 12, 18:38
ระหว่างรอท่านอาจารย์เทาชมพูและ อ. นวรัตนไปเตรียมเรื่องผีๆ ขอคั่นเวลาเรื่องมัมมี่ที่สภาพดีที่สุดในโลก

จริงๆ แล้วคำว่ามัมมี่ในปัจจุบัน เป็นคำรวมๆ ใช้เรียกศพที่ไม่เน่า  แต่เวลาพูดถึงมัมมี่ คนมักจะนึกถึงมัมมี่อียิปต์เป็นหลัก แต่จริงๆ แล้วมัมมี่มีทั่วโลก ทั้งในเอเชีย อเมริกากลางและใต้
ในบรรดามัมมี่ทั้งหลาย มัมมี่ที่ถือว่าสภาพดีที่สุดไม่ใช่มัมมี่อียิปต์ แต่อยู่ในเมืองจีนนี่เอง  คือมัมมี่ของคุณหญิงได๋(Lady Dai)  สภาพดีขนาดที่ว่ายังดูสดมากเหมือนเพิ่งตายมาได้ไม่กี่วัน นอกจากนั้นยังไม่ได้แห้งแข็ง ข้อต่อต่างๆ ยังขยับได้

มัมมี่คุณหญิงได๋ถูกขุดค้นจากหลุมศพสมัยราชวงศ์ฮั่นในมณฑลฉางชา ในปี 1972 มีอายุประมาณสองพันปี เชื่อว่าเป็นศพคุณหญิงของเจ้าผู้ครองนครได๋ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรฮั่น ขุดค้นจากบริเวณที่เป็นทุ่งนา ในบริเวณรอบๆ มีหลุมศพทั้งหมด 3 หลุม เป็นของเจ้านครได๋  คุณหญิง และลูกชายทั้งสอง แต่ศพของคุณหญิงที่เป็นมัมมี่มีสภาพดีที่สุด

ภาพพื้นที่ที่ขุดค้น และขั้นตอนระหว่างขุดค้นรวมทั้งโลงศพครับ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 11 ส.ค. 12, 18:42
ร่างของคุณหญิงถูกบรรจุไว้ในโลงศพ 3 ชั้น  มีของเหลวสีแดงลึกลับบรรจุอยู่ซึ่งช่วยทำให้ศพไม่เน่า 

ภาพโลงศพชั้นนอก ชั้นกลาง และชั้นในสุดที่บรรจุร่างครับ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 11 ส.ค. 12, 18:49
คุณหญิงตายเมื่ออายุประมาณ 50 ปีด้วยการการหัวใจวายเนื่องจากหลอดเลือดหัวใจตีบ  เป็นลักษณะของบุญหนักศักดิ์ใหญ่ อยู่ดีกินดี และไม่ออกกำลังกาย  คาดว่าตายขณะกำลังรับประทานอาหาร เพราะในกระเพาะมีอาหารจำนวนมากรวมทั้งเมล็ดแตงโมที่คุณหญิงเล่นกินแตงโมแบบกินทั้งเมล็ดเลย แถมหัวใจวายขณะนั้น

มีการจำลองหน้าตาคุณหญิงสมัยสาวๆ เอ๊าะๆ ให้ดู ไม่เลวทีเดียว แต่พอมาดูหน้าตาสมัยเป็นมัมมี่แล้ว ไม่ไหวๆ  เอารูปมัมมี่คุณหญิงได๋มาให้ชม เพื่อเป็นการเตรียมใจระหว่างรอเรื่องผีๆ จากท่านอาจารย์ทั้งสองครับ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ส.ค. 12, 18:53
ระหว่างรอท่านอาจารย์เทาชมพูและ อ. นวรัตนไปเตรียมเรื่องผีๆ

ดีตรงมีเพื่อนมาช่วยหลอนด้วยอีกคนนี่แหละ
แต่ตอนนี้ยังไม่เข้าเกณฑ์นะคะ เพิ่งได้ 5 คน เงื่อนไขคือเกินจำนวนนี้


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 11 ส.ค. 12, 19:57
เอ คนเข้ามามากมาย แต่ไม่ยอมแสดงตัว  เสียงที่หกไปไหนเนี่ย แสดงตัวกันหน่อยคร๊าบ  อ่านเรื่องน่ากลัวๆ จากสำนวนอาจารย์เทาชมพู จะได้ตาค้างอยู่ดึกๆ รอเชียร์แก้วชิงเหรียญทองคืนนี้ได้  :D


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 11 ส.ค. 12, 19:59
มัมมี่ที่สภาพดีที่สุดและสวยที่สุดเห็นจะเป็นมัมมี่ของ Rosalia Lombardo (http://en.wikipedia.org/wiki/Rosalia_Lombardo)

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/0/00/Palermo_Rosalia_Lombardo.jpg/355px-Palermo_Rosalia_Lombardo.jpg)

โรซาเลียเป็นบุตรสาวของทหารมียศซึ่งเสียชีวิตเมื่ออายุได้ ๒ ขวบ ศพของเธอถูกทำเป็นมัมมี่ตามธรรมเนียมของ คณะนักบวชกาปูชิน  (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%99) ผู้ทำมัมมี่ของโรซาเลียเป็นนักเคมีชื่ออัลเฟรโด ซาลาเฟีย ในขณะที่ศพอื่น ๆ ผุพังกลายเป็นกระดูกขาวโพลน มีแต่โรซาเลียที่ร่างของเธอยังคงอยู่สมบูรณ์ราวกับเธอเพียงหลับไปเท่านั้นเองแม้ว่าจะผ่านมากว่า ๘๐ ปีแล้ว

วิธีการรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยของซาลาเฟีย คือใช้สารละลายฟอร์มาลินเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย, แอลกอฮอล์เพื่อทำให้ร่างแห้ง, กลีเซอรินเพื่อไม่ให้ร่างแห้งจนเกินไป, กรดซาลิไซลิคเพื่อฆ่าเชื้อรา และสารที่สำคัญที่สุดคือเกลือสังกะสี (ซิงค์ซัลเฟต และ ซิงค์คลอไรด์) เพื่อทำให้ร่างมีความแข็งไม่อ่อนตัวลง สูตรที่ใช้ประกอบด้วยกลีเซอริน ๑ ส่วน, ฟอร์มาลินชุ่มด้วยซิงค์ซัลเฟต และ ซิงค์คลอไรด์ ๑ ส่วน และสารละลายแอลกอฮอล์กับกรดซาลิไซลิคอีก ๑ ส่วน

จากการวิจัยสันนิษฐานได้ว่า ศพของโรซาเรียเกิดปฏิกริยา Adipocere  (http://en.wikipedia.org/wiki/Adipocere) ซึ่งไขมันในร่างกายได้ผ่านกระบวนการอะไรบางอย่าง ทำให้แปรสภาพกลายเป็นคล้ายขี้ผึ้งหรือชีสซึ่งเชื้อแบคทีเรียไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ซึ่งมัมมี่ประเภทนี้จะต่างจากมัมมี่แบบแห้งของอียิปต์ตรงที่ต้องเก็บอยู่ในที่ชื้น

ปัจจุบันศพของโรซาเลียถูกเก็บอยู่ใน สุสานใต้ดินกาปูชิน  (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%99) เมืองปาแลร์โม บนเกาะซิซิลี อิตาลี

 ;D

 


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 ส.ค. 12, 09:40
ตามมาสมทบ ครับ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: นิลนนท์ ที่ 12 ส.ค. 12, 11:14
ผมขอคั่นรายการด้วยเรื่องศพที่ธิเบตไปพลาง ๆ ก่อนนะครับ
การจัดการกับศพที่ธิเบตใช้เรียกว่า sky burial ไม่รู้จะเรียกว่าฝังกลางเวหาดีหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือมีการชำแหละแล้วให้บรรดานกแร้งได้มากินเนื้อของผู้เสียชีวิต เนื่องจากธิเบตอยู่บนภูเขาสูงจะใช้วิธีการเผาก็ลำบากด้วยไม้ฟืน จะฝังก็เป็นการยากด้วยพื้นเป็นหินแข็ง จะลอยในแม่น้ำใหญ่อย่างคงคาก็ไม่ได้ ก็เลยใช้วิธีนี้ซึ่งก็ถือเป็นการให้ทานอาหารนกด้วย จากชาดกที่พระโพธิสัตว์เฉือนเนื้อตัวเองให้นกเหยี่ยวเพื่อช่วยชีวิตนกพิราบที่กำลังจะถูกเหยี่ยวจับกิน นกแร้งถือว่ามีฐานะเป็นเทพบุตรและเทพธิดาจะนำเอาวิญญาณผู้เสียชีวิตไปสวรรค์ ชาวธิเบตเชื่อเรื่องวิญญาณไปเกิดใหม่ ศพนั้นเป็นแต่เพียงเปลือกที่หมดประโยชน์ในการใช้สอยแล้ว เป็นการกำจัดที่มีประสิทธิภาพมาก ไม่สิ้นเปลือง ไม่ก่อมลภาวะ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่กล้านำภาพอื่น ๆ มาให้ดูกลัวจะกระเจิงกันหมด


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: นิลนนท์ ที่ 12 ส.ค. 12, 11:22
คัดลอกมาให้อ่านครับ
วิธีการทำศพนั้นไม่มีพิธีอาบน้ำศพ หรือแต่งตัวใหม่คือตอนเสียชีวิตใส่เสื้อผ้าชุดใดก็ใส่ชุดนั้น แล้วนำผู้ตายขึ้นไปนอนบนเตียงขนาดพอตัว และมีขาเตี้ยๆ ครอบครัวผู้ตายก็จะเอา"ข่าต๋า" คือผ้าพันคอผืนยาว 2 ถึง 3 เมตรเศษสีขาวห่มร่างผู้ตาย แล้วขึงเชือกเหนือร่างผู้ตายจากหัวไปเท้าเพื่อแขกที่มาในงาน จะได้เอาข่าต๋าไปพาดบนเชือกที่ขึงนี้ ใครที่จะบริจาคช่วยงานศพก็ทำได้ตอนนี้ถ้าคนใดคนหนึ่งในครอบครัวตาย เขาจะต้องรีบไปติดต่อโรงพยาบาลทิเบตพร้อมกับวันเดือนปีเกิด และวันเวลาที่ เสียชีวิตของผู้ตาย เพื่อให้หมอเอาข้อมูลไปคำนวณว่าจะเก็บศพเอาไว้กี่วัน

จากนั้นญาติก็นิมนต์พระซึ่งชาวทิเบตเรียกว่า "ลามะ" มาสวดที่บ้าน ซึ่งจะเชิญมากี่องค์ก็ได้ แต่ต้องสวดตลอดระยะเวลาที่ไว้ศพ เช่นถ้าไว้ศพ 5 วัน ก็ต้องสวดตลอด 5 วัน จะหยุดพักบ้างก็ได้เพียงประมาณ 15 นาทีต่อช่วงเท่านั้นถ้าลามะมาองค์เดียว ฆราวาสที่อ่านภาษาทิเบตได้จะช่วยสลับเวลาสวดแทน เมื่อสวดจบหนึ่งรอบ ญาติจะนำน้ำชาผสมเนยจามรีไปวางใกล้ศพ เพื่อเสริฟให้แก่ผู้ตาย และลามะเองก็พักซดน้ำชาไปในช่วงเวลานี้เหมือนกัน เพราะชาวทิเบตคลั่งไคล้การดื่มน้ำชาเป็นชีวิตจิตใจ การสวดจะเป็นไปอย่างนี้จนครบระยะเวลาการไว้ศพ จากนั้นก็เคลื่อนศพไปทำพิธีฝังจะทำกันตอนเช้าตรู่ ตี 4 หรือตี 5 แต่ก่อนหน้าวันเคลื่อนศพ ผู้ทำหน้าที่ฝังศพ ซึ่งชาวทิเบต เรียกว่า "อาจารย์" จะมาบ้านผู้ตายครอบครัวผู้ตายต้องเตรียมเสื้อผ้าที่ดีที่สุดของผู้ตายมามอบให้อาจารย์พร้อมทั้งเงินค่าทำศพ ส่วนใหญ่ประมาณร้อยถึงสองร้อยหยวน ส่วนเสื้อผ้าอาจารย์ก็จะให้ภรรยาของตนนำไปขาย

ก่อนทำพิธีเคลื่อนศพ อาจารย์ต้องทำเครื่องหมาย"สวัสดิกะ" ไว้บนพื้นตรงทางที่ศพจะถูกขนออกจากบ้านไป จากนั้นอาจารย์จะเอาเชือกผูกหัวเตียง จุดธูปบอกกล่าวผู้ตายจากนั้นก็ถือเชือกนำหน้าศพ บรรดาญาติจะช่วยกันแบกทั้งเตียงและศพ เดินตามเป็นขบวนแล้ววนรอบเครื่องหมายสวัสดิกะ 3 รอบ แล้วมุ่งหน้าไปวัด เมื่อขบวนแห่มาถึงวัด ก็เดินวนรอบวัด 3 รอบเป็นการให้ผู้ตายได้เคารพสักการะองค์พระพุทธรูปเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็เอาศพใส่ รถยนต์กระบะ เพื่อนำไปสถานที่สำหรับพิธีฝังศพ ในสมัยก่อนไม่มีรถยนต์ อาจารย์ต้องเป็นคนแบกศพรวดเดียวไปยังสถานที่ ฝังศพ ซึ่งเป็นระยะทางที่ต้องขึ้นเขาไปกว่า 2 กิโลเมตร ดังนั้นอาจารย์ส่วนใหญ่ต้องมีร่างกายแข็งแรง

เมื่อขบวนแห่ และอาจารย์มาถึงสถานที่ฝังศพ ซึ่งเป็นลานกว้างมีแผ่นหินปูลาดขนาด 2 X 2 เมตร แล้วอาจารย์ และญาติจะช่วยกันเปลื้องเสื้อผ้าของศพออก แล้วอาจารย์ ก็จะเอาเครื่องมือของตนออกมาวาง ประกอบด้วยมีดขนาดต่างๆ มีตั้งแต่อีโต้ จนถึงขนาดเล็กๆที่ใช้ในการแล่เนื้อประมาณ 15-16 เล่ม อาจารย์เริ่มลงมือด้วยการเอามีดเล็กกรีดหน้าผากศพเป็นแนวยาวเหนือคิ้ว แล้วถลกหนังศีรษะออกมากองไว้ จากนั้นผ่าท้องเอาเครื่องในออกมาแล้วแล่เนื้อออกจากกระดูก ใช้มีดอันใหญ่ทุบกระดูก และสับเนื้อเป็นชิ้นๆและทุบกระโหลกศีรษะเอามันสมองออกมาผสมกับกระดูกใส่ในหลุมที่มีเลือดไหลไปรวมอยู่ จากนั้นเอา"จามปา" แป้งชนิดหนึ่งที่คนทิเบตนำมาทำอาหาร มาผสมคลุกเคล้าให้ดีกับเลือดกระดูกและสมอง เพราะจะช่วยดูดซับเลือดให้เข้ากับกระดูก ทำให้บริเวณนั้นแห้งสนิทไม่เหลือเศษเลือดทิ้งเอาไว้ ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะ อีแร้งชอบกินมันสมอง ไม่ชอบกินกระดูกจึงต้องเอามันสมอง มาคลุกกับกระดูกให้อีแร้งกินกระดูกเข้าไปด้วย

เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว อาจารย์ก็เรียกบรรดาอีแร้งที่อยู่เหนือบริเวณฝังศพขึ้นไปบนยอดเขา ให้ลงมากิน เริ่มด้วยอาจารย์เอามันสมอง และเลือดให้อีแร้งกินก่อนแล้วค่อยตามด้วย เนื้อที่สับไว้ เมื่ออีแร้งกินทุกอย่างหมด แล้วญาติพี่น้องก็จะช่วยเผาสิ่งสุดท้ายที่เหลือคือเสื่อผ้าชุดที่ผู้ตายใส่ กับหนังศีรษะติดผม แล้วทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จสิ้นไม่ต้องมีการเก็บร่างกายของผู้ตายไว้เป็นที่ระลึกให้ต้องทำพิธีระลึกถึงกันทุกปีเพราะเขาเชื่อว่าในขณะที่เรากำลังร้องไห้เศร้าโศก อยู่หน้าหลุมฝังศพผู้ตายนั้น เขาได้ไปจุติในร่างใหม่เรียบร้อยแล้ว


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 12 ส.ค. 12, 11:41
นึกถึงเรื่อง "แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์"

วัดสระเกศ  คนตายเพราะโรคระบาดหรือถูกประหารก็เอาศพมาไว้ที่นี่ค่ะ   เข้าใจว่าเป็นเพราะอยู่นอกกำแพงเมืองออกไป  ถือว่าห่างไกลชุมชน
แร้งจึงมาชุมนุมอยู่ที่นี่   จิกกินศพจำนวนมากๆช่วยเบาแรงสัปเหร่อไปได้ด้วย
เคยเห็นรูปศพที่วัดสระเกศ ถ่ายราวๆรัชกาลที่ ๕ หรือ ๖  ใกล้ๆมีแร้งมาจับอยู่บนพื้นดินคอยกินศพ  เห็นเรียงกันเป็นแถว  และมีคนถือไม้คอยไล่ไม่ให้เข้ามาสกรัมศพ
ถ้าหากว่าค้นเจอจะเอามาให้ดู  แต่อย่าดูก่อนทานอาหารมื้อไหนนะคะ  นอกจากจะอยาก diet อยู่แล้วก็จะช่วยให้อดได้ง่ายขึ้น

เรื่องแร้งวัดสระเกศ

ภาพประกอบ

คำเตือน :  โปรดดูหลังอาหาร

 ;D


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 12 ส.ค. 12, 11:52
เรื่องเปรตวัดสุทัศน์

ส่วนเปรตวัดสุทัศน์  ความเป็นมา ไม่ทราบค่ะ รูปของจริงไม่มี   จะเอาเปรตอาจารย์กู้มาแทนก็ไม่เหมือน
จำได้เลาๆว่า เขาว่ามีกันสองตัวผัวเมีย อาศัยอยู่แถวนั้น  ดึกๆก็ออกมาเดินเล่นจนชาวบ้านรู้จักดี   บางคืนก็ร้องกรี๊ดๆให้ได้ยิน  ปากเท่ารูเข็ม  บางทีก็ชะโงกหน้าไปทักทายชาวบ้านที่นอนอยู่บนชั้นสองของห้องแถวตรงข้ามวัด
จนถึงสงครามโลกครั้งที่สอง ระเบิดลง   เปรตก็หายไปทั้งสองตัว

ที่มาของเปรต เล่าอีกทางหนึ่งว่ามาจากภาพวาดบนฝาผนังในอุโบสถ   เป็นรูปเปรตตนหนึ่งนอนพาดกายอยู่ และมีพระสงฆ์ยืนพิจารณาอยู่    ดิฉันเคยไปดูภาพวาดผนังโบสถ์ของวัดสุทัศน์เหมือนกัน  แต่ไม่เคยเห็นภาพดังกล่าว   ท่านไหนเคยเห็นกรุณาบอกด้วย  

ส่วนอะไรที่ลือกันว่าโย่งเย่งอยู่แถวๆหน้าวัดนั้น   ก็มีคำตอบว่าเป็นเงาของเสาชิงช้าหน้าวัดนั่นเอง


ภาพประกอบ

ภาพวาดเปรตในอุโบสถวัดสุทัศน์

 ;D


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ส.ค. 12, 15:53
นึกว่าจะรอดตัว  คุณ SILA โผล่มาทีเดียว วงแตก
สัญญาต้องเป็นสัญญาค่ะ

คุณประกอบเจ้าของกระทู้นี้ป้วนเปี้ยนอยู่ตามสถานที่ประวัติศาสตร์ในอังกฤษ  ย่อมเคยไปชมหอคอยแห่งลอนดอน (Tower of London) ริมแม่น้ำเทมส์มาแล้ว     สถานที่แห่งนี้นอกจากมีคุณสมบัติเป็นที่เก็บโบราณวัตถุมีค่าของอังกฤษ  และเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่นักศึกษามิอาจมองข้ามแล้ว     ยังมีโทษสมบัติอีกประการหนึ่งก็คือได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ผีดุฉกาจฉกรรจ์ขึ้นชื่อไปทั่วประเทศ
ส่วนที่ดุที่สุดของหอคอยแห่งลอนดอน เรียกว่า หอคอยขาว (The White Tower)  ดูจากรูปข้างล่างนะคะ
รูปซ้าย สถานที่ก่อสร้างที่ดูเหมือนหมู่ป้อมปราการคือหอคอยแห่งลอนดอน  ส่วนทางขวาเป็นส่วนหนึ่งของรูปซ้าย  คือ หอคอยขาว


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ส.ค. 12, 21:47
เข้ามาต่อแล้วค่ะ
ผีตัวที่เฮี้ยนที่สุดในหอคอยขาว คือพระนางแอนน์ โบลีน พระมเหสีหนึ่งในหกของพระเจ้าเฮนรี่ที่ ๘   เธอเป็นหนึ่งในสองของราชินีเคราะห์ร้ายที่ถูกพระสวามีสั่งประหาร   ข้อหาของเธอคือคบชู้กับชายถึง ๕ คน และทำอาคมไสยเวทของแม่มด เพื่อให้พระเจ้าเฮนรี่หลงใหล   
แต่ความจริงก็เป็นที่รู้ๆกัน ว่าพระเจ้าเฮนรี่อยากจะมีรัชทายาทชาย   แอนน์ โบลีนให้ไม่ได้ เธอมีแต่เจ้าหญิงน้อยองค์เดียว   พระบิดามิได้อินังขังขอบด้วยนัก    ทรงไม่นึกฝันว่าเจ้าหญิงจะเติบโตขึ้นมาเป็นพระราชินีนาถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอังกฤษ คือพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๑
ด้วยเหตุนี้ แอนน์ โบลีนจึงต้องถูกกำจัดให้พ้นทาง   เพื่อจะเปิดทางให้พระราชินีองค์ใหม่ขึ้นนั่งเก้าอี้แทนอย่างสะดวก     เธอถูกประหารด้วยวิธีตัดหัว  ทั้งที่เป็นผู้บริสุทธิ์
จากนั้น วิญญาณของเธอก็ไม่เคยอยู่อย่างสงบได้เลย ต่อมาอีกหลายศตวรรษ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ส.ค. 12, 08:39
ศพของแอนน์ถูกฝังไว้ที่โบสถ์  St. Peter ad Vincular  ซึ่งอยู่ภายในหอคอยนั่นเอง   โบสถ์เล็กๆนี่เองเป็นที่สถิตของปีศาจพระนางแอนน์ ที่ลุกขึ้นมาหลอกหลอนในโบสถ์ในหลายร้อยปีต่อมา    
ในปลายศตวรรษที่ ๑๙ ประมาณค.ศ. ๑๘๘๐  มีคำให้การของนายทหารหัวหน้ายามนายหนึ่ง เล่าว่าเห็นคืนหนึ่งเขาเห็นแสงสว่างส่องลอดหน้าต่างโบสถ์ออกมา   ก็เลยสั่งยามลูกน้องให้ไปดูว่าใครเข้าไปทำอะไรในโบสถ์ที่ปิดมืดตื๋อมาตั้งหลายศตวรรษ    แต่ลูกน้องยามเกิดปอดลอยสุดขีด   ยืนกรานปากคอสั่นว่าไม่รู้และเป็นตายยังไงก็ไม่ขอไปดู    นายทหารก็เลยออกหน้าเอง  เอาบันไดมาพาด ปีนขึ้นไปชะโงกดูผ่านหน้าต่างเข้าไป
เขาเห็นภายในโบสถ์สว่างด้วยแสงสว่างเรืองๆน่าสะพึงกลัว  มองเห็นขบวนผู้คนแต่งกายโบราณเหมือนสมัยพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๑  กำลังเคลื่อนขบวนไปตามทางเดินตรงกลางระหว่างที่นั่งสองฟาก   หัวขบวนคือผู้หญิงแต่งกายงามหรู สวมเครื่องประดับแพรวพราว   หน้าตาเหมือนภาพวาดของแอนน์ โบลีน    แล้วจู่ๆ ขบวนคนทั้งหมดก็หายวับไป  โบสถ์ทั้งโบสถ์ก็ตกอยู่ในความมืดสนิทเช่นเดิม

ถ้าคุณประกอบหรือใครในเรือนไทยเกิดไปเที่ยวหอคอยแห่งลอนดอน  ลองแวะที่หอคอยขาว ไปดูที่โบสถ์บ้าง เผื่อแจ๊กพ็อทขึ้นมาจะได้กลับมาเล่าให้ฟังกันไงคะ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 13 ส.ค. 12, 09:15
        (ไม่น่าจะจำผิดพลาดคลาดเคลื่อน) ภาพนี้จากหนัง Anne of the Thousand Days
พระนาง Anne (รับบทโดย Geneviève Bujold) ที่ลานประหารก่อนถูกบั่นเศียร ครับ 


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 13 ส.ค. 12, 09:17
คลิปตอนจบ ครับ

      http://www.youtube.com/watch?v=jfiPDwKp3KI


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ส.ค. 12, 09:17
ถ้าหากว่าเรื่องข้างบนนี้ยังไม่หลอนพอ    ขอแถมให้อีก 2 เรื่องนะคะ
เรื่องที่ 1
ในค.ศ. 1817 ยามคนหนึ่งเกิดอาการช็อคจนหัวใจวายเฉียบพลัน ระหว่างกำลังเดินยามตรวจตราบริเวณตามหน้าที่   แล้วเจอปีศาจแอนน์ โบลีนเข้าอย่างจังที่บันไดในหอคอย
(ยังสงสัยว่าถ้าแกหัวใจวายเฉียบพลัน  ยังมีเวลาพอบอกเพื่อนทหารยามด้วยหรือว่าเกิดอะไรขึ้น)

เรื่องที่ 2  ดราม่ามากกว่าหน่อย
ในค.ศ. 1864  ทหารยามคนหนึ่งถูกนำตัวขึ้นศาลทหารด้วยข้อหาถูกจับได้ว่านอนหลับขณะปฏิบัติหน้าที่    แต่นายคนนี้ให้การว่าเขาไม่ได้หลับ  หากแต่ล้มลงสิ้นสติไป หลังจากเผชิญหน้ากับ "ร่างขาวๆของผู้หญิงคนหนึ่งสวมหมวกบอนเน็ตหน้าตาประหลาด แต่ไม่มีหัว"
เมื่อเผชิญหน้าหล่อน  เขาร้องตะโกนออกมาว่า "นั่นใครน่ะ?" เมื่อไม่มีเสียงตอบ   เขาก็เอาปืนยาวในมือที่มีดาบปลายปืนแทงสวบเข้าไปที่ร่างนั้น  พบว่าเกิดอาการร้อนวาบเหมือนไฟฟ้าดูด แล่นกลับมาตามปืน กระทบตัวจนช็อคสิ้นสติไป  
ถ้าฟังแกเล่าคนเดียวอาจจะนึกกันว่าแกโม้  แต่ทหารยามคนนี้ดวงดี  มีพยานยืนยันหลายคนว่าเห็นร่างขาวๆของผู้หญิงไร้หัว ใกล้ที่ประจำการในคืนนั้น    ซ้ำยังมีนายทหารคนหนึ่งเป็นประจักษ์พยานเห็นเหตุการณ์ที่ยามคนนี้กำลังแทงผู้บุกรุกประหลาดนั้นด้วยดาบปลายปืน   เขายังเห็นด้วยว่าร่างนั้นเดินผ่านดาบ และผ่านทะลุร่างทหารยามไปด้วย
ผลของคดีนี้คือ ศาลทหารตัดสินให้ทหารยามคนนี้พ้นผิด  กลายเป็นบันทึกหลอนถึงความเฮี้ยนของแอนน์ โบลีนมาจนทุกวันนี้


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ส.ค. 12, 09:18
 Anne of the Thousand Days  หรือ ราชินีพันทิวา เป็นหนังดังเรื่องหนึ่งค่ะ    แอนน์น่าสงสารมาก


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ส.ค. 12, 09:22
ถ้าให้ดี เปิดคลิปดูเวลาสักสองยาม เมื่ออยู่ตามลำพังนะคะ

http://www.youtube.com/watch?v=pTOyQFMos3k


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: piyasann ที่ 13 ส.ค. 12, 10:23
แม่หญิง(Lady) Anne Boleyn เวอร์ชั่นใหม่ๆ หน่อย  สนุกตามแบบฉบับ ซีรีส์ฝรั่งปัจจุบัน ............มีครบรส ทั้งรัก ทั้งเศร้า โป๊ และ น่าตบ !!!

ในเวอร์ชั่นนี้ แสดงให้เห็นว่า แอน เป็นมนุษย์คนหนึ่ง มีรัก โลภ โกรธ หลง และทุกอย่างครบ ! ก็เป็นเกมส์การเมือง เมื่อลงสนามแล้ว ก็ต้องเล่นไปตามบท แพ้ก็ตกกระดาน แถมคอสวยๆ ของเธอ ที่มีจี้ อักษรตัว B ก็หลุดจากหัวไปด้วย....... ข้อหาฉกรรจ์ ของเธอคือ มีอะไร อะไร กับน้องชายตัวเอง George Boleyn (ซึ่งเป็นเกย์) ที่ศาลตัดสินยืนยันเช่นนั้น เพราะเมียของน้อง Lady Rochford ยืนยันด้วยความเจ็บแค้นที่......... (ไปดูได้จากซีรีส์ แต่คงไม่จริง เพราะเป็นฉากในละคร)

สงสารก็ตัวลูกๆ ของ คิงส์ เฮนรี่ ที่พอแม่ตก(พระเก้าอี้ที่นั่ง) จาก Princess ก็กลายมาเป็น Lady ทั้งสองคน และกลายเป็น bastard ทั้งคู่ ต่างกรรมต่างวาระ ,โดยเฉพาะ เอลิซาเบธ ถูกย่ำยีด้วยคำพูดอันหยาบคาย......... เจอคนด่าแบบนี้ ก็ขอวนเวียนหลอกคนซ่ะให้เข็ดดีกว่า...... อิอิ






กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: piyasann ที่ 13 ส.ค. 12, 10:36
เรื่องราวของบ้านนี้......

มีภาพยนต์เกี่ยวกับ Anne Bolyne อีกเวอร์ชั่นที่สนุก คือ The Bloodline Shall Continue. Henbry VIII นำแสดงโดย Ray Winstone (น่าจะเหมือน คิงส์ เฮนรี่ที่สุดล่ะ เพราะตัวใหญ่พอกัน) กับ Helena Bonham Carter ถ้าแอน เป็นแบบ แม่คาร์เตอร์ในหนังจริง, ก็น่าหมั่นใจ ชวนให้ไปขึ้นตะแลงแกง เป็นที่สุด (เล่นได้ดีจ๊ะ)


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 13 ส.ค. 12, 18:11
ที่ Tower of London ผมไปมาแล้วครับ ที่ White tower ก็แวะไปแล้ว โบสถ์ที่ฝังแอนน์ โบลีนก็แวะไป ตรงที่เค้าตัดหัวแอนน์ก็ไปชมมาแล้วเช่นกัน  ถ่ายรูปมาด้วยหลายรูปเท่าที่เค้าอนุญาต แต่ไม่ยักกะมีอะไรติดรูปมาบ้าง  :-\

จากหนังและนิยายหลายๆ เรื่อง อาจจะพอสรุปได้ว่าแอนน์ โบลีนเองนี่ก็ไม่ใช่สาวหวานใสซื่อ แต่เป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน มารยามากล้น เพียงแต่สุดท้ายก็ไม่สามารถเอาตัวรอดจากคนไร้หัวใจเห็นแก่ตัว และอำมหิตแบบเฮนรี่ที่ 8 ได้


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ส.ค. 12, 10:50
น้ำเสียงคุณประกอบออกจะเสียดายที่ไปหาแล้วไม่พบ     เอางี้  ด้วยความเห็นใจ  จะบอกที่ดักนัดพับให้ค่ะ      ไปจังหวะเหมาะๆเช่น สะพายกล้องไปคนเดียวตอนสองยามคืนเดือนมืด คงจะเจอเข้าสักหนละน่า

แอนน์ โบลีนได้ชื่อว่าเป็นผีที่สัญจรมากที่สุดในอังกฤษ   ไทยอาจจะเรียกว่าสัมภเวสีเร่ร่อน  เพราะเธอไม่ได้ประจำอยู่ที่ใดที่หนึ่งโดยเฉพาะ   ตายแล้วเธอไปอยู่หลายแห่งเหมือนกัน นอกเหนือจากหอคอยแห่งลอนดอน  เท่าที่นักปีศาจวิทยารวบรวมจากหลักฐานและพยานบุคคล มีดังนี้

   1   Hever Castle, บ้านที่เธออาศัยอยู่ในวัยเด็ก
   2    Blickling Hall, บ้านที่เธอถือกำเนิด
   3    Hampton Court Palace และ Windsor Castle ซึ่งแอนน์เคยพำนักอยู่กับพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8  ในช่วงที่เธอเป็นราชินีของพระองค์
   4  โบสถ์ Salle ในแคว้นNorfolk,  เมื่อศพของแอนน์ถูกนำออกมาจากที่ฝังศพแห่งแรกในหอคอยแห่งลอนดอน แล้วฝังไว้ใกล้ๆที่เก็บศพของตระกูลโบลีน
   5  คฤหาสน์ Marwell Hall ในแคว้นHampshire ซึ่งเป็นบ้านของตระกูลซีมอร์ในช่วงค.ศ. 1530-1638.  ซีมอร์คือตระกูลของคู่แข่งของแอนน์  เลดี้เจน ซีมอร์ ผู้ซึ่งพระเจ้าเฮนรี่ประสงค์จะอภิเษกสมรสด้วย จึงต้องกำจัดแอนน์ให้พ้นทาง


Read more: http://www.theanneboleynfiles.com/4859/the-ghost-of-anne-boleyn/#ixzz23UKmobx5


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ส.ค. 12, 20:22
เอามาให้ดูเป็นตัวอย่าง นี่คือ Hever Castle ที่แอนน์ โบลีนเคยอยู่ในวัยเด็ก   ปัจจุบันไม่มีขุนนางตระกูลไหนครอบครองอยู่อีกแล้ว  บริษัทเอกชนซื้อไปแล้วเปิดให้ประชาชนเข้าชม     ถ้าซื้อบัตรเข้าชม คุณประกอบพยายามเดินไปตามซอกหลืบมืดๆ  หลงทางพลัดจากคนอื่นๆ ได้ยิ่งดี    ยิ่งอยู่จนคฤหาสน์ปิดแล้วก็ยิ่งเหมาะค่ะ อาจจะไม่เก้ออย่างคราวก่อนๆ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 14 ส.ค. 12, 20:34
โอ๊ะ  ปราสาทที่แอนน์อยู่ในวัยเด็กที่ท่านอาจารย์เทาชมพูยกมาเค้ามีห้องให้พักด้วยครับ  น่าสนใจมากๆ  ปัญหาคือไม่ได้กลัวผีเท่าไหร่  แต่กลัวจะไม่มีปัญญาจ่ายค่าที่พักหนะสิครับ คืนละไม่หนี 100 ปอนด์แน่ๆ แถมมันอยู่ไกลคนละทิศกับแถบที่ผมอยู่เลย ว้าๆๆๆ
โรงแรมหลายแห่งที่อังกฤษนี่ชูเรื่องผีเป็นจุดขายเลย แต่ยังไม่เจอที่ไหนถูกๆ หรือใกล้บ้านพอจะไปลองได้ซะทีครับ

ธรรมดาเวลาผมเที่ยวปราสาทต่างๆ ไม่ว่าจะ Tower of  London, Warwick castle, Edinburgh Castle หรือวังแฮมตั้น เนื่องจากค่าเข้าชมมันแพง ผมจะอยู่จนเค้าปิดไล่ทุกครั้งแหละครับ ออกเป็นคนสุดท้ายทุกที  บางที่เป็นคุกเก่าก็เดยไปลองนั่งมืดๆ เงียบๆ มาแล้ว  แต่ยังไม่มีโอกาสเจอดีซะที ไว้ต้องหาซอกหลืบลับๆ บ้าง


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ส.ค. 12, 20:51
พวกนี้เค้าเล่นตัวค่ะ     ถ้ารู้ว่าอยากพบ ยิ่งไม่มาพบ   พอรู้ว่าใครคนไหนไม่อยากเห็น ก็มาให้เจอได้เจอดี
คุณประกอบอาจจะต้องเปลี่ยนวิธี


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 14 ส.ค. 12, 21:07
เมื่อกระทู้ชักจะกลายๆ เป็นตายแล้ว(ไม่ยอม)ไปไหน  ก็ขอเอาโรงแรมที่ชูจุดขายเรื่องผีๆ มาฝากท่านอาจารย์เทาชมพูหน่อย เผื่อวันไหนท่านอาจารย์แวะมาที่อังกฤษแล้วเผลอจอง หรือมีเจ้าภาพจองห้องไว้ให้ ท่านอาจารย์จะได้เตรียมใจได้ว่าเสียงร้องไห้ เสียงลากโต๊ะ เงาวูบวาบๆ ที่เห็นตรงหางตา ไม่ได้มาจากข้างห้อง

โรงแรมแรกชื่อว่า Jamaica Inn เมือง Bodmin Moor แคว้น Cornwall เป็นโรงแรมเก่าตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17 เคยเป็นแหล่งชุมนุมของพวกขนของเถื่อน เคยเกิดเหตุฆาตกรรม ถ้าพักที่นี่อาจจะมีโอกาสได้เห็นคนเดินผ่านกำแพงไปมาได้ สนนราคาห้องพักพอรับได้ ไม่แพงมาก คืนละสี่ห้าพันบาท แต่ดูๆ จากตำนาน ผีไม่ค่อยดุเท่าไหร่
http://www.jamaicainn.co.uk/

ดูจากด้านนอกโรงแรมสวยใช้ได้ทีเดียวครับ ห้องพักสะอาดสะอ้าน บาร์ดูน่านั่ง อาหารเช้าดูน่ากินทีเดียว 


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 14 ส.ค. 12, 21:17
อีกโรงแรมที่น่าสนใจ เพราะมีผีของเด็กชายในชุดสีน้ำเงิน ที่มีผู้พบโครงกระดูกเด็กในชุดสีนี้ด้านหลังกำแพง รวมทั้ง Lady Mary Berkeley ที่มักออกเดินตามหาสามี  ผู้มาพักอาจจะมีโอกาสได้ยินเสียงร้องไห้ เสียงครวญคราง ได้เห็นเด็กชายในชุดน้ำเงินและผีของ Lady Mary ด้วยตัวเอง

ต้องที่นี่ครับ  Chillingham Castle เมือง  Alnwick ในแคว้น Northumberland
www.chillinghamcastle.co.uk
สนนราคาค่าพักต่อคนราวคืนละหกพันบาท


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 14 ส.ค. 12, 21:29
อีกโรงแรมที่น่าสนใจคือที่ Ruthin Castle เมือง Ruthin แคว้น Denbighshire, Wales ปราสาทเก่าแก่อายุกว่า 700 ปี ที่ผู้มาพักอาจได้พบเจอสุภาพสตรีในชุดเทา เสียงร้อง เสียงเดิน และเสียงแปลกๆ อื่นๆ หรืออยู่ๆ ห้องพักก็อาจหนาวเย็นขึ้นมาแบบฉับพลัน ค่าพักก็พอไหวคืนละหกเจ็ดพันบาทต่อคนเช่นกัน  แต่ช่วงโปรโมชั่นอาจจะเหลือแค่คนละสามพันห้ารวมอาหารเช้า
http://www.ruthincastle.co.uk



กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ส.ค. 12, 08:42
บวกลบดูแล้วขอส่ายหน้าไม่จองห้องค่ะ
ถ้าพักในโรงแรมทั่วไปอัตราจะถูกกว่านี้มาก    และอาจจะได้โบนัสเป็นเงา เป็นร่าง  เป็นเสียง มาเยือนโดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม    แต่ถ้าไม่มี ก็ถือว่าได้นอนเต็มอิ่มคุ้มค่าเงินค่าห้อง    ดีกว่าเสียเงินแพงๆแล้วต้องชะเง้อชะแง้ไม่ได้นอนทั้งคืน  รอว่าเมื่อไรจะเจอ  รอจนเช้าไม่ยักมีใครมาก็หัวเสียอีกว่าโดนโรงแรมหลอก  เสียความรู้สึกยิ่งกว่าโดนผีหลอก   

ในอังกฤษ เวลาไปค้างคืนตามโรงแรมหรือ B&B ในชนบท จะถูกจะแพงไม่สำคัญขอให้เลือกที่เก่าๆเข้าไว้ก่อน   มีสิทธิ์เจอผีหลอกเท่ากัน  เพราะทุกหนทุกแห่งมีเจ้าของตายซ้ำซ้อนกันทั้งนั้น    เนื่องจากอาคารบ้านช่องของเขาอายุยืนมาก  ในกรุงเทพบ้านอายุ ๑๐๐ ปีถือว่าโบราณต้องขึ้นทะเบียนกรมศิลปากร   ของเขาอะไรที่ต่ำกว่า ๒๐๐ ปีเขานับเป็นของใหม่    จึงมีบ้านอายุเกิน ๒๐๐ ปีอยู่ในเมืองต่างๆทั่วไป   
ถ้าเฉลี่ยว่าทุก ๕๐ ปีเจ้าของจะตายครั้งหนึ่ง    เราก็มีโอกาสเจอเจ้าของเดิมอย่างน้อย ๔ คนเข้าไปแล้วเป็นอย่างต่ำ   ถ้าบ้านยิ่งเก่าถึง ๔๐๐ ปียิ่งมีสิทธิ์เจอถึง ๘ คน   

ดิฉันเจอแจ๊กพ็อทหนหนึ่งตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นประมาณ ๒๐ ปีมาแล้ว  ไม่ได้ไปทัวร์ แต่ไปเที่ยวกันเองสี่คนพ่อแม่ลูก   แยกกันพัก ๒ ห้อง   พอเข้านอนได้ยินเสียงเคาะประตู  มองออกไปทางตาแมวไม่เห็นอะไร  ก็นึกว่าหูฝาดหรือไม่ก็ใครมาเคาะห้องใกล้ๆ   
กลับมานอน สักพักได้ยินเสียงเคาะเรียกอีก  มองตาแมวอีกก็ไม่เห็น  แง้มประตูดูไม่เห็นใคร   ก็เลยรู้ว่าเจอดีเข้าแล้ว   จึงอุ้มลูกคนเล็กที่กำลังหลับสนิทไปทุบประตูเรียกอีกห้อง   คืนนั้นเลยแออัดกันอยู่ ๔ คนในห้องเดียว
นับว่าผู้มาเยือนคืนนั้นมารยาทดีสมเป็นชาวญี่ปุ่น   จะเข้ามาหลอกยังอุตส่าห์ขออนุญาตเข้าห้องอีกด้วย


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 15 ส.ค. 12, 10:33
ถ้าเฉลี่ยว่าทุก ๕๐ ปีเจ้าของจะตายครั้งหนึ่ง    เราก็มีโอกาสเจอเจ้าของเดิมอย่างน้อย ๔ คนเข้าไปแล้วเป็นอย่างต่ำ   ถ้าบ้านยิ่งเก่าถึง ๔๐๐ ปียิ่งมีสิทธิ์เจอถึง ๘ คน 

คิดดูว่าหากตายแล้วไม่ยอมไปไหน อยู่ในบ้านเดียวกัน ๔-๘ คน (หรือตน) ต่างคน (ต่างตน) ก็สามารถอ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของบ้านได้เต็มที่ แล้วอย่างนี้จะอยู่กันอย่างไรหนอ

 ???  ;D  ???


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ส.ค. 12, 10:42
จริงด้วย
ยิ่งปราสาทราชวังใหญ่ๆ สร้างมาหลายร้อยปี   ย่อมตายกันเยอะทั้งพระราชา พระมเหสี เจ้าหญิง เจ้าชาย ไปจนข้าราชบริพาร  คงยิ่งแออัด   ในหอคอยแห่งลอนดอนก็ถูกประหารกันหลายราย    สถานที่จึงคับแคบ เดินแทบจะหลีกกันไม่ไหว
นี่คือเหตุผลว่าทำไมแอนน์ โบลีนจึงต้องสัญจรไปหลายแห่ง   เธอคงอยากหาที่ว่างๆไว้เดินบ้างน่ะเอง

ส่วนบ้านต่างๆ นั้น  ถ้าเป็นบ้านตระกูลเดียวกัน   ผู้ที่สิงอยู่ก็น่าจะเครือญาติกัน  คงเกรงอกเกรงใจหลีกๆทางกันให้ได้บ้าง   
พอตนหนึ่งมา อีกตนหนึ่งก็ไป  หรือจัดคิวไม่ให้ชนกันไงคะ
แต่ถ้าหลายเจ้าของ   ก็คงเดินกันสับสนหน่อย


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ส.ค. 12, 11:37
ไปๆมาๆ กระทู้นี้จะเลี้ยวไปที่ "ตายแล้วไม่ไปไหน" ซะก็ไม่รู้นะคะ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 15 ส.ค. 12, 16:30
ง่า งั้นเลี้ยวกลับมาที่ตายแล้วไปไหนต่อ

ความตายที่น่าเศร้าที่สุดของคนใหญ่คนโตในโลก คงไม่มีเหตุการณ์ไหนน่าสะเทือนใจไปกว่าสิ่งที่เกิดกับซาร์นิโคลัสที่ 2 และครอบครัว

ซาร์นิโคลัสที่ 2 ครองราชย์เป็นจักรพรรดิรัสเซียตั้งแต่ปี 1894 ในช่วงเวลาที่รัสเซียและโลกกำลังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่  รัสเซียมีปัญหาเรื่องชนชั้น การใช้อำนาจ การปกครอง  มีปัญหากับมหาอำนาจอื่นๆ จนถึงการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1  รวมทั้งปัญหาอื่นๆ มากมาย ฯลฯ   ตัวพระเจ้าซาร์เองไม่ใช่คนโหดร้ายอะไร แต่ไม่อาจรับมือต่อสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีพอ  พระเจ้าซาร์และพระมเหสีเองก็ตกอยู่ใต้อำนาจของนักบวชรัสปูตินที่เป็นที่เกลียดชังจนนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองในที่สุด

พระเจ้าซาร์และพระมเหสี รวมทั้งลูกๆ คือเจ้าหญิงโอลก้า ทาเนีย มาเรีย อนาสตาเซีย และมกุฏราชกุมารอเล็กเซ ถูกนำไปขังที่ เยกาเตรินเบิร์ก และเมื่อกองทัพรัสเซียขาวใกล้เข้ามา ทั้งหมดจึงถูกประหารชีวิตอย่างเหี้ยมโหด เมื่อวันที่ 17 กรกฏาคม 1918


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 15 ส.ค. 12, 16:59
เนื่องจากเราเน้นเรื่องตายแล้วไปไหน ฉากเหตุการณ์สะเทือนใจจึงไม่ขอบรรยายมาก แต่ท่านไหนจะเล่าแบบละเอียดก็ขอกราบขอบพระคุณล่วงหน้านะครับ  ;D

เมื่อพระเจ้าซาร์และครอบครัวเสียชีวิตทั้งหมดแล้ว พระศพถูกนำขึ้นรถไปฝังในป่านอกเมือง  ก่อนฝั่งมีการทำลายศพก่อนด้วยเช่นการราดด้วยน้ำกรด ไม่มีโลงศพ ไม่มีการทำพิธีทางศาสนาและไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ เหนือหลุมศพ  คณะมือสังหารพยายามไม่ให้เหลือหลักฐานว่าพระศพถูกฝังไว้ที่ใด

หลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ มีผู้อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหญิงอนาสตาเซียที่รอดชีวิตจากการสังหาญหมู่ครั้งนั้นได้ออกมาเรียกร้องทรัพย์สิน แม้ไม่ได้รับการตอบสนอง เรื่องนี้เป็นที่กล่าวขานและเป็นปริศนาจนเป็นที่มาของเรื่องโณแมนติค นิยายต่างๆ มากมาย  ผู้อ้างตัวที่โด่งดังที่สุดคือนางแอนนา แอนเดอร์สัน ที่ยืนกรานจนถึงวันสิ้นชีวิตว่าเธอคืออนาสตาเซีย แต่สุดท้ายผลการทดสอบ DNA ก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า แอนนา แอนเดอร์สัน ไม่ใช่เจ้าหญิงอนาสตาเซีย

ภาพเจ้าหญิงอนาสตาเซียและแอนนา แอนเดอร์สัน


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 15 ส.ค. 12, 17:20
ในปี 1991 หลังจากโซเวียตคอมมิวนิสต์ล่มสลายลง  ได้มีการขุดค้นเหมืองเก่าในป่านอกเมืองที่เชื่อว่าเป็นที่ฝังพระศพของซาร์และครอบครัว มีการค้นพบโครงกระดูกของซาร์ ครอบครัว และคนรับใช้ ผลการพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าโครงกระดูกที่พบเป็นของซาร์และครอบครัวจริง ซึ่งรวมถึงเจ้าหญิงอนาสตาเซียด้วย  แต่ขาดหายไปสองร่างคือเจ้าหญิงมาเรียและเจ้าชายอเล็กซิส ทำให้ตำนานผู้รอดชีวิตถูกรื้อมาแต่งเป็นนิยายใหม่อีกหลายเรื่อง

ภาพโครงกระดูกพระเจ้าซาร์และครอบครัว การตรวจสอบโดยวิธีนิติวิทยาศาสตร์ และป่าที่ฝังพระศพ เรียกว่า Ganina Yama เป็นหลุมในเหมืองเก่า  ปัจจุบันมีการสร้างโบสถ์ทับไปบนจุดที่ฝัง


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ส.ค. 12, 19:21
พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 พระองค์นี้เอง  เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นซาเรวิช หรือมกุฎราชกุมารของรัสเซียเคยเสด็จมาทางตะวันออก  และมาเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวถึงสยาม  ในฐานะพระราชอาคันตุกะ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเสด็จประพาสยุโรป ก็ได้เสด็จเยือนรัสเซียและทรงฉายพระรูปร่วมกันไว้ด้วย 

แถวยืน จากซ้ายไปขวา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฏ์ เคานต์มูราเวียฟ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช
แถวนั่ง จากซ้ายไปขวา เจ้าฟ้าหญิงพระราชธิดาพระเจ้าซาร์นิโคลัส (ไม่ทราบพระนาม) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซารินา แห่งรัสเซีย พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 15 ส.ค. 12, 19:54
ณ  พระตำหนักอเล็กซานเดรีย  พระราชวังซาร์วิกเซโร    เมืองปีเตอร์ฮอล์ฟ   ที่ประทับพระจักรพรรดินีอเลกซานดรา ฟอโดรอฟนา

๑๐  กรกฎาคม  พ.ศ. ๒๔๔๐


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 16 ส.ค. 12, 16:51
ภายหลังการตรวจพิสูจน์ ยืนยันว่าโครงกระดูกที่พบเป็นของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และครอบครัวจริง ในปี 1998 ได้มีการจัดพิธีศพอย่างเป็นทางการ โดยเป็นการจัดเป็นพิธีในระดับรัฐ (state funeral) มีนายบอริส เยลซิน ประธานาธิบดีรัสเซียขณะนั้นเข้าร่วมพิธีด้วย

พระศพของทั้งซาร์ พระราชินี และครอบครัว ถูกนำไปฝังไว้ที่ St. Peter and Paul Cathedral ในเมือง St. Petersburg ซึ่งเป็นสถานที่ฝังพระศพของกษัตริย์ ราชินี และเจ้านายของรัสเซียมาแต่โบราณ

แต่อย่างไรก็ตาม โครงกระดูกของเจ้าหญิงมาเรีย และเจ้าชายอเล็กซิสยังคงไม่ได้รับการค้นพบ

ภาพโบสถ์ St. Peter and Paul Cathedral หลุมพระศพ และพิธีศพครับ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 16 ส.ค. 12, 17:01
ส่วนคฤหาสน์อิปาเทียฟ สถานที่กักขังและประหารชีวิตพระเจ้าซาร์ หลังเหตุการณ์ถูกใช้เป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับการปฏิวัติ เป็นโรงเรียนสอนการเกษตร เป็นที่ทำการคอมมิวนิสต์ท้องถิ่น  แต่เนื่องจากที่นี่ถูกใช้เป็นที่ลำลึกถึงพระเจ้าซาร์ โดยคนที่ยังศรัทธากับสถาบันกษัตริย์   ในปี 1977 คฤหาสน์แห่งนี้จึงถูกรื้อทิ้ง ปัจจุบันมีการสร้างโบสถ์ชื่อว่า Church on Blood บนสถานที่ที่เคยเป็นที่ตั้งของคฤหาสน์

ภาพบ้านอิปาเทียฟ  ห้องใต้ดินสถานที่ประหารชีวิต ถ่ายหลังกองทัพรัสเซียขาวยึดได้ และ Church on Blood


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 16 ส.ค. 12, 17:14
ในปี 2007 ได้มีการค้นพบโครงกระดูก 2 โครงโดยนักโบราณคดีท้องถิ่น  ไม่ไกลจากสถานที่พบโครงกระดูกของพระเจ้าซาร์นัก ห่างไปแค่ประมาณ 70 เมตร  จากการทดสอบ DNA หลากหลายวิธีอย่างละเอียด เปรียบเทียบทั้งจาก DNA จากโครงกระดูกซาร์และพระมเหสี รวมทั้ง DNA จากพระญาติ ยืนยันว่าโครงกระดูกทั้งสองคือโครงกระดูกของเจ้าหญิงมาเรีย และพระอนุชาอเล็กซิ  ปิดตำนานความเชื่อเรื่องผู้รอดชีวิตอย่างสิ้นเชิง

มีเกร็ดเกี่ยวกับเจ้าชายอเล็กซิ มกุฏราชกุมารรัสเซีย  จำมาจากนิตยสารศิลปวัฒนธรรมหลายปีมาแล้ว  ตอนที่เจ้าชายประสูตร รัชการที่ 5 ทรงให้โหรหลวงทำนายดวงชะตา เพื่อจะส่งไปให้พระเจ้าซาร์ แต่ผลการทำนายออกมาว่าเจ้าชายเป็นกาลกินีต่อราชวงศ์อย่างมา มีแต่ผลการทำนายที่เลวร้าย ในที่สุดจึงไม่ได้มีการส่งผลการทำนายไปให้

ภาพสถานที่พบโครงกระดูก ภาพเจ้าหญิงมาเรีย และเจ้าชายอเล็กซิ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ส.ค. 12, 10:30
คลิป(โหด) the last minutes of the Romanov family จากหนังเรื่อง

      Tsareubiytsa (Assasin of the Tsar) ครับ

     http://www.youtube.com/watch?v=iaEihq69wY4&feature=related

เคยดูซีรีส์นานมากแล้วทางทีวีจนจำชื่อเรื่องไม่ได้ ฉากสุดท้ายของราชวงศ์ก็เป็นแบบนี้
แต่ในเรื่องนี้ออกจะโหดกว่า


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 12, 11:01
ในคลิปยังโหดน้อยกว่าที่เล่ากันบางเว็บในอินทรเนตร 
ใครใจอ่อนขอให้ข้ามข้อความข้างล่างนี้ไปนะคะ   :-X

เมื่อพระเจ้าซาร์และครอบครัวถูกนำมาที่ห้องใต้ดิน   ซารีนาบ่นว่าห้องนี้ไม่มีเก้าอี้เลยสักตัว  จะนั่งกันยังไง  ทหารก็ยกเก้าอี้เข้ามาให้ประทับนั่ง  ฟังคำพิพากษาโทษว่า ทั้งหมดจะต้องถูกประหารชีวิต
" ว่าไงนะ ว่าไงนะ " พระเจ้าซาร์อุทาน
ขาดคำ  กระสุนของทหารที่ยกปืนขึ้นเล็งก็สาดออกมาเป็นห่าฝน  ทะลุพระอุระของพระเจ้าซาร์ เสด็จสวรรคตในทันที   ส่วนพระธิดายังไม่ขาดพระทัยหลังจากกระสุนชุดแรก   เพราะเพชรพลอยที่ทรงซุกซ่อนเย็บติดไว้ในฉลองพระองค์ชั้นในช่วยป้องกันไว้ได้ระดับหนึ่ง  เมื่อเหล่าทหารเพชฌาตเห็นยังทุรนทุรายกันอยู่  ไม่ถึงตาย  ก็เกิดสยองขึ้นมาตามความเชื่อโบราณว่ากษัตริย์และเจ้าฟ้าเป็นเทพ  ไม่ใช่คนสามัญธรรมดา   ก็เลยพร้อมใจกันลบล้างความเชื่อด้วยการให้ดาบปลายปืนแทงกระหน่ำลงไปที่ร่างเจ้าหญิงทั้งหมด  มิหนำซ้ำยังรัวกระสุนยิงลงไปบนพระพักตร์อย่างไม่นับ

ผ่านข้ามศตวรรษ   พระเกียรติยศที่เสื่อมสูญไปก็ได้รับการรื้อฟื้นกลับมาอีกครั้ง   แม้จะนานหน่อยแต่ก็ยังดีที่ประวัติศาสตร์ไม่ได้ลืม


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 19 ส.ค. 12, 20:45
ลองมาดูว่าคนดังอื่นๆ ตายแล้ว(ร่าง) ถูกเอาไปไว้ไหนบ้าง

ถ้าพูดถึงนักวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักมากที่สุด คงไม่พ้นอัลเบิร์ต ไอนสไตน์ (1879 - 1955)
ด้วยเจตจำนงของไอสไตน์เอง เมื่อเสียชีวิตแล้วร่างของไอนสไตน์ถูกเผา เถ้ากระดูกถูกนำไปโปรยในแม่น้ำ  แต่สมองของไอสไตน์ถูกนำออกมาเก็บรักษาไว้เพื่อการศึกษาต่อในอนาคต

นักวิทยาศาสตร์อีกคนที่โด่งดังไม่แพ้กัน คือเซอร์ไอแซค นิวตั้น(1642 - 1727)  ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ใหญ่มากๆ โด่งดังสุดๆ ในยุคสมัย เมื่อเสียชีวิตแล้วได้รับเกียรติฝังไว้ที่วิหารเวสมินสเตอร์


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 19 ส.ค. 12, 21:05
สำหรับเจ้าหญิงของปวงชน เจ้าหญิงไดอาน่า เนื่องจากตอนที่เสียชีวิต เจ้าหญิงไดอาน่าไม่ได้มีสถานะเป็นหนึ่งในราชวงศ์อังกฤษแล้ว จึงไม่ได้ฝังไว้ที่เวสมินเตอร์หรือวินเซอร์
ปัจจุบันร่างของเจ้าหญิงอยู่ที่เกาะกลางน้ำ ในคฤหาสน์อัลทรอป ซึ่งเป็นคฤหาสน์ส่วนตัวของตระกูลสเปนเซอร์ ตระกูลของเจ้าหญิง

คฤหาสน์อัลทรอปจะเปิดให้เข้าชมได้ในช่วงเดือนกรกฏาคม - สิงหาคม ปีละประมาณ 2 เดือน ผู้มาชมสามารถมองไปที่เกาะกลางน้ำได้
http://www.althorp.com/visits_opening.php   ใครอยากไปลำลึกถึงเจ้าหญิง สามารถตรวจสอบวันและราคาได้ครับ



กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ส.ค. 12, 21:32
วิหารน้อยบนเกาะนี้เองที่เจ้าหญิงไดอาน่าได้ไปพักผ่อนอย่างสงบตลอดกาล     ก่อนอภิเษกสมรส เจ้าชายวิลเลียมได้พาเคท พระคู่หมั้นไปเยือนวิหารนี้   เหมือนจะให้เจ้าหญิงได้รับรู้ และรู้จักกับว่าที่ลูกสะใภ้ด้วย


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 20 ส.ค. 12, 16:22
ในกระบวนคนดังมากๆ อีกคน ที่แม้ตายแล้วยังมีผู้ให้ความสนใจไปเยี่ยมเยียนหลุมศพก็คือเอลวิส เพรสลีย์ (1935 - 1977)

เอลวิสตายเนื่องจากการใช้ยาเกินขนาดในปี 1977 ขณะอายุเพียง 46 ปี แต่เอลวิสตอนนั้นก็อ้วนฉุ แทบไม่เหลือสภาพหนุ่มหล่อแล้ว
หลังเสียชีวิต ร่างของเอลวิสถูกฝังไว้ที่สุสานฟอร์เรส ฮิลล์ (Forest Hills Cemetery) เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี
แต่เพื่อป้องกันพวกคลั่งเอลวิสมาขโมยศพ  ร่างของเอลวิสจึงถูกย้ายไปไว้ที่สุสาน Graceland แทน ปัจจุบันมีการจัดทัวร์เพื่อไปเยี่ยมเยียนเอลวิส แต่ละปีมีผู้ให้ความสนใจมากถึงหกแสนคน สร้างรายได้แก่เมืองเมมฟิสเป็นเงินประมาณ 150 ล้านเหรียญต่อปี

นี่เพิ่งเลยวันครบรอบการเสียชีวิตของเอลวิส วันที่ 16 สิงหาคม 1977 มาไม่กี่วันเองนะนี่



กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 20 ส.ค. 12, 16:47
เมื่อพูดถึงราชาเพลงร็อคแล้ว ก็ต้องวกมาที่ราชินีเพลงป๊อปที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2012 ที่ผ่านมา เธอคือวิตนีย์ ฮิวสตัน(1963 - 2012)

วิตนีย์ถูกพบว่าเสียชีวิตในอ่างอาบน้ำ  คาดว่าเธอจมน้ำอาจเนื่องจากหัวใจวายจากการใช้ยาเสพติด
เธอถูกฝังไว้เคียงข้างบิดา จอห์น รัสเซล ฮิวสตัน ที่สุสานแฟร์วิว (Fairview Cemetery) เมืองเวสฟิลล์ รัฐนิวเจอซี่
เนื่องจากมีการฝังเครื่องประดับเพชรพลอยมูลค่าสามแสนเหรียญสหรัฐไปกับร่างของเธอด้วย จึงต้องมียามเฝ้าหลุมศพของเธอ กันพวกหัวขโมยมาลักขุด ทั้งพวกที่ตั้งใจมาขโมยข้าวของที่ฝังไปกับเธอ รวมทั้งพวกชอบเสาะหาของที่ละลึก


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 20 ส.ค. 12, 17:12
มีราชาเพลงร็อค  ราชินีเพลงป็อป ก็ต้องพูดถึงราชาเพลงป็อปบ้าง คือ MJ หรือไมเคิล แจ็คสัน(1958-2009)

ไมเคิล แจ็คสัน เสียชีวิตเมื่อายุได้ 51 ปี ขณะมีแผนจะจัดคอนเสิร์ตที่ลอนดอนมากถึง 50 รอบ
สาเหตุการเสียชีวิตของไมเคิล อาจเนื่องมาจากการใช้ยาแก้ปวด และยานอนหลับ และยาอื่นๆ อีกหลายขนาน ประกอบกับไมเคิลได้รับการดูแลจากหมอส่วนตัวที่อาจจะเรียกได้ว่าห่วยสุดๆ เพราะแม้แต่การผายปอดไมเคิลอย่างถูกวิธี หมอนี่ยังทำไม่ได้ ดีแต่ให้ยาขนานต่างๆ จนเป็นที่มาของการเสียชีวิต จนตอนนี้หมอคอนราด มอเรย์ ถูกฟ้องข้อหาฆาตกรรมไมเคิล แจ็คสัน

ปัจจุบัน ร่างของไมเคิลถูกฝังไว้ที่สุสานฟอร์เรส ลอวน์(The Forest Lawn) ในฮอลลีวูด แคลิฟอร์เนีย ปัจจุบันสุสานของไมเคิลมียามเฝ้า 24 ชั่วโมง และยังไม่เปิดให้แฟนๆ เข้าเยียมแสดงความลำลึกถึงราชาเพลงป็อปผู้นี้ แต่มีแผนที่จะเปิดให้เข้าชมได้ในอนาคต


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ส.ค. 12, 17:35
ในยุคเรียนหนังสือ  มีนักเขียนสตรีชาวอังกฤษคนโปรดชื่อ Marie Corelli    ความที่ชอบงานของเธอก็เลยดั้นด้นไปหาบ้านที่เธออยู่จนพบ  เพื่อจะไปเดินวนเวียนดูห้องหับและหอคอยแบบวิคตอเรียนหลังเล็กๆที่เธอใช้เป็นห้องทำงาน
บ้านชื่อ Mason Croft อยู่ใน Stratford upon Avon   ปัจจุบันคือ Shakespeare Institute
คอเรลลีอยู่ที่เมืองนี้จนถึงแก่กรรม     ร่างของเธออยู่ที่สุสานประจำเมือง  มีรูปปั้นเทพธิดาแห่งชัยชนะอยู่บนหลุมศพ   ถ้าคุณประกอบจะแวะไปเดินเล่นแถวนั้นก็ช่วยดูเผื่อดิฉันด้วยนะคะ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 20 ส.ค. 12, 17:47
ปลายเดือนตุลาคมปีนี้  มีแผนจะไปขับรถเที่ยวย่านนั้นพอดีเลยครับ จองโรงแรมไว้เรียบร้อยแล้ว  แถวๆ นั้นเค้าเรียกว่า Cotswold มีบ้านหินๆ ถนนแคบๆ เนินๆ สวยๆ เมื่อเดือนเมษาที่ผ่านมาแวะไปหนนึง แต่เวลามีไม่มาก ยังไม่จุใจ ปลายตุลาเลยจะไปอีก ถ้ามีโอกาสจะแวะไปที่สุสานนี้ ถ่ายรูปมาฝากอ่านอาจารย์แน่นอนครับ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 21 ส.ค. 12, 15:05
ข่าวจาก http://www.dailymail.co.uk/news/article-2191007/St-Marys-Church-Pulborough-Son-smashes-mothers-grave-sledgehammer-councils-order.html

20 August 2012

            Son smashes up mother's gravestone with a sledgehammer after
church says rose design is too 'lavish' and orders him to remove it within 24 hours


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 21 ส.ค. 12, 15:06
          St Mary’s Church Pulborough อังกฤษ มีคำส่งให้บุตรชายทำลายป้ายหลุมศพ
ของมารดา เนื่องจากลายสลักดอกกุหลาบสามดอกนั้นหรูหราเกินหน้าหลุมอื่นๆ (ที่มีเพียงดอกเดียว)
นอกจากนี้ป้ายหินซึ่งมีราคา 2200 ปอนด์นี้ยังเป็นเงาวับวาวเกินไปอีกต่างหาก


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 23 ส.ค. 12, 17:03
ตายแล้วไปไหนที่ผ่านๆ มาเราจะบอกได้แค่ว่าตายแล้ว(ร่าง)ไปไหน

แต่มีอยู่คนหนึ่งที่รู้สึกว่าอาจจะได้รู้ไกลมากไปกว่านั้นว่าไปไหน  เพราะล่าสุดได้ข่าวว่าไปเป็น  “ภุมมะเทวาระดับกลางสายวิทยาธรกึ่งยักษ์” ตั้งวิมานอยู่แถวๆ ที่ตั้งบริษัทแอปเปิล
นั่นก็คือ สตีฟ จ๊อบส์  หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิลผู้โด่งดัง ที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2011 ที่ผ่านมานี่เอง

แม้ว่าจ๊อบส์จะไปเป็น “ภุมมะเทวาระดับกลางสายวิทยาธรกึ่งยักษ์” มีคนรับใช้ในวิมานอีก 20 คนแล้ว  แต่สำหรับร่างของจ๊อบส์ปัจจุบันฝังอยู่ที่สุสาน Alta Mesa Memorial Park ใน Palo Alto, California ซึ่งเป็นที่ฝังร่างของผู้ยิ่งใหญ่ในธุรกิจคอมพิวเตอร์อีกหลายคน เช่นเดวิด แพ็กการ์ด  ผู้ก่อตั้งบริษัทคอมพิวเตอร์  Hewlett-Packard

ร่างของจ๊อบส์ถูกฝังในสุสานโดยไม่มีเครื่องหมายหรือหินสัญลักษณ์ใดๆ เหนือหลุมศพบอกตำแหน่ง  ดังนั้นผู้มาเยือนอาจหาตำแหน่งหลุมศพที่แน่นอนลำบากหน่อย  อาจจะต้องใช้วิชาสมาธิขั้นสูงถามดู   เลยมีรูปมาฝากแต่ปากทางเข้าสุสาน


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ส.ค. 12, 17:13
^
 :-X


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ส.ค. 12, 17:30
^
ผู้ใหญ่เขาห้ามเถียงเอาชนะกันในเรื่อง๓เรื่อง

๑ ศาสนา
๒ การเมือง
๓ ความสวยของสตรี

คุณประกอบยังขาดไปข้อนึง

กระทู้นี้ ข้อ  1 และ 2 ไม่ขาดแล้วนะคะ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ส.ค. 12, 19:57
พากลับมาเข้าหัวข้อกระทู้
บางคนตายในต่างแดน  ด้วยเหตุผลหลายประการที่ญาติไม่สามารถจะพากลับไปฝังในบ้านเกิดเมืองนอนได้   ก็เลยต้องไปประจำอยู่ในถิ่นสุดท้ายขณะยังมีชีวิตอยู่    ตัวอย่างเช่นสุสานทหารพันธมิตรที่มาเป็นเชลยศึกในสงครามโลกครั้งที่ 2   พวกเขาก็ยังอยู่ในกาญจนบุรีมาจนทุกวันนี้


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ส.ค. 12, 20:04
พวกที่มีหน้าที่ภาระงานต้องสัญจรไปไกลในต่างถิ่น  เช่นพวกนักบวชหรือมิชชันนารีที่เผยแพร่ศาสนา   พวกทหารรับจ้างฯลฯ เป็นพวกหนึ่งที่ตายแล้วไม่ค่อยได้กลับไปบ้านเดิม  แต่ถูกฝังไว้ในถิ่นสุดท้ายที่ประจำการอยู่
ภาพข้างล่างนี้คือสุสานของชาวคริสต์ในหมู่บ้านโปรตุเกส ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา    เป็นที่พักผ่อนชั่วกาลนานของบาทหลวง และทหารรับจ้าง ปะปนอยู่กับชาวหมู่บ้านที่อาจจะเป็นศิษย์หรือลูกหลาน


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ส.ค. 12, 12:21
ถ้าหากว่าเป็นคนใหญ่โตระดับจักรพรรดิ  เมื่อสิ้นพระชนม์แล้วก็เสด็จไปอยู่ในมหาสุสาน มโหฬาราวกับเมืองเมืองหนึ่ง  กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในเวลาต่อมา
อย่างสุสานของจิ๋นซีฮ่องเต้


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ส.ค. 12, 13:11
คำที่หมายถึงสถานที่บรรจุศพมีอยู่หลายคำ  เช่น   grave, tomb, mausoleum, site, graveyard,  churchyard, mausoleum, catacomb
grave คือหลุมฝังศพเล็กๆ ฝังลงในดิน อย่างที่ค.ห.บนๆนี้  tomb แปลว่าสุสานซึ่งจะเล็กหรือใหญ่ไม่เกี่ยง  site คือสถานที่ฝังศพ ในความหมายกว้างๆ  จะแปลว่าป่าช้าเช่นเดียวกับ churchyard ก็ได้   
ส่วน mausoleum ( อ่านว่ามอสโซเลียม) หมายถึงสุสานขนาดใหญ่   สร้างขึ้นสำหรับเก็บศพคนสำคัญของประเทศ     หรือไม่ก็ตระกูลขุนนางที่มีที่เก็บศพสมาชิกในตระกูลของตนเองโดยเฉพาะ  ไม่ปะปนกับผีชาวบ้าน     
ลักษณะเป็นตึกใหญ่บ้างเล็กบ้างสร้างบนพื้นดิน แต่ขุดพื้นข้างในลงไปเป็นห้องใต้ดินหรืออุโมงค์สำหรับเก็บศพที่นำมาฝัง
ถ้าตายอย่างคนสำคัญในสมัยก่อน  หรือเกิดเป็นลูกหลานขุนนางผู้ดีมีตระกูล  ตายแล้วก็ไปประจำอยู่ในมอสโซเลียมค่ะ 


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ส.ค. 12, 13:12
มอสโซเลียมอีก 2 แบบ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ส.ค. 12, 13:16
ส่งท้ายด้วยมหาสุสานของลุงโฮ  โฮจิมินห์ ที่เมืองฮานอย เวียตนาม


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 13 ก.ย. 12, 11:47
          วันก่อนเห็นข่าวในเว็บนอก วันนี้มีข่าวในนสพ.ไทย มติชน ครับ

       นักโบราณคดีเผยว่า โครงกระดูกที่พบใต้ลานจอดรถกลางเมืองเลสเตอร์ในอังกฤษ
อาจเป็นของกษัตริย์ริชาร์ดที่ 3ซึ่งสูญหายไป

       คณะนักโบราณคดีของมหาวิทยาลัยเลสเตอร์เผยว่า ค้นพบโครงกระดูกเพศชายที่มีความคล้ายคลึง
กับโครงร่างของกษัตริย์ริชาร์ดที่ 3 ซึ่งปกครองอังกฤษในปี 1483 และสิ้นพระชนม์ในสงครามเมื่อปี 1485
 
       ทีมนักโบราณคดีได้ทำการขุดค้นบริเวณลานจอดรถเป็นเวลา 3 สัปดาห์ โดยโครงกระดูกที่พบ
มีร่องรอยของหัวลูกธนูบริเวณหลัง และมีร่องรอยบริเวณกะโหลกศีรษะ ซึ่งคล้ายการถูกตีที่คาดว่า
อาจเกิดจากการต่อสู้
 
        ทุกวันนี้ ชื่อของกษัตริย์ริชาร์ดที่ 3 เป็นที่รู้จักกันในฐานะตัวร้ายหลังค่อมในละครเวที
ที่สร้างมาจากงานเขียนของเช็คสเปียร์ ขณะที่กระดูกสันหลังจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่พบว่า
มีลักษณะโค้งงอผิดปกติ ซึ่งทำให้เมื่อมองจากภายนอก ไหล่ข้างขวาจะมีความสูงกว่าไหล่
ข้างซ้ายเล็กน้อย
       
        ทั้งนี้ เชื่อกันว่าพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 ทรงถูกฝังในโบสถ์เกรย์ฟรายเออร์ส ลัทธิฟรานซิสกัน
ในเมืองเลสเตอร์ หลังเสด็จสวรรคตระหว่างสงครามบอสเวิร์ธ เมื่อปี 1485 โดยโบสถ์แห่งนี้
ถูกทำลายไปในช่วงปี 1530 และที่ตั้งก็ไม่มีใครทราบมานับตั้งแต่นั้น

        ทีมนักโบราณคดีใช้เครื่องเรดาร์วัดความลึกและความหนาแน่นของพื้นลานจอดรถดังกล่าว
เพื่อหาตำแหน่งที่จะเริ่มต้นการขุดค้นหา
        ผู้นำทีมขุดค้นเผยว่า ศพของพระองค์ถูกฝังโดยไม่มีการนำใส่โลงศพ และฝังแบบเรียบง่าย
โดยมีผ้าห่อศพเท่านั้น และเชื่อว่าน่าจะเป็นโครงกระดูกของพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 แน่นอน แต่ยังต้อง
รอผลการพิสูจน์ดีเอ็นเอต่อไป โดยจะใช้ดีเอ็นเอของนายไมเคิล อิบเซน วัย 55 ปี ช่างทำเฟอร์นิเจอร์
ซึ่งเป็นญาติที่สืบเชื้อสายโดยตรงจากแอนน์ ออฟ ยอร์ก พี่สาวคนโตของพระองค์ โดยจะใช้เวลา
ราว 12 สัปดาห์


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ก.ย. 12, 13:08
อ่านแล้วสงสัยว่าพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 เป็นอะไรถึงสิ้นพระชนม์อย่างไม่มีพิธีโอ่อ่าให้สมเกียรติ   ไปเปิดประวัติศาสตร์ดู พบว่าทรงถูกอาวุธในศึกที่บอสเวิร์ธ     สงครามนั้นพระองค์ก็เป็นฝ่ายแพ้เสียด้วย  ทำให้เป็นการสิ้นสุดของสงครามดอกกุหลาบระหว่างตระกูลยอร์ดและลันคาสเตอร์ที่ยืดเยื้อยาวนานมาหลายสิบปี

พระศพก็เลยถูกฝังแบบง่ายๆ ลวกๆในโบสถ์  ผ่านมาหลายร้อยปีโบสถ์คงถูกรื้อหมดสภาพไป กลายเป็นลานจอดรถ





กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: Ratananuch ที่ 13 ก.ย. 12, 13:40
มีข้อสงสัยค่ะ คือดูเหมือนตั้งใจไปขุดลานจอดรถเพราะมีการสแกนหาความหนาของพื่้นผิวด้วย คือเขาไปขุดเพื่อด้วยเรื่องอื่นแล้วเจอกระดูกใช่ไหมคะ หรือไปเพื่อหากระดูกโดยเฉพาะ ถ้าอย่างนั้นเบาะแสคืออะไรคะ
เพราะเห็นว่าไม่มีใครรู้ที่ตั้งโบสถ์แล้ว


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 13 ก.ย. 12, 17:33
เท่าที่อ่านจากข่าว เค้าไปขุดเพราะที่นี่เป็นที่ตั้งของโบสถ์เก่าครับ และเป็นโบสถ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นที่ฝังพระศพของพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 ด้วย แถมเมื่อขุดก็เผอิญเจอโครงกระดูกที่มีลักษณะคล้ายกับข้อมูลเก่าที่บรรยายไว้เกี่ยวกับริชาร์ดที่ 3 พอดี

ริชาร์ดที่ 3 เป็นกษัตริย์ที่มีภาพลักษณ์เป็นกษัตริย์ที่ชั่วร้าย น่าเกลียด แถมหลังค่อม  ที่อาจอยู่เบื้องหลังจากหายสาบสูญของยุวกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 5 และเจ้าชายริชาร์ดพระอนุชา เพราะริชาร์ดที่ 3 ต้องการเป็นกษัตริย์เอง  หลังจากพ่ายศึกและถูกสังหาร ผู้ครองบัลลังค์อังกฤษต่อคือพระเจ้าเฮนรี่ที่ 7 ครับ 

ภาพส่วนหนึ่งของโบสถ์จากการขุดค้นลานจอดรถ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 13 ก.ย. 12, 19:35
กลับมาจาก ตจว. เพิ่งถึงบ้าน ก็เลยรีบเปิดอ่านกระทู้แบบเร็วๆ
 
ขอแจมในเรื่องสั้นๆที่ได้ไปเห็นมาครับ

ครั้งหนึ่งเคยไปร่วมงานศพ (ในต่างประเทศ) ของฝรั่งซึ่งเป็นคนธรรมดาๆ  ศพนี้จะฝังอยู่ในสุสานกลางของเมือง เลยได้ไปรู้ในเรื่องที่ไม่เคยได้รู้เลย คือ ในหลุมฝังเดียวกันนั้นมีการฝังซ้อนกันอยู่หลายศพ หลุมศพต่างๆมีการจัดแบ่งเป็นล็อคๆ มีรหัสตัวเลขระบุโซน ตำแหน่ง และระดับชั้นที่ฝัง ในกรณีของศพที่ผมไปร่วมพิธีนี้ เป็นศพชั้นที่สาม วางทับอยู่บนอีกสองศพ  ด้วยความสนใจก็เลยถามเขาว่า หากเต็มพื้นที่แล้วจะทำอย่างไรต่อไป ก็ได้รับคำอธิบายว่า เขาก็จะทำการขุดศพเก่าี่ที่วางทับซ้อนกันอยู่นั้นออกมา แล้วขุดหลุมให้ลึกลงไปอีก แล้วก็นำศพเหล่านั้นฝังกลับคืนวางเรียงทับซ้อนกันตามชั้นที่ได้ขุดออกมา ระหว่างแต่ละชั้นก็จะมีดินปิดกลบขั้นอยู่ แยกให้เห็นชัดเจน   จำได้ว่าเหนือหลุมศพเหล่านี้ ไม่มีแผ่นหินที่ระบุว่าเป็นศพของใครบ้าง ดังนั้น ญาติจะต้องจำเอาเองหรือจะต้องไปสอบถามกับเจ้าหน้าที่เพื่อดูผังว่าถูกฝังไว้ ณ โซนใด ตำแหน่งใด ชั้นใด

คงจะมีผู้รู้ช่วยบอกเล่าความรู้เพิ่มเติมให้ครับ



กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 ก.ย. 12, 10:53
         เห็นข่าวจากนสพ. มติชนวานนี้ ครับ

           - ลูกหลานยังไปเยี่ยมแค่ปีละครั้ง แต่สุนัขตัวนี้อยู่เฝ้าหลุมศพเจ้านายมา 6 ปีเต็มๆ

          หลังจาก นายลา วอซ ลงไปนอนในหลุม ตั้งแต่ปี 2549 เจ้าแคปปิตัน ก็อยู่เฝ้าหน้าหลุมศพ
ของเจ้านายชาวอาร์เจนตินามาจนวันนี้ "และผมก็เชื่อว่า แคปปิตันคงจะอยู่ที่นั่นไปจนตาย"
ดาเมี่ยนลูกชายของ นายลา วอซบอกอย่างมั่นใจ
          ทั้งนี้ข่าวว่า หลังจากนายลา วอซ ตายเจ้าตูบก็หายไปจากบ้าน โดยทุกคนต่างคิดว่า
มันคงถูกรถชนตายไปแล้ว จนกระทั่งเมื่อดาเมี่ยนและครอบครัวไปเยี่ยมหลุมศพเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ก็พบสุนัขตัวหนึ่งอยู่ตรงนั้น แถมเจ้าตูบยังเห่าและวิ่งไปหาดาเมี่ยนซึ่งเป็นคนมอบเจ้าแคปปิตัน
ให้กับพ่อ วินาทีนั้นทุกคนจึงรู้ว่า นี่คือ แคปปิตัน ซึ่งไม่มีใครคิดเลยว่ามันจะอยู่ที่นั่น เพราะไม่เคย
มีใครพาแคปปิตันไปที่สุสานมาก่อน!!!
         ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่สุสานก็เล่าว่า ..หลังจาก ลา วอซ ตายพวกเขาก็เห็นสุนัขตัวนี้มาอยู่
ที่หลุมศพ และพวกเจ้าหน้าที่ก็เป็นคน หาข้าวหาน้ำให้สุนัขกินมาตลอด


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 ก.ย. 12, 10:54
          ส่วนจากเว็บนอกบอกว่าผู้ตายชื่อ Miguel Guzman ผู้จัดการสุสานเล่าว่า
วันหนึ่งเขาเห็นแคปปิตันเข้ามาในสุสานตัว(คน)เดียวแล้วก็เดินวนเวียนจนเจอหลุมฝังศพ
นายของมัน ในเวลากลางวันมันอาจจะวนเวียนไปมาในสุสานบ้างแต่แล้วก็จะรีบกลับมา
ที่หลุมของเจ้านาย และถึงเวลา 6 โมงตรงมันก็จะนอนบนหลุมและอยู่อย่างนั้นทั้งคืน
            ครอบครัวกัซแมนพยายามพาแคปปิตันกลับบ้านแต่เจ้าแคปปิตันก็จะหนีกลับมาที่นี่ทุกครั้ง

หมายเหตุ ลา วอซ ที่แท้แล้วคือชื่อนสพ.- The news first came out from Argentinian
newspaper La Vos last September 9, 2012.


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ก.ย. 12, 11:07
^


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 17 ก.ย. 12, 20:23
มัมมี่ที่สภาพดีที่สุดและสวยที่สุดเห็นจะเป็นมัมมี่ของ Rosalia Lombardo (http://en.wikipedia.org/wiki/Rosalia_Lombardo)

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/0/00/Palermo_Rosalia_Lombardo.jpg/355px-Palermo_Rosalia_Lombardo.jpg)

ปัจจุบันศพของโรซาเลียถูกเก็บอยู่ใน สุสานใต้ดินกาปูชิน  (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%99) เมืองปาแลร์โม บนเกาะซิซิลี อิตาลี

พาเที่ยวปาแลร์โม  เมืองมัมมี่

http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=g_Az6k21ZR8

 ;D


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: noomxman ที่ 02 ธ.ค. 12, 14:45
 ;D ;D ;D


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 04 ก.พ. 13, 17:56
เข้ามา update ข่าวโครงกระดูกที่พบใต้ลานจอดรถกลางเมืองเลสเตอร์ในอังกฤษที่อาจจะเป็นโครงกระดูกของริชาร์ดที่ 3 แห่งอังกฤษครับ


นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเลสเตอร์กำลังจะเตรียมเปิดเผยผลการตรวจ DNA จากโครงกระดูกที่ขุดพบ โดยเปรียบเทียบกับผู้สืบเชื้อสายของริชาร์ดที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน โดยเป็นผู้สืบสายเลือดมาจากของน้องสาวของริชาร์ด 16 ชั่วรุ่น แม้จะยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการแต่มีข่าวว่า DNA เปิดเผยว่าโครงกระดูที่พบมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกัน  นอกจากนี้โครงกระดูกที่พบยังมีหัวธนูปักอยู่บริเวณกระดูกสันหลัง(ไม่ใช่ปักหัวเข่า)  มีลักษณะของการบาดเจ็บและตายจากบาดแผลในการรบตามที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์     คาดว่าคงมีการเปิดเผยผลการตรวจสอบอย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้ครับ

ภาพหัวกระโหลกจากโครงกระดูกที่พบ เทียบกับใบหน้าริชาร์ด   ดูเค้าหน้าแล้วคิดว่าใช่ไหมครับ?


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 04 ก.พ. 13, 19:32
ตอนนี้ทางทีมงานของ ม. เลสเตอร์แถลงข่าวเปิดเผยผลการค้นพบอย่างเป็นทางการแล้วว่าโครงกระดูกที่พบเป็นของริชาร์ดที่ 3 จริงๆ

โครงกระดูกที่พบมีลักษณะกระดูกสันหลังโก่ง ซึ่งตรงกับบันทึกในประวัติศาสตร์ว่าริชาร์ดหลังโก่ง
หลังการตรวจ DNA จากโครงกระดูกกับผู้สืบสายเลือดก็ตรงว่าเป็นญาติกัน
โครงกระดูกมีลักษณะของผู้ชายอายุประมาณ 30 ปี  ริชาร์ดตายเมื่ออายุ 32
จากการตรวจสอบเรดิโอคาร์บอน โครงกระดูกมีอายุในช่วงประมาณปี 1485 - 1550 ตรงกับช่วงเวลาที่ริชาร์ดตาย
ส่วนสูงของเจ้าของโครงกระดูกประมาณ 5 ฟุต 8 นิ้ว เป็นความสูงกว่าความสูงเฉลี่ยของผู้ชายในยุคกลาง
ไม่มีร่องรอยของโลงศพหรือผ้าห่อศพ ซึ่งตรงกับข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ที่ริชาร์ดถูกฝังอย่างลวกๆ ไร้เกียรติด้วยความจงใจของเฮนรี่ที่ 7


ริชาร์ดที่ 3 เป็นกษัตริย์ตัวโกงในประวัติศาสตร์อังกฤษและนิยายหลายๆ เรื่อง เป็นอนุชาของกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 4 หลังจากพี่ชายสิ้นพระชนม์ ริชาร์ดในฐานะผู้สำเร็จราชการเอาตัวว่าที่กษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 5 วัย 12 และเจ้าชายริชาร์ดพระอนุชาไปขังไว้ที่หอคอยลอนดอน และหลังจากนั้นเจ้าชายทั้งสองก็หายสาบสูญไป  ริชาร์ดอ้างว่าการสมรสของกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 4 ผู้ล่วงลับไม่ถูกต้อง ทำให้เจ้าชายพระโอรสทั้งสองเป็นบุตรนอกกฏหมายเป็นกษัตริย์ไม่ได้  จากนั้นจึงขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ริชาร์ดที่ 3 แทน  ครองบัลลังก์อยู่ 2 ปีก็ถูกเฮนรี่ทิวดอร์ยกทัพมาจากฝรั่งเศสพิชิตได้ในสมรภูมิบอสเวิร์ธซึ่งริชาร์ดสิ้นพระชนม์ในสนามรบ ถูกฝังอย่างลวกๆ จนเพิ่งถูกขุดพบเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว   ส่วนเฮนรี่ได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์เฮนรี่ที่ 7 แห่งอังกฤษ ต้นราชวงศ์ทิวดอร์




กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 05 ก.พ. 13, 15:15
ผลตรวจดีเอ็นเอยืนยันโครงกระดูกที่พบใต้ลานจอดรถในตอนกลางของอังกฤษ คือพระศพพระเจ้าริชาร์ดที่ ๓ ที่พระศพสูญหายมากว่า ๕ ศตวรรษ

นักวิทยาศาสตร์อังกฤษยืนยันเมื่อวานนี้ว่า โครงกระดูกที่ถูกขุดพบใต้ลานจอดรถในเมืองเลสเตอร์ คือพระศพของพระเจ้าริชาร์ดที่ ๓ กษัตริย์พระองค์สุดท้ายของอังกฤษที่เสด็จสวรรคตในสนามรบ หลังจากนักโบราณคดีได้ขุดพบโครงกระดูกเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว และพบว่าลักษณะโค้งงอผิดรูป ใกล้เคียงกับคำบรรยายเกี่ยวกับพระวรกายของพระเจ้าริชาร์ด และพบร่องรอยการบาดเจ็บตรงกับการสู้รบในสนามรบ โดยพบหัวธนูฝังอยู่ที่กระดูกสันหลัง รอยถูกฟันด้วยใบมีดที่ด้านหลังกระโหลก
 
สำหรับดีเอ็นเอที่ใช้ในการพิสูจน์เปรียบเทียบ มาจากไมเคิล อิบเซ่น ช่างไม้วัย ๕๕ ปี ในกรุงลอนดอน ญาติห่าง ๆ ที่เชื่อว่าสืบเชื้อสายจากเจ้าหญิงแอนน์แห่งยอร์ก พระพี่นางเธอของพระองค์ และหลังจากนี้จะมีการอัญเชิญพระศพไปบรรจุไว้ในมหาวิหารเลสเตอร์ต่อไป
 
การค้นพบครั้งนี้อาจช่วยไขปริศนาเกี่ยวกับพระเจ้าริชาร์ดที่ ๓ กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดพระองค์หนึ่งของอังกฤษ ซึ่งเป็นที่รู้จักจากการที่เชคสเปียร์ใช้เป็นตัวละครในบทประพันธ์

พระเจ้าริชาร์ดที่ ๓ ทรงปกครองอังกฤษตั้งแต่ ค.ศ.  ๑๔๘๓ ขณะที่ทรงมีพระชนมายุ ๓๒ ชันษา โดยทรงยึดบัลลังก์จากพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ ๕ พระนัดดา แต่หลังจากพระองค์ครองราชย์ได้เพียง ๒ ปีเศษก็เสด็จสวรรคตในสนามรบบอสเวิร์ท เมื่อ ค.ศ. ๑๔๘๕ โดยแพ้ให้แก่กองทัพของเฮนรี ทิวดอร์ ซึ่งต่อมาสถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์อังกฤษ มีพระนามว่า พระเจ้าเฮนรีที่ ๗

จาก ครอบครัวข่าวช่อง ๓ (http://www.krobkruakao.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/67847/%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3--%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A8%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-3.html)

http://www.youtube.com/watch?v=vcgZr9q6CtQ&feature=player_embedded#!

ผ่านมา ๕๐๐ ปียังสืบสาวย้อนหลังได้ว่านายอิบเซนเป็นญาติห่าง ๆ ของพระเจ้าริชาร์ดที่ ๓

ยอดเยี่ยมจริง ๆ

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 05 ก.พ. 13, 17:36

ผ่านมา ๕๐๐ ปียังสืบสาวย้อนหลังได้ว่านายอิบเซนเป็นญาติห่าง ๆ ของพระเจ้าริชาร์ดที่ ๓

ยอดเยี่ยมจริง ๆ


ก็ขนาดบันทึกค่าปรับที่ทางการสั่งปรับพ่อของเช็คสเปียร์ด้วยความผิดฐานทิ้งขยะออกมาหน้าบ้านเค้ายังมีเก็บไว้เลย   ทะเบียนเกิดของเช็คสเปียร์ก็มีไว้ ไม่แปลกเท่าไหร่ที่ฝรั่งสามารถสืบสาวสาแหรกกันไปได้ 17 รุ่นแบบนี้ครับ


นี่ถ้าสืบดีๆ ผมอาจจะมีเชื้อสายของริชาร์ดที่ 3 หรือเฮนรี่ที่ 7 ผ่านทางบรรพบุรุษรุ่นที่ 8 ที่ล่องเรือกำปั่นมาค้าขายที่เมืองจีน พบรักสาวชาวจีนแต้จิ๋วจนมีทายาทน้อยด้วยกันเป็นบรรพบุรุษของก๋งผม จนเตี่ยของก๋งพาก๋งล่องเรือมาเมืองไทยเมื่อ 90 ปีก่อนก็ได้  เสียดายที่ไม่มีใครบันทึกไว้  เพราะแม้จะตัวดำปิ๊ดปี๋ แต่หน้าตาก็มีเค้าฝรั่งอยู่  ;D  ;D  ;D


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 05 ก.พ. 13, 18:46
เอาภาพหน้าตาของริชาร์ดที่ 3 ทีสร้างขึ้นมากจาก 3D หัวกระโหลกครับ  คางยื่นเหมือนในภาพวาด น่าจะไม่ผิดตัว


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 ก.พ. 13, 09:56

ก็ขนาดบันทึกค่าปรับที่ทางการสั่งปรับพ่อของเช็คสเปียร์ด้วยความผิดฐานทิ้งขยะออกมาหน้าบ้านเค้ายังมีเก็บไว้เลย   ทะเบียนเกิดของเช็คสเปียร์ก็มีไว้ ไม่แปลกเท่าไหร่ที่ฝรั่งสามารถสืบสาวสาแหรกกันไปได้ 17 รุ่นแบบนี้ครับ

นี่ถ้าสืบดีๆ ผมอาจจะมีเชื้อสายของริชาร์ดที่ 3 หรือเฮนรี่ที่ 7 ผ่านทางบรรพบุรุษรุ่นที่ 8 ที่ล่องเรือกำปั่นมาค้าขายที่เมืองจีน พบรักสาวชาวจีนแต้จิ๋วจนมีทายาทน้อยด้วยกันเป็นบรรพบุรุษของก๋งผม จนเตี่ยของก๋งพาก๋งล่องเรือมาเมืองไทยเมื่อ 90 ปีก่อนก็ได้  เสียดายที่ไม่มีใครบันทึกไว้  เพราะแม้จะตัวดำปิ๊ดปี๋ แต่หน้าตาก็มีเค้าฝรั่งอยู่  ;D  ;D  ;D

เห็นด้วยว่าระบบเก็บข้อมูลของอังกฤษรวบรวมเอาไว้ดีมากค่ะ    จดหมายลูกหนี้ของเชคสเปียร์เขียนมาขอบคุณที่ให้ยืมสตางค์ ก็ยังเหลือรอดมาให้อ่านกันได้จนทุกวันนี้  ทำให้รู้ว่าเมื่อเกษียณจากงานกลับไปบ้านเดิมแล้ว  ท่านกวีเอกของเรารวยเชียวละ  ไม่ไส้แห้งเหมือนนักประพันธ์สารขัณฑ์

สุดท้ายนี้  ขอถวายคำนับ องค์ชายประกอบ เพคะ


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ก.พ. 13, 17:48
คุณประกอบไปที่หอคอยแห่งลอนดอน   ไปดูห้องที่กษัตริย์น้อยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 และน้องชาย ดยุคแห่งยอร์ค ถูกคุมขังและถูกสังหารโดยมือสังหารของพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 หรือเปล่าคะ
เป็นเรื่องเล่าต่อๆมาที่สะเทือนใจที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติการลอบสังหารของกษัตริย์อังกฤษ  เพราะพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 อายุเพิ่ง 13 ปี  น้องชายก็แค่ 11 เมื่อพระบิดาสวรรคต     ถูกพระเจ้าอาคือริชาร์ดที่3 หลอกเอาตัวมาคุมขังไว้ที่นี่  โดยบอกว่าให้พักไปก่อนชั่วคราวก่อนราชาภิเษก    แล้วก็หายสาบสูญไปทั้งสองพระองค์  ริชาร์ดก็ขึ้นครองราชย์แทน
นานหลายรัชสมัยต่อมา   มีผู้พบโครงกระดูกเด็กใต้บันไดหอคอย เชื่อกันว่าเป็นเจ้าชายน้อยทั้งสองที่ถูกฆ่าทิ้งไปนั่นเอง

มีรูปวาดเหตุการณ์ที่เจ้าชายถูกฆ่า หลายรูปด้วยกัน  รูปซ้ายเจ้าชายดูเด็กไปหน่อย  รูปขวาน่าจะใกล้เคียงความจริงมากกว่า


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 11 ก.พ. 13, 18:25
ในปี 1674 ช่างที่มาซ่อมบันไดในหอคอยลอนดอนได้พบโครงกระดูกของเด็ก 2 โครงที่เชื่อว่าเป็นโครงกระดูกของเอ็ดเวิร์ดที่ 5 และพระอนุชา  ตอนผมไปเที่ยวหอคอยก็ไปมองๆ ตรงจุดที่เค้าว่าเป็นจุดที่เจอโครงกระดูกเหมือนกัน  ปัจจุบันโครงกระดูกทั้งสองถูกฝังไว้ที่วิหารเวสมินเตอร์


ในปี 1789 คนงานที่เข้าไปซ่อมวิหารเซนต์จอร์จในปราสาทวินเซอร์ได้บังเอิญพบห้องเก็บพระศพของกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 4 พระบิดาของเจ้าชายทั้งสอง รวมทั้งโลงศพของพระมารดาของเจ้าชายทั้งสองด้วย และเนื่องจากการค้นพบโครงกระดูกของริชาร์ดที่ 3  อาจจะเป็นไปได้ว่าต่อไปอาจจะมีการพิสูจน์ DNA ของโครงกระดูกเด็กที่พบที่หอคอยลอนดอนว่าใช่ของเอ็ดเวิร์ดที่ 5 และพระอนุชาหรือไม่ ก็ต้องรอติดตามกันต่อไปครับ


ภาพบริเวณที่พบโครงกระดูกเด็กในหอคอยลอนดอนเมื่อปี 1674 และที่ฝังโครงกระดูกปัจจุบันที่วิหารเวสมินสเตอร์


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 24 เม.ย. 21, 00:11
ปี 2021 แล้วยังกลับมาอ่านกระทู้ในปี 2012

พอดีเจอคลิปนึง ก็เลยนึกถึงกระทู้นี้ขึ้นมา (ดันหาเจออีกนะ 555)

https://www.youtube.com/watch?v=6URxbMmEMcw&t=2498s


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 เม.ย. 21, 09:07
เข้ามาทักทายคุณ paganini ค่ะ หายไปนานทีเดียว


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 25 เม.ย. 21, 21:41
กราบสวัสดีครับท่านอาจารย์เทาชมพู  กระผมก็ไปๆมาๆ ผลุบโผล่ๆ เรือนไทยยังเป็นแหล่งความรู้และบันเทิงเสมอครับ หลายกระทู้นี่อ่านได้หลายรอบเลย 5555


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 15 ต.ค. 22, 10:35
ในปี 1674 ช่างที่มาซ่อมบันไดในหอคอยลอนดอนได้พบโครงกระดูกของเด็ก 2 โครงที่เชื่อว่าเป็นโครงกระดูกของเอ็ดเวิร์ดที่ 5 และพระอนุชา  ตอนผมไปเที่ยวหอคอยก็ไปมองๆ ตรงจุดที่เค้าว่าเป็นจุดที่เจอโครงกระดูกเหมือนกัน  ปัจจุบันโครงกระดูกทั้งสองถูกฝังไว้ที่วิหารเวสมินเตอร์

อาจจะเป็นไปได้ว่าต่อไปอาจจะมีการพิสูจน์ DNA ของโครงกระดูกเด็กที่พบที่หอคอยลอนดอนว่าใช่ของเอ็ดเวิร์ดที่ 5 และพระอนุชาหรือไม่ ก็ต้องรอติดตามกันต่อไปครับ


โครงกระดูกเด็ก ๒ คนที่หอคอยลอนดอน ไม่เคยมีการตรวจสอบ DNA มาก่อน เนื่องด้วยควีนเอลิซาเบธที่ ๒ ทรงไม่อนุญาต แต่หลังจากผลัดแผ่นดิน ปริศนาอาจจะถูกคลี่คลาย ด้วยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๓ ทรงสนับสนุนการตรวจสอบ DNA

ข่าวจาก เดลิเมล (https://www.dailymail.co.uk/news/article-11313563/Is-539-year-old-Princes-Tower-murder-mystery-SOLVED.html)

ภาพ 'The Princes in the Tower' วาดโดย Sir John Everett Millais ค.ศ. ๑๘๗๘


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ทิพยุทธ ที่ 09 ก.ค. 23, 20:57
ตายแล้วก็ต้องไปชดใช้กรรมครับ​ ถ้าหมดกรรมก็ขึ้นไปรอเวลากลับมาเกิดอีกทีในพุทธกาล​ พุทธศักราช5000  เพื่อรับฟังธรรมจากพระศรีอารยเมตรัย​ เพิ่มได้ไปสู่การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
 ถ้ายังมีกรรมก็จะได้กลับมาเกิดเพื่อสะสมบุญต่อและชดใช้กรรม​ เป็นความเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด​ ที่น่าจะดูเหมือนมาจากเบสออนสตอรี่เดียวกันคือ​ การกลับลงมาเกิด​ ของอียิปต์กษัตริย์ก็จะทำมัมมี่เพื่อรักษาร่างเดิมเอาไว้​  ส่วนเยรูซาเร็มที่ยังรบกันก็เพราะศาสนาอิสลามกับคริสต์​ ต่างเชื่อว่าพระศาสดาของตนจะกลับมาไถ่บาปพวกเขาที่ตรงนี้​  ส่วนศาสนาพุทธก็ต้นพระศรีมหาโพธิ์
ส่วนคำถามที่ว่าตายแล้วไปไหน​ จิตสุดท้ายน่าจะเป็นตัวที่กำหนดภพภูมิที่เราจะไปหลังเราตาย​ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก​ เพราะเป็นสิ่งที่เที่ยง​ เคยฟังเรื่องเล่าอ.ยอด​ เรื่องมิตรชัย​ บัญชา​ พอตายก็กลับชาติมาเกิดต่อเลย​ ไม่ต้องไปนรกหรือสวรรค์​ ร่างใหม่เป็นเด็กผู้หญิงที่ระลึกชาติได้​


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ก.ค. 23, 11:30
ตามหลักพุทธศาสนา   กรรมมี ๔ ชนิด แต่กรรมที่ส่งผลให้ไปเกิด เรียกว่า อาสันกรรม  คือกรรมดีหรือชั่วที่กระทำหรือรำลึกถึงก่อนใกล้ตาย   จะไปเกิดเป็นอะไร ดีชั่วขนาดไหน ก็มาจากจิตที่ใกล้ตายนั้นสะอาดผ่องใส หรือมัวหมอง
พระท่านจึงสอนว่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ให้ทำความดีสม่ำเสมอ  เมื่อใกล้ตาย จิตจะได้เห็นแต่ภาพความดีที่เคยกระทำ ทำให้จิตผ่องใสไปสู่สุคติ  แต่ถ้าทำชั่วผิดศีลธรรมมาตลอด  เมื่อใกล้ตาย ระลึกถึงชีวิตที่ผ่านมาก็จะมีแต่ภาพความชั่ว ทำให้ไปสู่ทุคิ
ด้วยเหตุนี้ คนโบราณท่านจึงนิยมว่า เมื่อคนใกล้ตาย ญาติพี่น้องจะกล่าวคำว่า ให้นึกถึงพระอรหัง (หมายถึงพ้นจากกิเลสทั้งปวง เข้าสู่นิพพาน)
เมื่ออาสันกรรมส่งไปเกิดที่ใดแล้ว   จากนั้นกรรมอื่นๆที่เคยทำก็จะค่อยๆตามมาทีหลังค่ะ

ถ้าถามว่าบางคนทำดีเป็นส่วนใหญ่ ทำอะไรไ่ม่ดีเพียงส่วนน้อย   ก่อนตาย จิตเกิดแวบไปถึงความไม่ดีที่กระทำ  อาสันกรรมจะส่งไปไหน   พุทธศาสนาตอบว่า ส่งไปตามกรรมไม่ดีที่กระทำ  จนหมดกรรมนั้น จึงจะได้รับผลดีจากกรรมดีที่กระทำมา
ในทำนองเดียวกัน   บางคนทำชั่วไว้มาก  ทำดีนิดเดียว   แต่ก่อนตายจิตเกิดนึกได้ถึงความดีที่กระทำ   อาสันกรรมก็ส่งไปเกิดในที่ดี  แต่ในเมื่อไม่ได้ทำกรรมดีไว้    ก็เกิดได้อย่างดีเพียงไม่นาน ก็ต้องไปรับความชั่วที่เคยทำมาอีกยาวนาน
ข้อนี้ก็อาจเป็นคำอธิบายได้ว่า ทำไมคนดีคนเก่งหลายคนจึงเกิดมาลำบาก  แต่ก็ถีบตัวขึ้นไปจนประสบความสำเร็จได้
ส่วนคนบางคนเกิดมาสบาย ก็ตกต่ำได้เช่นกัน


กระทู้: ตายแล้วไปไหน
เริ่มกระทู้โดย: ทิพยุทธ ที่ 11 ก.ค. 23, 16:34
ถูกต้องครับท่านเทาชมพู​ ผมเคยอ่านเจอ​ ท่านบอกไว้ว่าคนเราเกิดมา​ มีต่ำมีสูงเกิดต่ำก็ไปสูงได้​ เกิดสูงก็ไปต่ำได้​ ไปในที่นี่ผมเดาว่าคือที่จะไปหลังจากเราตาย​ ทำบุญไว้เยอะก็ได้เกิดมาสะสมบุญเพิ่ม​ ทำกรรมไว้เยอะก็อาจจะต้องเกิดมาชดใช้กรรม​ หรืออาจไม่มีสิทธิลงมาเกิดอีกเลย​เรื่องศาสนาความเชื่อ​ เขาว่าเป็นเรื่องอจินไตย​ ผมก็ไม่เคยศึกษา​ ธรรมะ​ แต่เชื่อว่าเรื่องพระธรรมถูกต้องจริง​ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะรับรู้ได้เหมือนกันทุกคน​ ชาวคริสต์ก็เชื่อว่าพระเยซูจะกลับมาไถ่บาป​ หลังจากที่เสียชีวิต​ ชาวอียิปต์ก็มีมัมมี่เพื่อให้กษัตริย์คืนร่าง​ เราชาวพุทธก็มีพระศรีอารย์​ ทุกศาสนามีความเชื่อเรื่องหลังความตายคล้ายๆกัน​ ว่าตายแล้วไม่ใช่จบสิ้น​ แต่คือการเริ่มต้นอีกสิ่งที่เราไม่เคยรู้จัก