naitang
|
ความคิดเห็นที่ 45 เมื่อ 14 ส.ค. 15, 19:56
|
|
ให้ลากเส้นตรงจากวัดปากลำไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (ไปทางมุมซ้าย) ไปยังจุดปลายร่องเขาที่อยู่ฝั่งซ้ายของพื้นน้ำ
จุดบรรจบของห้วยขาแข้งกับแควใหญ่จะอยู่ ณ ประมาณจุดกึ่งกลางของเส้นที่ลากนี้ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 46 เมื่อ 14 ส.ค. 15, 20:06
|
|
คิดว่าจุดเดียวกับแผนที่ภูมิประเทศ ๑:๒๕๐,๐๐๐ ซึ่งตรงนี้เป็นรูปตัว X เหมือนกัน ปากลำห้วยขาแข้งก่อนถูกน้ำท่วม อ่านพิกัดจากแผนที่ โดยประมาณ คือ E= 513,000 N= 1,650,000
ถูกต้องเลยครับ แสดงว่าน่าจะต้องเคยใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 มาก่อน เพราะใช้ระบบอ่านตำแหน่งแบบ Easting - Northing ซึ่งผมจะขอขยายความเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์สำหรับนักท่องธรรมชาติคนจรจัดในพื้นที่ห่างไกลครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
puyum
|
ความคิดเห็นที่ 47 เมื่อ 14 ส.ค. 15, 21:50
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 48 เมื่อ 15 ส.ค. 15, 19:43
|
|
โดยหลักสากลในการทำแผนที่ใดๆ ด้านบนของแผนที่จะต้องเป็นทิศเหนือเสมอ แต่ก็มีแผนที่ๆเป็นแผ่นพับเล็กๆที่แสดงเส้นทางไปยังที่ตั้งของร้านค้า สถานที่ท่องเที่ยว หรือ...ฯลฯ ซึ่งเกือบทั้งหมดมักจะไม่ใช้หลักสากลให้ด้านบนเป็นทิศเหนือ แต่ก็มีเป็นจำนวนไม่น้อยที่ยังคำนึงถึงความรู้สึกผู้ใช้ จึงมีการแสดงสัญลักษณ์เป็นภาพลูกศรชี้ว่าทิศเหนืออยู่ทางใหน
โดยหลักของผู้ใช้ในสากล ผู้ใช้ต้องการทราบทิศทางและระยะทางที่เป็นจริง โดยการวัดจากแผนที่ แผนที่นั้นๆจึงต้องมีมาตราส่วนกำกับว่าเป็นแผนที่ๆแสดงอยู่บนฐานของมาตราส่วนใด ซึ่งจะแสดงเป็นตัวเลข หรือเป็น Bar scale ก็เกิดเป็นปัญหาว่า หากจะแสดงแผนที่ให้เป็นไปตามจริง ก็อาจจะต้องใช้กระดาษอีกหลายแผ่นมาต่อกัน ก็เลยต้องตัดย่อให้สั้นลง ซึ่งผลก็คือ ในพื้นที่รอบๆใกล้ๆตัวเรา แผนที่ค่อนข้างจะมีความถูกต้อง แต่เมื่อขยับห่างออกไปอีกหน่อยเดียว ทุกเรื่องก็เพี้ยนหมด ความรู้สึก "ใกล้ตาแต่ไกลตีน" ก็จึงเกิดขึ้นเป็นปรกติกับนักท่องเที่ยวทั้งหลาย
แผนที่สำหรับการท่องเที่ยวที่ดีที่สุดจึงประกอบไปด้วยแผนที่ใดๆก็ได้ (Thematic map, Sketch map, Cartoon map,...ฯลฯ) ไม่ว่าจะเป็นมาตราส่วนใดๆหรือจะไร้มาตราส่วนก็ได้ ...เพียงใช้คู่กับปากของเราครับผม ถามไปเรื่อยๆครับ
ซึ่งก็ด้วยการถามนี้แหละครับ ผมจึงได้รอดจากปากกระบอกปืนมาหลายครั้งหลานหนในพื้นที่น่ากลัว แม้กระทั้งในห้วยขาแข้ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 49 เมื่อ 15 ส.ค. 15, 20:45
|
|
แผนที่ภูมิประเทศมาตราส่วนมาตรฐานที่ใช้กันในระบบการบินของเครื่องบินปีกแข็ง (ซึ่งบินในระดับสองหมื่นสามหมื่นฟุตขึ้นไปนั้น) จะนิยมใช้แผนที่มาตราส่วน 1:500,000 ส่วนสำหรับเครื่องปีกหมุน ซึ่งปรกติบินอยู่ในระดับไม่เกิน 10,000 ฟุตนั้น จะใช้แผนที่มาตราส่วน 1:250,000 เป็นหลัก (ทุกเส้นชั้นความสูงในแผนที่จะต่างกัน 100 ม.) (พวกนักบินเขาจะใช้แผนที่ๆเป็นแผ่นใหญ่แสดงต่อเนื่องกันหลายระวาง)
สำหรับคนทำงานด้านการพัฒนาทั้งหลาย จะใช้แผนที่ภูมิประเทศมาตราส่วน 1:250,000 เพื่อการวางแผนการทำงาน ดูความก้าวหน้า และการประเมินผลสัมฤทธิ์ ในขณะที่การปฏิบัติการและการทำงานในภาคสนามจะอิงอยู่กับแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 (ทุกเส้นชั้นความสูงในแผนที่จะต่างกัน 20 ม.)
ส่วนในด้านการปกครอง การบริหาร การจัดการชุมชน สิทธิ และกรรมสิทธิต่างๆ จะไม่นิยมใช้แผนที่ภูมิประเทศ แต่จะใช้แผนที่มาตราส่วนใหญ่ในระดับ 1:25,000 ขึ้นไป เช่น เพื่อการพัฒนาที่ดิน เพื่อแสดงขอบเขตที่ดินในโฉนด (1:4,000) ฯลฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 50 เมื่อ 16 ส.ค. 15, 19:28
|
|
ก็มาถึงอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ คือ จุดตำแหน่งในแผนที่ๆเรียกกันว่า พิกัด
พิกัด มีอยู่ 2 ระบบ คือ - ณ จุดตัดของเส้นละติจูด (เส้นรุ้ง) กับ เส้นลองติจูด (เส้นแวง) ฝรั่งใช้คำว่า Lat-Long coordinate - ณ จุดตัดของเส้นกริดแนวตั้งกับแนวนอนในแผนที่ ฝรั่งใช้คำว่า UTM coordinate
Lat-Long coordinate นั้นจะใช้ในเชิงของการบอกตำแหน่งคร่าวๆ ณ จุดใดๆบนโลก ซึ่งมีทั้งบอกพิกัดแบบเต็มรูป (องศา ลิบดา ฟิลิบดา) และแบบบนฐานของเลขฐาน 10 ส่วน UTM coordinate นั้นจะใช้ในการบอกจุดใดๆบนแผนที่ๆสร้างขึ้นมาในระบบ Universal Transverse Mercator Projection ซึ่งเป็นระบบแผนที่มาตรฐานที่ใช้กันทั่วโลก แผนที่ในระบบนี้แสดงความถูกต้องในเรื่องของทิศทางและรูปร่าง (direction and shape) แต่ไม่แสดงความถูกต้องในเรื่องของพื้นที่ (dimension and size _ area)
ในด้านความละเอียดแม่นยำนั้น ระบบพิกัด UTM จะมีความละเอียดและแม่นยำมากกว่าระบบ Lat-Long แต่..ก็ขึ้นอยู่กับมาตราส่วนของแผนที่ๆใช้อ้างอิง ก็..แผนที่มาตราส่วน 1: 250,000 นั้น 1 มม.=250 ม. (จุดดินสอหนึ่งบนแผนที่ ก็ใกล้เคียงที่จะหมายถึงพื้นที่ในรัศมีประมาณ 250 ม.) ส่วนสำหรับแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ซึ่ง 1 มม.=50 ม. นั้น จุดดินสอหนึ่งก็จะแคบลงมาเป็นพื้นที่ในรัศมี 50 ม.)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 51 เมื่อ 16 ส.ค. 15, 19:58
|
|
แยกเล่าเรื่องนี้ออกมาก็เพียงเพื่อจะบอกกล่าวกันว่า มีข้อควรจะต้องระวังในการเดินทางโดยใช้แผนที่นำทาง หรือในการระบุตำแหน่งของตนเองในแผนที่
เมื่อผนวกอัตราความเร็วในการเดินของคนคนเรา (กรณีเดินไปตามถนน จะอยู่ที่ประมาณ 3 - 4 กม.ต่อ ชม. แต่หากเดินดูนั่นดูนี่ มองซ้ายที-ขวาที ก็จะอยู่แถวๆ 1 กม.ต่อ ชม. หรือน้อยกว่า และในกรณีเดินเร็วเพื่อไปยังจุดใดจุดหนึ่ง ก็จะอยู่ประมาณ 6 กม.ต่อ ชม.) ก็คงจะพอประเมินได้นะครับว่า เรามีโอกาสจะบอกตำแหน่งของตนเองบนแผนที่มาตราส่วนต่างๆผิดไปได้มากน้อยเพียงใด หลง หลุด จึงเป็นเรื่องปรกติสำหรับการเดินทางโดยใช้แผนที่
โดยวิชาชีพของผมที่มีอาวุธประจำกาย คือ แผนที่ภูมิประเทศ กับ เข็มทิศ และซึ่งต้องใช้เป็นประจำทุกวันกันนั้น ก็ยัง หลง/หลุด เป็นปรกติธรรมดา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 52 เมื่อ 17 ส.ค. 15, 19:06
|
|
สมัยผมทำงานอยู่นั้น ต้องอ่านแผนที่ให้ออก ใช้แผนที่ให้เป็น และใช้เข็มทิศให้เป็น
เมื่อใช้เข็มทิศ sighting จนหาจุดที่ตนเองยืนอยู่ได้แล้ว ก็จุดลงบนแผนที่ แล้วก็อ่านตำแหน่งของจุดนั้นในระบบ UTM coordinate (Easting - Northing) คือ แบ่งช่องตารางกริดสี่เหลี่ยมในแผนที่ (ที่คลุมพื้นที่ของจุดนั้น) ออกเป็น 10 ส่วนในแนวตั้ง (เพื่ออ่านค่า easting) และ 10 ส่วนในแนวนอน (เพื่ออ่านค่า northing) โดยอ่านค่าของจุดนั้นนับจากซ้ายไปขวาและล่างขึ้นบน จากกรอบของเส้นกริดในแผนที่ตามลำดับ พิกัดนี้ก็คือตำแหน่งของเราที่ควรจะอยู่ในแผนที่ (เช่น ไปทางตะวันออกของเส้นกริดที่ 25 เป็นระยะ 3 ในสิบส่วนของช่องกริด และไปเหนือของเส้นกริดที่ 47 เป็นระยะ 5 ในสิบส่วนของช่องกริด พิกัดนั้น จึงเป็น หมายเลขระวางแผนที่ +253475
ปัจจุบันนี้เราใช้เครื่อง GPS กัน อ่านค่าได้ทั้ง Lat - Long และ UTM Coordinate แล้วจึงค่อยไปจุดลงในแผนที่ ทั้งนี้ ก็ยังได้ตำแหน่งที่ผิดได้เหมือนเดิม ก็คืออาจจะผิดได้ในวงรัศมีประมาณ 50 เมตร หากว่าเครื่องนั้นมีค่าความแม่นยำที่มีอักษร SA กำกับอยู่ (ซึ่งเป็นเครื่องที่ขายกันโดยทั่วไป)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 53 เมื่อ 17 ส.ค. 15, 19:36
|
|
เอาละครับ มาถึง อ.ศรีสวัสดิ์ ด้วยความสวัสดิภาพปลอดภัยกันแล้ว ก็ผ่านมาหลายแก่งแต่ไม่น่ากลัวนัก นายท้ายเรือขับเรือกันในช่วงระยะทางเส้นนี้กันจนชำนาญ จนเกือบจะไม่รู้สึกเลยว่ามีแก่งใดบ้างที่น่ากลัว
ก่อนที่จะลืมไปครับ แควใหญ่ นั้นมีความกว้างกว่าแควน้อย มีแก่งมากกว่าแควน้อย มีน้ำตื้นกว่าแควน้อย แต่สามารถใช้เรือหางยาวขนาดใหญ่ได้ ในขณะที่เรือหางยาวที่ใช้ในแควน้อยจะเป็นขนาดที่ย่อมกว่าและมีความสั้นกว่าที่เราเห็นกันในแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งนี้ก็เพราะว่า แก่งในแควน้อยนั้นจะเป็นลักษณะของโขดหินใต้น้ำเป็นหลัก แม้แก่งจะมีระยะทางสั้นแต่เรือก็ต้องขับหลบซ้าย-ขวา ต่างกับแก่งในแควใหญ่ที่มีระยะทางยาวกว่า ค่อนข้างจะตรงมากกว่า แต่เป็นแก่งในลักษณะของพื้นท้องน้ำตื้นและน้ำไหลต่างระดับ (ระหว่างหัวแก่งกับท้ายแก่งมากกว่า 1-2 เมตรขึ้ันไป)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 54 เมื่อ 18 ส.ค. 15, 19:01
|
|
อ.ศรีสวัสดิ์ เป็นเมืองหน้าด่านเก่าแก่ในสมัยที่ไทยกับพม่ายังรบกัน ผมไม่มีความรู้มากพอที่จะบอกว่าเมืองนี้ถูกตั้งขึ้นมาแต่เมื่อใด ที่รู้แน่ๆก็คือ ถูกตั้งให้เป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญจุดหนึ่งในยุคสงครามเก้าทัพ
ชื่อและจุดที่ตั้งดั้งเดิมของอำเภอนี้ คือ จุดเรียกว่า ด่านแม่แฉลบ ซึ่งอยู่เหนือน้ำขึ้นไปเล็กน้อยจากที่ตั้งตัวที่ทำการอำเภอศรีสวัสดิ์ เป็นเส้นทางเดิน (ด่าน) ไปทางตะวันตก ข้ามเขาลงไปก็จะเป็นแม่น้ำแควน้อย (แถวๆบ้านปลังกาสี หรือบ้านหินดาด)
สภาพของที่ตั้งตัว อ.ศรีสวัสดิ์ ในสมัยนั้น เป็นอะไรที่สุดๆเลยครับ มีถนนดินแบบฝุ่นตลบ แต่ก็โชคดีที่เกือบจะไม่มีรถยนต์วิ่งเลย มีแต่รถลากไม้ที่เรียกกันว่า จี๊บกลาง สองสามคัน บ้านเรือนของชาวบ้านเป็นแบบเรือนยกพื้นสูงขนาดเดินลอดได้สบายๆ ซึ่งส่วนมากจะเป็นแบบลูกผสมระหว่างการใช้ไม้จริงกับไม้ไผ่ น่าสนใจก็ตรงที่เป็นยังเห็นโครงสร้างของเรือนที่มีความเป็นไทย (แบบภาคเหนือ หรืออิสาน) แล้วก็พบว่ามีคนไทยจากหลายภาคมาอยู่อาศัย ก็จะมีเป็นพวกที่ตกค้างอยู่ตั้งแต่เก่าก่อนส่วนหนึ่ง มีพวกที่อพยพย้ายมาเพราะการทำป่าไม้ส่วนหนึ่ง ผมยังพบคนจาก จ.สุรินทร์ ที่พูดสำเนียงเขมรอีกด้วย ซึ่งสนิทกันมากพอที่จะแหย่กันด้วยประโยคว่า อะไรๆก็เลอะเทอะเปรอะหมด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 55 เมื่อ 19 ส.ค. 15, 18:21
|
|
เลยจากท่าแฉลบไปไม่ไกลนัก ก็เริ่มเข้าสู่เขตแก่งที่อันตรายและอยู่ถี่มากขึ้นเรื่อยๆ น้ำก็ไหลแรงมากขึ้น แต่ละครั้งที่เรือวิ่งผ่านแก่ง เรือก็จะกระโดดคล้ายกับนั่งรถบนถนนลูกรังโรยด้วยก้อนกรวด
เรือหางที่วิ่งในแควใหญ่ระหว่างลาดหญ้ากับศรีสวัสดิ์นั้น จะใช้คนเรือ 2 คน เป็นคนขับคนหนึ่งและเป็นคนยืนอยู่หัวเรืออีกคนหนึ่ง ซึ่งภาพเช่นนี้ ผมยังไม่เคยเห็นในที่อื่นใดนอกจากในแควใหญ่นี้เท่านั้น ดังที่ได้เล่าไว้แล้วครับว่า เขาใช้เรือหางขนาดใหญ่ ต้องมีครีบหางเสือที่ท้ายเรือต่อจากกราบเรือออกไปทั้งสองข้างเพื่อช่วยในการเลี้ยวและเข้าโค้งคุ้งน้ำ แต่ก็ยังไม่พอที่จะขับเข้าคุ้งน้ำได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย ก็เลยต้องมีคนช่วยโคลงเรือยืนอยู่ที่หัวเรืออีกคนหนึ่ง คนๆนี้จะยืนดึงเชือกที่ผูกไว้ที่หัวเรือ และยืนใช้ก้นยันไว้กับหลังคาเรือ ก็เพื่อกันตกจากเรือครับ คนเรือทั้งสองนี้รู้จักแม่น้ำแทบจะทุกกระเบียดนิ้วเลยทีเดียว รู้ว่า ณ จุดใด เมื่อใดจะต้องโคลงหรือไม่โคลงเรือ และจะต้องโคลงมากหรือโคลงน้อยเพียงใด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 56 เมื่อ 19 ส.ค. 15, 18:52
|
|
ที่เล่ามานั้นก็คือสาเหตุที่คนเรือจะต้องขอให้ผู้โดยสารนั่งเฉยๆ ไม่ต้องช่วยโคลงเรือ ไม่ต้องช่วยลุ้นเมื่อเรือวิ่งเข้าคุ้งน้ำหรือวิ่งผ่านแก่ง เพราะการโคลงไม่ถูกจังหวะก็จะเท่ากับเป็นการขืน ซึ่งจะยังผลให้เรือแถออกนอกเกณฑ์ที่จะสามารถบังคับได้ ก็คือจะทำให้เรือแหกโค้งไปปะทะกับตลิ่งหรือโขดหิน
แต่ก็อย่างว่าแหละครับ มันก็เป็นสัญชาติญาณของมนุษย์ เมื่อเรือเอียงก็จะต้องขืนช่วยกันขืนเรือให้รักษาระดับเอาไว้
เที่ยวแรกของการเดินทางก็จึงมีแต่เสียงตะโกนบอกว่า นั่งเฉยๆนั่งเฉยๆ ไม่ต้องเอียงช่วย แล้วก็ไม่ต้องชะเง้อ อย่าขยับนั่งไปทางซ้ายทีทางขวาทีเพื่อดูตลิ่ง (เพราะหลังคามันบัง) แต่ที่สำคัญมากๆก็คือ การเคลื่อนไหวเหล่านี้มันไปบดบังทำให้คนขับเรือมองไม่เห็นทั้งสองฝั่งของกราบเรือ และก็เพราะมันมีการสื่อสารกับคนที่ยืนอยู่หัวเรือด้วยการสังเกตการขยับขาของเขา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 57 เมื่อ 19 ส.ค. 15, 19:02
|
|
ในแควใหญ่ เขาใช้คนยืนอยู่หน้าเรือ ลงน้ำหนักเหยียบซ้าย-ขวา เพื่อช่วยประคองเรือเมื่อเข้าคุ้งน้ำและผ่านแก่ง ต่างกับในแควน้อยที่ใช้คนอยู่หน้าเรือเหมือนกัน แต่ใช้ลำไม้ไผ่ช่วยผลักหัวเรือให้พ้นโขดหิน
เรือในแควใหญ่จะเข้าแก่งด้วยความเร็ว เพราะต้องกระโจนในน้ำที่ไหลแรง แต่เรือในแควน้อยจะเข้าแก่งด้วยความเร็วช้าๆ เพราะต้องหลบโขดหินใต้น้ำ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 58 เมื่อ 19 ส.ค. 15, 19:48
|
|
การเดินทางต่อจาก อ.ศรีสวัสดิ์ เหนือน้ำขึ้นไป จะเป็นเวลาช่วงบ่าย จะต้องผ่านเกาะแก่งมากมาย คนเรือเองก็ไม่สันทัดเส้นทางมากนัก คนเดินทางไม่มีความรู้ใดๆในพื้นที่นี้เลย แต่ทุกคนรับรู้เหมือนๆกันว่า เป็นพื้นที่อันตรายทั้งจากธรรมชาติ คน และสัตว์ ทุกคนจึงก็ต้องช่วยกันดู ช่วยกันลุ้นด้วยความตื่นตัวตลอดเวลา
เรื่องที่ทุกคนรู้ว่าจะต้องทำก็คือ เตรียมความพร้อมของตัวเองและของส่วนรวมเพื่อเอาตัวรอดจากทุกสถานการณ์เท่าที่จะนึกออกมาได้ ที่นอน? อาหารมื้อเย็น? เรือแตก? ถูกปล้น? ....ฯลฯ
นึกย้อนไปแล้วยังรู้สึกว่าเรานี้บ้าบิ่นไม่น้อยเมือนกันนะ ...a boondoggle ??
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 59 เมื่อ 20 ส.ค. 15, 19:49
|
|
พ้นจาก อ.ศรีสวัสดิ์ ไปไม่นาน ก็แวะเช้าจอดเกยหาดทรายก่อนเข้าคุ้งน้ำ เพื่อพับเก็บหลังเรือคาลงให้เรียบร้อย เติมน้ำมันเรือโดยถ่ายออกจากถัง 200 ลิตร (ที่วางนอนไว้หน้าที่นั่งของนายท้าย) ไปเติมในถังน้ำมันของเรือ
โดยภาพรวมๆก็คือ ยืดเส้นยืดสาย เตรียมความพร้อมของเรือและของตนเองเพื่อความพร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาและอันตรายที่ไม่สามารถจะคาดเดาได้ ที่จำได้ก็คือ การนัดแนะกันในกรณีเรือแตก ว่าจะทำอย่างไร จะพบกันได้อย่างไร นำของสำคัญและที่จำเป็นมาติดตัวหรือวางไว้ในที่ๆสามารถคว้าได้ง่าย (เช่น เงิน ปืน) จัดวางถังน้ำพลาสติกเปล่าให้กับคนที่ว่ายน้ำไม่แข็ง เหล่านี้เป็นต้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|