ภาพและเรื่องบนต้นหน้าที่ ๗ นี้ คุณหมอเพ็ญชมพูได้นำเสนออีกเวอร์ชั่นหนึ่งของคำแปลจารึกในพาราไบ้ก์ ซึ่งก็เหมือนๆของผม แทบจะไม่มีจุดต่าง ยังงงอยู่ว่าคุณหมอต้องการอะไร มาถึงบางอ้อเมื่อมีเวลาตอนเช้าวันนี้เมื่อเผอิญเข้าไปคลิ๊กตัวอักษรสีน้ำเงินที่มีความว่า ข้อมูลจากบทความเรื่อง สถูปเจ้าฟ้าอุทุมพร และลูกหลานชาวโยดะยาในพม่า “คุณหมอทิน มอง จี” โดย คุณวลัยลักษณ์ ทรงศิริ
จดหมายข่าวมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ฉบับที่ ๙๖ ตุลาคม-ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ บทความที่ซ่อนไว้จึงปรากฏขึ้น มีข้อความหลากหลายที่ผู้ยิ่งใหญ่ในวงการโบราณคดีไม่เชื่อ เรืองสถูปเจ้าฟ้าอุทุมพร ซึ่งเป็นลูกเล่นของคุณหมอเพ็ญชมพูที่มีเจตนาแฝงต้องการจะยกขึ้นมาให้เห็น
หากท่านขี้เกียจย้อนกลับไปก็คลิ๊กที่ระโยงข้างล่างนี้ก็ได้
http://lek-prapai.org/home/view.php?id=967แต่ก็อย่างว่า วลัยลักษณ์ ทรงศิริเขียนไว้เมื่อ ๑ ต.ค. ๒๕๕๕ คำวิพากษ์ทั้งหลายก็เกิดขึ้นก่อนที่หลักฐานจะถูกเปิดขึ้นให้เห็นกันชัดๆเกือบหนึ่งปี เรื่องที่ทั้งคนไทยและพม่าเชื่อกันว่าใช่ล้วนมาจากคำบอกเล่าโดยการค้นคว้าของนายแพทย์ ทิน หม่อง จี ซึ่งนักโบราณคดีไทยดูถูกว่าเป็นแค่มือสมัครเล่น (ช่างไม่เกรงใจคุณหมอเพ็ญชมพูบ้างเลย แล้วคุณหมอหลายคนในเมืองไทยเช่นคุณหมอปราเสริฐ และคุณหมอชัยยุทธ ก็ไม่ได้จบวิชาที่ท่านเหล่านั้นใช้ทำมาหากินจนประสบความสำเร็จในชีวิตยิ่งใหญ่) อะไรๆที่หมอทินนำเสนอ อาจารย์พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ก็จะบอกว่าไม่มีหลักฐานรองรับ อย่างเช่นไม่เห็นว่าสถูปนี้ควรตั้งอยู่ที่อมรปุระ เพราะไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า มีการย้ายเชลยชาวอยุธยามาอยู่ที่อมรปุระ ซึ่งผมสงสัยว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่อาจารย์พิเศษกล่าว คงหมายถึงหลักฐานฝ่ายไทย เช่น คำให้การของพระมหาโค มหากฤช คนกรุงเก่าที่ถูกกวาดต้อนไปคราวเสียกรุง และหนีกลับมาได้ในสมัยรัชกาลที่ ๒ ได้เล่าว่าตน(มหาโค) เมื่อเป็นฆราวาสอายุ ๒๗ ปี ตามเจ้าวัดประดู่(พระภิกษุพระเจ้าอุทุมพร)ไปแล้วพลัดกัน โดยตนอยู่เมืองเปร นอกจากนั้นก็มีหลักฐานอื่นๆว่าเชลยไทยถูกกวาดต้อนไปอยู่เมืองอังวะและสะกาย แต่ว่าหลักฐานฝ่ายพม่าตามที่ผมนำมาย่อความให้อ่านคงไม่เคยเห็น
อาจารย์พิเศษมีความเห็นว่า ข้อมูลที่ทำให้เชื่ื่อกันว่าสถูปดังกล่าวเป็นสถูปบรรจุอัฐิเจ้าฟ้าอุทุมพร เป็นเพียงข้อมูลจาก “คำบอกเล่า” ของชาวบ้านในท้องถิ่นที่พูดกันปากต่อปากว่าเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์ไทย์พระองค์หนึ่งเท่านั้น แต่ตนไม่เชื่อ เพราะทั้งสภาพของสถูปทั้งรูปทรงและลวดลาย ไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับศิลปะอยุธยาแต่อย่างใด
ทว่าเรื่องนี้ อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม กลับเห็นว่าเป็นไปได้สูง ที่สถูปทรงโกศในสุสานลินซินกอง (ซึ่งคุณหมอ ทิน หม่อง จีเป็นคนให้ความหมายว่าสุสานล้านช้าง) จะเป็นของพระผู้ใหญ่หรือผู้มีสถานภาพในกลุ่มชาวไต-ลาว ที่อาจจะเป็นชาวล้านช้าง ที่คนพม่าเรียกว่า เลิง-ซิง หรือคนจากอยุธยา โดยแนะนำให้ไปเปรียบเทียบกับสถูปรูปยอดบัวที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก และพบได้หลายแห่งในประเทศไทยและลาว ไม่ใช่เป็นเรื่องประหลาดเลย
แต่ส่วนใหญ่ในบทความนั้นจะเป็นความเห็นของคุณหมอทิน หม่อง จี ที่เชื่อว่าพระสถูปดังกล่าวเป็นของพระเจ้าอุทุมพร โดยมีเหตุผลมากมาย ผมไม่อยากยกมากล่าวซ้ำให้เย่นเย้อ เพราะเดี๋ยวภาค ๒ เมื่อเปิดบาตรที่ขุดมาได้แล้ว หลักฐานที่มีน้ำหนักกว่าต่างๆจะปรากฏขึ้นอีกมาก
หากใครมีเวลามาก จะเข้าไปอ่านหน่อยก็ดี คุณหมอเพ็ญชมพูอุตส่าห์เอามาโยงไว้ให้อำนวยความสะดวก ขอบคุณครับ