การเรียน การสอนประวัติศาสตร์ของชาติเรา และคิดว่าคงมีคนอื่นจำนวนไม่น้อยก็รู้สึกเช่นเดียวกันนี้ เราจะสามารถทำอย่างไรกันได้บ้างเพื่อให้ ประเทศนี้มีการเรียน การสอนที่มีคุณภาพกว่านี้ได้
ขอเพิ่มข้อ 4
- สอนกันในเรือนไทยนี่แหละค่ะ
เห็นด้วยกับคุณประกอบ เรื่องการสอนประวัติศาสตร์ นี้ก็เป็นปัญหาหนึ่งที่ติดใจอยู่
หลายท่านเห็นตรงกัน คุณสุจิต ที่ศิลปวัฒนธรรมก็พูดอยู่เสมอๆ นานมาแล้ว
จนผมอยากจะถามท่านว่า จะให้อ่านหนังสือสักกี่เล่มอะไรบ้าง
จะได้สมใจท่าน
ผมคิดว่า ระบบการการศึกษาของเราอาจจะเพี้ยนไปมากพอสมควรเลยทีเดียว
เรื่องแรก คือ เราสอนให้จำเพื่อจะได้สอบผ่านเกณฑ์ เราหันมาสนุกสนานกับการกาผิดกาถูกหรือเลือกข้อที่ถูกที่สุด เรียกว่าทำให้ง่ายเข้าไว้ทั้งคนสอนและคนเรียน ไม่ต้องเสียเวลาคิดก่อนเขียน ไม่ต้องอ่านก่อนให้คะแนน เราไม่ได้สอนให้เกิดความเข้าใจว่าทำไมจึงต้องเรียนวิชานั้นๆ แล้วเราก็ขีดวงจำกัดสอนเฉพาะเรื่องภายในของเรา ไม่บอกเหตุผลและสภาพของสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมรอบตัว รอบบ้าน และของโลก ที่อาจจะเป็นต้นเหตุของพัฒนาการของประวัติศาสตร์ในช่วงต่างๆ แล้วก็ไม่ได้บอกว่าเมื่อเข้าใจเรื่องราวที่สอนในวิชานั้นๆแล้ว จะเกิด หรือจะมี หรือจะเป็นประโยชน์อย่างไร จะยกสุภาษิตที่ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง มาอธิบายก็ยังได้
เรื่องที่สอง คือ ในระหว่างที่เรียนหรือสอนในวิชานั้นๆ มันก็มีซอยแยกมากมายที่เป็นเกล็ดเล็กเกล็ดน้อย ข้ามวิชากันบ้างนิดๆหน่อยๆ เพื่อไห้คนเรียนได้มีความเพลิดเพลิน ได้รู้อะไรมากขึ้น ไม่เกิดความเบื่อหน่ายเหมือนกับถูกบังคับให้มองเห็นเหมือนม้าเทียมรถม้าของเขลางค์นคร เช่น มิใช่ใช้แต่คำว่า เลือกที่ตั้งอยู่ที่เมืองนั้นเพราะมีความอุมดมสมบูรณ์ อะไรทำนองนี้ หากไม่สมบูรณ์มันก็คงไม่เป็นที่ตั้งเมืองโดยปรกติอยู่แล้ว จะเล่าต่อไปว่าสมบุรณ์อย่างไร ในเรื่องอะไร เพื่ออะไร อีกสักหน่อยคงจะไม่เสียหายอะไร เช่น เป็นการหนีความอดอยาก หรือเป็นการเลือกชัยภูมิเพื่อการต่อสู้เนื่องจากมีศัตรู หรือเป็นการขยายพื้นที่เพื่อรองรับการขยายตัวของพลเมือง ฯลฯ แน่นอนครับหลายเรื่องเราก็ไม่รู้ แต่หากเล่าสภาพแวดล้อมเพื่อชวนให้คิดต่อไปก็เกิดประโยชน์แล้ว
เรื่องที่สาม คือ เราวัดความดี ความดัง และความเก่งของสถานศึกษาจากความดังของอาจารย์ที่มีชื่อปรากฏอยู่ตามสื่อ หรือที่มักถูกถามความเห็นต่างๆโดยสื่อ เราไม่ได้วัดกันที่ขนาดของห้องสมุด ขนาดของแลป หรือดูจากปริมาณข้อเขียนทางวิชาการของคณาจารย์ในสังกัดสถาบันการศึกษานั้นๆ ที่เขียนในลักษณะของภาษาชาวบ้านให้คนอ่านทั้งหลายได้เข้าใจง่ายๆ ไม่ต้องแปลคำศัพท์บัญญัติทั้งหลายอีกทีหนึ่ง (ซึ่งก็แทบจะหาไม่ได้ เพราะอาจจะต้องไปรู้ถึงรากเง่าที่เป็นภาษาอังกฤษเสียก่อนจึงจะหาพบคำนั้น)
ประการที่สี่ คือ การเรียนประวัติศาสตร์ให้สนุก คนเรียนจะต้องรู้ที่ตั้งและภูมิศาสตร์ค่อนข้างดีด้วย หรือต้องสอนภูมิศาสตร์ไปด้วยพร้อมๆกัน มิฉะนั้นก็จะนึกไม่ออกว่าอะไรมันอยู่ที่ใหน ห่างกันมากน้อยเพียงใด เช่น ทำไมไทยเราจึงให้ความสำคัญกับเมืองราชบุรี เพราะว่ามีเส้นทางเดิน (ทัพ) ด่านมะขามเตี้ย และด่านบ้องตี้ หรือเปล่า หรือทำไมเมืองกาญจนบุรีจึงสำคัญ เพราะว่าเป็นจุดร่วมของแควใหญ่และแควน้อยหรือเปล่า (ทางเดินทัพ) หรือทำไมต้อง ต.ลาดหญ้า เพราะว่ามีเขาชนไก่เป็น land mark หรือเปล่า หรือ ทำไมต้องอู่ทองและอ่างทอง เพราะว่ามีช่องลัดสำหรับการเดิน (ทัพ) จากแควใหญ่ มาโผล่หรือเปล่า เหล่านี้เป็นต้น
ฯลฯ
ทางออกที่สำคัญ จึงคือ อ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า แยกแยะข้อมูลเก็บใว้ในลิ้นชักความจำเป็นเรื่องๆ เช่น อ่านจากหนังสือเที่ยวฝรั่งเศส ก็อาจจะเจอ Rue de Siam ก็จะทำให้เราไปค้นต่อไป ฯลฯ ถึงจุดๆหนึ่ง (หากมีความสนใจอยู่ในก้นบึ้ง) พอได้อ่านเรื่องที่มันคลิ๊ก มันก็จะเป็นอัตโนมัติที่เรื่องต่างๆมันจะมาผูกกัน เป็นภาพออกมาในสมองนึกคิดของเราเอง
ผมเห็นว่าข้อมูลที่มีอยู่ในกระทู้ต่างๆของเรือนไทย หากพินิจพิจาณาพิเคราะห์ดีๆแล้ว แฝงความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยอย่างมากมายเลยทีเดียว
ขออภัยท่านอาจารย์ทั้งหลาย ที่ผมได้ข้ามเส้นเข้าไปไกลโขอยู่ทีเดียวครับ