เรือนไทย

General Category => ภาษาวรรณคดี => ข้อความที่เริ่มโดย: pipat ที่ 18 พ.ค. 06, 15:31



กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 18 พ.ค. 06, 15:31
 ผมเกลียดทีวีเข้ากระดูกดำ
ไอ้กล่องแพนโดราสามัญประจำบ้านชิ้นนี้ วันละยี่สิบสี่ชั่วโมง ที่ผลัดกันถ่มถุยสารพัดสวะพิษเข้าใส่ครอบครัวผม

นำขบวนมาโดยพวกโฆษณาชั่ว จากใจคนทราม ที่ทำสิ่งแสนแขยง จู่โจมใส่ดวงใจน้อยๆ อันแสนบริสุทธิ์ ของอนุชนที่หมดทางสู้

ผมเลี้ยงลูก ไม่ต้องการให้มันเป็นกักขระชน เพราะเสพย์โฆษณาชั้นต่ำจากพวกคุณ มากเกินไป

คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม
คุณทำให้ดีกว่าที่คุณทำอยู่ทุกวันนี้

ได้ใหม

ได้โปรด...


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 18 พ.ค. 06, 15:35
 ที่เพิ่งรังเกียจไปหมาดๆ ก้อ โคตรสะนาที่ให้ผู้หญิงรีดเสื้อ
แล้วเสื้อมันเรียบเร็ว เพราะผ้ามันชอบเรียบ
เลย....มีเวลาเหลือ

ยัยนั่นถามผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆว่า

เวลาเหลือ
ทำไรต่อดี....พี่
แล้วหล่อนก็ดับไฟ

สิ้นคิดจริงๆ
ก็รีดอีกตัวสิวะ นังโง่


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 18 พ.ค. 06, 15:41
 อันที่กำลังเกลียดอยู่ก้อ

ที่ตอแหลว่า สาวหนึ่ง หัดเล่นเปียโนมือเดียว หกปี
เพื่อไปเล่นกับมืออีกข้างของหญิงชรา อดีตนักเปียนโนที่มือข้างหนึ่งหมดสภาพ....

ผมไม่ชอบเรื่องตอแหลที่บีบน้ำตาคนดู เพื่อหลอกล้วงเงินในกระเป๋า


ความโศรกโศกาอาดูร เป็นความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์ชาติ
ไม่ควรหาเงินกับสิ่งนี้โดยเด็ดขาด
เพราะ
ต่อไป มนุษย์จะขาดเมตตา จากผลสะท้อนของความโศกเศร้า
มันจะชาชิน เพราะใช้บ่อย

ตอนนั้นมนุษย์จะเหลืออะไร


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 18 พ.ค. 06, 15:44
 ยัยครูบ้า

เธอยืนดูเด็กคลุกโคลนจากระเบียง

ทำท่าหยั่งรู้ซะเหลือเกิน
"เด็กเรียนรูอะไรมากมายจากการเล่นซน"

แม่งงง....
เด็กน่ะไม่รู้หร็อก แม่มันสิรู้ ตอนซักผ้าพวกนี้
โรงเรียนอะไรก็ไม่รู้ ท่าทางอินเต๊อรรร์อินเตอ
แต่

สนาม ...อย่างกับปลักควาย


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 18 พ.ค. 06, 15:47
 ไอ้โคตรสะนาสาวรูดเสานั่นก็อีก

คนคิด

คงได้ตัวอย่างจากน้องสาว ภรรยา หรือมารดา

ทุด....
คณิกาเป็นโรค เป็นแผล ของสังคม เราต้องช่วยกันเยียวยา
มิใช่ช่วยกันย่ำยี


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 18 พ.ค. 06, 16:04
 ใจเย็นคุณพี่


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 18 พ.ค. 06, 16:19
 ใจเย็นๆ ค่ะ ใจเย็นๆๆ พี่พัฒน์

ติดเคเบิลทีวีเพื่อดูดิสคัฟเวอรี่ชาเนลแทนแล้วกัน
จะได้ไม่ต้องดูโฆษณาไงคะ

แถวบางที่เฟื่องอยู่มีการต่อต้านโฆษณากันมากเหมือนกันค่ะ
หลายๆ อันที่ทำออกมามีความคิดสร้างสรรค์ที่ดีมากๆ
เฟื่องชอบว่า การที่เราจะสื่ออะไรให้สะดุดตาสะดุดใจคน
ภายในเวลาไม่กี่วินาที เป็นความท้าทายเหมือนกันนะ
แต่ส่วนใหญ่ก็เหมือน ๆ กัน คือ
ผลิตสื่อโฆษณาออกมาเพื่อพยายามโน้มน้าวใจผู้บริโภค
แล้วบางโฆษณา ก็เต็มไปด้วยไอเดียงี่เง่าเสียจริงๆ
แต่ต้องยอมรับว่า หนังโฆษณาบางเรื่อง ไอเดียเขาดีจริงๆ ค่ะ


ทีวีช่อง 2 ที่นี่ (ไม่ค่อยดูช่องอื่นง่ะ) เวลาก่อนตัดเข้าโฆษณา
เขามีจิงเกิลดีค่ะ มีอยู่หลาย ๆ อันผลัดกัน
เป็นหนังช็อตสั้นๆ ถ่ายให้เห็นมุมกล้องที่เหลื่อมซ้อนกัน
ทำให้เราเห็นอะไรแปลกๆ
เช่น เด็กอยู่มุมหน้ากล้อง เป่าฟองสบู่เล่นเบาๆ
แต่พอเป่าพรวด เอกสารของคุณปู่ที่นั่งอยู่ในฉากลึกออกไป
ปลิวกระจายว่อนไปหมด
ดูเหมือนเด็กเป่าลมพัดเอกสารปลิว
ทั้งนี้ เพื่อจะเตือนคนดูกลายๆ ว่า
อย่าเชื่อทุกอย่างที่เห็นในทีวี (นะจ๊ะ)

คนดูต้องมีวิจารณญาณที่ดีในการดูด้วย
ว่าอย่างนั้นเถอะ  


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: viva ที่ 18 พ.ค. 06, 16:49
 คุณpipatความแย้งขัดกับวิเลยนะ  
วิว่าโฆษณาเดี๋ยวนี้น่าดูกว่าละครเสียอีก
ก็อย่างที่คุณเฟื่องแก้วบอกอ่ะคนดูต้องมีวิจารญาณในการดูอ่ะจริงมั้ย


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 18 พ.ค. 06, 17:00
 รัฐควรคิดภาษีขยะพิษจากโฆษณาเลว (ย้ำ ...เลว)
เอามาบำรุงสิ่งของที่เปราะบางและไกล้สูญพันธุ์อย่างพวกที่ทำเว็บวิขาการนี่

ขอชมเรื่องนึงเถอะนะครับ
อาจารย์ที่นี่ ด่าคน
ยังด่าเป็นความรู้เลย หาได้ที่ใหนครับ คนอย่างนี้ ในพ.ศ. นี้

น่าเวทนาเหลือเกินกับงบประมาณปีละสองแสนบาท เพียงเพื่อให้คนอย่างอาจารย์ทั้งหลายท่านทำคุณประโยชน์แก่สังคม
สองแสนบาทต่อปี ตกเดือนละ หมื่นปลาย
ให้ด็อกเตอร์ไม่รู้กี่สิบคนทำเรื่องเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ ยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวัน เจ็ดวันต่อสัปดาห์

เงินแค่นี้นะครับ ฝ่ายโปรดักชั่นบอก แค่ซื้อข้าวตอนดึก ก็ไม่พอแล้วครับ

คนทำบาป ต้องชำระบาป แม้จะชำระได้ไม่หมด

เอ่อ....เมื่อไหร่ วิชาการดอตคอม จะทำทีวีเพิ่มล่ะครับ
55555


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 18 พ.ค. 06, 17:49
 ถ้าพี่พัดยอมเป็นดาราหน้ากล้องให้ฟรีๆ ละก็
เฟื่องสนับสนุน วิชาการชาเนล ขาดใจเลยค่ะ อิอิ

สิ่งต่างๆ ที่ปรากฎในทีวี ถ้ามองในแง่ดีนิดหนึ่ง
มันคือ การแสดงความหลากหลายในสังคมที่มีอยู่
ต้องยอมรับว่า คุณสมบัติของสิ่งต่างๆ ในโลกนี้
มันมีทั้งสองด้าน คือ ดี และ เลว

ถ้าเราไม่เห็น ไม่สัมผัสความเลวเสียเลย
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ความดี เป็นอย่างไร
ถ้าไม่มีความเลวเป็นตัวเปรียบเทียบ

อีกอย่าง สิ่งที่คุณว่า ดี นั้น ใครจะเป็นผู้กำหนด ?

อย่างน้อย ก็ต้องขอบคุณสำหรับทางเลือกของผู้บริโภค
ที่มาพร้อมกับทีวี ในรูปแบบของอุปกรณ์ที่เรียกว่า
เครื่องควบคุมระยะไกล (remote control)

ทำให้คุณเลือกได้ที่จะเปลี่ยนกดเปลี่ยนช่อง
เลือกเสพสิ่งดี หลีกเลี่ยงสิ่งที่คุณคิดว่า เลว
(โดยไม่ต้องเดินไปกด หรือบิดปุ่มกริ๊กๆ ให้เมื่อย)

คุณเลือกได้ ที่จะติดตั้งเคเบิลทีวี
เพื่อดูสารคดีล้วนๆ ไม่ต้องมีโฆษณาคั่น

คุณเลือกได้ที่จะทุบทีวีทิ้ง
หาชั้นหนังสือมาวางแทน เลือกหนังสือดีๆมาวางไว้

นี่ คิดอย่างปลาทองแคระ
ผู้มองโลกในแง่ดีนะ

เราทุกคนมีทางเลือกน่ะ
เลือกทำในสิ่งที่ดี สร้างสรรค์สังคม
เพื่อเป็นตัวเลือกให้คนเขาเห็นความแตกต่าง
ระหว่างความดี กับ ความเลว

มันก็เป็นโฆษณาชิ้นหนึ่งเหมือนกันนะ อิอิ


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 18 พ.ค. 06, 18:05
 วิจารณญาณ วิจารณญาณ  วิจารณญาณ ............
หากว่าจะให้คนดูเป็นผู้ใช้วิจารณญาณ............


….กลายเป็นว่าคนกลุ่มใหญ่ คนส่วนใหญ่ หลายสิบล้านคนในประเทศต้องตกเป็นผู้ที่จำเป็นต้องใช้วิจารณญาณ แทนคนกลุ่มน้อย ทีมงานจัดทำโฆษณาไม่กี่สิบคนที่ควรจะต้องมี  เสียเองอย่างนั้นรึครับ ??

กลายเป็นว่าหน้าที่ใช้วิจารณญาณ และความรับผิดชอบในการพิจารณาสื่อโฆษณานั้น ต้องตกไปอยู่กับคนกว่า70 ล้านอย่านั้นใช่ไหม ?? คนดูสื่อ กับคนทำสื่อ คนไหนควรมีหน้าที่ใช้วิจารณญาณมากกว่ากัน. ?

จะดีกว่าไหม ? ถ้าคนส่วนน้อย สมควรมีหน้าที่ เป็นผู้ใช้วิจารณญาณของตน รับผิดชอบงานของตนที่ทำ รวมทั้งควรคำนึงถึงความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ผลดีผลเสีย ที่ต้องตกอยู่กับใคร มากกว่า เงินจะเข้ากระเป๋าเท่าไหร่ ?? ควรพิจารณาสิ่งที่จะทำออกมาเสียก่อน จึงค่อยนำเสนอออกมา
แล้วคนส่วนใหญ่ก็ ใช้วิจารณญาณส่วนบุคคล..อันละเอียดอ่อน..ของแต่ล่ะท่าน ตรวจสอบรับรู้ ตัดสินเอาเองอีกที ตามที่เห็นสมควรต่อไป
…อย่าลืมนะครับสื่อโฆษณา มันไม่ใช่ข่าวสาร สารสำคัญของสื่อมวลชน

คนที่นั่งดูหน้าจอนั้นมีทุกเพศ ทุกวัย ต่างสาขาอาชีพ ต่างความรู้ต่างความคิดเห็น ผมปฏิเสธไม่ได้ว่า สื่อโฆษณาที่ดีก็มีมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ดีเหมือนกันทุกสื่อ  เด็กประถม มัธยม ก็นั่งดูอยู่หน้าจอและได้เสพย์สื่อโฆษณาไม่ต่างกับพวกเราในตอนนี้

เราสามารถกล่าวได้เต็มปากไหม ? ว่า “ วิจารณญาณ “ ของแต่ล่ะคนนั้นเท่ากันหมด..





เครียดไปไหม...นี่


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 18 พ.ค. 06, 18:34
 ITV ก็ไม่เลวนะ

ท่าทางต้องปรับผังเยอะ

ต้องการรายการสาระด่วนครับ


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 18 พ.ค. 06, 18:58
 ไม่เครียดหรอก คุณหมูน้อย ฯ
ไม่ใช่ปัญหาโลกแตกเสียหน่อย มันเรื่องธรรมดาโลกแท้ ๆ

เฟื่องก็บอกแล้วนี่นา ว่าความมีสีสันของโลกนี้ มันอยู่ที่ความหลากหลาย แตกต่าง
ถ้าคนเหมือนๆ กันไปหมด สังคมโลกคงจะราบรื่นกว่านี้
แต่คงน่าเบื่อพิลึกนะคะ

ตอนนี้ เขาส่งเสริมกันจะตาย เรื่องความแตกต่างหลากหลาย
ของวัฒนธรรม สังคม เชื้อชาติ ศาสนา อารยธรรม

หลังจากนั้นก็จะต้องมี dialogue สร้างความเข้าใจระหว่างสิ่งที่ว่าแตกต่างกันข้างต้น
เพื่อให้คนยอมรับซึ่งกันและกัน

จุดประสงค์หลักใหญ่ใจความเลยคือเพื่อสร้างสันติภาพ

ฟังเก๋ สวยหรู แต่คุณทำได้หรือไม่ได้อีกเรื่อง
แต่อย่างน้อย ความพยายามที่สูงส่งพอที่จะลงมือทำ ก็นับว่าประเสริฐแล้ว

การโน้มน้าว หรือสั่งสอนให้คนคิดไปในทางเดียวกันหมด ทำง่ายนักหรือ
คนที่ทำได้แบบนี้ เคยกำเนิดขึ้นในโลกนี้ กี่คนกันจ๊ะ
เอาง่าย ๆ เลยนะ คนที่ว่านั่งดูกันอยู่ ไม่ต้อง 60-70 ล้านคนหรอก
คนบ้านเดียวกันนั่งหน้าทีวี ยังแย่งรีโมทกันแทบแย่เลย
เพราะความสนใจต่างกัน สติปัญญาผิดกัน
และแน่นอน อย่างคุณหมูว่า
วิจารณญาณผิดกัน...

ตอนเด็กๆ พ่อแม่ก็ยัดเยียดให้ดูจะตาย เวลาพระเทศน์ สารคดี
...แต่หนูอยากดูการ์ตูนอะ
หนังสือก็หาแต่วรรณกรรมเด็ก วรรณกรรมสร้างสรรค์สังคม
...แต่หนูอยากอ่านโดเรมอน อ่านดรากอนบอล มีปู่เต่าจอมลามก
พ่อแม่ให้กินแต่เนื้อนมไข่ ของดีๆ อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารและวิตามินเอ ถึง แซด
...แต่หนูอยากกินโค้ก อยากกินเค้ก อยากกินลูกกวาดนี่
พอลับหลังพ่อแม่ อะไรที่ห้ามๆ นี่ชอบนัก ทำหมด
ทั้ง ๆ ที่มันก็เป็นสิ่งดี ๆ ทั้งนั้น
ไม่ใช่แต่เด็กๆ คนโตๆ ก็เหมือนกันแหละน่า
อะไรที่เขาว่าไม่ดี ถ้าฉันบอกว่า ดี  เสียอย่าง ใครจะทำไม

ความแตกต่างหลากหลายของคน ทุกเพศทุกวัย ทุกสังคมมันมีทั้งนั้น
ยังไม่ต้องพูดถึงโครงสร้างสังคมอื่น ที่ใหญ่กว่าครอบครัว

แหม พระท่านยังว่า บัวมีสี่เหล่าเลย

ทีนี้ เราจะไปบังคับให้สื่อ เสนอแต่สิ่งที่ (เราคิดว่า) ดี สำหรับมวลชน ได้ไหม

ได้สิ ง่ายจะตายไป

ถ้าไม่มีใครโวยออกมาว่า รัฐละเมิดสิทธิมนุษยชนนะ
(ตามสนธิสัญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ปี 1948 มาตรา 10
ว่าด้วย freedom of Expression)

เฟื่องถึงบอกไง ว่าคุณเลือกได้ แหมนะ
ไม่ใช่ว่า เขาบังคับเอาปืนจ่อให้คุณดูทีวีเมื่อไหร่ละเจ้าค้า  


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 18 พ.ค. 06, 18:59
 กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด 1998 ค่ะ ขออภัย


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 18 พ.ค. 06, 19:44

.


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 18 พ.ค. 06, 20:16
ใจร้าย เอาปืนขู่ลูกแมวน้อยผู้น่าสงสารก็ได้ด้วย


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 18 พ.ค. 06, 20:19
 คุณเฟื่องแก้ว คุณวิวา ด้วย

1 ลูกสาววัยสิบหกของคุณ ออกไปซื้อ  last tango in paris สุดยอดหนังศิลปะเย้ยหยันมนุษย์ชาติ ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่ง บอกว่าจะนัดเพื่อนชายมาดูเพื่อวิเคราะห์ทางจิตวิทยาด้วยกัน ตอนคุณไปสัมนาต่างจังหวัดสองคืน

2 ลูกชายคุณ อายุ 13 รู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับ Paris Hilton

3 ลูกเพื่อน อายุ 3 ขวบ ทิ้งตัวลงแหกปากกลาง เสียม พารากอน จะต้องดูปลาในอะควาเรี่ยมให้ได้ ทั้งๆ ที่เขาปิดซ่อม บอกเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง คุณรำคาญจะเข้าไปปลอบ เพื่อนบอกว่า อย่าเจือก เราเชื่อในสนธิสัญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ปี 1948 มาตรา 10 ว่าด้วย freedom of Expression กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด 1998 ค่ะ ขออภัย
เด็กต้องได้ร้อง เมื่ออยากร้อง

อย่างนั้นหรือ


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 18 พ.ค. 06, 20:31

.
วันนี้จะพาท่านไปเที่ยววัดพระยาสุเรนทร์ ซึ่งเป็นวัดเก่าสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5
ดิฉันค้นพบทางนี้โดยบังเอิญเมื่อไปรับคนงานหลังแฟชันไอส์แลนด์ไปส่งรังสิต
ตลอดสองข้างทางร่มรื่น เขียวขจี

"เอ้ย..พวกเรา บอกทางที่ไม่ต้องเสียค่ามอเตอร์เวย์ให้หน่อยซิ"

"ได้เลยลูกพี่ ลัดเลาะทางนี้ แล้วไปผ่ากลางวัดพระยาสุเรนทร์ ตรงนั้นเลยด่าน
เก็บเงินแล้ว ค่อยเข้ามอเตอร์เวย์ครับ" เสียงคนงานบอกเจื้อยแจ้วมาจากด้านหลัง  


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 18 พ.ค. 06, 20:33
 ขออภัย แปะผิดที่ค่ะ โปรดกรุณาช่วยลบ 17+18  ขอบคุณค่ะ


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 พ.ค. 06, 20:45
 หนูเฟื่องจ๋า
"การโน้มน้าว หรือสั่งสอนให้คนคิดไปในทางเดียวกันหมด ทำง่ายนักหรือ
คนที่ทำได้แบบนี้ เคยกำเนิดขึ้นในโลกนี้ กี่คนกันจ๊ะ"

เท่าที่เคยเรียนมา มี ๒ ท่านอย่างน้อยจ้ะ   ท่านหนึ่งดับสูญโดยสิ้นเชิงแล้วเมื่อ 2549 ปีก่อน    อีกท่านเกิดเมื่อ 2006 ปีมานี้
ท่านสอนให้คนคิดในทางเดียวกันจริงๆจ้ะ   ท่านไม่เคยบอกว่าให้ผู้ใหญ่คิดอย่าง เด็กคิดอีกอย่าง  ผู้ชายคิดอย่าง ผู้หญิงคิดอีกอย่าง
คนในอาณาจักรนี้ให้คิดอย่าง คนในอาณาจักรนั้นให้คิดอีกอย่าง

ไม่เลย  ท่านสอนให้คนทุกผู้ทุกนามคิดทางเดียวกับท่าน เพื่อหลุดพ้นจากทุกข์   และอีกท่านหนึ่งบอกว่าเพื่อได้ไปรวมกับพระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์ รอดไปจากนรก

แต่ท่านแรกบอกว่า คนที่จะรับคำสั่งสอนของท่านได้ ไม่ได้มีหมดทุกคน  จำแนกได้เป็น 4 ประเภท แบบบัว 4 อย่างไงจ๊ะ

ท่านไม่เคยสอนให้คนเราหาเหตุผลมาอ้างกับตัวเองที่จะทำสิ่งไม่ดี  ด้วยการบอกว่าโลกนี้ถ้ามีแต่ดีอย่างเดียวก็ไม่เป็นโลก  ต้องมีดีและชั่ว  
ความชั่วในสายตาคนอื่นอาจดีในสายตาเราก็ได้
ใครๆก็ทำสิ่งที่ไม่ดีกันทั้งนั้น  (เพราะงั้นก็เป็นเหตุผลว่าเราทำไม่ดี ก็ไม่เป็นไร)
เหล่านี้ ไม่เคยได้ยินนะจ๊ะ  
ชั่วคือชั่ว ดีคือดี   ถ้าอยากรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วก็ลองเปิดหนังสือที่รวบรวมคำสั่งสอนของท่านอ่านดู  

เท่าที่จำได้ตอนนี้ มีสามสี่คำ
หิริ  ความละอายที่จะทำชั่ว
โอตัปปะ ความเกรงกลัวที่จะทำความผิด
ทมะ  การข่มใจที่จะไม่ทำตามสิ่งเย้ายวนต่างๆ

ดีเท่าไรแล้วที่เราเกิดมาในยุคที่ทันอ่านคำสั่งสอนของท่าน   ไม่ต้องมะงุมมะงาหราแสวงหาเอาเอง   สบายจะตาย
อ่านเสียเถอะนะ เมื่อยังมีเวลา


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 18 พ.ค. 06, 20:46
 ขอ นอกประเด็นลดความร้อนแรงของกระทู้หน่อยเถอะครับ..


แทนที่กระทู้นี่ พี่พิพัฒน์จะตั้งหัวข้อย่อยเป็น หัวข้อหน้าต่างโลก หรือหัวข้อศิลปะวัฒนธรรม แต่กลับตั้งเป็น หัวข้อ ภาษาวรรณคดี
มีเบื้องหน้าเบื้องหลังยังไงรึท่าน ?


ไม่ซีเรียสนะท่านพี่... ไม่ว่าจะตั้งหัวข้อย่อยยังไง ก็ตามไปอ่านได้อยู่ดีแหละครับ


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 18 พ.ค. 06, 20:52
 ผมว่ามี คหพต. ที่ลดความร้อนแรงของกระทู้ นี้ได้ดีกว่า คหพต. ของผมแล้วล่ะครับ

คือกระทู้ 17 กะ 18 นั่งไงล่ะ...

555


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 18 พ.ค. 06, 21:06
 วันนี้จั๊กกะแร้ของคุณ pipat ขาวแล้วหรือยัง?

พึ่งดูโฆษณายาจั๊กกะแร้ขาวสำหรับผู้ชายเมื่อกี้นี้เอง    


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 พ.ค. 06, 21:13
 ค.ห.ของดิฉัน อุณหภูมิไม่เกิน 18 องศาเซลเชียสนะคะ คุณหมู

ต่อไปนี้ ถือว่าปรารภไปเรื่อยๆละกัน  ไม่ได้ซีเรียส

ตอนดิฉันยังเด็ก จำได้ว่าพ่อเริ่มสอนด้วยการยึดมงคล ๓๘ ประการ เรียงลำดับตั้งแต่อย่าคบคนพาล ให้คบคนมีความคิดอ่านดี
เห็นคนพาลที่ไหนก็อยู่ห่างๆ อย่าไปคลุกคลีสนิทสนมด้วย

แต่เดี๋ยวนี้ ค่านิยมกลายเป็นว่า คนเรามีดีมีเลวกันในตัวทุกคน  คบได้ทั้งนั้นละ

จึงอ่านพบในเว็บบอร์ดอื่นๆว่า บ่อยครั้งสาวๆเลือกแฟนที่ "เขาดีกะเรามาก" ไม่ยักใช่คำว่า" เขาเป็นคนดีมาก"

บางคนไม่เคยรู้เลยว่าแฟนตัวเองนิสัยเป็นไง จนกระทั่งลายออกให้เห็น ก็ยังงงงวยอยู่นั่นเอง

...เมื่อคบกันใหม่ๆเค้าดีกะเรามาก แต่เดี๋ยวนี้ อยากรู้ว่าทำไมเค้าชอบซ้อมเราเวลาเค้าโมโหคะ  
เราจะทำยังไงดีคะ  ไม่อยากเลิกกะเค้า..

ถ้าไม่อยากเลิกก็อุทิศตนเป็นกระสอบให้นักมวยซ้อมไปเรื่อยๆเถอะ หนูเอ๊ย  
นี่ถ้ารู้จักแยกแยะว่าก็คนมันเลว  ไม่ควรคลุกคลีด้วย หนูก็คงไม่บอบช้ำมากเท่านี้


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 พ.ค. 06, 21:16
 คุณอาชาผยองเข้าใจเอาเรือเข้าไปจอด  ทั้งที่เห็นพญาเสืออยู่แถวท่าน้ำ


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 พ.ค. 06, 21:17
 หนูเฟื่องเอาภาพนี้ไปมั่ง ไว้ป้องกันตัว
.
.


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 18 พ.ค. 06, 21:21
 ชอบมุขคุณนุช ถีบสุดๆเลย ขอความกรุณาอย่าแตะต้องได้ใหมครับชอบมากกก
---------

ผมมีหนังจะมาขอความเห็น

จิตแพทย์ มีลูกค้าหน้าแหย อยากเลิกงานที่ทำ ทนไม่ไหวอีกแล้ว แต่พ่อไม่ยอม
อาชีพนี้พ่อสอนให้ตั้งแต่เด็ก เจ็ดขวบเริ่มยิงเป็ด สิบสี่ ยิงคนตรงลานจอดรถ เป็นงานแรก
พ่อของแหยเป็นนายหน้าจัดหาฮิทแมน เห็นว่าเป็นอาชีพที่มั่นคง เลยครอบครูให้ลูก
เดิมอาชีพการงานก็ดำเนินไปได้ด้วยดี จนวันหนึ่งแหยนึกไงไม่รู้ ไปหาจิตแพทย์
รักษากันมาพักใหญ่ ยิงไปศพก็ปรึกษาที จิตแพทย์ก็ดีใจหาย ให้กำลังใจ คุณต้องเลิกได้

วันหนึ่งพ่อมีงานด่วนพิเศษ ให้เก็บเหยื่อทันทีคืนนี้ แหยทำงาน แต่ล้มเหลว เพราะเหยื่อคือหมอของตน
แหยขอรู้ว่าใครสั่ง จะเคลียร์ ที่สุดรู้ว่าพ่อสั่งเองเพราะอยากตัดจุดอ่อนลูก

ฉากสุดท้าย
แหยไปเจรจาที่บ้านพ่อ ทั้งคู่ทะเลาะกัน แหยยิงพ่อ พ่อตาย
จบ

ฉายทางเปย์ทีวีเมื่อสองสามปีก่อน คุณว่ามันน่าเสียเงินทำหนังอย่างนี้ออกมาใหม
แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่า

คุณจะให้ลูกดูใหม


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 18 พ.ค. 06, 21:23
 หมูน้อย
ความคิดแสดงออกผ่านภาษา

เราจะถกกันเรื่องหายนะของบ้านเมืองด้วยรูปแมวถูกจี้

จะไหวรื้อ.........


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 18 พ.ค. 06, 21:38
 เพิ่งรู้ว่าเรื่องไอ้แหยของผม มีเวอร์ชั่นแมวด้วย
ฉายเมื่อไหร่ครับคุณครู  ผมพลาดได้ไงไม่รู้

เอ หรือว่าเป็น J F K ภาคแมว....ไม่ยักรู้ว่าถ่ายทำเสร็จแล้ว

55555555


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 18 พ.ค. 06, 22:03
 คุณหมูน้อย เฟื่องว่า เราออกความเห็นกันเป็นปกตินะ
ไม่ได้ตั้งหน้า เอาชนะคะคานกัน หรือชี้ว่าใครถูกหรือผิดนี่นา
เป็นการแลกเปลี่ยนทัศนคติกัน with all due respect

ค่ะ อาจารย์เทาชมพู ตามที่หนูแปะก็หมายถึงบุคคล 3 คน (หรือ 2)
ที่เป็นศาสดาของศาสนาที่มีประชากรมนุษย์นับถือมากที่สุดในโลกนั่นแหละค่ะ
ถึงได้บอกว่ามีอยู่ไม่กี่คน

ในเมื่อจำนวนคนส่วนใหญ่ในสังคมยังเป็นปุถุชน ตัวเราเอง ก็ยังเป็นปุถุชน
เราคงไม่สามารถไปโน้มน้าวผู้อื่นให้เชื่อ ให้ทำ ให้คิด ให้ปฏิบัติ ในสิ่งที่เราคิดว่า ดี ได้หรอกค่ะ
เหมือนกลุ่มคนที่เผอิญทำงานในวงการโฆษณา เขาก็มีดี มีชั่ว มีทัศนคติ วิจารณญาณแตกต่างจากเรา
แต่เราห้ามเขาให้คิดเหมือนๆ เราไปหมดไม่ได้
ขนาดตัวเราเองคิดดี พูดดี ทำดี ยังไม่วายมีคนเห็นว่าเราไม่ดี หนูก็ว่า ควรที่จะทำใจตัวเอง
ง่ายกว่าที่จะไปคอยแก้ไขความคิดคนอื่น
โดยเฉพาะคนในสังคมที่ยังเป็นมนุษย์ปุถุชน
ซึ่งยังมีรัก โลภ โกรธ หลง ทิฐิ โทสะ โมหะ อคติ ตามแบบมนุษย์ปุถุชนด้วยกัน

ตอบคำถาม พี่พัฒน์นะคะ

แล้วพ่อแม่เด็กหายไปไหนหมดคะ ?

ถ้าพี่พัฒน์ไม่ชอบใจความคิดเห็นของหนูเพราะไม่คล้อยตาม ก็ต้องกราบขออภัยอย่างสูงค่ะ
หนูเพียงแต่มองสิ่งต่าง ๆ ด้วยสายตาเป็นกลาง และยอมรับความแตกต่างของสิ่งที่แวดล้อมรอบตัว

ที่หนูพูดถึง อนุสัญญานั้น หมายถึงในระดับรัฐนะคะ ถ้ารัฐบาลปิดกั้นสื่อเสรี
ประชาชนในประเทศระบอบประชาธิปไตยคงจะไม่ยอมแน่ ๆ เชียว
ในบ้านเมืองเราก็เห็นเคยมีข่าวโจมตีว่า ผู้มีอำนาจซื้อสื่อและควบคุมสื่อ
หนูยกอนุสัญญาขึ้นมา เพียงเพื่อจะชี้ให้เห็นว่า สังคมโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างที่เราไปหยุดหรือห้ามไม่ได้
ในประวัติศาสต์ การมีทาส ซื้อขายทาส เป็นสิ่งที่หลายประเทศ หลายๆ สังคมไม่เคยมองเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
ในขณะที่ทุกวันนี้ กระบวนการค้ามนุษย์ คือรูปแบบของทาสสมัยใหม่
และประชากรในสังคมโลก ได้รับการคุ้มครองทางกฏหมายจากการตกเป็นทาสสมัยใหม่
ตอนนี้ โลกกำลังตื่นตัวเรื่องสิทธิมนุษยชน อิสระเสรีภาพของมนุษย์ ดังนั้น เสรีภาพของการโฆษณาจึงเปิดกว้าง
ในขณะเดียวกัน ถ้าการโฆษณาสื่อเกินความจริง เข้าขั้นนหลอกลวงผู้บริโภคเมื่อใด
กฏหมายก็เอาผิดคนผลิตโฆษณา เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคเช่นกัน
 
ปัญหามันอยู่ที่ระดับรากของสังคม และเราเลี่ยงปัญหาสังคมไม่ได้
นอกจากจะปลีกวิเวกไปอยู่สันโดษ ในเมื่อเรายังอยู่ในสังคม เลี้ยงลูกให้ดำเนินชีวิตในสังคม
หนูคิดว่าทางเลือก ค่านิยมของพ่อแม่มีส่วนสำคัญต่อการปลูกฝังแนวคิดให้ลูก
แทนที่พ่อแม่จะเลือกการทำงานหาเงินปรนเปรอลูกทางวัตถุ
พ่อแม่ควรเลือกที่จะสนใจใกล้ชิด แก้ไขทัศนคติของลูก
มีเวลาอบรมบ่มนิสัยเลี้ยงดู ชี้ถูก ชี้ผิด จากปัญหาสังคมรอบตัว

จะได้ไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจทีหลัง ว่าเลี้ยงลูกไม่ได้ดี แล้วโทษว่าเป็นความผิดของสังคม


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 18 พ.ค. 06, 22:10
อุย เพิ่งเห็นสไนเปอร์แคท ของอาจารย์  ขอบพระคุณค่ะ
แค่เจอคุณหมูเอาปืนจี้ข้างบนนั่น เฟื่องก็ม่อยกะรอกแล้วค่ะ

หนูกำลังจะไปโดดน้ำป๋อมแป๋มอยู่แล้ว

ใครเอาซากุระ+วิสแคท ทำบุญกรวดน้ำให้เฟื่องด้วยนะ


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 18 พ.ค. 06, 23:40
 เมื่อนมนานกาเลมาแล้ว
นับแต่นายติบอยังเป็นละอ่อนน้อยวัยกระเตาะอยู่
มีครีเอทีฟโฆษณาที่น่ารักท่านหนึ่ง มาเล่าเรื่องคณะกรรมการที่น่าปวดหัวให้ฟัง

เรื่องมีว่า เธอทำโฆษณาเกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่าให้บริษัทแห่งหนึ่ง
และใต้ภาพหนึ่ง มีข้อความขึ้นมาว่า "ป่าคือคลังยารักษาโรค" (หรือไงนี่แหละ)
แล้วคณะกรรมการที่ว่า ตอบกลับมาว่าโฆษณาที่ว่านี่ "ไม่ผ่าน" เพราะข้อความที่ว่านั่น "ไม่สื่อความหมาย"





สงสัยคณะกรรมการชุดปัจจุบัน จะเห็นโฆษณายุคนี้นี่พอๆกัน
เพราะอะไรๆที่มันสื่อความหมายมากมาย เขาก็ปล่อยให้ "ผ่าน" ออกมาได้อย่างน่าสะอึก

คุณแม่ผมไม่เคยชอบโฆษณาลูกกลิ้งทารักแร้ผู้ชายยี่ห้อหนึ่งที่ถ่ายในรีสอทริมทะเล และมีฉากจบเป็นผู้ชายนอนกอดผู้หญิงบนเตียง หรือโฆษณาท่อเหล็กรูดเสาเอาเสียเลย
ท่านถามผมเสมอว่า "เธอคิดว่ามันน่ามาโฆษณาให้เด็กเห็นมั้ย" และกดเปลี่ยนช่องทุกครั้งที่เรานั่งดูโทรทัศน์ด้วยกันแล้วโฆษณาพวกนี้โผล่ขึ้นมา
แต่จนแล้วจนรอด โฆษณาที่ว่าก็ยังโผล่หราบนหน้าจอโทรทัศน์ได้ทุกช่วงเวลา ไม่เว้นแม้แต่เวลาครอบครัว
.... หรือเขาจะคิดว่าพ่อแม่ควรอธิบายให้ลูกอายุไม่กี่ขวบเข้าใจว่ามันหมายความว่าอะไร เพราะเด็กอนุบาลควรเข้าใจคำว่าเซ็กส์ให้มากพอ ?


ปล.1 ถ้าชวนได้ ผมจะลองชวนตรีเอทีฟโฆษณาเข้ามาซักท่านสองท่านที่อาจจะเมตตากรุณาผมอยู่บ้าง เข้ามาร่วมแบ่งปันความรู้กันอ่าน
แต่เท่าที่รู้ บางท่านคงติดขัดเรื่องหมายเลขบัตรประจำตัวฯ ที่ไม่ประสงค์จะนำมาใช้สมัครเวบบอร์ดแต่อย่างใด

ปล.2 ไม่ทราบว่าครีเอทีฟโฆษณาท่านที่ว่าจะจำเรื่องที่ผมเล่ามาได้มั้ย (เพราะเวลามันผ่านมาค่อนชีวิตที่มีอยู่ของผมตอนนี้แล้วล่ะครับ หิหิ)


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 19 พ.ค. 06, 00:39
 เวรคั่ม นายติบอ

กระทู้นี่เป็นผลพลอยได้ (เอ ..หรือผลพลอยเสียหว่า)
ของประเด็นอีหนูรูดเสา ใน ปล. 2 ของท่าน

เอเย็นสี้ส่วนมากจะไม่อ่านอะไรเกินสิบวิ....เพราะฉะนั้น พวกเขาจะแพ้ตัวอักษร หลีกลี้ไปหมด

อีกอย่าง เว็บนี้ไม่มีเพลงเท่ๆ กับรูปวาบหวิว
หัวเด็ดตีนขาด อีก็ไม่มากัน

แต่ถ้าวันใหนสะตัมภะของผม หรือศาลพระภูมิอาจารย์เทา ไปแจ้งเกิดในเวทีชั่วอะหวอดละก้อ....
แค่พวงมาลัยคงไม่พอ
เห็นจะต้องถึงพวงหรีด


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 19 พ.ค. 06, 01:03
 น้องเฟื่อง ไม่ต้องขอโทษเลย ถ้าพี่โง่ไม่เชื่อหนู
วิจารณญานคนเรามันไม่เท่ากันอยู่แล้ว

อีกประการหนึ่ง ประเด็นของพี่ อยู่ตรงที่ คุณ (คนอื่นนะ ไม่ใช่หนู) เอา "พิษ" มาปล่อยในพื้นที่สาธารณะไม่ได้
ไม่ใช่ประเด็นว่า คนเราต้องรู้จักป้องกันอันตรายจากวัฒนธรรมวิปริตด้วยตัวเอง อย่ามาหวังคนอื่นช่วย

แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ว่า โฆษณา (หรือกว้างกว่านั้น คือสื่อทั้งหมด -รวมเว็บนี้ด้วย) ใช้ช่องทางที่
"ไม่ได้เอาปืนจ่อหัวซักกะหน่อย"  บังคับให้คุณต้องเสพ
การหันหน้าไปทางอื่น เปลี่ยนช่องด้วยรีโมต ทุบทีวี สารพัดกรรมวิธีหลีกเลี่ยงที่ยกมานั่นหน่ะ  ไม่ได้ทำให้พิษหายไป เจือจางลง หรือคุณปลอดภัยเลยแม้แต่นิดเดียว
มันแค่หลับตา ไม่ต้องมองเห็นลูกปืนวิ่งตัดขั้วหัวใจคุณเอง เท่านั้นแหละน้อง ช้าหรือเร็ว พี่ก็ตายอยู่ดีจากกระสุนเน่าๆ ของสื่อ

ลูกผม ไปเรียนที่อนุบาลแสนดีสุปเปอร์เริ่ด ลูกคนอื่นมาจากใหนไม่รู้ ติดใจเรื่องเชือดนายวิลเลียม อยากลองทำดูบ้าง
เชือดลูกผมเลย (แหะ แหะ  ยืมตัวอย่างหน่อยนะครับ) ใครผิดละน้อง เคสนี้

วิจารณญานนั่นเป็นกรรมที่ผมก่อ ผมไม่เถียง
แต่โศกนาฎกรรมที่ไม่ควรต้องมาเกิดกับผม (เพราะป้องกันได้) ต่างหาก คือประเด็นที่ผมต้องการถก

เรื่องสยองขวัญ เป็นยาสมานจิตขนานหนึ่ง แม้ว่ามันจะน่าขยะแขยง หดหู่ เก็บกด สะอิดสะเอียน แต่เรามีศิลปะ เพื่อใช้แปรรูปมัน ให้ ขยะกลายเป็นทอง
ปฎิกูลกลายเป็นสัจจะธรรม มิใช่หรือ

เราคงเห็นพ้องต้องกันนะ ว่ากลเม็ดเล่าเรื่องแบบที่อาจารย์ของเราเผยแผ่ออกมา มันเจ๋งศักดิ์และแจ่มศรี กินกันไม่เบื่อ
อาจารย์แกทำให้ "ฟรี" ใช่ใหมจ๊ะ แต่พวก "ชั่ว" นี่ ทำบาปทำกรรมโดยได้เงินค่าก่อกรรมทำเข็ญ
บางคนได้เงินเดือนมากพอเปิดเว็บวิชาการดอทคอมได้เดือนละสองเว็บเลย แล้วพวกนี้ก็เรียนสูงด้วยนะ ความคิดผิดชอบชั่วดี น่าจะสูงตามเงินเดือนบ้าง

ย้อนมาที่จุดตั้งต้นของความหงุดหงิดของrพี่อีกทีนะครับ

คุณ  ไม่  มี  สิทธิ์  ทำ  อย่าง  นี้  กับ  บ้าน  เมือง  ของ  ผม

แปลว่า ผมขอใช้สิทธิ์ในฐานะที่อาศัยในบ้านนี้ บอกกับคนอื่นว่า
ผมเห็นตุ๊ดตู่อยู่หน้าส้วม  
ช่วยไล่มันไปหน่อยเหอะ ผมจะใช้ห้องน้ำ

คนอื่นบอกว่า มันไม่ทำอะไรคุณหรอก
ผมบอกว่า มันทำผมถ่ายไม่ออกเฟ้ย


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 19 พ.ค. 06, 01:18

.
ไอ้แหยฆ่าพ่อ
เอาปกมาฝาก เผื่อใครอยากลอง


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 19 พ.ค. 06, 01:28
 อูยยย คุณpipat ฟังคุณpipat พูดแล้ว เหมือนจะให้สังคมสะอาด หมดจด เหมือนยุควิคตอเรียนยังไงๆอยู่นะครับ
แต่โลกของความเสื่อมอย่างในปัจจุบัน จะว่าไป อะไรๆมันก็ถดถอยถ่อยลงอย่างไม่ต้องพูดถึง

จำได้ว่าครั้งหนึ่ง ตอนผมยังเป็นเด็กอยู่ ไปเดินซื้อของกับคุณแม่ แล้วเจอะกะเทยนางหนึ่ง แต่งตัวตุ้งติ้งสุดริดเดินบิดสะโพกชอปปิ้งอยู่
ด้วยความไม่รู้ผมก็ถามคุณแม่ไปล่ะครับ ว่า "แม่ครับ น้าเขาเป็นอะไรอ่ะครับ"
เพื่อตอบคำถามผมแค่นี้แหละ คุณแม่ต้องจูงผมไปที่ชั้นวางของอีกหลายช่องถัดไปเพื่อบอกว่า "เขาเป็นกะเทยจ๊ะลูก"

ลองดูเดี๋ยวนี้สิ นักพูดกะเทย ช่างตัดผมกะเทย นักเขียนกะเทย นักทำโฆษณากะเทย ฯลฯ ไปจนถึงอ.สอนพิเศษกะเทยเดินพาเหรดออกโทรทัศน์กันเยอะแยะ
แถมบางทีไปเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณามีแฟนติดกันทั่วบ้านทั่วเมืองอีกด้วยแหนะ
จนเด็กอายุยังไม่ได้เข้าอนุบาลด้วยซ้ำเห็นเข้าก็ชี้บอกได้ "ลุง (หรือป้าดีหว่า) คนนั้นเป็นตุ๊ด"



เพลงก็เหมือนกันนะครับ จำได้ว่าผมเคยอ่านจดหมายเก่าๆที่คุณพ่อกับคุณแม่ผมส่งถึงกัน
เพื่อนคุณแม่คนหนึ่งที่เดินทางไปเรียนต่างประเทศเมื่อหลายสิบปีก่อน ได้รับเนื้อเพลง "ขอให้เหมือนเดิม" จากสุภาพบุรุษนุ่มท่านนึง
จนคุณน้าท่านนั้นเรียนจบ หอบเอาปริญญาโทข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมาเมืองไทย
เนื้อเพลงแผ่นนั้นก็ยังมีความหมายทางใจกับเธอมากมายเหลือเกิน

แล้วเดี๋ยวนี้ละครับ คุณpipat ลองดูเองแล้วกันว่ามันมีเพลงอะไรต่อมิอะไรมั่ง
แค่ฟังชื่อบางเพลงไม่ต้องมีเนื้อต่อก็บอกได้แล้ว ว่า "อีนี่มีผัว 2 คน" หรือไม่ก็ "โห อีนี่เป็นชู้กับผัวชาวบ้านนี่หว่า" (ขออนุญาตพูดภาษาชาวบ้านนะครับ)
เพลงฝรั่งยิ่งไปกันใหญ่ I want o help you masterba.... . เนี่ยะ จะแปลว่าอะไรดีล่ะครับ
ก็ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป กฏเกณฑ์ต่างๆมันหย่อนลง แล้วสังคมก็เปิดกว้างขึ้นนี่ครับ
จะไปให้มันเข้มงวดเท่าเมื่อก่อนก็คงยากนะครับ คนในสังคมก็คงได้แต่หวังไปเรื่อยๆอ่ะครับ



คุณพิพัฒน์ก็คงต้องใช้วิธีป้องกันให้ตัวคุณเอง กับคนในครอบครัวของคุณล่ะครับ
เลือกสังคมที่ดี สิ่งแวดล้อมที่ดี และการป้องกันที่แข็งแรงให้ทุกๆคนที่คุณเป็นห่วงเป็นใยไงครับ
(ประโยคล่าสุดที่พูดไปนี่ ไม่เกี่ยวอะไรกับบริษัทประกันภัย นมกระป๋อง หรือแป้งเด็กนะครับ แหะๆ)



ขอต่ออีกนิดนะครับ ว่า กว่าพ่อแม่แต่ละคนจะหาโรงเรียนให้ลูกเข้าเรียนได้ แค่อนุบาลนี่ก้เลือดตาแทบบกระเด็นแล้ว
คุณpipat จะไม่ให้ความเชื่อถือกับโรงเรียนที่คุณอุตส่าห์หาให้ลูกซะหน่อยเหรอครับ







ปล. เท่าที่ดูจากกระทู้นี้ โฆษณาหลายอันเรตติ้งดีจนเรียกควันคุณpipat นะครับ
ทางสถานีโทรทัศน์เขาคงไม่ถอดออกหรอกครับ อิอิ


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 19 พ.ค. 06, 01:51
 ตอนที่สร้างเขื่อนอัสวาน พลเมืองอียิป์ทุกคนสนับสนุน สิบปีเต็มๆ ที่ทุกกระบอกเสียงประโคมคุณงามความดีของมัน

มีคนเดียว คนเดียวจริงๆ ที่คัดค้าน โดยอ้างเรื่องที่ในวันนั้น ไม่มีใครรู้จัก ระบบนิเวศน์ของแม่น้ำไนล์

กาลเวลาเป็นพยานที่ซื่อสัตย์ เกิดโรคระบาดในเมืองใต้เขื่อน
พวกนักวิทย์ทั้งหลายคงรู้รายละเอียดดีกว่าผมในเรื่องนี้แต่ที่ผมจะอ้างคือ
อย่าทอดอาลัย เพราะใครๆ เขาก็เป็นกัน
ควรเคารพตัวเองบ้าง
ถ้าเห็นผี แต่คนอื่นบอกว่าผีไม่มีในโลก ก็ต้องเชื่อเรา ไม่ใช่เชื่อเขา เขาไม่เชื่อเราก็ไม่เป็นไร แต่เราต้องเตือนเขา ถ้าเราเห็นเรื่องที่น่าเตือน

ผมไม่เคยเชื่อฟังพ่อผมเลย แต่ท่านก็ยังสอนผมจนวินาทีสุดท้าย

เอาล่ะ จะเตือนเรื่องนี้ ฝากลมไปถึงคนที่อยากให้ได้ยิน
ผมชอบดูรายการคุณพระช่วย แน่ล่ะ คนทั้งหลายก็ชอบกัน
แต่รายการนี้ มีหลายอย่างที่อาจเป็นหายนะ
อ้าว...ทำไมพี่พูดอย่างนี้ละ..........เขาทำออกดี


ผมเห็นรอยร้าวเล็กๆ รอยหนึ่ง
รายการนี้มีกรอบเวลามาจำกัด ทุกอย่างต้องทำภายใต้เงื่อนไขเวลา นั่นทำให้เกณฑ์ประเมินค่าศิลปะวัฒนธรรมไทย ที่เขานำเสนอออกมา
เน้นเรื่อง "เร็ว" เป็นประเด็นหลัก
และเนื่องจากต้องการจับใจมหาชน บ่อยครั้งที่เขาละเว้น"ความประณีตบรรจง" และ "ความลึก" ฯลฯ อันเป็นลักษณะเฉพาะ พึงสงวนรักษา แต่ไม่เหมาะกับเกมส์โชว์

ใครช่วยชั่งน้ำหนักทีได้ใหม


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 พ.ค. 06, 10:07
อ่านค.ห. 33 แล้วเสียวสันหลังวาบๆไงไม่รู้ เหมือนแส้ตวัดเฉียดแผ่นหลังไปมา

เล่าเรื่องฆาตกรรมสยองเพราะความสนุก  ถือว่าการอ่านแล้วพากันวิเคราะห์สืบหาความเป็นไปได้ของฆาตกรตัวจริง
เป็นการฝึกสมองให้ทำงาน   โดยการคำนวณความเป็นเหตุเป็นผลได้อย่างดี  
รู้จักสังเกตสังกาและใช้จินตนาการควบคู่ไปด้วย
ส่วนการที่ดอดไปหาตอนจบมาอ่านเสียก่อน  สนองความอยากรู้
ดิฉันว่าเป็นการทำลายขั้นตอนทั้งหมดที่สมองจะได้พัฒนา  
เหมือนคุณไปหาคู่มือตอบข้อสอบวรรณคดี มาอ่านเป็นทางลัด  แล้วปิดหนังสือไปสอบวิชาวรรณคดีไทย ได้ A ออกมาก็จริง
แต่คุณจะไม่ได้รับรสชาติของวรรณคดีตัวจริง

แต่ก็มานึกได้ว่า เราไม่มีวิสัยทัศน์ไกลไปถึงว่าพ่อหนูแม่หนูอนุบาล มาเจอเว็บนี้  ผสมคำอ่านออกแล้วเลยถือขวานไปสับเพื่อนด้วยกัน
เราจะผิดไหม   ผิดแน่ๆไม่ต้องแก้ตัวว่าไม่เจตนา
เดี๋ยวจะรีบรวบรัดให้จบกระทู้แล้วดันให้มันตกหน้าไปเร็วๆดีกว่าค่ะ
****************
หนูเฟื่องจ๋า
อ่านของหนูตอนนี้แล้ว  ทำให้อยากตอบความในใจขึ้นมา
หนูบอกว่า
ควรที่จะทำใจตัวเอง
ง่ายกว่าที่จะไปคอยแก้ไขความคิดคนอื่น
โดยเฉพาะคนในสังคมที่ยังเป็นมนุษย์ปุถุชน
ซึ่งยังมีรัก โลภ โกรธ หลง ทิฐิ โทสะ โมหะ อคติ ตามแบบมนุษย์ปุถุชนด้วยกัน


อ่านแล้ว อยากบอกว่า  ฝึกฝนใจตัวเองเป็นสิ่งดีมาก ที่จะเข้มแข็งไม่คล้อยตามสิ่งผิดๆที่คนอื่นทำ
แต่มันก็เป็นสิ่งง่าย ถ้าเทียบกับเราได้อุทิศเวลาสักนิด ในแต่ละวัน แต่ละเดือนหรือปี  เมื่อว่างจากการฝึกใจตัวเองแล้ว
ทำอะไรสักอย่าง แก้ไขให้สังคมดีขึ้น เช่นเสนอความรู้แก่คนที่ไม่รู้  เสนอความคิดแก่คนที่ไม่ทันคิด
มันอาจจะยาก เพราะก็คงมีคนที่ไม่รับ  ไม่สนใจ คัดค้านหรือแม้แต่สวนหมัดกลับมาให้เราคิดว่า...ฉันน่าจะนั่งอยู่เฉยๆดีกว่านะนี่ ได้ไม่เจ็บและเหนื่อย

แต่คนหลายคนเขาก็ยินดีทำสิ่งที่มันไม่ได้สะท้อนกลับมาเป็นผลตอบแทนแก่ตัวเขา  แต่เป็นผลตอบแทนที่ดีแก่คนอื่นๆ
จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่ใครจะรับไปได้แค่ไหน  
แต่อย่างน้อยใน ๑๐๐ คนมีคนรับไปสัก ๑ คนก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย เพราะในกรณีนั้น จำนวนคนรับย่อมเป็น ๐

ก็เพราะคิดกันยังงี้แหละ คุณจ้อ คุณเปี้ยว คุณอ๊อฟและทีมงานคนอื่นๆ ถึงได้มานั่งทำเว็บวิชาการดอทคอมกันไง
ทั้งที่พวกเขาเรียนจบ กลับมาทำงาน    จะเอาเวลาว่างไปเที่ยวกับลูก กับแฟน  ก็ไม่มีใครมาเอ่ยปากตำหนิได้   ปลอดจากปัญหาปวดหัวต่างๆด้วย
แค่วิ่งวุ่นหาข้อมูล เขียนโครงการ ส่งไปตามที่ต่างๆเพื่อขอเงินมาค้ำจุนเว็บจากหน่วยงานเท่าที่จะหาได้   สมองด๊อกเตอร์ก็ต้องพึ่งพาราฯหลายขวดแล้วละหนู
แต่พวกเขาก็ยินดีทำ  และจะทำต่อไป


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 19 พ.ค. 06, 11:01
 อาจารย์เทาแกล้งตีความเข้าข้างตัวเอง เพื่อจะจบกระทู้หฤโหดนั่น
การรีบจบกระทู้ที่คนติดงอมแงม เป็นบาปนะครับ แหะ แหะ

ขอชี้แจงแถลงไขเกี่ยวกับที่ยกตัวอย่างสับสยองตระกูลวิลเลียมต่อครับ
ถ้าเป็นสำนวนสอบสวนของตำรวจ หรือรายงานการชันสูตร มิยิ่งสยองยกกำลังหรือครับ
ใช่ครับ

เขาจึงไม่เผยแพร่ในที่สาธารณะไงครับ แต่ไม่ "ห้าม" การเผยแพร่นะครับ นี่เห็นจะเข้าหลัก หิริ-โอตัปปะ อย่างอ่อนๆได้กระมัง
การละอายเกรงกลัวต่อบาปนี่ ไม่มีการแจกรายละเอียดเป็น 1, 2, 3, 1.1, 1.2, 1.3,
มันเป็น "องค์รวม" แบบควอนตั้มเทียวรี่(แหนะ ..วันนี้อ้างฝาหรั่ง   มันไม่รู้จะหาคำไทยคำใหน) คือ เมื่อถึงจุด มันจะเป็นไป แต่ถ้าไม่ถึง ยังไงยังไงก็ไม่เป็นไป แม้จะใกล็ถึงขีดสักเพียงใด
นี่กระมัง
ที่เขาว่าไม้บันทัดวัดคุณธรรมของแต่ละคน ละเอียดไม่เท่ากัน

มีเว็บวีระ-ยำ แยะเลย ที่คุณคลิกเข้าไปแล้วเจอทุกอย่าง
วันหนึ่ง ผมกำลังตามหาเว็บเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมไทย เจออันหนึ่ง บรรยายสรรพคุณไว้ดี คลิกเข้าไปผมเจออะไรรู้ใหม วีซีดีน้องแนท ครับ  อีกวันหนึ่งสอบข้อมูลเรื่องคอมพิวเตอร์...มันก้อโผล่มาเลย ...ราคาถูก ญี่ปุ่น ฝรั่ง....ภาพคมชัด......
หรือน้องคนใหนก็ได้ พิมพ์ คำว่า "ขาว สวย หมวย อึ๋ม" ใส่กูเกิลสิครับ
จริงล่ะ มันฟรีดั้ม ผมชอบ แต่ผมห่วงลูกชายลูกสาวของทุกๆ คน ทำไมเขาไม่ขายปืนให้เด็กเจ็ดขวบล่ะ เว็บพวกนี้ต่างจากปืนตรงใหน แล้วสื่อสารพัดที่ผมเกรงกลัว"เข้ากระดูกดำ" อันตรายน้อยกว่าปืนตรงใหน ทำไมห้ามเด็กสูบบุหรี่ละ ห้ามโฆษณาอีก
ที่เขาแซวกันไง
โจรคาบบุหรี่เอาปืนจ่อหัวพระเอก เขาทำเบลอที่บุหรี่ ไม่เบลอที่ปืน มันเหมือนสำนวนของ ว ณ เมืองลุงเลย ถอดกางเกงผายลม

ผมยอมรับอย่างดุษฎีภาพเรื่องสอนลูกเราให้ดีก่อน  แต่ถ้าหมู่บ้านที่คุณอยู่ มันโจรทุกหลังเลย คุณมิต้องกั้นรั้วห้ามลูกคุณออกไปหรือ

สมมตินะ ว่าลูกผมไปโรงเรียน อยู่ดีๆ มีเด็กในห้อง บิดามารดามันรวยจัด วันเกิดที สั่งเคททะลิ่งของการบินไทยเข้ามาหนึ่งคันรถ เลี้ยงทุกคนในโรงเรียน ทีนี้คุณจะสอนลูกว่าไง
เห็นช้าง... อย่า...ตามช้างหรือ คำสอนพวกนั้นมันกฏแห่งกรรมรุ่น ดอส 5.1 ครับ มันไม่ทันกับพฤติกรรมระดับควอดคอร์ของทุกวันนี้ เพราะเราหนุนฝั่งเตลิด มากกว่าหนุนฝั่งปราม
นี่พยายามยกตัวอย่างแบบที่กำกวม ไปบวกก็ได้ลบก็ได้มาถกกัน

จะเอาของจริงก็ได้
เด็กฝรั่ง เข้าเว็บ สอนวิธีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เจ้าหนูกับเพื่อนเลยวางระเบิดโรงเรียนไง จำได้ใหม นี่ละสื่อเสรีของแท้เลย

สื่อต้องมีเสรีแน่หรือ  แล้วแค่ใหนเขาถึงร้องว่า ไม่เสรีแล้วจ้า

กลับมาที่เรื่องเล่าของอาจารย์
นี่เป็นตัวอย่างของการใช้ประโยชน์ศิลปะ ว่าด้วยการเล่าเรื่อง เพื่ออัดฉีดสาระเข้าสำนึกคน
สมมตินะครับ ว่ามีเด็กมาอ่าน แล้วติดอย่างหลงไหล
คุณคิดว่า เจ้าหนูอยากจะเป็นนักสับ

หรืออยากจะเป็นนักเขียนครับ


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 19 พ.ค. 06, 11:35
 เรื่องนี้เป็นตำนาน และเป็นตำรา ว่าด้วยเสรีภาพสื่อ

หนังสือฮัสต์เล่อร์ เลวยังไง และเจ้าของไม่ได้ดีกว่าหนังสือยังไง คงไม่ต้องแจง
สาธุคุณท่านหนึ่ง จึงเทศน์ด่าหนังสือนี้ และได้ผลเพราะท่าน "เสียง" ดัง

ฮัสต์เล่อร์ด่ากลับ ถึงขั้นว่า
แม่ของสาธุคุณ ถูกแพะผสมพันธุ์ จึ่งกำเนิดท่านมา
สาธุคุณฟ้องว่าหมิ่นประมาท

สื่อใหญ่ทั้งหมดในเมริกาเข้าข้างฮัสต์เล่อร์
ทั้งที่แต่เดิมขยะแขยงมัน หาว่าเป็นปกขาวฉบับสี่สี
อ้างคาถาศักดิ์สิทธิ์ของหนูเฟื่อง นั่นแหละครับ
ประมาณว่า ถ้าปกขาวแพ้ ตัวเองจะหากินลำบาก
ไม่ต้องสนใจว่าศาลพิพากษาว่าไง นั่นมันประเทศเขา สังคมเขา



พวกคุณล่ะ ว่าไง


.


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 19 พ.ค. 06, 13:18
 อืม นั่งอ่านการแสดงความเห็นของท่านทั้งหลายแล้วเหนื่อยครับ แต่ก็ดีแล้วล่ะครับ ขอให้มีกระทู้แบบนี้มากๆ นะครับ
สำหรับความเห็นของผม ทุกท่านได้พูดไปหมดแล้ว จึงไม่ต้องแสดงที่นี่อีกครับ ออิอิอิ


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 20 พ.ค. 06, 15:41
 เฮ้ย คุณปะกานินี่จะไม่ยอมให้ผมอภิปรายต่อหรือ?

ผมยังไม่ได้พูดเลยครับ

ส่วนตัวเอง ผมคิดว่าผมค่อนข้างรำคาญผลงานครีเอถีบ (หรือเดสทรักถีบ) เหล่านี้หลายอันเหมือนกัน เข้ากลุ่มคุณพิพัฒน์ได้

ถ้าจะลากไปถึงสิทธิเสรีภาพตาม อเม็นด์เม้นท์ที่เท่าไหร่ของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ (เซกันด์?) ผมก็ยอมแพ้ แต่ก็นั่นแหละ นั่นมันรัฐธรรมนูญเมืองเขานี่นาไม่ใช่เมืองเรา

แต่ผมนึกถึงอีกหลักหนึ่ง ภาษาเศรษฐศาสตร์เรียก externality หรือเปล่าไม่แน่ใจคือในแง่หนึ่ง คุณเอ็งมีสิทธิเสรีภาพที่จะทำอะไรก้ได้ แต่ในแง่หนึ่ง ผมตูนั่งอยู่ของผมดีๆ สบายๆ ในบ้านความถ่อยของคุณเอ็งก็โผล่เข้ามาทำให้ผมคลื่นเหียน หรือโผล่เข้ามาทำนิสัยลูกผมเสีย ถึงในบ้านผม ผ่านทีวี หรือผ่านคัทเอาท์บนถนน หรือในหนังสือพิมพ์ พื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่สาธารณะนี่ครับ ถ้าคุณเอ็งมีสิทธิเสรีภาพในการทำหรือพูดอะไรก็ได้ ในบ้านคุณเอ็งก็ยังพอรับ แต่ -เจือก- ก่อมลพิษพอลลูชั่นลงพื้นที่สาธารณะนอกบ้านคุณเอ็ง คนอื่นเขาเดือดร้อน ก็นาจะสมควรมีขอบเขตป้องกันอะไรบ้าง

เหมือนกับการปล่อยน้ำเสียลงคลองสาธารณะ ในประเทศไหนก็ผิดทั้งนั้นครับ แม้แต่อเมริกา เพราะคนอื่นเขาเดือดร้อนจากมลภาวะของคุณเอ็ง แม้แต่ในประเทศอเมริกาเหมือนกัน หรือต่อให้ประเทศไหนก็ตามแต่ที่นับถือปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนด้วย กฏระเบียบว่าด้วยการกระทำอนาจารในที่สาธารณะก็ยังต้องมี คุณเอ็งจะถือเป็นการเอ็กซเพรสตัวเองอย่างหนึ่งแล้วลองทำอะไรที่เคยทำในที่ลับโจ้งๆ ในที่แจ้ง ก็ต้องโนตำรวจจับ  เพราะคนอื่นเขาไม่ชอบ มันไม่ใช่ในห้องนอนคุณเอ็งนี่หว่า

เปลี่ยนจากการกระทำ มาเป็นการทำหนังโฆษณา คุณเอ็งเป็นพวกถีบ ทำอนาจารแล้วได้เงินด้วย คนบางส่วนเห็นแล้วตาโตจำสินค้าคุณเอ็งได้แม่น เท่านั้นพอแล้ว งั้นเหรอ? หลักเดียวกันมันน่าจะพออนุโลมใช้ได้พอสมควร อาจไม่เป๊ะๆ หรือต้องควบคุมกันมาก เดี๋ยวหาว่าสิดรอนสิทธิเสรีภาพอีก แต่มันน่าจะมีเส้นขอบเขตบ้างรึเปล่า?


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 20 พ.ค. 06, 15:54
 แต่เรื่องนี้ออกจะละเอียดอ่อนพอสมควร ระหว่างการผดุงรสนิยมที่ดี กับการบังคับใช้เผด็จการทางความคิด

การเซ็นเซอร์จึงอาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด ถ้าจะใช้วิธีนั้น ผู้มีอำนาจเซนเซอร์ต้องมีวิจารณญาณดีมากๆ เลย ซึ่งบางทีก็ไม่เป็นยังงั้น

เมื่อใช้วิธีแบนเอาดื้อๆ ไม่ได้ทั้งหมด เดี๋ยวกระทบสิทธิมนุษยชน ผมจึงเคยคิดว่า ถ้าผมเป็นครีเอทีฟ แล้วเห็นโฆษณาไร้รสนิยมบ้าๆ ของพวกครีเอถีบด้วยกัน ซึ่งต่างก็นัยว่าเอ็นจอยสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกด้วยกันทั้งนั้น ผมจะลองๆ ร่างสตอรี่บอร์ด ทำโฆษณาเกทับไอ้พวกถีบบ้าๆ นั่นได้หลายอันทีเดียว แต่ต้องหาบริษัทลูกค้าที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมเหมือนกันและมีรสนิยมดีพอกันกับผม

ซึ่งที่จริงน่าจะหาไม่ยาก เพราะตามหลักโฆษณาเบื้องต้น บริษัททั้งหลายน่าจะอยากมีภาพลักษณ์เป็นคนดีด้วยกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ? แต่หลายครั้ง บริษัทพวกนี้ก็โง่ไปเสียเงินจ้างเดสทรักถีบที่สร้างภาพให้สินค้าตัวเองไปในทางตรงกันข้าม แล้วก็ยังปลื้มอยู่ได้

ตัวอย่าง ไม่นานมานี้ มีป้ายคัทเอาท์ใหญ่ขึ้นที่สี่แยกอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เปิดตัวเบียร์ชนิดใหม่ยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งนัยว่าขวดสีเหลืองเหมือนไฟเหลือง ก็โฆษณาประมาณว่าท้าคนดู คือ "กล้าๆ หน่อย กล้าลองของใหม่หน่อย ไฟเหลืองยังเคยกล้าฝ่ามาแล้ว กล้าลองเบียร์ขวดเหลืองหน่อยสิ ซำบายมาก"

ไอ้เวร ขอให้ไอ้ครีเอถีบคนนั้นถูกรถวิ่งฝ่าไฟแดงไฟเหลืองมาชนตายสักวันด้วยเถิด

ผมเคยนึกเล่นว่าถ้าผมเป็นบริษัทเบียร์ดั้งเดิม ผมจะขึ้นป้ายคัทเอาท์ข้างๆ เกทับเลยว่า "เมืองไทยของเราเบียรืไทยของเรา เบียร์เราเบียร์ผู้ดี มีระดับ มีความรับผิดชอบ มีนารยาทในการใช้รถใช้ถนน ไม่ทำผิดกฏจราจรอย่างน่ารังเกียจเหมือพวกที่ชอบดื่มเบียร์ชั้นต่ำอะไรไม่รู้แถวนี้"

เอาให้เข็ดเลย ในเมื่อเราควบคุมโฆษณาไม่ได้ ต้องโยนภาระให้คนดูใช้วิจารณญาณเอง งั้นก็อาศัยกระแสทุนนิยมเสรีนี่แหละ ช่วยเหลือวิจารณญาณของคนดุหน่อย แล้วสินค้าของเราจะได้ดูดีด้วย


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 20 พ.ค. 06, 16:00
 เคยมีโฆษณามือถือระยามตามบอนอันหนึ่ง คล้ายๆ จะโฆษณาว่ามาใช้ของเขาแล้วมีโปรโมชั่นให้คุยยาวจนคอแห้ง เดสทรักถีบจึงกำหนดเรื่องโฆษณาว่า "ใช้มือถือของเรา ระวังคอแห้งนะ" แล้วก็ให้ตัวละครในเรื่องทำน่าเกลียดโดยดื่มน้ำอั้กๆ จากปากขวดคูลเลอร์น้ำสาธารณะของที่ทำงาน น่ารังเกียจขยะแขยง

ถ้าผมเป็นครีเอถีบ ผมจะรีบเสนอไอเดียต่อบริษัทคู่แข่งเลยว่า ให้ออกโฆษณาเกทับมันอีกอันหนึ่งว่า "ใช้มือถือเจ้าโน้น ระวังมารยาททรามและกลายเป็นคนเลวงี่เง่าในส่วนตาคนรอบข้างนะ - ใช้มือถือเจ้าของเราดีกว่า เราเป็นมือถือที่แทนสิ่งดีๆ ในชีวิต..." เอายังงั้นซะเลย

แต่ไม่เห็นมีใครทำโฆษณาออกมาตอบโต้ความเลวของถีบส่วนหนึ่งอย่างที่ผมอยากเห็น ดังนั้นผมไม่แน่ใจนักว่า ขึ้นชื่อว่าถีบแล้ว จะต้องมีรสนิยมเดียวกันหมดโดยไม่มีข้อแตกต่างหรือเปล่า จึงไม่รู้จะตอบโต้ยังไงเพราะตัวเองก้ไม่ได้เห็นว่ามันไร้รสนิยม หรือว่าถือคติว่า ถีบด้วยกันย่อมไม่ถีบกันเอง หรืออะไรก็ไม่ทราบซี


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: elvisbhu ที่ 20 พ.ค. 06, 18:29
 โทษนักโฆษณาด่ากราดทั้งหมดไม่ได้หรอกครับ บางครั้ง เอเจนซี่บางแห่งก็ได้โจทย์จากลูกค้าว่า ขอไอเดียแหกๆหน่อยนะ
ผมอยากให้คนพูดถึงสินค้าเรามากๆ
(จะในทางดีหรือเลวก็ไม่สำคัญ ฮ่าฮ่า)
ถ้าคุณคิดดี แต่ไม่แหวก เขาก็อาจว่าคุณไดโนเสาร์ เชย
..โทษนะครับ โฆษณายุคนี้ คุณยิ่งด่ามาก คนยิ่งจำมาก เขาก็ยิ่งดัง
บางทีการจดจำตรายี่ห้อ สำคัญมาก
จนเขาไม่แคร์ว่า การรับรู้ของผู้เสพย์น่ะ เป็นในทางลบต่อตัวสินค้า
เป็นผลเสีย
เอาหละ ตอนนี้ ผมชอบโฆษณาบัตรเงินสดครับ ที่ผู้ชายท่าทางปวดอีมาก ไปซื้อกระดาากับหญิงชรา ที่กดเครื่องคิดเงินไม่ออก
ขำจริงๆ
เล่นดี ไอเดียดี
ถามว่า จำไหม จำแม่นเลยครับ
บางทีโฆษณาแค่นี้ ตราสินค้าต้องการแค่นี้
แต่ข้อเสียคือ จำยี่ห้อบัตรยังไม่ได้เพราะมัวแต่ขำ..
ต้องดูซ้ำบ่อยๆ
ซ้ำเข้าๆ ก็ไม่ขำ
แต่ตอนนั้นก็จะเริ่มจำตรายี่ห้อได้แล้ว
ถึงได้ต้องเพิ่มความถี่ไงครับ
ไปดูดาวินชี่โค้ดมา พอโฆษณานี้ออกโรงหนัง เฮกันทั้งโรง มันจริงๆ


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 20 พ.ค. 06, 18:41
 ตรงถนนเส้นลาดพร้าวตัดกับเส้นรัชดา(ใกล้ๆกับศาลอาญา)ไม่รู้เรียกว่าแยกอะไร
เมื่อวานผมผ่านไป  กลางสี่แยกมีป้ายคัทเอาท์ขนาดประมาณ1.5 คูณ 2 เมตร ติดอยู่ที่เสาของทางยกระดับอยู่ป้ายหนึ่งมีภาพครึ่งตัวของสาวนางหนึ่งกำลังอาบน้ำเปลือยกายจากฝักบัวท่าทางสดชื่น ชวนให้เคลิบเคลิ้ม(ไม่รู้เป็นโฆษณาอะไร.....เพราะผมไม่ได้สนใจตัวหนังสือโฆษณามัวแต่....)  กายเธอไม่มีอะไรปิดเลยนอกจากท่อนแขนของตัวเองและละอองน้ำจากฝักบัว


เลยอนุสาวรีย์ชัยฯไปทางประตูน้ำสักหน่อยเคยเห็นป้ายที่มีขนาดใหญ่กว่าที่เห็นประมาณ10เท่าปิดอยู่บนตึก มีสปอร์ตไลท์ส่องให้เห็นชัดๆ มีรูปครึ่งตัวของหญิงสาวที่ยืนหันหลังให้
เธอใส่ยกทรงตัวเดียว..ตรงตะขอเกี่ยวมีคลิปหนีบกระดาษหรืออะไรสักอย่างเกี่ยวไว้2-3อันเพื่อต่อความยาวให้สายเกี่ยวตะขอ มันเป็นโฆษณาประมาณว่า หากใช้บริการของเรา(หรือของครีม.?) ก็จะสามารถเพิ่มขนาดของทรงอกได้อย่างเห็นผม ขนาดเสื้อยกทรงขนาดไซด์ใหญ่ๆก็ยังแทบไม่พอประคองเกี่ยวไว้หมดจนต้องใช้อย่างอื่นมาเพิ่มขนาดและความยาวของยกทรง อะไรเทือกนั้น
ผมก็ไม่ได้ดูรายละเอียดของถ้อยคำที่โปรยไว้ล่อ เพื่อโฆษณาสินค้าของเขาอีกเช่นกัน แค่แหงนหน้าขึ้นมองก็แทบถูกรถชนตายแล้ว.
(.เดี๋ยวมันก็ต้องมีอุบัติเหตุเข้าสักวันเพราะไอ้แผ่นป้ายแผ่นนี้แน่....คอยดู )

จำได้..ก่อนหน้านั้นหลายปีมีครั้งหนึ่งขณะยืนรอรถเมล์  หน้าโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง มีคัทเอาท์โฆษณาที่ติดอยู่กับผนังของศาลาบังแดดตรงเก้าอี้นั่ง มีโฆษณาเสื้อชั้นใน มีสาวฝรั่งหุ่นสบึม 3-4รายยืนโพสท่าใส่เพียงเสื้อยกทรงและกางเกงชั้นใน
อยู่ในภาพ เด็กนักเรียนม.ปลายผู้ชายจับกลุ่มยืนมองอยู่ใกล้ๆและแซวเพื่อนผู้หญิงที่มาด้วยว่าของเธอประมาณนี้รึเปล่า ทั้งกลุ่มหัวเราะเฮฮา พากันมองหน้าอกเด็กหญิงคนนั้น....


......เด็กพวกนี้ติดกับของยาพิษที่ถูกปล่อยไว้แล้วใช่ไหม ?

คุณคิดยังไง... กับป้ายโฆษณานี้ที่ติดไว้หน้าโรงเรียน ???


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 21 พ.ค. 06, 21:08
 คุณภู เฟื่องก็ไปดูดาวินชี โค้ด มาเมื่อคืนเหมือนกัน
เรียกว่า ทำหนังออกมาถ่ายทอดสาสน์ในหนังสือได้ไม่ขาดตกบกพร่อง
เพียงแต่ในหนังสือ รายละเอียดความรู้เกร็ดต่างๆ เยอะกว่ามากๆ
ก็เรียกว่า ทำออกมาได้ดีนะคะ ดำเนินเรื่องรวบรัดดี เพลงดี
แม้ว่า เฟื่องไม่เห็นด้วยแต่แรกที่แคสต์ทอม แฮงค์ เป็นแลงดอนก็ตาม
ในหนังแลงดอนไม่ได้สวมสูทผ้าทวีด ซึ่งคาดว่าทอม แฮงค์สวมไม่ขึ้น อิอิ
อาจจะทำให้ดูเชย หรือแก่ สมอายุจริงของแฮงค์ (ห้าสิบขวบ)
ในขณะที่ แลงดอนตามบท อายุสี่สิบกว่า มีรูปลักษณ์ของนักวิชาการ
ที่เป็นนักว่ายน้ำ และนักโปโล ด้วย
ไม่บ่นต่อละ เอาเป็นว่ารวมๆ แล้วหนังก็ทำได้ดีพอใช้
คนดูหนังแล้วออกมาก็มีปฏิกิริยาต่าง ๆ กันออกไป
ตามแต่ศรัทธาและรสนิยมของคนดู

หนังเรื่องนี้ ขายโฆษณาได้เยอะมาก (คนสนใจมาก โฆษณาก็เพิ่มขึ้นตามส่วน)
เหมือนช่วงไพรม์ไทม์ในทีวี ที่มีผู้ชมทางบ้านมากที่สุด เวลาแพงเป็นทองทีเดียว
ตั้งแต่เข้าโรงหนังไปปุ๊บหนังโฆษณาก็คอยอยู่แล้วทีเดียว ฉายอยู่ครึ่งชั่วโมง
ปกติที่บ้านจะไม่ค่อยดูทีวี นอกจากข่าวหรือหนัง หรือสารคดี
พอจำต้องมานั่งดูโฆษณาแล้วก็คิดๆ ถึงกระทู้นี้ เหมือนกัน
เพราะนั่งๆ ดูหนังโฆษณาไป ตลอดเวลาเพื่อนที่นั่งข้างๆ ก็บ่นไปด้วย
บ่นนี่คือ บ่นอยากได้นั่น ได้นี่ ตามโฆษณาแต่ละชิ้น
คนที่ว่าไม่ใช่เด็กสามขวบ อายุเกินเบญจเพสแล้วด้วยซ้ำ

การเลือกภาพเผยแพร่สื่อโฆษณาในอดีตเคยมีการควบคุมกวดขัน
มากกว่าในปัจจุบัน
เคยดูรายการในเคเบิลทีวีที่นำสื่อโฆษณาในบางประเทศ
ที่ถูกแบนในหลายๆ ประเทศมาให้ดู
พอดูก็เห็นว่า อื้อหือ โลดโผนจัง แต่ก็ทำออกแนวสัปดี้สีปดน พอขำๆได้
ก็เข้าใจว่าละ ทำไมถึงโดนแบนในหลาย ๆ ประเทศ
อย่างไรก็ตาม มันเป็นจุดที่ทำให้คนจำสินค้าได้จากโฆษณา
เป็นการจูงใจอย่างหนึ่ง
เหมือนการสอนสาระ หรือคุณธรรมให้เด็กผ่านนิทานหรือการ์ตูน

ทุกวันนี้ อย่าว่าแต่โฆษณาเลย ละคร หนัง หรือ นักร้องนักแสดง
ยังต้องดึงดูดความสนใจจากคนดูด้วยการอวดเนื้อหนังมังสา
(ไม่เคยติดตามดู แค่อ่านๆ เอาตามอินเตอร์เน็ตก็พอทราบบ้าง)
นักแสดงสมัยก่อนถ้ามีเรื่องอื้อฉาวจะดับ
แต่ทุกวันนี้ ต้องมีการกุข่าว สร้างข่าวให้อื้อฉาว
แปลกที่ว่า ยิ่งอื้อฉาวยิ่งดัง ยิ่งได้รับความสนใจ
มากกว่าเวลานักแสดงมีข่าวดี ๆ ออกมาเสียอีก

สิ่งเหล่านี้ ส่งผ่านความหย่อนศีลธรรมจรรยาแก่ประชาชน
หรือเป็นสิ่งสะท้อนความหย่อนศีลธรรมจรรยาของสังคม ?

ทุกวันนี้ การที่รัฐบาลไม่ค่อยเข้มงวดกวดขันกับสื่อโฆษณา
อาจจะเป็นเพราะว่า โฆษณาเหล่านี้มีประโยชน์กับทางการเมือง
หรือ การบริหารบ้านเมืองอย่างหนึ่งคือ ทำให้ประชาชนฉลาดน้อยลง
พอคนเห็นโฆษณาจูงใจให้อยากได้นั่นอยากได้นี่
พออยากได้ก็เป็นการกระตุ้นให้คนต้องทำงาน หาเงิน จับจ่ายใช้สอย
เพื่อซื้อหาสินค้าตามโฆษณามาบำรุงความสุขส่วนตัวยิ่งๆ ขึ้น
พอสื่อโฆษณาช่วย keep them busy  หมกมุ่นกับความต้องการของตัวเอง
พอประชาชนส่วนหนึ่งที่มัวเมากับสื่อ ก็ไม่ค่อยมองสังคมโดยรวม
อย่างน้อยก็ผ่อนภาระของรัฐบาลไปได้บ้าง เพราะไม่ต้องรับมือกับคนพวกนี้
การเงินสะพัด เศรษฐกิจเดิน โดยเฉพาะในยุคที่เศรษฐกิจกนำการเมืองอย่างทุกวันนี้
อาจเป็นเพราะเหตุนี้ รัฐ (ไม่เพียงแต่ในประเทศไทย แต่ในหลายๆ ประเทศ)
จึงไม่เข้มงวดนักกับแนวทางการนำเสนอสื่อโฆษณาแบบงี่เง่า ๆ
ที่ผลิตออกมาเกลื่อนตลาด
เพราะมันเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งในการครอบงำประชาชนนั่นเอง


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: elvisbhu ที่ 22 พ.ค. 06, 11:27
 คุณเฟื่องครับ ที่จริงไม่อยากจะบอกเล้ย ว่านอกจากจะ(กำลัง)ทำงานศิลปะแล้ว
ผมน่ะเป็นนักโฆษณาคนหนึ่งกับเขาเหมือนกัน จะบอกว่าเป็นอดีตก็ไม่ได้ เพราะถ้ามีคนยังจ้างก็จะทำอยู่
อ่านที่มีท่านหนึ่งบอกว่า เว็บนี้ พวกครีเอทีฟเขาไม่เข้ามาหรอก เพราะไม่มีสิ่งที่เขาชอบ นั่นผิวเผินครับ
เพียงแต่ไม่แสดงตัว หรือไม่ก็ทำเฉยๆเท่านั้น
การทำโฆษณายุคไหนๆก็ตามเป็นเรื่องของคนที่หนุ่มๆสาวๆ เป็นพวกพยายามหนีคำ หรือภาพเก่าๆที่คนชิน บางคนหนีเก่ง ลูกค้ายอมรับ คนดูชอบ ของขายได้ โฆษณาได้รางวัล ก็มีความสุขกันไป
บางคนชีวิตทั้งชีวิต ไม่ชอบพูด ไม่ชอบอธิบาย ทำออกมา ชอบก็ชอบ ไม่ชอบก็ไม่เป็นไร ขอแค่มีเงินเดือนกิน มีอาชีพเป็นพอ


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: elvisbhu ที่ 22 พ.ค. 06, 11:39
 ลองดูโฆษณาของบ้านเราสิครับ งานดีๆไม่ค่อยอยู่กับบริษัทใหญ่ๆหรอกครับ เพราะมันมีพวกยิงไอเดียเยอะ ทั้งหัวหน้ากลุ่ม ทั้งฝ่ายติดต่อลูกค้า และตัวลูกค้าเอง

ยุคนี้ มีงานดีๆหลุดออกมาก็ยากครับ เพราะสินค้าที่ทำโฆษณาให้ดีได้มันไปอยู่ในมือของบริษัทเส้นเสียเยอะ และไอ้บริษัทพวกนี้ มันไม่ค่อยจะใส่ใจเรื่องความคิด เพราะผลกำไรมันอยู่ที่งบสื่อโฆษณาครับ

ผมไม่อยากพูดอะไรที่ไปอิงการเมือง
แต่คุณเฟื่องครับ ศิลปะ หรืองานความคิดสร้างสรรค์นี่บางครั้ง จะดีได้มันต้องมีสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อใจของคนคิดนะครับ
เพื่อนผมคนหนึ่ง เธอชินกับความกดดัน ไม่กดดันคิดไม่ออก
แต่เพื่อนอีกคน ถ้าเครียดไปก็คิดไม่ออก..

โฆษณาที่พยายามครอบงำประชาชน ก็เพื่อให้ซื้อของหรือบริการ
ผมว่าไม่เลวร้ายเท่ารายการทีวีและละครที่ขายความเพลิดเพลินแต่ทำให้คนเห็นแต่มารยาททรามๆ การแต่งตัวที่บอกรสนิยมอันไม่ศิวิไลซ์
และภาษาไทยที่ไม่ชัดถ้อยชัดคำซึ่งคนจะเผลอซึมซับเข้ามาในตัวเองครับ

อ้าว นี่ ผมพูดมาก จนลืมว่าไม่ใช่กระทู้ตัวเอง
ขอโทษครับ คุณpipat


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 22 พ.ค. 06, 18:07
 คุณภูคะ ที่เฟื่องพูดข้างบนน่ะ ไม่ได้ตำหนิครีเอทีฟ ที่ผลิตโฆษณานะคะ

แต่มันอยู่ที่ผู้กำหนดนโยบายต่างหาก
คือ บรรดาเจ้าของธุรกิจที่มุ่งเอาใจตลาด เพื่อตีตลาดนั่นแหละ
ส่วนรายการทีวี หรือละคร ต่าง ๆ นั้น การจัดเสื้อผ้าของรายการ
ก็เป็นส่วนหนึ่งในการโปรโมท หรือโฆษณาเหมือนกันนะคะ
มันแทรกซึมอยู่ทุกหัวระแหงเลยละ

เฟื่องชอบลักษณะการสร้างสรรค์งานโฆษณาค่ะ
เพราะบอกไว้แต่ต้นแล้วว่า การผลิตสื่อในเวลาไม่กี่วินาทีให้คนเข้าใจวัตถุประสงค์นั้น
เป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง (คหพต. ที่ 6)
และงานหลายๆ ชิ้นก็เสนอความคิดได้ดีและสร้างสรรค์มาก
มีอันนึง รู้สึกจะขายรถแต่ตัวโฆษณาเป็นการส่งเสริมให้คนคาดเข็มขัดนิรภัย
โฆษณาฉายให้เห็นภาพหลังอุบัติเหตุ มีคนในรถสี่ห้าคนได้
วิญญาณก็ล่องลอยออกไปหมด
เหลือพ่อหนุ่มคนนั่งหน้า วิญญาณไปไหนไม่ได้ เพราะติดเข็มขัดนิรภัย
เลยวูบกลับเข้าร่างเหมือนเดิม รอดตาย


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 22 พ.ค. 06, 18:12
 โฆษณาที่พยายามครอบงำประชาชน ก็เพื่อให้ซื้อของหรือบริการ
ผมว่าไม่เลวร้ายเท่ารายการทีวีและละครที่ขายความเพลิดเพลินแต่ทำให้คนเห็นแต่มารยาททรามๆ การแต่งตัวที่บอกรสนิยมอันไม่ศิวิไลซ์
และภาษาไทยที่ไม่ชัดถ้อยชัดคำซึ่งคนจะเผลอซึมซับเข้ามาในตัวเองครับ

สวัสดีทุก ๆ ท่านครับ
จริง ๆ ผมเห็นด้วยกับข้อสุดท้ายของคุณเอลวิสภูครับ
สังเกตง่าย ๆ ในสมัยนี้ ไม่เชื่อลองฟังคนพูดว่า ครับ ก็จะเห็นได้ชัดทีเดียว
ผมฟังทีไร ก็ได้ยินว่า คับ หรือออกเสียงไม่ชัด ไพล่เป็น ง(ฮ-ข-ค)อับ
ด้วยเหตุนี้ เรามารณรงค์การใช้ภาษาไทยที่ถูกต้องดีกว่าครับ
พอดีผมพบกระทู้นี้น่าสนใจดี ขออนุญาตฝากไว้นะครับ
 http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=92&Pid=40551
คราวหลังอาจจะแวะมาใหม่ครับ


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: viva ที่ 22 พ.ค. 06, 18:23
 ถึงคุณpipatคุณบอกว่าคุณเกลียดทีวีคุณไม่ชอบโฆษณาบางเรื่องเเต่vivaอยากจะบอกว่าแทนที่คุณจะเอาเวลามานั่งวิจารณ์โฆษณาเอาเวลาไปแนะนำลูกคุณให้รู้จักว่าเค้าทำโฆษณาเพื่ออะไร   สอนให้ลูกของคุณได้คิดว่าโฆษณาตัวไหนที่เรียกว่าสร้างสรรค์หรือว่าตัวไหนมันไม่ดีทำลายสังคมแทนจะดีกว่ามั้ย  เพราะมันเป็นเรื่องยากนะที่จะห้ามโฆษณาไม่ให้ออกอากาศ


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 22 พ.ค. 06, 18:25
 โฆษณาอันข้างบนเนี่ย รู้สึกจะได้รับรางวัลด้วยละ

ที่นึกถึง “ผู้กำหนดนโยบาย” หรือวางนโยบายนี่ เฟื่องนึกถึงรวมๆ ไปทั้งภาคเอกชนและรัฐบาลนะคะ
คือ ผู้กำหนดนโยบายการผลิตสื่อ และผู้กำหนดนโยบายการควบคุมสื่อ

ตอนนี้ กำลังเขียนรายงานเรื่องโครงการการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ซึ่งนักวิชาการเห็นว่า
เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ของสังคม
และสมควรได้รับการแก้ไขให้ถูกจุด รัฐบาลควรเข้าใจปัญหาของสังคมให้มากขึ้น
ดังนั้นจึงผลิตงานวิจัยออกมาหลายๆ ด้าน แต่สุดท้าย กลับไม่ได้รับการสนใจจากผู้กำหนดนโยบาย คือ ฝ่ายการเมือง
การประชุมครั้งนี้เลยเกิดขึ้น เป็นการจับผู้กำหนดนโยบายกับนักวิชาการมาหันหน้าเข้าหากัน
เพื่อให้นักการเมือง หรือผู้กำหนดนโยบายนำงานวิจัยด้านสังคมศาสตร์ไปใช้แก้ปัญหา
แต่ห้ามมาควบคุมแนวทางการทำวิจัย เพื่อรักษามาตรฐานงานวิจัยที่ดี
รวมทั้ง ตั้งเครือข่ายข้อมูลเพื่อให้ภาครัฐเข้าถึงงานวิจัยได้ง่ายขึ้น
ช่วยกันคนละไม้ละมือ ว่างั้นเถอะ

แต่พอเอาเข้าจริงในทางปฏิบัติมันก็ทำได้ยาก เพราะแนวทางแก้ปัญหามันไปคนละทาง
นักวิชาการมุ่งแก้ปัญหาเชิงลึก แต่นักการเมืองต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
นักการเมืองเขาก็ตระหนักในความสำคัญและประโยชน์ของงานวิจัยต่าง ๆ ทางสังคมศาสตร์
และสามารถนำมาช่วยแก้ไขปัญหาได้ แต่บางทีผลสำเร็จมันไม่เกิดขึ้นทันท่วงที
ก็เท่ากับเขาเสียสัญญากับประชาชน (ปัญหายังไม่ทันแก้ หมดวาระเสียก่อน)

เรียกว่า มองกันคนละมุม แม้ว่าจะตั้งใจดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่ก็ตกลงกันได้ยาก
ทั้ง ๆ ที่มีจุดมุ่งหมายดี ๆ ร่วมกันแท้ๆ

เฟื่องอาจจะบ่นๆ นอกประเด็นไปเล็กน้อย ต้องขอโทษพี่พัฒน์อีกคนค่ะ


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: elvisbhu ที่ 22 พ.ค. 06, 20:43
 โอยยยย...
เขียนซะเครียดจังครับ คุณเฟื่องครับ


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: 111 ที่ 22 พ.ค. 06, 21:28
 โฆษณาเครื่องดื่มชูกำลัง และเบียร์เอย สุราเอย ที่ว่าไม่เหมาะสมกับเด็ก

ดูมีสาระและความงามในเนื้อหามากกว่าโฆษณาบางตัวที่เน้นที่กลุ่มผู้บริโภคเด็ก และวัยรุ่นซะอีก ....

ประเทศชาติหนอ............


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 22 พ.ค. 06, 23:13
 เผลอไปค่ะ คุณภูๆๆ ตอนคิดเรื่องนี้น่ะ เฟื่องกำลังแปรงฟันนา อิอิ

ไม่เครียดค่ะ ไม่เครียด

(กะเดี๋ยวต้องมีคนมาแซว ว่าอิชั้นเรื้อยเจื้อยเป็นนกแก้วนกขุนทองอีกแน่เลย)


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 23 พ.ค. 06, 00:11
 คุณวิว่าครับ
ผมขออนุญาต พูดแทนคุณ pipat นะครับ ว่าที่นี่เป็นที่สำหรับการแบ่งปันความคิดกันน่ะครับ แกจะบ่นอะไรก็เผื่อว่าคนอื่นอยากบ่นเหมือนกันหรือคนที่ไม่เคยคิดเรื่องนี้จะได้ฉุกคิดน่ะครับ อย่าไปไล่แกไปเลี้ยงลูกเลย ดูจากความคิดคุณ pipat แล้วผมแน่ใจว่าลูกแกได้รับการเอาใจใส่อย่างดีแน่ๆครับ

คุณเฟื่องครับที่คุณบอกว่าใครบางคนต้องการมอมเมาให้ลุ่มหลงงมงายในค่านิยมฟุ้งเฟ้อต่างๆน่ะ เห้นด้วยครับ เพียงแต่อยากจะบอกว่า  ผมรู้มานานแล้ววววววววววววววววววววว
แต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวววววววววววววววววววว

ช่วงที่การเมืองมันหมิ่นเหม่ มองไม่ออกว่าฝ่ายไหนผิดถูกผมพยายามอย่างยิ่งที่จะไปสื่อสารที่เวปบอร์ดของปัญญาชนต่างๆ เพราะว่าสื่อต่างๆเป็นอัมพาตไปหมดมีแต่เรื่องมอมเมาและบิดเบือน  
เพื่อนร่วมสังคมของผมต้องมีโอกาสได้รับข้อมูลข่าวสาร ได้รับความคิดเห็นอีกด้านหนึ่ง แม้จะไม่ใช่วงกว้างแต่ก็ขอทำเท่าที่จะทำได้ แต่อย่างว่าแหละครับ โดนด่าโดนไล่มาทุกบอร์ด รวมถึงที่นี่ด้วย

ผมว่าตอนนี้อะไรๆมันน่าจะแจ่มแจ้งพอสมควรแล้วนะครับ


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 23 พ.ค. 06, 05:58
 หวัดดีค่ะ คุณปากกา จริงๆ เฟื่องเป็นคนมองโลกในแง่ดี แล้วก็พยายามเข้าใจทุก ๆ ฝ่าย
และทุกๆ อย่างบนโลกนี้ ตามธรรมชาติของคน ๆนั้น หรือของสิ่งนั้นๆ น่ะค่ะ
แต่ก็ยังมองโลกในพื้นฐานความเป็นจริงนะ

ต้องบอกแนวเดียวกับคุณภู มั่ง อิิอิ
แต่ก่อนเฟื่องก็เคยเป็นสื่อมวลชนมาก่อนนา
(ตอนนี้ ก็ยังเขียนข่าวเล็กๆ น้อยๆ บ้าง)
เห็นทั้งการเมือง ทั้งสื่อมวลชนมาแบบคลุกวงในมาบ้างพอตัว
ทั้ง ๆ ที่ทำใจแล้วนะ แต่ก็ทำไม่ลงเท่าไหร่ค่ะ

ไม่ค่อยอยากพูดถึงด้วยละ เดี๋ยวพื้นเสีย แหะๆ


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 23 พ.ค. 06, 20:51
 ข้อความต่อไปนี้ค่อนข้างยาว ไม่ชอบใจก็ข้ามไปนะครับ

ผมเป็นคนปากไม่ดี ถนัดในทางพูดไม่เข้าหูคน มาสังสันท์ที่นี่ไม่นาน ก็มีคนไม่ชอบหลายคน
นั่นเป็นกรรมที่ผมก่อ ผมยอมรับและพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง
แต่สื่อต้องทำมากกว่าที่ผมพยายามหลายร้อยเท่านะครับ เพราะผมเป็นเพียงเสียงหนึ่ง ที่กระทำการในบริเวณและเวลาอันจำกัด และไม่หมายมุ่งจะครอบสำนึกมหาชน ไม่ได้ถูกชุบตัวด้วยมนตร์จูงใจผ่านโปรดั๊กชั่นนับล้านๆ  รัศมีทำการกินอาณาบริเวณทั้งโลก ปราศจากตัวตนให้ระมัดระวังแต่ทรงพลานุภาพ อานุภาพการทำลายล้างมีตั้งแต่บำเรออารมณ์อย่างอ่อนๆ เพียงเสียงหัวเราะ ไปจนถึงขั้นล้างสมอง สาปมนุษย์เป็นอีกเผ่าพันธ์หนึ่ง ที่เลวลงกว่าต้นกำเนิดของตนเอง

เรื่องสื่อ ผมเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะพิษของมันซึมลึกและเปลี่ยนเราโดยเราไม่รู้ตัว ที่แย่คือผมไม่เคยเห็นสื่อเปลี่ยนคนไปในทางที่ดีเลย และถ้าสื่อดีจริงอย่างที่ตัวเองอ้าง ทำไมยังไม่มีสภาฯ ออกมาคุมประพฤติสื่อเลวเสียที  องค์กรสงฆ์ที่เก่าแก่งุ่มง่าม ยังมีปราชิก 4 กำกับมาตั้งสองพันห้าร้อยกว่าปี ใช้หลักการพื้นๆที่เป็นอมตะ "เข้ายากออกง่าย" ทำให้พระธรรมผุดผ่อง ตราบเท่าทุกวันนี้

เลนินคงเป็นคนแรกที่เห็นศักยภาพของสื่อ และรัสเซียเป็นประเทศแรกที่รัฐะ เล่นสื่อเสียเอง ฮิตเลอร์ยังเป็นได้แต่ผู้ตาม และโชคดีที่ถูกกำจัดเสี่ยก่อน แต่เชื้อชั่วมาถูกรับไปเพาะบ่มโดยพวกแยงกี้ ซึ่งทำจนกระทั่ง “สื่อ” คือยอดปรารถนาแห่งชีวิต (ใครจำหนังที่แม่นิโคล คิดแมนเล่นเป็นครูสาว ที่หลอกลูกศิษย์สามคน ให้ก่ออาชญากรรมเพื่อเธอจะได้เป็นเจ้าของข่าวนี้ และได้เข้าวงการสื่อ) จนมีคติว่า ชีวิตนี้ไม่ได้ออกทีวี ตายดีกว่า

ประเทศใหนหนอ ที่พิมพ์แสตมป์สดุดีอีตัวระดับชาติ (นอนกับน้องชายประธานาธิบดี แล้วมานอนกับประธานาธิบดี โดยก่อนหน้านั้นได้ทำบัดสีกับใครมาบ้างก็เหลือจะเดา) ให้เป็นสัญญลักษณ์ทางวัฒนธรรม (คู่กับรูปหล่อเสียงดีที่ติดยางอมแงมจนตายก่อนวัยอันควร) จริงอยู่ ที่ชีวิตของเธอช่างน่าเวทนา และควรจดจำในฐานะเป็นโศกนาฏกรรมของสัตว์เมือง แต่ใครจะจำด้านมืดนี้เล่า ทุกคนนึกถึงแต่เธอในแง่ความสำเร็จ (ทั้งๆที่เล่นหนังก็เห่ย ร้องเพลงยิ่งเห่ย จนถึงบัดนี้ ยังไม่มีข้อมูลสนับสนุนความสามรถทางศิลปะของเจ้าหล่อนเลย) เป็นสามเหลี่ยมประดับด้วยทองคำนางหนึ่งในประวัติศาสตร์ แต่มันประวัติศาสตร์ประเทศเขา จำเป็นที่เราต้องจำเริญรอยตามละหรือ

ในประเทศไทย ก็เพิ่งเกิดปรากฏการณ์ "ทำซ้ำ" เช่นนี้ กรณีน้องแนทไงเล่า หลังละเมิดย่ำยีคำสอนและระบบคุณธรรมของบรรพบุรุษไทยลง ด้วยข้ออ้างว่าถูกหลอก (แต่อาจารย์สมพงษ์ จิตรระ... เคยติงว่า ดูแล้ว เธอเต็มใจ มิได้มีท่าทางอย่างอ้าง) แทนที่สังคมจะได้รับการเยียวยาด้วยการปรับเปลี่ยนเธออย่างเหมาะสม และผลิตคำสอนเพื่อสมานใจเยาวชน สังคมกลับปูนบำเน็จเธอ ด้วยการจ้างเธอแพร่ "คาว" ส่วนตัว ด้วยค่าตัวครั้งละหมื่น คืนละหลายๆ ครั้งติดต่อกันเป็นปี ไม่เว้นแม้แต่ในงานกาชาด ไม่รวมวีซีดีอีกนับหลายแสนแผ่นที่เด็กผู้ชายวัยสิบกว่าขวบเกือบทุกคนในพ.ศ.นี้ ต้องเคยดู

ผมจึงขอประท้วงคุณเอลวิสภูด้วยความเคารพว่า ท่านจะแค่
“ทำออกมา ชอบก็ชอบ ไม่ชอบก็ไม่เป็นไร ขอแค่มีเงินเดือนกิน มีอาชีพเป็นพอ” นั้น มันไม่พอขอรับ
การผลิตสื่อหาเงินหาทอง แม้ดูเป็นสิทธิส่วนตัว เป็นสัมมาอาชีวะ แต่ผมคิดว่าอาชีพนี้มีสถานะอันพิเศษ ที่สังคมต้องจ่ายค่าเสียหายไปด้วยนะครับ ถ้ามันสร้างความเสียหายขึ้น ไม่ใช่ด้วยตัวเงิน แต่ด้วย "คุณค่า" ที่เสื่อมทรุดลงทีละน้อยๆ แล้วทางแก้มันก็ไม่ใช่อย่างน้องเฟื่องแก้วหรือคุณวิวาแนะนำ

คุณวิวาจะสอนลูกยังไง กับโฆษณาที่ไล่เพื่อนออกจากบ้าน เพราะหวงเบียร์ขวดสุดท้าย หรือที่ทรามสุด เรื่องไอ้หนุ่ม ที่โหลดอินเตอร์เน็ตของค่ายหนึ่ง มันเร็วเสียจนแว็บออกไปฉี่ไม่ทัน เลยคว้าแก้วน้ำดื่มมา จัดการลำเลียงออกมาตรงหน้ามอนิเตอร์นั่นเอง ถ้าจะสอนลูกผมตรงนี้ ผมคงไม่สามารถเอ่ยถึงเรื่องสร้างสรรค์อะไรเทือกนั้น ผมบอกลูกว่า อย่างนี้เลวสถุล ต่ำช้า เสียชาติเกิด พ่อแม่ไม่สั่งสอน......... ไอ้เจ้าของกิจการ มันงั่งก็ช่างมันเถิด เพราะมันเรียนน้อย ขาดพ่อแม่คอยอบรมบ่มนิสัย เป็นคนไทยหรือเปล่าก็ไม่รู้
แต่พวกทำโฆษณานี่ เป็นลูกกำพร้าเหมือนกันหรือ ไม่เคยได้รับการปลูกฝังเรื่องคุณธรรมหรือ กุสุมรสน่ะ รู้จักใหม ใหนคุณเอลวิสภูบอกว่า พวกเขาก็รู้จักของดีๆนี

เท่าที่ผมมีประสบการณ์มา ตั้งแต่โฆษณาหนูหล่อ มาจนถึงไอพีสตาร์(ที่ให้อาเจ้ก คีบพิสซ่าแล้วหล่น นั่นมันฝรั่งครับ คนจีนที่อายุเกินสิบขวบทำของหล่นจากตะเกียบไม่เป็นแล้ว) ช่วยยกที่เลิศมาให้ครบนิ้วมือที
เอาระดับดาบวิชัยปลูกต้นไม้ก็พอ ไม่ต้องถึงระดับฝูงม้าป่า ควบตะบึงจากทะเลทรายสู่กลางปารีสของรถยนตร์ซีตรองหร็อก (มีถีบตนหนึ่งก็อบมาใช้ เพื่อจะอวดว่าพื้นที่เคลือบน้ำยาของตนน่ะแข็งแกร่งขนาดม้าทั้งฝูงตะบึงไม่ระคาย แต่โทษทีนะ ไอ้ฝุ่นที่ฟุ้งตรงฝีเท้าม้านั่น ม้าพกมาด้วยหรือ)

ทำไมเราต้องไปหาความดีงามในความเลวทรามล่ะครับ
สังคมของเรามาถึงจุดที่มองไปตรงใหนก็มีแต่ความมืดหม่นหมดหวังแล้วหรือ
เราจึงต้องพยายามรีดเลือดกับปู สอนลูกเรื่องครีเอถีปโดยอ้างอิงกับโฆษณา
ทำไมไม่สอนเขา ด้วยรูปที่คุณหมูน้อยช่างสรรหามากำนัล หรือศึกษากลเม็ดที่คุณติบอหยอดไว้ในข้อความ จำมุขเจ็บๆ ในวินิจฉัยของคุณอั๊บ และตัวอย่างที่เพิ่งอ่านเจอ ครูท่านหนึ่งบ่นว่า ฝนตกพรำๆ แมงเม่าเต็มบ้าน ทั้งที่ไม่ใช่ตลาดหุ้นเสียหน่อย ฮา......

อย่างนี้มิใช่หรือ ที่เราควรฝึกให้ลูกเราซึมซับ เพียงแต่ว่ามันน้อยลงทุกวันๆ

สมัยก่อน เรามั่นใจเวลาอ่านหน้าห้าสยามรัฐ เราขบเคี้ยวแง่มุมจากงาแซง ในทีวีเราเจอจำนง รังสิกุลที่เฟ้นหาของสูงค่าให้เราชม ทุกสุดสับดาห์เรามีสังคีตศาลาเป็นที่พักใจ แม้ว่ามันจะเชยไปหน่อย เมื่อเทียบกับดิอิมพอสสิเบิล

ดิอิมฯ นี่คงเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะทางวัฒนธรรมไทยร่วมสมัยทั้งปวง ในความเห็นของผม
ก่อนหน้าดิอิมฯ เพียงไม่กี่ปี เพลงไทยของเรายังเป็นเพชรในดนตรีของมวลมนุษย์ชาติ ไม่ต้องพูดถึงครูศร ซึ่งโดยสถานะ ท่านทำของเลวไม่ได้อยู่แล้ว แค่เพลงยอดนิยมธรรมดา เราก็ยังมีเพลงหรีดรัก ที่จ่าหนุ่มคนหนึ่งอยากลองวิชา แล้วกลับกลายเป็นเพลงดีจนหาตัวสู้แทบไม่ได้  มีเพลงเรือนแพ หรือทาษเทวี ที่งดงามเหลือจะเปรียบปาน มีเพลงเสียงกระซิบจากเกลียวคลื่น ที่สำเนียงดนตรีนั้น ชวนหวนหาอาลัย มีเพลงนอนฝันไป ซึ่งเป็นงานเหนือจริงชิ้นแรกๆ (อันที่จริงจะเป็นชิ้นเดียวด้วยซ้ำไป)

ในปีที่ดิอิมฯ เพิ่งถือกำเนิด เรายังทันพบกับกวีลูกทุ่ง ที่เชิญเห็ดตับเต่าขึ้นหิ้ง เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ยอดเยี่ยมในประวัติศาสตร์ ปัจจุบันนี้ คุณสร้างของพวกนี้ไม่ได้แล้วหรือ
คุณมีแต่อัศนี-วะสันต์ ที่ร้องเพลงยานเสียงเพราะเสียงไมถึง ทำเสียงสั่นอย่างฝืนกระเดือกแบบบาว เพราะทำได้แค่นั้น เด็กผู้หญิงร้องเพลงแบบพูดโทรศัพท์ ให้แอมป์บูสต์เสียงในลำคอออกมา เหมือนเรามุดเข้าไปนั่งฟังข้างลิ้นไก่เธอ ฟังการออกเสียงที่ลิ้นบวมคับปาก หัวเสียงกับหางเสียงพันกันเหมือนกิ้งกือนอนขด และที่สุดยอด คือร้องทีละคำแล้วเอากาวดิจิตอลแปะมันต่อๆกัน แบบป้าเบิร์ด ....นี่ยกตัวอย่างนิดหน่อยแค่นั้น

ผมมั่นใจว่าตัวเองคลั่งชาติไม่แพ้ใครเหมือนกัน ดังนั้น ถ้าเจอของดีจริง รับรองว่าผมคงทำยิ่งกว่านายกฯ บุกถ้ำลิเจีย หรือยกย่องลูกโอ๊คเป็นเยาวชนตัวอย่าง ยิ่งกว่าคนไทยเห่อเหรียญทองโอลิมปิค คงพร่ำพรรณาสรรเสริญสิ่งนั้นไม่ได้หยุดหย่อน เช้าชมเย็นชม หาซื้อมาฝังหัวลูก เหมือนหาหนังของทิม เบอร์ตันมาให้มันดู หาฝีมือเปียนโนของสเวียตสลัฟ ริกแตร์มาเปิดกล่อม รวมถึงบังคับให้มันฟัง เชบริเย่ร์แม้ว่ามันจะยังฟังได้ไม่จบ ก็มันยังไม่สิบขวบเลย ต้องให้เวลาบ้าง
ผมล่ะแค้นใจนัก ที่ในท้องตลาดวันนี้ ของไทยทำที่เอาไว้สอนลูกได้ ทำไมมันไม่มีเลย เอาแบบสดๆ จากเตา หรือต้องยืนรอหน้าเขียงนะ ของแห้งค้างหิ้งอย่างมูลบทบรรพกิจ หรือนิราศลอนดอน นั่นมีติดบ้านเป็นเสบียงอยู่แล้ว

เราไม่มีแล้วหรือ นักร้องอย่างมัณฑนา ที่มุดหัวลงโอ่งน้ำหัดกลั้นหายใจ จนเธอได้แก้วเสียงและเทคนิคผ่อนลมที่แม้แต่พระเจ้าก็สร้างไม่ได้ ผมไม่อยากย้อนไปถึงหม่อมส้มจีนที่มีเสียงจากสวรรค์ ขอแค่พื้นๆแบบพูนศรี เจริญพงษ์ก็พอ แต่ไม่ควรพื้นขนาดเขาทราย สามารถ ปิยะพงษ์หรือพงษ์พัฒน์ ซึ่งเป็นเสียงจากบ้านของลูซิเฟอร์แท้ๆ ทีเดียวเทียว หรือพื้นบ้านแบบจรัล ก็ยังรับไหว

ถ้าเราเก็บภาษีขยะวัฒนธรรมได้นะครับ ตีเสียว่าอุตสาหกรรมสื่อทั้งระบบมีรายได้แค่สองแสนล้านต่อปี ขอแค่ครึ่งเปอร์เซ็นต์ก็รวยอ้วกเลยละครับ มาให้วิชาการดอทคอมแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ของครึ่งเปอร์เซ็นต์นั้น  ชาติไทยก็คงพอมีทางรอดบ้างหรอกครับ
แต่อย่าให้แก๊งค์เทพเจ้าทางวิชาการแถวๆ ถนนศรีอยุธยาเกี่ยวข้องนะครับ ท่านเหล่านั้นเป็นจำอวดทางวัฒนธรรมง่ะ
มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่หาหนังสือร้อยเล่มน่าอ่านน่ะ หมดเงินไปไม่รู้เท่าไหร่ พอประกาศออกมา ส. พลายน้อยมีแล้วเก้าสิบเจ็ดเล่ม ไม่รู้ควรหัวเราะหรือร้องไห้ดีกันแน่.............
อีกอันก็น่าขำ สมัยหนึ่งในมติชนสุดฯ ต้นเล่มมีบทความของนายก. เขียนเรื่องแบบที่แกถนัด แกเขียนมาเป็นสิบปีแล้ว ตอนท้ายเล่มมีบทความแบบเดียวกัน ของคนเดียวกันแต่อันหลังบอกว่าได้ทุนมาเขียน....555 นี่เราต้องจ้างคนให้ทำงานที่เขาได้รับค่าจ้างอยู่แล้วด้วยหรือ
เดี๋ยวก่อน....มีเด็ดกว่านั้น
ตอนนักมวยไทยได้เหรียญทองมา ประเทศไทยปวดหมอง ว่าจะปูนบำเน็จแกเท่าไรดี สามสิบล้าน ห้าสิบล้าน บ้านหนึ่งหลัง รถอีกกี่คันดี......
มีข่าวเล็กๆซ่อนอยู่ใกล้ๆ บอกว่าหน่วยงานจุด..จุด กำลังหาทางเพิ่มเงินเดือนศิลปินแห่งชาติ จากเดือนละ “สามพันกว่าบาท” ขึ้นมาอีก ส่วนนักมวยนั่น ต่อมาก็เสียพนันหมดตูด

ผมต้องขออภัยทุกท่าน ถ้าความเห็นของผมจะกระทบกระเทือนความรู้สึกไปบ้าง นึกว่าเมตตาให้คน คนหนึ่งได้แสดงความรู้สึกนึกคิดในสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครสนใจสักเล็กน้อยเถิด

ขอบคุณครับ


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 24 พ.ค. 06, 05:19

.
.
พี่พัฒน์  ลืมคุณพระนิล ฯ คนเก่ง แสนดี อีกคนค่ะ

เอาน้ำมาเสิร์ฟค่ะ กลัวคอแห้ง
(น้ำผลไม้รวม แสนชื่นใจ อุดมด้วยวิตามินเอถึงแซด)


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 24 พ.ค. 06, 09:11
 คุณนิลน่ะ ผมว่าจะแรงกว่าผมไปหลายขีดทีเดียว.....555
แล้วเธอมีข้อเสนอเป็นหลักเป็นฐานด้วย
ของผมมันเป็นการเพ้อลมเพ้อแล้งไปเรื่อยเปื่อย

แต่สังเกตอย่างว่าทุกความเห็นในกระทู้นี้ เข้มข้น ยาวเหยียด และกลั่นประเด็นจนใสกริ๊ก แถมอ่านรู้เรื่องอีกแหนะ

ขอบพระคุณครับที่ช่วยกันคนละไม้คนละมือ
หมูน้อยฯ ไม่ลองหาโคตรสะนาอะไรที่ถีบๆ มาชมเล่นมั่ง หือ


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 24 พ.ค. 06, 09:53
 นี่เลยครับ ไม่รู้ถีบหรือ ไม่ถีบ


.


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 24 พ.ค. 06, 10:10
 ไม่เคยนึกเลยว่า โฆษณาจะทำให้ผมรู้ว่าตัวเองมกจ๊กขนาดนี้ ขอบคุณหมูน้อย เอาไปเล็ย หนึ่งถีบ

สรุปว่าเรายังเลวกว่าที่เรานึกว่ะ ....5555


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: elvisbhu ที่ 24 พ.ค. 06, 12:30
 ผมจึงขอประท้วงคุณเอลวิสภูด้วยความเคารพว่า ท่านจะแค่
“ทำออกมา ชอบก็ชอบ ไม่ชอบก็ไม่เป็นไร ขอแค่มีเงินเดือนกิน มีอาชีพเป็นพอ” นั้น มันไม่พอขอรับ
การผลิตสื่อหาเงินหาทอง แม้ดูเป็นสิทธิส่วนตัว เป็นสัมมาอาชีวะ แต่ผมคิดว่าอาชีพนี้มีสถานะอันพิเศษ ที่สังคมต้องจ่ายค่าเสียหายไปด้วยนะครับ ถ้ามันสร้างความเสียหายขึ้น ไม่ใช่ด้วยตัวเงิน แต่ด้วย "คุณค่า" ที่เสื่อมทรุดลงทีละน้อยๆ.....

คุณpipatครับ ผมบอกแล้วครับว่ามีคนหลายประเภท ผมประท้วงกลับได้ไหมครับ ด้วยความเคารพเหมือนกัน ว่านั่นไม่ใช่ผมครับ

เนื่องจากผมเขียนไม่เก่ง ผมจะชวนเพื่อนร่วมอาชีพถีบด้วยกัน มาถีบ..เอ๊ย เขียนเบื้องหลังชิ้นโฆษณาดีๆให้ฟัง
บก.หนังสือสุดสัปดาห์บางคนเขาบอกเธอว่า เขียนมาสิ ต้องด่าเยอะๆนะ คนชอบ
เธอไม่ใช่ด่าไม่เป็นนะ ปากจัดมาก แต่ความคมของปากกามันอาจจะตวัดจนคนโฆษณาถามหา
คงอยากอยู่เป็นปกติน่ะครับ


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 24 พ.ค. 06, 16:28
โอ๋ ๆ คุณภู มาทางนี้มะ เขียนอะไรดีๆ มาตั้งเยอะ
ทำไม๊ เขาเห็นแต่ความไม่ดี กระซิกๆ น้อยใจ

เอาใจรุ่นพี่หน่อย เดี๋ยวจะตะนอยอีก

โฆษณารุ่นเก่า เอาใจรุ่นเก๋า นี่ พยายามถีบแล้วนะคะ
ไปคุ้ยหามากำนัลสุดชีวิต


(ไม่มีที่มาค่ะ เขาส่งต่อๆ กันมา)


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 24 พ.ค. 06, 16:30
อีกอันหนึ่ง เก่าจริงๆ นะ เพราะนางแบบยังหน้าใสปิ๊งปั๊ง อยู่เลย
.
.
(ตอนนี้ เธอก็ยังใสค่ะ แต่สลัดภาพพจน์นางเอก มาเป็นเจ๊ต๊องแทน)
.


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 24 พ.ค. 06, 16:38
 เป็นสิวไหมคะ เป็นสิวไหม

ขอเชิญชวนใช้ สบู่แต๊ดตู

.
.


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 24 พ.ค. 06, 16:44
 พระเอกทั้งหลายที่มีปัญหาเสื้อหด เพราะไม่ได้ใช้เซ็นโซไดด์ เอ๊ยย ซานฟอไรซ์

อย่าลืมซื้อเสื้อผ้าที่มีเครื่องหมายนี้ ก่อนวิ่งไปช่วยนางเอกตกน้ำ

.
.


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 24 พ.ค. 06, 16:59
ไม่ต้องหล่อ ปู่ก็เป็นพระเอกโฆษณาได้

ยอดอาหารบำรุงตับ ขายดีไปทั่วโลก

.


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 24 พ.ค. 06, 17:01
 วิทยุชั้นดี เห็นแล้ว นึกถึงโฆษณา ถ่านไฟฉายตรากบ

ใครเคยได้ยินบ้างคะ

.


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 24 พ.ค. 06, 17:15
 ยังไม่หยุดถีบค่ะ นมดีที่สุดในโลกเชียวนะ อันนี้
เทคนิคการโฆษณา สมัยก่อน

.
.


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 24 พ.ค. 06, 17:17
 สุดท้ายแล้วค่ะ อันนี้ ชื่อแส้เป็นไทยๆ น่ารักดี
ส่งเสริมนโยบายประหยัด

.


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 24 พ.ค. 06, 17:34

ขออนุญาตโพสต์รูปครับ
คราวนี้ ลอกมาจากกระทู้
 http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=20&Pid=51234
แต่ทำสีใหม่ครับ  


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 24 พ.ค. 06, 17:36

ภาพที่แล้ว before
คราวนี้ after?  


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 24 พ.ค. 06, 21:29
 ขอถอนการประท้วงคุณเอลวิส แต่ไม่ถอนคำประท้วง ฝากไปถึงคนที่พูดด้วยนะครับ ถ้าทำได้

ผมติดใจข้อสังเกตตุณ 111 ว่าโฆษณาของต้องห้าม ทำไมทำดีกว่าโฆษณาของธรรมดา
นั่นหมายความว่านักถีบชาวไทยนั้น "สมองถึง" แต่ "ใจ" ไม่ถึงกระมัง โฆษณาส่งเสริมสังคมนั้น มีผูกขาดทำดีอยู่เจ้านึง ที่เหลือนี่เอาให้บางแก้วหรือน้องโด เขาไม่กินครับ

แปลว่าเงินละหรือ ....คือเครื่องรองรับความถีบ จ่ายดีก็ถีบดี จ่ายไม่ดีก็ถีบไม่ดี ---เฮ้ย นั่นมันสูตรคิดเงินของสามล้อเมืองสองแควเขานี่

โฆษณาเหล้า จ่ายงาม ทุกอย่างก็เลยงามไปด้วย   อนิจจา

ป.ล. นู๋เฟื่อง แปะรูปมาหมดหอจดหมายเหตุ ตกลงจะเป็นพวก pro หรือพวก con หรือจะแปะอย่างเดียว มีเงินนค่อยจ่าย...555


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 24 พ.ค. 06, 23:08
 ในที่สุด พี่พัดก็เก็ทเฟื่องเสียที

เมื่อวานหนูไปประชุมมา เขาบอกว่า อาเซียนต้องเป็นกลางค่ะ อิอิ

หนูเขียนบอกไว้แต่แรกแล้วน๊า

(คหพต 6 :
ผลิตสื่อโฆษณาออกมาเพื่อพยายามโน้มน้าวใจผู้บริโภค
แล้วบางโฆษณา ก็เต็มไปด้วยไอเดียงี่เง่าเสียจริงๆ
แต่ต้องยอมรับว่า หนังโฆษณาบางเรื่อง ไอเดียเขาดีจริงๆ )

หนูก็รักชาติเหมือนกันนะคะ
งานที่ทำทุกวันนี้ ก็ทำเพื่อรับใช้ชาติ ไม่ใช่ทำเพราะเงิน

หนูก็เหมือนพี่พัฒน์นั่นแหละ อะไรดี ก็ว่าดี อะไรเลวก็ว่าเลว
เพียงแต่สไตล์ในการแสดงความเห็นของเรา ผิดกันเท่านั้นเอง

อ้อ มีของแถมด้วยหรือ ให้เนื้อที่โฆษณาแยะ เอ้า แถมพกค่ะ
.


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 24 พ.ค. 06, 23:14
 กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

เอาลูกโป่งสวรรค์ กับแก้มแดงๆ ของหนูคืนม๊า


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: bookaholic ที่ 25 พ.ค. 06, 09:14
 ขำกลิ้งกับโฆษณาที่คนทำเค้าไม่ได้ตั้งใจให้ขำ ถือว่าถีบมะครับ ชอบ 67 สุดยอด
คุณพิพัฒน์ครับ ช่วยหาของดีของงามในบทเพลง หนังสือหรือภาพศิลปะมาให้ผมเสพผ่านทางคุณด้วยได้มั้ย  ผมกำลังขาดอาหารใจอย่างแรงในสภาพแวดล้อมเวลานี้
คิดถึงเพลงมนต์รักลูกทุ่งมากครับ  หอมดินเคล้ากลิ่นไอฝน ครวญระคนหอมแก้มนงคราญ ขลุ่ยเป่าแผ่วพริ้วผ่านทิวแถวต้นตาล มนต์รักเพลงชาวบ้านลูกทุ่งแผ่วมา  ได้คันเบ็ดสักคันพร้อมเหยื่อ  มีน้องนางแก้มเรื่อนั่งเคียงตกปลา..โอย คิดถึงความหลัง


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 25 พ.ค. 06, 10:24
 คุณบุ๊ค
ไอ้ที่คุณพรรณามาน่ะ มันทำผมเคลิ้มจนลืมอายุเล็ยย์

กาลครั้งหนึ่ง เด็กสามคน.....
ปลาช่อนอยู่ในท้องร่องสวน เพื่อนผมตาแม่น เหวี่ยงฉมวกทีเดียว ได้ตัวเท่าแขนเด็ก คนหนึ่งบอก กูมีไม้ขีด เท่านั้นแหละครับ ขุดดินท้องร่องมากำมือหนึ่ง โปะใส่ปลา เคลือบจนมิด ก่อไฟ โยนลงไป นานแค่บุหรี่มวนเดียว เพื่อนชาวสวนก็หยิบก้อนดินนั้นจากกองไฟ แบะมันออก มือเปล่าๆ แหละครับ พวกเรามองอย่างสยอง มันไม่ร้อนหรือไง เจ้านั่นยิ้มอายๆ บอกพ่อผม หยิบถ่านในเตาจุดบุหรี่ใบจากด้วยมือเปล่า กึ๋ยยย์....

ดินเหนียวจะดูดติดเกล็ดปลา เมือก และหนังเอาไว้
เผยให้เห็นเนื้อสีขาว .....หอมไปถึงก้านสมองของคนดม
เสียดายที่ตัวมันเล็กไปหน่อย

ผมไม่เคยกินปลาเผาอร่อยอย่างนั้นอีกเลย ตลอดชีวิตที่เหลือ

-----------------
อีกเรื่องหนึ่ง
ที่ปราสาทกำแพงใหญ่ นาน....ก่อนบูรณะ เรากำลังรังวัดทำผังสถาปัตยกรรม
พลันก็ได้ยินเสียงร้องเพลงของเด็กสาว ลอยลมมาแต่ไกล เสียงไม่ดังนัก แต่คุณเอ๋ย มันชัดเจนเหมือนฟังอีสาวกระซิบอยู่ตรงหน้า อาจจะเรียกปรากฏการณ์นี้ว่าเป็นอะคูสติคจากสวรรค์ได้กระมัง แต่ที่สุดยอดนะพี่
เสียงเธอแจ๋วกว่าพุ่มพวงเสียอีก
อายุอานามไม่เกินสิบสาม แต่ที่มหัศจรรย์ก็คือ บุคลิกท่าทีที่เธอเดินตรงมายังพวกเรา เหมือนอับสะรา ออกมาจากรูปนูนต่ำ ยังไงยังงั้นเลยครับ

ไอ้พวกบ้าเครื่องเสียงชุดละเป็นล้าน เพื่อบรรลุถึงสะเตริโอ-อิมเมจจิ้ง แต่ไม่ได้มา ผมไม่ต้องเสียเงินสักบาท ได้มาเต็มสองหูสองตาเลย ...ฮิฮิฮิ

โคตรฯ เบอร์ 67 นั่น ยุคเพชรพระอุมากำลังเฟื่อง ชายหนุ่มทุกคนอยากเป็นอย่างนั้นกันทั้งนั้น 5555


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 25 พ.ค. 06, 16:18
 แก้มแดง ๆ จะไว้ใจได้ก๋า บ่ใจ้ข้าเจ้า จะไว้ใจได้ก๋า  
สวัสดีทุก ๆ ท่านที่เคารพครับ
ความเห็นที่ 72 - 73 เป็นผลของทุนนิยม หรือผลของความอยากกินกันแน่หนอ...


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 25 พ.ค. 06, 19:21
 แต่สังเกตดูนะ พ่อระพินทร์ (เขียนถูกไหมเนี่ย ไม่ใช่แฟนเพชรพระอุมา)
แกถอดรองเท้าก่อนโดดลงไปช่วยหญิงสาว จนเปียกปอนไปทั้งตัว
ขนหน้าแข้งนี่ เปียกลู่เชียว

ส่วนแม่สาวซึ่งสวมชุดว่ายน้ำ ไม่ยักเปียกน้ำแฮะ


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 25 พ.ค. 06, 19:29
 พี่ชอบลูกโป่งสวรรค์ กับตัวเนี้ยะ อะ คุณศรี ฯ  หน้าตา มันน่ารักดี


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 26 พ.ค. 06, 01:23
 เรื่องเล่าฝากคุณบุ๊ค (คนโซของงามๆ)
ถ้าคุณชอบฟังเพลง หาแอมป์หลอดเจ็ดวัตต์(สี่ก็ได้ ถ้ามี) ลำโพงเสียงหนาสักคู่ ห้องเล็กพอบรรจุจินตนาการของคุณ ฟังเพลงที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ (มาจากแท็กซี่คนหนึ่ง อ้างว่าเป็นเรื่องจริง)

ตอนอายุยี่สิบ ระพิน ภูไทถีบสามล้ออยู่ที่ตลาดเมืองสองแคว เรื่องโปรดมีแค่กินเหล้า แล้วก็ร้องเพลง พวกสามล้อด้วยกันรู้ดีว่าเสียงของมันดีแค่ใหน โดยเฉพาะ เมื่อเมาได้ที่
เย็นวันหนึ่ง มีประกวดร้องเพลงที่ตลาด ระพินทนแรงยุไม่ไหว (มันก็คงอยากเองด้วยแหละ) พรรคพวกทั้งกลุ่มลากมาสมัครกะเขาด้วย
อนิจจา

เจ้าหนุ่มมาช้าเกินไป เขาปิดรับสมัครแล้ว กำลังจัดคิวคนร้องเพลงกันอยู่ พรรคพวกไม่ยอมแพ้ พากันอ้อนวอน ไม่ได้ร้องแข่ง ขอร้องฟรีก็ยังดี เพื่อนผมเสียงดีนะครับ
คนคุมเวที จะด้วยความใจอ่อนหรือใจโหด อยากให้ไอ้พวกสามล้อกวนได้อายต่อหน้าธารกำนัล ก็ไม่มีใครรู้ ยอมให้ไอ้หน้าเด๋อ ในชุดหากินขาก๊วยสั้น หมวกสาน พาร่างแสนโทรมขึ้นเวที เผื่อมันจะถูกโห่ พอให้เวทีครื้นเครงกระมัง
ระพินไม่รู้หร็อก ว่าความอายเป็นยังไง ชีวิตนี้ ได้ขึ้นเวทีร้องเพลงกับวงดนตรีจริงๆ ก็เพียงพอให้ฝันหวานจนเกษียณแล้ว
เสียงหน้าม้าร้องว่า เอาเพลงรุ่งเพชร
ปีนั้น รุ่งเพชรครองราชย์เป็นราชาเพลงชาวบ้านอยู่ น้ำเสียงหวานรื่น เหน่อปนชัด ขึ้นตะหมูกกำลังดี เก็บหัวใจแม่ยกใส่กระเป๋ามาค่อนประเทศแล้ว
ไอ้หนุ่มสามล้อไม่รู้จักกลัว มันขอเพลงแล้วร้องกับวงได้ ไม่มีล่ม ทั้งๆ ที่เกิดมาเพิ่งเคยร้องเพลงจบก็ครั้งนี้
ทั้งเวทีงงพอที่จะยอมให้มันร้องเพลงที่สอง คราวนี้มันเล่นของแข็ง เรียกเพลงชาย เมืองสิงห์ จอมยี่เกลูกคอเจ็ดชั้น แถมยังมีลูกเล่น ทิ้งเสียงกระเพื่อมเหมือนระลอกน้ำในบึงวิ่งไล่กันเป็นลูกระนาดเข้าตลิ่ง
ไอ้ระพิน ทำได้ยังกับยืมคอพี่เขามาใช้

วันนั้น ไม่มีใครจำได้ ว่าใครร้องชนะ ทุกคนรอฟังไอ้สามล้อร้องแทรกระหว่างผู้ประกวดเปลี่ยนคน จนงานเลิก หัวหน้าวงจึงถามว่า
ไอ้หนุ่ม เอ็งชอยร้องเพลงมากนักหรือไร มาเป็นนักร้องกับข้าใหม

นั่นแหละ คือตอนเปิดเรื่องของระพิน ไอ้หนุ่มเสียงทอง เจ้าของแก้วเสียงที่พระเจ้าสร้างมาเพียงหนึ่งเดียว เพลงของมันถล่มหูชาวบ้านหมดประเทศ ล้วงเงินแม่ยกหมดกระเป๋า ในปีนั้น ไม่มีรถนำเที่ยวคันใหน ไม่ร้องเพลงของระพิน ไม่มีวงเหล้าใหน ที่ไม่เมาไปพร้อมกับเพลงของมัน
เพียงชั่วข้ามคืน ระพินก็กลายเป็นเจ้าชายแห่งวงการ มันใช้ชีวิตเต็มที่ราวกับรถไม่มีเบรค กิน ดื่ม เที่ยว ผู้หญิง...สารพัดที่เงินซื้อได้ เงินแสนไหลผ่านมือง่ายยังกับล้างสบู่

เพียงไม่กี่ปี ระพินก็มาถึงจุดต่ำ แต่ยังไม่สุด มันกินเหล้าจนเสียงพัง ...เละเทะจนไม่มีใครกล้ารับงานให้ ทุกอย่างมีแต่ความล้มเหลว หนี้สินล้นพ้นตัว จนมันต้องหนีหนี้ไปอยู่มหาชัย นัยว่าไปตามสาวคนรัก แต่ที่มันทำอย่างเอาจริงเอาจังไม่ใช่ง้อสาว มันกินเหล้า กินเหล้า และกินเหล้า
เสี่ยค่ายเพลงเคยมากู้หนี้มันหลายครั้ง หวังว่ามันจะฟื้นคืนมา อย่างน้อยชื่อเสียงเดิมก็ยังมีค่า แฟนเพลงส่วนหนึ่งก็ยังอยากฟัง

ระพินรวบรวมพลังครั้งสุดท้าย ออกเพลงใหม่ แท็กซี่ที่เล่าเรื่องนี้บอกว่า เป็นเพลงจากชีวิตจริง ผมก็ฟังเพลินจนไม่ทันถามชื่อเพลง แต่ช่างเถอะ สายเสียแล้ว

ระพินตายอย่างอนาถาที่มหาชัยนั่นเอง ไม่มีโอกาสที่สองสำหรับไอ้หนุ่มสามล้อเสียงสวรรค์อีกต่อไปแล้ว

หาเพลงของรุ่งเพชร ศรคีรี ฯลฯ มาฟังต่อจากระพินนะครับคุณบุ๊ค  เรายังโชคดีที่เพลงพวกนี้ยังเหลือรอดจากมหาวาตะภัยเสียมกลกลวง ที่กวาดนักร้องของแท้ตกเวทีตายหมดสูญพันธู์หาทรากไม่เจอ แล้วซ้ำด้วยโคลนจากบริสัตว์มหาชนบันเทิงถล่มซ้ำ

บางเวลาที่ค่อนข้างสงัด ผมได้ยินเสียงสุเทพ วงศ์กำแหงถอนหายใจเบาๆ ในเพลงหรีดรักด้วยละ

ลิ้งค์นี้เล่าเรื่องระพิน อีกเวอร์ชั่นหนึ่งครับ
 http://www.luktungfm.com/lost%20artist/rapin%20puthai.htm  


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 26 พ.ค. 06, 16:54
 กลายเป็นกระทู้เพชรพระอุมาไปแล้วครับ
ขออนุญาตมอบ แก่คุณเฟื่องไปพลาง ๆ ครับ
เพราะผมยังหาลูกโป่งไม่เจอ    

สืบเนื่องจากความเห็นที่ 46
ผมนึกถึงความเห็นที่ อ.สุขุมาล ท่านกล่าวไว้ในกระทู้ที่ผมให้ลิงค์ในความเห็นที่ 50 ครับ
"ความเห็นเพิ่มเติมที่ 48
สื่อแรกเด็กๆที่ต้องรีบรู้เท่าทันคือสื่อการโฆษณา ที่ทำให้วิธีคิดวัตถุนิยมทุนนิยม และบริโภคนิยม
ฝังตัวเข้าไปในวิธีคิดของคนไทยอย่างลึกซึ้ง และทำลายถึงระดับจิตวิญญาณเลยทีเดียว

ศาสตร์นี้มีรากมาจากทุนนิยมตะวันตก มีเงินเป็นฐานคิด แปลว่าสอนให้คิดโดยเอาเงินเป็นตัวตั้ง
แล้วก็ต้องหาวิธีโน้มน้าวใจให้คนจ่ายเงินซื้อ โดยมีหลักการว่าเราจะไม่บอกความจริงทั้งหมดแต่บอกเป็นท่อนๆ
ส่วนความจริงด้านลบทั้งหลายเราจะไม่บอกเลย
แล้วก็(อาจ)นำเสนอแก่กันด้วยความมั่นใจอย่างนี้

การสอนคนให้รู้สึกว่า “โกหกไม่ผิด - ทุจริตไม่เป็นไร” นั้น
มิใช่การทำลายกันในระดับจิตวิญญาณอย่างลึกซึ้งดอกหรือ

โดย: สุขุมาล จันทวี [IP: 203.156.117.89,,]
วันที่ 11 ก.พ. 2549 - 02:12:57"


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 26 พ.ค. 06, 16:56
 การวิพากย์รูปในความเห็น 73
ความเห็น 73 สังเกตดูจะเห็นว่าลุงแทนที่จะถือสามง่าม กลับถือปืนส่องกล้อง(เอเค-47?)แทน
น่าจะสื่อถึงความระแวงที่มีมากขึ้นตามวันและเวลา อันเนื่องมาจากสังคมทุนนิยม
ลุงและป้าตุ้ยนุ้ยมาก น่าจะเป็นผลของการบริโภคนิยม สังเกตได้จากหน้าต่างที่หน้าจั่ว มีตราสัญลักษณ์ของเฮียหมูอยู่ด้วย
ถ้าติดตามข่าว จะทราบว่าเฮียหมูแกทำอะไรให้กับโลกเราบ้าง (และผมก็ชอบกินขยะในร้านเฮียด้วยครับ)
สังเกตเสื้อของลุงและป้าตุ้ยนุ้ย จะเห็นได้ว่ามีขนาดใหญ่ ขาดความสวยงามและเรียบร้อย
เพราะถ้าคำนึงเรื่องนี้ ก็ใส่เสื้อได้ไม่สบายตัว อันนี้ก็คล้ายกับการผลิตในยุคทุนนิยม

และปิดท้าย ด้วยการรอฟังเรื่องเพชรพระอุมาครับ


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 26 พ.ค. 06, 20:46
 ขอบคุณค่ะ คุณศรี ฯ พี่ได้ลูกโป่งจากทู้น้องๆ ของอาจารย์เทาชมพูแล้วละ

น่ารักจังเลย ไปดูกันเร้ว


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: bookaholic ที่ 29 พ.ค. 06, 08:45
 อิ่มเพลงลูกทุ่ง เต็มกระเพาะไป 7 วันเล็ยย์ครับ   อิ่มหูอิ่มใจ

ผมไปหาเนื้อเพลงนอนฝันไปในเว็บจนเจอ  อยากรู้ว่าคุณ pipat เรียกเหนือจริง นั่นเป็นไง
 http://websuntaraporn.com/suntaraporn/lyric/postlyric.asp?GID=433  

สาขาผมเรียกซิมบอลลิสซึ่มครับ เป็นสัญลักษณ์แฝง  ซิกมันด์ ฟรอยด์ชอบเอามาใช้ในการตีความความฝัน   ส่วนผมเห็นเพียงว่าคนยุคปู่เค้าสื่อการนอนกับอารมณ์พิศวาสออกมาได้เนียนมากๆ  เดี๋ยวนี้เค้าไม่แฝงให้เสียเวลา บอกกันตรงๆไปเลย  ถีบแรงมากครับ
คุณ pipat เคยฟังมั้ยครับ   ไปนอนกันไหม ชื่อเพลงนะครับ ไม่ใช่คำชวน

You are a robot เฮ้..เฮ้...เฮ้
รู้ตอนนี้ ไม่รู้ว่าเธอนั้นเป็นอย่างัย จะพูดไปแล้วก็เหมือนน้ำมันที่ราดกองไฟ
คงยังร้อน รมณ์มันร้อน ไม่น่าเข้าใกล้ ไม่มีเหตุผล มันก็เอาแต่ใจ
ใจเย็น ๆ คุมอารมณ์เอาไว้ก่อน อย่าทำโมโห ทำอย่างงี้มันไม่ดี
ควันขโมง หน้าเธอมึนเหมือนยักษ์พันปี ถ้าเอายังนี้ เธอดูว่าดีกว่าไหม
* ไปนอนกันไหม เธออย่างพึ่งใจร้อน นอนกันก่อนมั้ย ฉันจะพาเธอไปพักผ่อน
เรื่องที่ปวดหัว เอาเถอะพักไว้แค่นั้น เธอกับฉันเราไปนอนกันดีกว่า
เฮ้...เฮ้....เฮ้...
ค่อยพูดค่อยจาให้เหมือนกับคนที่เขารักกัน ภาษาดอกไม้ได้ไหมถ้ามีให้กันทุกวัน
เธอก็ร้อน ฉันก็ร้อน ก็ยิ่งลุกเป็นควัน ทะเลาะกันแล้วได้ประโยชน์อะไร


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 29 พ.ค. 06, 10:13
 เพลงนอนฝันไปนี้ ถ้าอ่านแต่เนื้อร้องจะเห็นว่าไม่ถึงกับเลอเลิศ
เมื่อมีทำนองมาห่อหุ้ม ความพิเศษก็เพิ่มขึ้นพอสมควร

แต่เมื่อผ่านการ "ตีความ" ของมัณฑนาแล้ว เพลงนี้ก็กลายเป็นของวิเศษ

อยากให้สังเกตตั้งแต่ที่เธอเลือกบันไดเสียงแล้วนะครับ
การเว้นที่ว่างระหว่างประโยคนั้น เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของเธอ
การวางจังหวะลมหายใจ การรักษาระดับเสียง การออกเสียง และการอาศัยประโยชน์จากดนตรี.....ตอนจบเพลงนั่นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในประสบการณ์นาอี๊ฟของผมเชียวละครับ
เธอสร้างบรรยากาศกึ่งจริงกึ่งฝัน กึ่งพบกึ่งพราก ออกมาได้จากกัลเม็ดแห่งน้ำเสียงเฉพาะตนโดยแท้

คุณเอ๋ย หาไปทั้งสามโลก (โลกเก่า โลกเดี๋ยวนี้ และโลกข้างหน้า) ก็ไม่มีใครร้อง "เพลงไทยสากล" ได้เหนือเธอ

คุณรวงทองเคยประกาศว่า ไม่มีมัณฑนาก็ไม่มีรวงทอง นั่นจริงแท้แน่นอน
ผมประกาศมั่งว่า ไม่มีมัณฑนา ก็ไม่มีเพลงไทยสากล

จะเว่อไปใหมหนา


กระทู้: คุณมีสิทธิ์อะไร มาทำอย่างนี้กับบ้านเมืองผม...
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 29 พ.ค. 06, 12:50
 ส่วนไอ้สำรากที่คุณยกมานั่นก็แปลกดีเหมือนกัน
ผมไม่รู้ว่าคนแต่ง (เรียกอย่างนี้จะผิดประเวณีใหมนะ...เอาใหม่..) คนสำรอกความตัวนั้น มันมาจากบ้านใหน

เพิ่งเคยรู้ว่า ในภาษาไทยนี่ เวลาที่อารมณ์เสีย เขาชวนกันไปนอน.... ถ้ามันทำได้จริง หมายความว่าหลับแล้วอารมณ์ดีละก้อ เราก็ไม่ต้องมีศาสนาซีฟะ

มีแค่ยานอนหลับก็พอ

* ......เฮ้...เฮ้....เฮ้...