รู้จัก ศักดิชัย บำรุงพงศ์ ผ่าน
ส. ศิวรักษ์[ แด่คุณศักดิชัย บำรุงพงศ์ ]
(๑๒ กรกฎาคม ๒๔๖๑ - ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๗)
ข้าพเจ้ารู้จักคุณศักดิชัยยิ่งกว่ารู้จัก 'เสนีย์ เสาวพงศ์' ซึ่งเป็นนามปากกาอันลือชื่อของท่าน โดยที่คนซึ่งตั้งตัวเป็นหัวก้าวหน้า ย่อมต้องรู้จักผลงานของเสนีย์ เสาวพงศ์ ด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะก็เรื่อง "ปีศาจ" เสนีย์ เสาวพงศ์เองก็ได้รับการยกย่องจากหลายต่อหลายวงการ เช่น เป็นคนแรกที่ได้รับรางวัลศรีบูรพา เป็นต้น
แต่คนส่วนใหญ่คงไม่รู้ ว่าการผลิตวรรณกรรมเป็นงานอดิเรกของท่าน ซึ่งทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการรับใช้กระทรวงการต่างประเทศ ตั้งแต่สมัยคุณดิเรก ชัยนามเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงนั้น โดยมีคุณศักดิชัยเป็นหน้าห้อง และในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ นั้น คุณดิเรกกับหลวงอดุลเดชจรัสประสานงานกันอย่างสำคัญทางด้านเสรีไทย บ่อยครั้งคุณหลวงจะโทรศัพท์มาถึงคุณดิเรกเอง โดยมีคุณศักดิชัยรับโทรศัพท์ที่กระทรวงการต่างประเทศ เมื่อได้ยินคำว่า "นี่อดุลพูด ต้องการพูดกับคุณดิเรก" คุณศักดิชัยแทบหัวใจวาย และเมื่อคุณหลวงมาหาคุณดิเรก ตอนเดินออกจากกระทรวง ท่านไม่ให้คุณศักดิชัยเดินตามท่าน หากให้เดินไปข้างหน้า เผื่อใครลอบยิงท่านจะได้ยิงคุณศักดิชัยก่อน
อนึ่ง คุณดิเรก ชัยนาม เคยบอกว่า คุณศักดิชัย เธออยู่หน้าห้องอาจารย์ ทำงานหนักมาก แต่จะขึ้นเงินเดือนให้เธอ คนก็จะนินทา งบประมาณของกระทรวงฯมีจำกัด ให้คนอื่นเขาเงินเดือนขึ้นไปก่อนเถอะนะ
วันที่คุณศักดิชัยหมั้นกับคุณเครือพันธ์ โดยมีท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์เป็นประธานนั้น ท่านผู้หญิงถูกจับในข้อหากบฏสันติภาพกลางพิธีหมั้นวันนั้นเลย และบิดาของคุณเครือพันธ์ ก็คือ คุณเฉลียว ปทุมรส ซึ่งเคยเป็นราชเลขาธิการในรัชกาลที่ ๘ และถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ลอบวางแผนปลงพระชนม์ในหลวงพระองค์นั้น จนศาลฎีกาซึ่งปราศจากความยุติธรรมตัดสินให้ประหารชีวิตคุณเฉลียว เช่นเดียวกับคุณชิต สิงหเสนีและคุณบุศย์ ปัทมศริน คุณศักดิชัยปิดปากเงียบ ไม่พูดเรื่องกรณีสวรรคตเอาเลย ทั้ง ๆ ที่ศรีภรรยาเป็นทนายให้บิดา ซึ่งก็คือพ่อตาของคุณศักดิชัย
เพราะทำงานใกล้ชิดกับคุณดิเรก และท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ หลังรัฐประหาร ๒๔๙๐ คุณศักดิชัยจึงตกอับที่กระทรวงการต่างประเทศตลอดมา ดังทางกระทรวงการต่างประเทศนั้น ก็ส่งคุณศักดิชัยไปทำงานยังสถานทูตที่ไกลโพ้นถึงอเมริกาใต้ และค่อย ๆ ย้ายเข้ามา จนถึงกรุงเวียนนา ซึ่งท่านเป็นเบอร์ ๒ รองจากเอกอัครราชทูต โดยมีนายวรพุทธิ์ ชัยนาม ทำงานร่วมด้วย ในฐานะเลขานุการตรี ทั้งสองคนนี้เข้ากันได้อย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทั้งทางด้านวรรณกรรมและการเมือง ซึ่งทั้งคู่อยู่ฝ่ายค่ายสังคมนิยม ในขณะที่เอกอัครราชทูต ณ สถานที่แห่งนั้น เป็นคนขวาตกขอบอย่างปราศจากรสนิยมใด ๆ สิ้น
เมื่อคุณศักดิชัยมีตำแหน่งหน้าที่ถึงขั้นควรเป็นเอกอัครราชทูต กระทรวงฯก็เลือกให้ไปเป็นทูตที่เอธิโอเปีย ซึ่งทางกระทรวงฯเห็นว่า อยู่ในทวีปแอฟริกาอันเลวร้ายอย่างสุด ๆ เมื่อคุณศักดิชัยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูตที่พม่าก็บินตรงจากเอธิโอเปียไปประเทศใหม่นี้เลย โดยไม่ได้เข้ามากราบบังคมทูลพระกรุณา จะว่านี่เป็นเรื่องทางการเมืองได้ไหม โดยเราต้องไม่ลืมว่าเวลานั้น พี่ชายของคุณศักดิชัยเป็นผู้บัญชาการทหารบก
สำหรับตัวข้าพเจ้าเองนั้น ได้คุ้นเคยกับคุณศักดิชัยเกือบตลอดสมัยที่ท่านทำงานอยู่กระทรวงการต่างประเทศ ดังนายสละ ศิวรักษ์ ลูกผู้พี่ของข้าพเจ้า ก็ร่วมงานกันกับคุณศักดิชัยในขบวนการเสรีไทย และช่วยกันหาเสียงให้คุณดิเรก ชัยนาม ตอนที่ท่านสมัครเป็น ส.ส. พระนคร และเป็นผู้เดียวที่ชนะ โดยชนะผู้สมัครคนอื่น ๆ ของพรรคประชาธิปัตย์เอาเลย
ดังได้กล่าวแล้วว่าข้าพเจ้าคุ้นเคยกับคุณศักดิชัยและคุณเครือพันธ์มานาน แม้เมื่อท่านมาเป็นประธานที่ปรึกษาของหนังสือพิมพ์ "มติชน" ก็ยังสนิทสนมกลมเกลียวกัน แม้เจ้าใหญ่นายโตของสำนักนั้นจะหันหลังให้ข้าพเจ้าแล้วก็ตาม
คุณศักดิชัย เป็นคนพูดน้อย และมีอารมณ์ขัน อันยิ้มเยาะตัวเองได้เนือง ๆ โดยไม่โฆษณาชวนเชื่อให้ตัวเองเอาเลย แม้เมื่อท่านได้รับเชิญให้ไปแสดงปาฐกถาหรืออภิปรายในที่ต่าง ๆ ท่านยังไม่ยอมบอกให้ "มติชน" ไปทำข่าว ท่านบอกว่าเดี๋ยวจะกลายเป็นโฆษณาให้ตัวเองไป
คุณศักดิชัยมีอายุยืนนาน แม้ตอนหลังจะแทบไม่รับรู้อะไร ๆ เอาเลยก็ตาม ที่ดีก็คือ ท่านไม่ทราบเอาเลยด้วยซ้ำว่าคุณเครือพันธ์ตายจากท่านไปก่อน
เท่าที่เขียนมานี้ ก็เพื่ออยากให้มหาชนได้ทราบว่าคุณศักดิชัย บำรุงพงศ์ มีสาระแห่งความเป็นมนุษย์อย่างน่าชื่นชม นอกเหนือไปจากผลงานอันเป็นอมตะของเสนีย์ เสาวพงศ์
ส. ศิวรักษ์
๒-๑๒-๕๗