กระทู้: พระยาวจีสัตยารักษ์ (ขำ ศรียาภัย) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 พ.ค. 13, 10:28 เรียบเรียงจากพระนิพนธ์ในสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในหนังสือกาพย์ กุมารบรรพ พิมพ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพพระยาวจีสัตยารักษ์
พระยาวจีสัตยารักษ์ เกิดเมื่อพ.ศ. 2387 ในรัชกาลที่ 3 เป็นบุตรพระศรีราชสงคราม(ปาน) ปลัดเมืองไชยา ปู่เป็นผู้รักษาเมืองหลังสวน มารดาชื่อพุ่มเป็นธิดาของพระยาชุมพร(ซุย) ผู้ที่คุมกองทัพไทยออกไปเมืองมะริดและตะนาวศรี เมื่อพม่ารบกับอังกฤษครั้งแรก ปลายรัชกาลที่ 2 มีเกร็ดประวัติที่ดราม่าเอาการ แทรกไว้ในตอนนี้ ว่าเมื่อพระยาชุมพร(ซุย)ไปตั้งทัพอยู่ที่เมืองมะริด ได้หญิงสาวพม่าลูกสาวกรมการเมืองมะริดคนหนึ่งเป็นภรรยา เมื่อทัพไทยยกกลับ พระยาชุมพรก็พาภรรยากลับมาด้วย พร้อมกับกวาดต้อนชาวเมืองพม่ากลับมาด้วยตามธรรมเนียมสงครามอย่างที่เคยทำกันมาในอดีต ทำให้กำลังรักษาเมืองมะริดเหลือน้อย ถ้าหากว่าเป็นสมัยก่อนก็คงไม่เกิดอะไรขึ้น เพราะทัพไทยไปรบเมืองไหน ก็กวาดต้อนผู้คนเอากลับมาด้วยเป็นประจำ แต่สงครามคราวนี้ อังกฤษยกกำลังลงมาถึงมะริด ก็เลยยึดเมืองไว้ได้โดยง่าย เพราะกำลังคนไทยที่อยู่รักษาเมืองมีน้อย สู้ไม่ได้ เมื่อความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงขัดเคืองพระยาชุมพร(ซุย) จึงทรงให้เอาตัวมาสอบสวนในกรุงเทพ กระทู้: พระยาวจีสัตยารักษ์ (ขำ ศรียาภัย) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 พ.ค. 13, 19:14 ในช่วงเวลาที่พระยาชุมพรถูกกักตัวอยู่ในกรุงเทพ ก็เป็นเวลาที่อังกฤษส่งร้อยเอกเฮนรี่ เบอร์นี่เข้ามาเป็นทูตเพื่อทำสัญญาพระราชไมตรีกับสยามเป็นครั้งแรก ข้อตกลงประการหนึ่งในนั้นก็คือให้ปล่อยชาวพม่าที่ถูกกวาดต้อนมาในเขตไทยกลับไปพม่า และอังกฤษก็จะปล่อยคนไทยในมะริดกลับมาเช่นกัน เป็นอันว่าสยามกับอังกฤษตกลงกันได้ในข้อนี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯก็โปรดเกล้าฯให้ข้าหลวงลงไปที่ชุมพร จัดการส่งพวกพม่าที่พระยาชุมพรพามา กลับไปมะริดตามเดิม ภรรยาชาวพม่าของพระยาชุมพรก็ถูกส่งตัวกลับไปพร้อมกันด้วย
เมื่อถูกส่งตัวกลับ ภรรยาคนนั้นตั้งครรภ์อยู่ กลับไปคลอดลูกชายที่พม่า ชื่อ "ช่วยพอ" ส่วนพระยาชุมพรอยู่ทางกรุงเทพ ถึงแก่กรรมที่นี่ ไม่ทันได้กลับไปชุมพร ลูกชายที่พม่าเติบโตขึ้นโดยไม่มีโอกาสพบพ่อ แต่ก็รู้ว่าตัวเองเป็นลูกใคร เมื่อเจริญวัยขึ้นได้เป็นกรมการเมืองตามตระกูลพม่าฝ่ายตา แต่ยังถือว่าตัวเองเป็นคนไทย มีพ่อเป็นไทย ก็ติดต่อกับญาติพี่น้องทางชุมพรมาตลอด และสั่งเสียลูกหลานว่าถ้าอยู่ในพม่าไม่สบาย ก็ให้อพยพมาไทย เพราะมีเชื้อสายทางปู่เป็นคนไทย ต่อมานายช่วยพอถึงแก่กรรม บุตรคนหนึ่งชื่อนาย"จันพง" ไม่สมัครใจจะอยู่ในพม่า ก็เลยอพยพมาอยู่ในสยาม อาศัยอยู่กับพระยาวจีสัตยารักษ์ นายจันพงพูดภาษาอังกฤษและรู้จักวิชาทำแผนที่ พระยาวจีฯก็เลยฝากเข้าทำงานที่กระทรวงมหาดไทย นายจันพงไปรับราชการอยู่ทางมณฑลพายัพ จนได้เป็นขุนสำนักนพนิคม กระทู้: พระยาวจีสัตยารักษ์ (ขำ ศรียาภัย) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ค. 13, 16:26 พระยาวจีฯ เริ่มต้นชีวิตราชการด้วยการเป็นมหาดเล็กในรัชกาลที่ ๔ ไปฝึกหัดราชการอยู่ในสำนักสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เมื่อครั้งเป็นสมุหกลาโหม ต่อมาได้เป็นหลวงราชานุชิต ผู้ช่วยราชการเมืองไชยา เส้นทางของท่านก็เติบโตมาทางเส้นทางเมืองไชยานี้เอง เมื่อพ.ศ. ๒๔๑๒ ได้เลื่อนเป็นพระศรีราชสงคราม ปลัดเมืองไชยา อยู่ในตำแหน่งนี้ ๑๐ ปี
พระยาวจีฯเมื่อเป็นปลัดเมืองไชยา ได้ทำความดีความชอบครั้งสำคัญคือไปช่วยปราบพวกจีนที่ก่อจลาจลในภูเก็ต จึงได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทิพยากรณ์ ช้างเผือกชั้นที่ ๕ สองปีต่อมาก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นพระยาวิชิตภักดี ผู้ว่าราชการเมืองไชยา สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงเล่าถึงเหตุที่เริ่มทรงรู้จักคุ้นเคยกับพระยาวจีสัตยารักษ์ เมื่อพ.ศ. ๒๔๓๑ ขณะนั้นสมเด็จฯเป็นนายพลตรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก อยู่ในกรมยุทธนาธิการ อยู่มาทรงได้รับอนุญาตให้หยุดพักผ่อนบำรุงกำลังชั่วคราว จึงเสด็จไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนนายทหารด้วยกัน คือสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศนานุวัติวงศ์ ขณะนั้นทรงดำรงพระยศพลตรีเช่นกัน เป็นผู้บัญชาการกรมใช้จ่ายในกรมยุทธนาธิการ อีกองค์หนึ่งคือนายพันเอกกรมขุนมรุพงศ์สิริพัฒน์ ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ ๑๑ พลเรือจัตวา พระยาชลยุทธโยธินทร์(เดอริชลิว) นายพันโทพระยาสโมสรสรรพการ(ทัด) กับนายทหารอีก ๒-๓ คน กระทู้: พระยาวจีสัตยารักษ์ (ขำ ศรียาภัย) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 พ.ค. 13, 09:57 การไปเที่ยวหัวเมืองชายทะเลปักษ์ใต้ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ทั้งเจ้านายและนายทหารอื่นๆในกลุ่มนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนกันดีบ้าง วันหนึ่งเสด็จไปถึงอ่าวชุมพร ทอดสมอเรือที่ปากอ่าวแล้วก็ลงเรือเล็กไปเที่ยวที่ปากน้ำ พอขึ้นที่หาดเห็นชายคนหนึ่งสวมเสื้อขาวนุ่งกางเกงแพรเดินอยู่บนชายหาด ท่วงทีเป็นผู้ดี ไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป จึงทรงให้คนไปไต่ถาม ก็ได้ความว่าเป็นพระยาไชยา เมื่อได้ข่าวว่าเจ้านายเสด็จ ก็เลยมาคอยรับเสด็จอยู่ จึงได้ทรงคุ้นเคยกับพระยาวจีสัตยารักษ์นับแต่วันนั้น
สาเหตุที่พระยาวจีฯ มาที่ชุมพร ก็เพราะโดยส่วนตัว ท่านทำธุรกิจเป็นผู้จัดการเรื่องภาษีรังนก ให้พระยาโชฎึกราชเศรษฐี(ฟัก) มาจัดการเรื่องภาษีรังนกเสร็จแล้วก็มารับเสด็จเจ้านาย พระยาวจีฯเป็นผู้ชำนาญเรื่องท้องที่ทางหัวเมืองปักษ์ใต้ เมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงฯทรงชวนให้ไปด้วยกัน ก็ตกลงตามเสด็จไป นำเสด็จเจ้านายไปเที่ยวเกาะพงัน เกาะสมัยเมืองนครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี ขากลับ เรือจะแวะส่งพระยาวจีฯที่เมืองไชยา ก็พอดีมีเรือจากเมืองหลวงมาแจ้งว่าพวกฮ่อคุมกำลังจะมาตีเมืองหลวงพระบาง กรมยุทธนาธิการกำลังจัดเตรียมกองทัพ สมเด็จฯก็เลยทรงพาพระยาวจีฯ ติดเรือมากรุงเทพด้วย กระทู้: พระยาวจีสัตยารักษ์ (ขำ ศรียาภัย) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 มิ.ย. 13, 09:43 เมื่อถึงเมืองหลวง สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ก็เสด็จไปจัดกองทัพเพื่อปราบฮ่อ ส่วนพระยาวจีฯ ก็เดินทางย้อนกลับไปทางใต้ตามเดิม
การพบกันครั้งนั้นทำให้พระยาวจีฯ เป็นที่คุ้นเคยของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ จนถึงปีถัดมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ จะเสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จฯตามเสด็จด้วย เพื่อทำหน้าที่มัคคุเทศก์ หรือโปรแกรมเมเกอร์ หมายความว่าเป็นผู้นำเสด็จไปตามเส้นทาง เพื่อเยือนสถานที่ต่างๆที่เห็นสมควรว่าควรเสด็จไป สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ จึงทรงนึกถึงผู้ชำนาญด้านนี้ขึ้นมาได้ คือพระยาวจีสัตยารักษ์ ก็ทำหนังสือขอไปที่กระทรวงกลาโหมซึ่งในเวลานั้นมีหน้าที่ควบคุมหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตก ขอยืมตัวพระยาวจีสัตยารักษ์ให้มาตามเสด็จ ไปเป็นผู้ช่วยสมเด็จกรมพระยาฯ ในการนำเสด็จพระเจ้าอยู่หัวประพาสตามที่ต่างๆ พระยาวจีฯ ทำหน้าที่นี้ได้อย่างดีเป็นที่พอพระราชหฤทัย ครั้งต่อๆมาเมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตก ตลอดจนถึงสิงคโปร์และชวา ก็โปรดเกล้าฯให้พระยาวจีฯตามเสด็จไปด้วยทุกครั้ง จนเป็นที่คุ้นเคยใกล้ชิดในพระองค์ โปรดเกล้าฯใช้สอยในราชการเครื่องอื่นๆด้วย รวมทั้งเป็นข้าหลวงพิเศษลงไปเมืองกลันตัน และเมืองตรังกานู เมื่อพ.ศ. 2433 กระทู้: พระยาวจีสัตยารักษ์ (ขำ ศรียาภัย) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 มิ.ย. 13, 20:34 สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ น่าจะทรงพอพระทัยอัธยาศัยส่วนตัวของพระยาวจีสัตยารักษ์มาก ถึงกับกล่าวชมเชยว่า เป็นผู้มีอัธยาศัยโอบอ้อมอารี รู้จักสมาคมกับคนได้ทุกระดับชั้น ตั้งแต่เจ้านายลงไปถึงราษฎร จึงมีเจ้านายหลายพระองค์ทรงพระเมตตา และมิตรสหายที่ชอบพอกันก็มีจำนวนมากมายเช่นกัน
ส่วนคุณสมบัติพิเศษข้ออื่นๆของพระยาวจีฯเป็นเรื่องน่าทึ่ง หาได้ยากในหมู่ขุนนางไทย เพราะกว้างไกลหลายสาขาแบบไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยในแต่ละสาขา คือนอกจากรับราชการได้ก้าวหน้าแล้ว ยังชำนาญเรื่องค้าขาย ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องเรียกว่ามีหัวทางธุรกิจ นอกจากนี้ยังเก่งเรื่องคชกรรม คือว่าด้วยเรื่องช้าง ตั้งแต่จับช้าง ฝึกหัดช้างและขี่ช้างไปไหนมาไหนได้คล่อง ข้อสุดท้ายที่น่าทึ่งคือท่านทำเรือมาดเก่ง สมัยนั้นใช้ศัพท์ว่า "เหลา" คือเหลาเรือมาด ในสมัยที่ป่าไม้ยังมีอยู่มากมายในประเทศไทย การทำเรือมาดใช้วิธี "ขุด" จากไม้ตะเคียนซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งทนทาน มียางในเนื้อไม้ช่วยป้องกันเพรียง และเชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยดลบันดาลให้ทำมาหากินดีขึ้น วิธีการทำเรือขุดคือเลือกไม้ตะเคียนขนาดเส้นรอบวง 5-6 เมตร หรือ เส้นผ่าศูนย์กลาง 150 ซ.ม. การขุดเรือต้องทำตอนที่ไม้สด ๆเพื่อทำง่าย ต้องทำให้เสร็จภายใน 7-8 วัน เพราะถ้าไม้แห้งจะทำยาก ต้องนำมาลนไฟเพื่อให้เนื้อไม้นิ่ม ใช้แรงงานน้อย ทำกัน 2-3 คนก็ได้ ภาพ เครดิตโอเคเนชั่น http://www.oknation.net/blog/print.php?id=187424 กระทู้: พระยาวจีสัตยารักษ์ (ขำ ศรียาภัย) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 มิ.ย. 13, 20:39 เรือมาดที่พระยาวจีฯเหลา ชื่อว่า "เรือยอดไชยา" ถวายเป็นเรือพระที่นั่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชนิพนธ์โคลงชมเชยไว้เมื่อพ.ศ. 2450 ว่า
รถเร็วเรือว่องน้ำ เรือนสบาย เมียซื่ออีกสหาย ร่วมไร้ ไปไหนฤๅจะวาย วางสุข เรือยอดไชยาใช้ ชอบต้องตามแผน กระทู้: พระยาวจีสัตยารักษ์ (ขำ ศรียาภัย) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 มิ.ย. 13, 20:40 ต่อมาในพ.ศ. 2438 มีการเปลี่ยนระบบราชการใหม่ หัวเมืองปักษ์ใต้ที่เคยขึ้นกับกลาโหม และกรมท่า ย้ายมาขึ้นกับมหาดไทย บรรดาเจ้าเมืองปักษ์ใต้ทั้งหลายก็เข้าใจว่าพระยาวจีฯคงจะได้เลื่อนตำแหน่งใหญ่ขึ้นกว่าเก่า เช่นเป็นเทศาภิบาลว่าการมณฑล เพราะตามเสด็จใกล้ชิดเจ้านายและคุ้นเคยกับเสนาบดีมหาดไทยคือสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ แต่พระยาวจีฯเป็นฝ่ายปฏิเสธการเลื่อนตำแหน่งใหญ่กว่านี้เอง ด้วยเหตุผลว่า คุ้นเคยกับระบบราชการแบบเก่า และยังมีภาระเรื่องค้าขายทำภาษีอาการ ทั้งอายุก็มากแล้วด้วย จึงได้ว่าราชการเมืองไชยาต่อไป แต่เมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงฯเสด็จลงปักษ์ใต้เพื่อตรวจราชการครั้งใด ก็ทรงชวนพระยาวจีฯให้ติดตามไปทุกครั้ง
ต่อมาถึงพ.ศ. 2442 พระยาวจีฯอายุครบ 55 ปี เห็นว่ามากเกินกว่าจะรับภาระเป็นเจ้าเมืองไชยาต่อไปอีก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯจึงทรงเลื่อนเป็นพระยาไวยวุฒิวิเศษฤทธิ จางวางเมืองไชยา ต่อมาอีก 7 ปี เมื่อตำแหน่งพระยาวจีสัตยารักษ์ ผูู้กำกับถือน้ำว่างลง จึงทรงพระราชทานสัญญาบัตร เลื่อนเป็นพระยาวจีสัตยารักษ์ กระทู้: พระยาวจีสัตยารักษ์ (ขำ ศรียาภัย) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 มิ.ย. 13, 20:53 เมื่อพ้นจากราชการในปักษ์ใต้ พระยาวจีฯก็ย้ายมาอยู่ในกรุงเทพ มีหน้าที่กำกับถือน้ำปีละ 2 ครั้ง แต่ก็ยังตามเสด็จอยู่เช่นเดิม นอกจากนี้ท่านก็ยังเต็มใจรับงานอื่นๆ แล้วแต่สมเด็จกรมพระยาดำรงฯจะทรงใช้สอย เช่นเมื่อจะตรวจทางรถไฟสายใต้ นายช่างใหญ่อยากจะเดินทางตรวจทางให้ตลอด ก็ขอมาที่กระทรวงมหาดไทย ขอผู้ชำนาญเส้นทางปักษ์ใต้ไปเป็นผู้นำทาง สมเด็จฯท่านไม่เห็นใครเหมาะสมเท่าพระยาวจีสัตยารักษ์ และเห็นว่าร่างกายยังแข็งแรงพอจะเดินทางได้ ก็ทรงขอให้ไปนำทาง พระยาวจีฯก็ตกลง
พระยาวจีฯเดินทางตั้งแต่ปัตตานีกลับขึ้นมาถึงเพชรบุรี ลำบากตรากตรำกินเวลาร่วม 2 เดือน แต่งานก็เสร็จเรียบร้อยไปด้วยดี พระยาวจีฯเป็นผู้มีร่างกายแข็งแรงมาจน พ.ศ. 2457 คือในรัชกาลที่ 6 เรียกได้ว่าเป็นคน 4 รัชกาล ปีนั้นสมเด็จกรมพระยาดำรงฯประชวร เสด็จไปพักรักษาตัวที่เกาะหลัก พระยาวจีฯก็เดินทางไปเยี่ยม กลับมาถึงบ้านก็ยังไม่เป็นไร แต่พอถึงคืนวันจันทร์ที่ 29 มีนาคม เกิดเป็นลมปัจจุบัน แล้วถึงแก่อนิจกรรมในคืนนั้น รวมอายุ 70 ปีบริบูรณ์ บุตรธิดาของพระยาวจีฯ มีศรัทธาสร้างตึกในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์หลังหนึ่ง ในนามพระยาวจีสัตยารักษ์ ปัจจุบันมีสถูปซึ่งบรรจุอัฐิของท่านและบุตรหลานในตระกูลศรียาภัย ณ เมืองไชยา (เก่า) ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี |