Wandee
|
อ่านเรื่องนี้มาจากหนังสืออนุสรณ์ หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ เนื่องในพืธีพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทร์ทราวาส กรุงเทพมหานคร
วันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
เก็บเรื่องราวที่เป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่เป็นที่ทราบกันมากนัก ได้หลายเรื่อง ซึ่งจะนำมาถ่ายถอดต่อไป
เป็นข้อเขียนที่มีเสน่ห์น่าอ่านอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องธรรมดาสามัญ เรื่องการเป็นเสรีไทยที่ผ่านการฝึกก่อนที่จะกระโดดร่ม
ลงมาในไทย
ท่านชายเล่าว่า
"....ในที่สุดทางกองกำลัง ๑๓๖ แจ้งว่าจะส่งเราสองคน(คุณอรุณ กับท่านชาย)เข้าไปตอนพลบค่ำของวันที่ ๔ มีนาคม
โดยมีจุดหมายอยู่ที่จังหวัดสุโขทัย ทศได้ท้วงว่า การปล่อยพลร่มตอนพลบค่ำในช่วงที่ไม่ใช่เดือนหงายนั้นอันตรายมาก
ถ้าเครื่องบินมาถึงช้าไปก็มือเกินกว่าจะทิ้งพลร่ม เพราะจะกะเวลาที่เท้ากระทบพื้นไม่ถูกอาจขาหัก ถ้ามาเร็วไปท้องฟ้าก็ยังสว่าง
ผู้คนคงจะเห็นกันเยอะ คงจะถูกล่าจับกันสนุก ขอให้เลื่อนไปในช่วงเดือนหงายถัดไป แต่ทางฐานทัพ ๑๓๖ บอกรอไม่ได้ เพราะจะรีบส่งออกมาอีกสองคณะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 27 มิ.ย. 12, 14:56
|
|
ปรากฎว่าเครื่องบิน ฺB-24 ที่นำอรุณกับผมเข้ามา ได้ลมส่งท้ายเข้ามาถึงก่อนกำหนดเวลากว่าครึ่งชั่วโมง(ราวห้าโมงเย็น)
ท้องฟ้ายังสว่างโร่ แดดจ้า ผมมองลงมาเห็นผู้คนกำลังอาบน้ำริมแม่น้ำตอนผ่านจังหวัดตาก เห็นมองขึ้นมาแล้วพากันชี้กันใหญ่
และผู้คนในตลาดสุโขทัยก็มองเห็นอีก นักบินถามว่า
"จะลงกันจริง ๆ หรือนี่ คนเห็นกันหมดแล้ว ป่านนี้ข่าวคงไปถึงญี่ปุ่นแล้วกระมัง"
"ไม่ไหวแล้ว รอมาตั้งนาน เห็นที่จะลงอยู่แล้ว ให้กลับไปอีกไม่เอาละ ขอลงทั้งกลางวันอย่างนี้ เห็นไรก็เป็นกัน"
เราสองคนจึงมานั่งที่รางเตรียมตัวกระโดด นายสิบที่คอยอยู่จับมือและอวยพรสั้น ๆ เมื่อทุกอย่างพร้อม มีคำสั่ง
ACTION STATION GO!
เราสองคนปล่อยมือจากขอบรางเลื่อนออกสู่ห้วงเวหา ร่มเปิดออก พยุงร่างลอยละลิ่วลงมาสู่พื้นเบื้องล่างในบริเวณที่ทำสัญญลักษณ์
ไว้โดยไม่ทันจะคิดอะไรเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 27 มิ.ย. 12, 15:14
|
|
บริเวณที่เตรียมไว้นั้น เป็นสถานีทดลองการเกษตรอำเภอศรีสำโรง หัวหน้ามารับคือคุณแสวง กุลทองคำ
เป็นหัวหน้าสถานี และภรรยาคือ คุณสมจิต (โล่นักรบ) ภายหลังได้เป็นคุณหญิง กับตำรวจจำนวนหนึ่ง และคณะของทศ
มีดาบตำรวจคนหนึ่งชื่อ ดาบตำรวจประสิทธิ (จำนามสกุลไม่ได้) ทันที่ที่เขาเห็นผมลงมาอยู่ที่พื้นก็วิ่งมาถึงตัวแล้วร้องว่า
"โอ๊ย! คุณ ๆ คนอ้วนนี่เขาชักจนมือหงิก" ความจริงผมคว้าเก็บดินตรงนั้นมาบีบ และดมดู เพราะไม่ได้กลิ่นมานานแล้ว
อยากดมให้ชื่นใจสักหน่อย พอได้ยินอย่างนั้นเข้า ผมต้องรีบปล่อยและรีบลุกขึ้นเพื่อหันไปอีกด้าน เจอเด็กเลี้ยงควาย ๓-๔ คน
ยืนอ้าปากหวออย่างตกตะลึง ตำรวจขู่ว่า
"มึงไม่ได้เห็นอะไรนะวันนี้ ถ้าเผื่อพวกนี้ถูกจับหรือเป็นอะไรไป พวกมึงเป็นศพ"
"ครับ ๆ ไม่เห็นครับ ไม่เห็น" พวกเด็ก ๆ รับคำ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 27 มิ.ย. 12, 16:17
|
|
พื้นที่เราลงมานั้นเป็นนาที่เขาไถแล้ว ถ้าลงมาที่นาแข็ง ๆ คงแย่ รอบ ๆ เป็นป่าหนาทึบ
แทนที่ผมจะต้องวิ่งไปพับร่ม ก็มีลูกน้องที่เป็นตำรวจวิ่งมาพับให้ ทำเอาผมยืนเวียนหัว เพราะเขาพับผิดกับถูกกลายเป็นกองผ้าเบ้อเริ่ม
ถ้าผมพับเองก็เหลือนิดเดียว เพราะฝึกมาแล้ว พอผมบอกจะไปขุดหลุมฝัง เขาบอกไม่ต้องเดี๋ยวเอาไว้ที่สำนักงาน ใส่ใต้ที่นั่งรถสองแถวไป
จากนั้นเขาให้ผมเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว มีชุดกากีของข้าราชการชั้นจัตวาไว้ให้เสร็จ เรื่องนามแฝงนี้ ผมเตรียมไว้แล้ว
ระหว่างที่คุย ๆ กันได้พบกับนายกเทศมนตรีของเมืองสวรรคโลกขณะนั้นคือ ขุนเพ่ง ลิมประพันธ์ คุยกันแล้วถูกคอ ผมเลยติดเป็นท่านขุนดีกว่า
ในเมื่อหน่วยเราเป็นหน่วยช้างเผือก แล้วเพื่อน ๆ เรียกผมว่า พี่เหน่งบ้าง พี่ขุนบ้าง
ได้เดินทางข้ามฟากไปฝั่งตะวันตกของลำน้ำปิง พบผู้ใหญ่หมู่บ้านประดาง ชื่อบุญธรรม อินทรวัณโณ
ซึ่งมีอดีตเป็นไอ้เสือบุญธรรม ตอนอายุ ๑๘ ล้มแล้ว ๘ ศพ ตอนหลังเข้ามามอบตัวและทนายแนะนำตัวว่า ให้รับราชการแล้วไม่ต้องรับโทษ
ตั้งแต่เขาเป็นผู้ใหญ่บ้านก็ไม่มีโจรผู้ร้าย โกดังฝรั่งที่เชิงสะพานที่ข้ามวังเจ้า เคยถูกปล้นเรื่อย จับไม่ได้สักที พอพี่บุญธรรมเป็นผู้ใหญ่บ้านก็ไม่มีอะไร
และไม่ต้องมียามเฝ้าด้วย
พวกเขาพาเราไปฝากชีวิตกับผู้ใหญ่ คืนั้นเขาจัดอาหารรและจัดรำวงเพื่อควมบันเทิงสนุกสนานให้ด้วย รุ่งขึ้นก็สั่งลูกน้อง ๒-๓ คนพาเราเดินไปตาม "ทางเดินฝิ่น"
ซึ่งปลอดภัยจากพวกญี่ปุ่นมากกว่าจะเดินไปตามทางปกติสู่บ้านห้วยเหลือง ซึ่งอยู่บนเขากลางป่าลึกในเขตของพวกแม้ว(ม้ง) ระหว่างทางมีป่าไผ่ขึ้น
เรียงรายร่มรื่นมาก มีธารน้ำตกเป็นระยะ ๆ"
ในต้นเดือน เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๘ เราได้รับคำสั่งให้เตรีมรับปัทม์ กับลุงไบรซ์ และนายตำรวจสันติบาลรุ่นช้างดำสองคน
อรุณกับผมออกจากค่ายมารอรับคณะของปัทม์ตามเวลานัด โดยพักค้างคืนที่บ้านของผู้ใหญ่บุญธรรม
คืนนั้นเขาเลี้ยงข้าวสวยร้อน ๆ กับปลาสลิดย่าง ถามว่า
"ท่านขุนกินเป็นมั๊ย"
"เป็นซิพี่ธรรม ปลาสลิดนี่ของชอบเชียวล่ะ"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 27 มิ.ย. 12, 16:38
|
|
"เอ้า! เดี๋ยวลองกิน กินด้วยกัน" ผมก็เลือกหยิบเอาส่วนที่เป็นขุย ๆ มีกลิ่นตึ ๆ นิด ๆ
เขาร้องอย่างถูกใจว่า "กินเป็นนี่" เพราะคนอื่น ๆ จะเลือกกินส่วนที่กรอบ ๆ และไม่มีกลิ่น
หลังกินข้าวเสร็จ เขาบอก
"ท่านขุนนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามืด" เขาเตือนเพราะรู้ว่าผมต้องไปรอรับเครื่องบินที่จะมาตอนตีสี่ตีห้า
คืนนั้นเขานั่งอ่านหนังสือ "สังข์ทอง" ให้ฟังจนหลับทั้งๆที่เขาก็อ่านหนังสือไม่คล่องไปกว่าผมเท่าไร ผมนึกในใจด้วยความปลื้มว่า
"แหม! ฆ่าคนมาแล้ว ๘ ศพ ยังอุตส่าห์มาอ่านหนังสือให้ฟัง"
(ถ้าหนังสือเป็นเสภาขุนช้างขุนแผน คงอ่านเรื่อยไปจนรุ่งกระมัง/นักอ่านนึกในใจ)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 28 มิ.ย. 12, 05:42
|
|
บรรพตระกูล
หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ ประสูติเมื่อวันี่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๐ ที่บางปะอิน พระนครศรีอยุธยา
พระบิดาหม่อมมารดา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเสรษฐวงศ์วราวัตร กรมหมื่นอนุพงษ์จักรพรรดิ หม่อมโป๊
ทรงมีเชษฐา เชษฐภคินี อนุชา ขนิษฐา ร่วมพระบิดาเดียวกัน ๒๓ องค์
ที่ร่วมหม่อมมารดาเดียวกัน ๔ พระองค์
๑. หม่อมเจ้าวราธิวัตร จักรพันธุ์
๒. หม่อมเจ้าหญิงอภิลาศ นันทมานพ
๓. หม่อมเจ้าการวิก จักรพ้นธุ์
๔. หม่อมเจ้าประดิษฐาน จักรพันธุ์
ชายา
หม่อมเจ้าหญิงผ่องผัสมณี (สวัสดิวัฒน์ จักรพันธุ์)
หม่อมหลวงประอร (มาลากุล) จักรพ้นธ์ุ
บุตร - ธิดาบุญธรรม
หม่อมหลวงศิริเฉลิม สวัสดิวัฒน์
หม่อมหลวงเพิ่มวุฒิ สวัสดิวัฒน์
หม่อมหลวงปัณฑิตา (จักรพันธุ์ โปษยานนท์)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 28 มิ.ย. 12, 06:20
|
|
ท่านชายการวิกทรงประสูติและเคยใช้ชีวิตช่วงต้นในละแวกนี้ ในเรือนไทยหลังใหญ่ ๓ หลัง
ณ บริเวณทางใต้ของเกาะบางปะอิน นามสมัยก่อนเรียกว่าตำหนักท้ายเกาะ หรือตำหนักในกรม ในกรมทรงเป็นนายวงดนตรี
และองค์อุปถ้มภ์ของเหล่านักดนตรีในย่านนี้ทั้งหมด
"ชื่อของผม เด็จพ่อเป็นผู้ประทาน มีความหมายถึงนกชนิดหนึ่ง ซึ่งโปรดประทานเป็นการล้อชื่อผม ด้วยทรงเห้นว่าเป้นเด็กช่างพูด"
หม่อมโป๊อยู่ในสกุลใดไม่ปรากฎแน่ชัด บิดามาจากเมืองจีน และตายไปก่อนท่านชายการวิกเกิด ยายชื่อหงส์อาศัยอยู่ในห้อง ๆ หนึ่งในตำหนัก
มีน้องชายชื่อเง็ก และน้องสาวชื่อง้วย พื้นเพอยู่แถวบางปะอิน อยุธยา
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานที่ดินระหว่างถนนหลานหลวงกับถนนดำรงรักษ์
ช่วงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ(หลังกรมโยธาธิการเดิม) จดสี่แยกถนนจักรพรรดิพงศ์แด่พระนัดดา แห่งสกุลจักรพันธุ์ ทุกพระองค์ได้อยู่ร่วมกันโดยแบ่งเป็นสัดส่วน
"เด็จพ่อทรงเลือกตำหนักริมฝั่งถนนดำรงรักษ์เป็นที่พำนักเพราะเห็นว่าอยู่ใกล้คลองมหานาค ซึ่งสะดวกในการสัญจรโดยทางเรือ"
"การที่เด็จพ่อต้องไปประทับที่บางปะอิน เนื่องจากทรงรับราชการเป็นผู้กำกับดูแลความเรียบร้อยในเขตพระราชวังบางปะอินทั้งหมด วันเวลาส่วนใหญ่
เด็จพ่อมักประทับที่บางปะอินเสียมาก ครั้นจะเสด็จกรุงเทพ ก็จะทรงเรือยนต์มาตามแม่น้ำลำคลอง และจอดเรือไว้ในคลองมหานาค"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 28 มิ.ย. 12, 06:44
|
|
ท่านชายการวิกทรงเล่าว่าท่านเป็นลูกที่อยู่ใกล้ชิดกับเสด็จพ่อมากที่สุด ด้วยความเป็นเด็กดื้อ ซน
และชอบแกล้งผู้อื่น แต่ไม่มีผู้ใดกล้าฟ้อง เวลาเกเรขึ้นมา เมื่อตอนไปโรงเรียน ท่านก็ทำเรือที่มีคนพายพาไปโรงเรียนล่มเสีย ปิ่นโตอาหาร
และของที่นำไปด้วยจมน้ำหมด
"ในราวปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ที่ผมได้เข้ามาอยู่ในพระราชวังดุสิตนั้น มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยุ่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า
รำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จแปรพระราชฐานไปพระราชวังบางปะอิน ในคืนวันหนึ่งเป็นคืนที่มีแสงจันทร์ทอแสงนวลพอกระจ่างตา
ทั้งสองพระองค์ก็ทรงพายเรือเพื่อเก็บกระจับที่ขึ้นอยู่แถว ๆ ริมน้ำตำหนักท้ายเกาะ เป็นการพักผ่อนอิริยาบท เด็จพ่อรับสั่งให้ผมลงเรือ
เพื่อเฝ้ารับเสด็จด้วย โดยที่ผมเป็นคนนั่งพายที่หัวเรือ
ครั้นพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรเห็นผมภายใต้แสงจันทร์ พระองค์ก้มีรับสั่งกับเด็จพ่อว่า
"เด็กคนนี้น่าเอ็นดู เอามาให้ฉันเลี้ยงเถอะ"
เด็จพ่อทรงได้ยินก็รู้สึกปลาบปลื้มพระทัยนัก กราบบังคมทูลถวายผมทันที ด้วยทรงเกรงว่าหากพระองค์ท่านทอดพระเนตรผมตอนกลางวันเข้า อาจจะเปลี่ยนพระราชหฤทัยก็ได้"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 28 มิ.ย. 12, 10:16
|
|
"เมื่อสององค์เสด็จกลับพระนครแล้ว เสด็จพ่อก็ส่งผมเข้ากรุงเทพฯ โดยอยู่ที่วังจักรพันธุ์ ถนนดำรงรักษ์ก่อน
เพื่อเตรียมตัวเข้าไปอยู่ในพระราชวังดุสิต ซึ่งในขณะนั้นทั้งสองพระองค์ประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน
ผมถูกส่งไปรับการศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียนสตรีจุลนาค อันเป็นโรงเรียนส่วนตัวของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)
ปลูกอยู่ในบริเวณรั้วบ้านของท่าน และมีครูไฉไลลูกสาวคนโตของท่านเจ้าคุณเป็นคุณครูใหญ่ โรงเรียนนี้ตั้งอยู่ใกล้กับวังจักรพันธ์
เวลาไปเรียน ผมก็เดินข้ามถนนไปกับพี่น้องที่มีอายุใกล้เคียงกัน
วันหนึ่งพี่เปา(วราธิวัตร) ซึ่งอดทนเข้มแข็งเสมือน "พระเอกของผม" ตัวท่านล่ำสันใหญ่โต ทั้งที่ในตอนนั้นอายุเพียง ๑๖ - ๑๗
คอยดูน้อง ๆ ไม่ให้คนรังแก พาผมไปเดินงานภูเขาทองที่วัดสระเกศ แล้วผมเดินไปเหยียบตีนนักเลงคนหนึ่งเข้า เขาไม่พอใจมาก
จะเอาเรื่องผมให้ได้ พี่เปาก็ขอโทษแทนให้ แต่นักเลงไม่ยอม ทำอย่างไรก็ไม่ยอม บอกว่าแค่ขอโทษไม่ทำให้หายเจ็บ และแสดงความ
เป็นนักเลงออกมาจะเล่นงานพวกเรา ท่านเลยเตะป้าปที่ก้านคอจนสลบไปเลย !
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 28 มิ.ย. 12, 11:01
|
|
"ผมเรียนที่โรงเรียนสตรีจุลนาคนานราว ๓ เดือน ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เข้าไปอยู่ในพระราชวังดุสิต
(มีเรื่องราวของโรงเรียนราชกุมารประมาณหนึ่งหน้าครึ่ง ท่านชายเล่าว่าทรงโปรดอาหารเช้าหลังการออกกำลังกายคือ ไก่ชุบขนมปังทอดมาก มีรายชื่อเพื่อนนักเรียนและรายชื่อผู้สอน จะขอเล่าเฉพาะเรื่องที่ท่านชายได้ฟังการอ่านนิทานเท่านั้น)
พอตกบ่ายราว ๔ โมง ก็เปลี่ยนเป็นสวมเสื้อโปโล นุ่งกางเกงขาสั้นแบบฝรั่ง ใส่ถุงเท้ารองเท้า ตามเสด็จไปทรงเทนนิสหรือกอล์ฟ
ซึ่งเครื่องแต่งกายนี้มีผู้ใหญ่คอยจัดให้ตามที่มีรับสั่งมา
ตอนค่ำก็จะพากันไปรอที่หน้าห้องพระบรรทม โดยมีหม่อมเจ้าหญิงสีดาดำรงวง สวัสดิวัฒน์(พระธิดาองค์หนึ่งในสมเด็จกรมพระสวัสดิวัฒน์
และสมรสกับหม่อมเจ้ากมลีสาน ชุมพล)ซึ่งประทับในฝ่ายในมารอเพื่อเข้าเฝ้า ฯ พระเจ้าอยู่หัวอีกองค์หนึ่งด้วย หลังจากที่สรงน้ำเสร็จ ระหว่างแต่ง
พระองค์ก็จะทรงเล่านิทานแฝงคุณธรรมที่ทรงอ่านจากหนังสือพระราชทานเด็ก ๆ ซึ่งทุกคนก็ชอบกันมาก เช่นเรื่องทาร์ซาน ผมชอบฟังเป็นพิเศษ
เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติและการผจญภัยในป่า หรือเรื่องที่จอห์น คาร์เตอร์ ถูกสะกดจิตหลับไป ตื่นอีกทีมาอยู่บนดาวพระอังคารเป็นต้น
เรื่องที่ทรงเล่าเหล่านี้จะทรงทำเสียงประกอบตามบทของตัวละตรด้วย เป็นการเพิ่มการสนุกสนานมากขึ้น แต่มีเสียงหนึ่งสะกดเป็นภาษาอังกฤษว่า
"GRRR...." เป็นเสียงร้องของสิงโต ผมก็ทำเสียงคำรามว่า
"เกร๊อออ...." พระเจ้าอยู่หัวทรงได้ยิน ก็รับสั่งว่า
"เออ ใช่ ฉันอ่านมาตั้งนาน ไม่รู้ว่าจะทำเสียงยังไง" แล้วต่อมาศัพท์คำนี้ก็ใช้กันในพระราชาำนัก อันมีความหมายถึงความไม่พอใจ หรือ โกรธเคือง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Sujittra
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 28 มิ.ย. 12, 15:00
|
|
??
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sirinawadee
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 28 มิ.ย. 12, 15:46
|
|
โอย สนุกจังค่ะ คลาสนี้ขอนั่งหน้าสุดเลยค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 28 มิ.ย. 12, 17:17
|
|
หึ หึ เรื่องนี้เป็นชีวิตของ หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ค่ะ ท่านเล่าไว้ด้วยสายตาของคนที่อยู่ในที่สูง
ได้ใกล้ชิดราชสำนักของรัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอ่านหนังสือนิทานเด็กประทาน คนอ่านสามารถเข้าใจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้อีกแบบหนึ่ง
ว่าท่านมีจิตใจที่อ่อนโยนต่อพระญาติที่แสนซนโขยงหนึ่งถึงปานใด
ท่านชายการวิกจากเมืองไทยไปศึกษาต่อต่างประเทศถึง ๑๗ ปี และได้เป็นเสรีไทยสายอังกฤษ ท่านเล่าเรื่องไว้เยอะ แต่ดิฉันนำตอนที่น่าสนใจที่สุดมาฝาก
เป็นเรื่องที่ท่านชายมองเมืองไทย แม้นแต่ผู้ใหญ่บ้านอดีตผู้ร้ายก็เข้ามาร่วมปฎิบัติการช่วยเหลือเสรีไทย ขนาดลงทุนอ่านหนังสือสังข์ทองซึ่งคงเป็น
หนังสือวัดเกาะเล่มเล็ก ๆ บาง ๆ ให้ท่านฟังเพื่อให้ท่านได้พักผ่อนก่อนออกปฎิบัติการ ท่านมองโลกสวยงาม และให้ความสนใจในมนุษย์เดินดิน
การที่มาเล่าเรื่องในเรือนไทยนี้ก็เพียงหวังจะให้สหาย ๆ ไปตามหาหนังสืออ่านเองเพราะจะเล่าไปตลอดก็คงกินเวลานานมาก เพื่อน ๆ ในเรือนไทยชอบอ่าน
หนังสือจนกระทั่งไปได้หนังสืออะไรมาก็ต้องมาอ่านสู่กันฟัง อ่านกันจนเสียงแหบแห้งไม่ยอมหยุด ด้วยแข่งขันกันว่าไปได้เอกสารฉบับไหนมาจากหอจดหมายเหตุบ้าง
หม่อมประอร จักรพันธุ์ เล่าว่า ไม่เคยเห็นท่านทรงมีความโกรธ ดุ หรือตวาดผู้ใด หรือโกรธแค้นใครเลย ตลอดเวลา
ที่อยู่ด้วยกันท่านมีแต้ความรักอันอ่อนโยน เอื้ออาทรห่วงใยตลอดเวลา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 28 มิ.ย. 12, 17:27
|
|
"ระหว่างที่พวกเรานั่งฟังนิทานที่ทรงเล่านี้ จะมีการเลื่อนยศกันด้วย คือพระองค์จิรศักดิ์ ฯทรง
นั่งใกล้ที่สุด ถัดไปก็เป็นท่านหญิงสีดาดำรงวง สวัสดิวัฒน์ หากคราวใดพอพระราชหฤทัยเด็กคนไหน
ก็จะมีรับสั่งเรียก เด็กคนนั้นก็จะเขยิบขึ้นมานั่งในตำแหน่งของท่านหญิงสีดา ซึ่งท่านหญิงสีดากับเด็กคนนั้น
ก็จะทรงแอบหยิกกันด้วยความไม่พอพระทัยแบบเด็ก ๆ ผมเองก็เคยถูกหยิกได้แต่นั่งสะดุ้ง...."
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 28 มิ.ย. 12, 17:46
|
|
" แล้วก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หลวงประดิษฐ์ไพเราะและหลวงไพเราะเสียงซอเข้ามาสอนการเล่นดนตรีไทยด้วย
ซึ่งตอนแรกเด็ก ๆ ก็เรียนอยู่หลายคน แต่ค่อยๆหายกันไปจนเหลือแต่ผมที่เล่นตีฆ้องวง กับท่านหญิงสีดาที่เล่นซอด้วง
และบางคราวทั้งพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินี ก็เสด็จลง มาเล่นดนตรีด้วย
การเล่นดนตรีไทยของผมนั้น เด็จพ่อทรงทำพิธีครอบครูให้ตั้งแต่ตอนที่อยู่บางปะอิน และทรงสอนให้ตีขิมให้เป็นเบื้องต้น
เมื่อมาเรียนในวังจึงไปได้อย่างรวดเร็ว และพระเจ้าอยู่หัวทรงวางพระราชหฤทัยในฝีมือ จึงโปรดเกล้าให้ผมร่วมวงกับพระญาติชั้น
ผู้ใหญ่และครูดนตรีไทยหลายท่านเมื่อคราวมีงานคฤหาสน์มงคลเฉลิมฉลองขึ้นศาลาเริงในพระราชวังไกลกังวลหัวหิน เมื่อราว พ.ศ. ๒๔๗๑
ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของผมจนบัดนี้"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|