naitang
|
ความคิดเห็นที่ 465 เมื่อ 19 ม.ค. 16, 19:56
|
|
เกลือทะเลมีคุณค่ามากกว่าเกลือที่ได้มาจากหินเกลือมากมาย เกลือทะเลได้มาจากการทำให้น้ำที่เป็นส่วนประกอบของน้ำทะเลระเหยไป คงเหลือสารประกอบที่เป็นแร่ตกตะกอนสะสมกันเป็นชั้นๆ พื้นดินของนาเกลือจึงอุดมไปด้วยสารประกอบของธาตุ เหล็ก แม็กนีเซียม ส่วนกลางๆจะเป็นพวกสารประกอบโซเดียม (เกลือแกง) ส่วนชั้นบนๆก็จะเป็นสารประกอบของโปแตสเซียม (อาทิ KCl_ปุยโปแตส) แคลเซียม (อาทิ CaSO4_ยิบซั่ม) โซเดียม และพวกธาตุ เช่น ฟอสฟอรัส ไอโอดีน..
ครับ จะทำโป่งเทียมก็น่าจะใช้เกลือทะเลนะครับ และก็ควรเป็นเกลือที่ไม่ผสมไอโอดีนเพิ่มเติมอีกด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 466 เมื่อ 20 ม.ค. 16, 18:30
|
|
เดินข้ามทุ่งมะกอก ลงห้วย เดินลงตามลำห้วยไปบรรจบกับห้วยองก์ทั่ง แล้วก็จะถึง บ.องก์ทั่ง หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ไม่กี่หลังคาเรือน แต่เป็นหมู่บ้านที่มีความเป็นระเบียบและสะอาด ชาวบ้านดูจะรักใคร่กลมเกลียวกันดี เห็นได้จากตามเส้นทางเข้าหมู่บ้านนั้นมีการตัดกิ่งไม้ใบหญ้าจนโปร่งและราบเรียบ
ผมนอนอยู่ในพื้นที่ของหมู่บ้านนี้อยู่ 2 คืน ทั้งทำงานและหาข้อมูลสำหรับการตัดสินใจว่าจะใช้เส้นทางใดกลับมายังปากลำขาแข้ง คือ เดินย้อน หรือลุยไปข้างหน้าลัดเลาะไปตามแควใหญ่ ซึ่งการเดินย้อนกลับทางเดิมนั้น เราก็ไม่น่าจะได้ข้อมูลใหม่ใดๆเพื่มเติม
ครับ..ในสมัยที่ผมทำงานนั้น กล่าวได้อย่างไม่น่าผิดเพี้ยนเลยว่า พื้นที่เหล่านั้นเกือบจะไม่เคยมีนักสำรวจในสาขาวิชาการใดๆ หรือแม้กระทั่ง จนท.บ้านเมืองใดๆย่างกรายเข้าไปเลย งานในความรับผิดชอบของตัวผมจึงเป็นทั้ง exploration และ expedition ผมสนุกกับงานที่ทำก็เพราะเหตุดังที่กล่าวมานี้แหละครับ แล้วก็ทำให้เข้าใจลึกซึ้งถึงคำว่า บริสุทธิ์ หรือ Virgin ว่า..มันเป็นความสวยงามและทุกสิ่งทุกอย่างเคลื่อนไหวอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ เป็นไปตามกฎเกณฑ์และเงื่อนไขของธรรมชาติ ภาษิตของไทยก็ว่าไว้ในทำนองเปรียบเทียบว่า สะอาดบริสุทิธิ์ยังกับผ้าขาวที่พับไว้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 467 เมื่อ 20 ม.ค. 16, 18:40
|
|
ทุกฤดูกาลสำรวจหรือทุกครั้งที่มีโอกาส ตัวผมเองจะต้องกำหนดเส้นทางเดินสำรวจเข้าไปในพื้นที่ที่ยังไม่มีผู้ใดเข้าไปถึง ชาวบ้านที่ผมจ้างทำงานอยู่ในคณะสำรวจก็ชอบ เพราะเขาก็จะได้เห็นอะไรใหม่ๆ แถมผู้นำทาง (ตัวผม) ก็มีทั้งเข็มทิศและแผนที่ ก็ไม่น่าที่จะเกิดการหลงป่าเลย แต่เอาเข้าจริงๆก็หลุดเหมือนกัน หลงน่ะไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกครับ อาจจะตื่นเต้นนิดหน่อย ใจเย็นๆครับ แล้วจะเล่าวิธีการให้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 468 เมื่อ 21 ม.ค. 16, 18:40
|
|
เงื่อนไขที่ต้องตัดสินใจอีกประการหนึ่ง ก็คือ หากไม่เดินย้อนกลับทางเดิม ซี่งเป็นการเดินตามห้วย ก็จะต้องเป็นการเดินข้ามเขาสูงหนึ่งลูก ซึ่งจะไม่มีแหล่งน้ำสำหรับทั้งคนและช้าง จะแวะลงแม่น้ำแควใหญ่ก็ไม่ได้เพราะมีหน้าผาสูงชันเดินลงไม่ได้ หรือก็จะต้องข้ามแควใหญ่ไปเดินอีกฝั่งแม่น้ำ แล้วข้ามกลับมายังฝั่งปากห้วยขาแข้งอีกทีหนึ่ง
เดินขึ้นเขาก็ไม่สนุก จะข้ามน้ำก็ดูจะมีอันตรายมาก น้ำไหลแรงแถมลึกเพียงใดก็ไม่รู้อีกด้วย
ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าไปทางขึ้นเขา ขึ้นไปยังไม่ถึงหนึ่งในสี่ของทางเลย ก็จ๊ะเอ๋กับดงหนาม ขนาดช้างหนังหนาๆยังไม่สู้เลย แล้วเราจะไปเหลืออะไร แทนที่จะให้ช้างบุกผ่าดงไปเป็นทางสำหรับให้เราเดิน ก็กลับทางกัน เป็นฝ่ายคนต้องช่วยกันตัดเถาหนามและแกะเถาหนามที่เกี่ยวติดกับหนังช้าง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 469 เมื่อ 21 ม.ค. 16, 19:00
|
|
จนถึงวันนี้ผมก็ยังไม่รู้ชื่อของเถาหนามนั้น
ต้นของมันเป็นประเภทไม้เลื้อยที่มีลำต้นเป็นทรงสี่เหลียม ที่มุมของเหลี่ยมที่อยู่ฝั่งครงข้ามกัน จะมีหนามที่ลู่ไปในทางเดียวกัน ครับ จะดึงไปหน้าไปหลังก็ติดทั้งนั้น แกะลำบากน่าดูเลยทีเดียว แรกๆช้างก็เดินนำดีๆ ต่อมาก็หยุดไม่ยอมเดินต่อไไป เราก็ต้องไปแกะเถาหนามที่มันติดอยู่กับหนังช้าง ทั้งแถบหูของมัน และตามข้างลำตัว ขณะแกะหนามให้ช้าง คนก็โดนเข้าไปด้วย ในที่สุดก็ต้องตัดสินใจเดินย้อนกลับไปหาทางลงแม่น้ำเพื่อข้ามดีกว่า
แล้วจะข้ามตรงจุดใหนจึงจะดี จึงจะปลอดภัย ไม่ถูกน้ำพัด ข้าวของไม่เสียหาย แถมค่อนข้างเสี่ยงมากเพราะเป็นการข้าม 2 ครั้ง
ทิ้งเวลาให้คิดสักเล็กน้อยนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 470 เมื่อ 23 ม.ค. 16, 18:47
|
|
สุภาษิตทั้งไทยทั้งเทศกล่าวเหมือนกันว่า น้ำนิ่งไหลลึก - still waters run deep เป็นหลักที่ต้องยึดถือไว้เป็นอันดับแรก เพราะว่าที่บริเวณน้ำค่อนข้างนิ่งๆนั้น เป็นบริเวณที่เป็นวังน้ำ น้ำจะลึกมากกว่าบริเวณที่มีน้ำไหล
หลักที่สองนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ คือหาบริเวณที่ลำน้ำแคบ แต่บริเวณที่แคบน้ำก็จะไหลแรง และหากแคบมากเกินไป ก็จะเป็นพื้นที่ของแก่ง ซึ่งก็ดีตรงที่น้ำจะตื้น แต่ก็อันตรายมากที่น้ำไหลแรงจนเราอาจจะทานไม่ไหว
หลักที่สาม คือ เราต้องข้ามทะแยง มิใช่ตัดตรงขวางลำน้ำ
หลักที่สี่ คือ ทำตัวให้เบา ซึ่งก็คือปลดสัมภาระออกจากตัวให้ได้มากที่สุด แล้วเทินหัวหรือลอยมันตามเราไป
ทั้งสี่หลักนี้ คงจะเป็นมาตรฐานที่ทุกคนพอจะรู้อยู่บ้าง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 471 เมื่อ 23 ม.ค. 16, 19:27
|
|
ในการปฏิบัติจริง คงจะต้องรู้อะไรเพิ่มเติมอีกสักหน่อย
เรื่องแรก ณ บริเวณที่แม่น้ำไหลเป็นเส้นตรง ระดับน้ำจะลึกที่สุดที่ประมาณกลางลำน้ำ แต่หากเป็นบริเวณที่เป็นคุ้งน้ำ น้ำลึกจะอยู่ที่บริเวณฝั่งที่มีตลิ่งสูงชัน น้ำตื้นจะอยู่ฝั่งที่เป็นชายหาด
เรื่องที่สอง บริเวณใดที่น้ำไหลเอื่อยๆหรือดูนิ่ง พื้นท้องน้ำจะค่อนข้างเรียบ และมักจะเป็นดินทรายหรือโคลน แต่ก็อาจจะมีขอนไม้ นอนขวางอยู่ติดท้องน้ำ แต่หากบริเวณใดเห็นผิวน้ำไหลเป็นริ้ว แสดงว่าน้ำค่อนข้างจะตื้น พื้นท้องน้ำจะเป็นพวกกรวดขนาดใหญ่ (cobble) และหากเห็นผิวน้ำไหลเป็นรอนคลื่น ก็แสดงว่าใต้ท้องน้ำจะเป็นหินก้อนโตๆ (boulder)
เรื่องที่สาม ที่บริเวณหัวแก่งน้ำจะค่อนข้างตื้น พื้นท้องน้ำจะเป็นพวกกรวดก้อนขนาดใหญ่ ในบริเวณที่เป็นแก่ง น้ำจะไหลแรงมาก พื้นท้องน้ำจะเป็นโขดหินหิน ที่ปลายแก่งน้ำจะลึก อาจมีกระแสน้ำวน หรือน้ำม้วนตัวกลับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 472 เมื่อ 23 ม.ค. 16, 19:42
|
|
พิจารณาหลักคิดและข้อมูลที่พอมีแล้ว ก็คงนึกในใจได้แล้วว่าควรจะเลือกข้ามน้ำตรงบริเวณใหนถึงจะดี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 473 เมื่อ 25 ม.ค. 16, 18:07
|
|
ผมกับคณะเลือกข้ามที่หัวแก่ง แม้ว่าน้ำอาจจะแรงไปบ้าง แต่ก็เพราะน้ำจะตื้นกว่าที่อื่น พื้นท้องน้ำมักจะเป็นหินก้อนใหญ่รูปทรงมน
ก็เดินย้อนเหนือน้ำขึ้นไปเลือกจุดลงน้ำ คะเนเอาว่าจากจุดลงน้ำนี้ ไม่ว่าจะค่อยๆเดิน หรือจะเขย่งเกงกอย หรือจะต้องลอยคอก็ตาม เราจะไปถึงอีกฝั่งหนึ่งได้ ณ จุดก่อนที่จะเข้าพื้นที่น้ำเริ่มเชี่ยวก่อนลงแก่ง
ว่าแล้วต่างคนต่างก็ปลดสัมภาระใส่บนแหย่งหลังช้างทั้งสองตัวที่ใช้บรรทุกเข้าของของคณะสำรวจ ให้ช้างเดินลงน้ำข้ามไปก่อน เพื่อประเมินสภาพต่างๆ เมื่อไปถึงอีกฝั่งหนึ่งแล้ว ก็ให้ควาญช้างเดินตามน้ำลงไปอีกหน่อย แยกกันยืนห่างกันเพื่อช่วยรับคนที่ข้ามไปถีง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 474 เมื่อ 25 ม.ค. 16, 18:24
|
|
แล้วก็ได้เห็นภาพที่น่ารักของช้าง และสิ่งที่น้อยคนจะได้รู้
ช้างเขาก็มีความกลัวเหมือนเรา พอเดินลงถึงชายน้ำ เขาก็จะค่อยๆก้าวเดิน เอางวงแตะพื้นดินนำหน้าไปก่อนที่จะเหยียบ(ลงน้ำหนักเท้า)ลงไป ก็เพื่อประเมินว่าพื้นมั่นคงดีพอใหม เขาก็จะใช้งวงทำเช่นนี้ในขณะที่เดินไปเมื่อลงไปอยู่ในน้ำแล้วเช่นกัน แต่กระทำในน้ำนั้นก็เพื่อหยั่งความลึกและสภาพผิวพื้นท้องน้ำ
ภาพที่น่ารักจะเกิดขึ้นเมื่อน้ำที่เขาเดินลุยลงไปนั้นเริ่มลึกถึงระดับประมาณห้วเข่า หรือระดับน้ำใกล้แตะพุงเขานั่นแหละ ลักษณะตัวของช้างก็จะเปลี่ยนไป คือเขาจะเริ่มพองลม เราจะเห็นท้องเขาใหญ่ขึ้นและพองกลมขึ้น อารมณ์ของเขาเองก็จะเปลี่ยนไป จากที่ดูจะเครียดๆ ก็กลายเป็นดูร่าเริง ชูงวงพ่นอากาศ ไม่สนใจอีกต่อไปว่าน้ำจะลึกหรือพื้นท้องน้ำจะเป็นอย่างไร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 475 เมื่อ 25 ม.ค. 16, 18:48
|
|
ช้างหมดเรื่องลุ้นไปแล้ว แต่คนกำลังเริ่มลุ้นว่า..ช้างจะเล่นน้ำหรือไม่ ควาญช้างจะบังคับช้างอยู่หรือไม่ โธ่ ก็เดินมาเหนื่อยๆ ช้างก็จะขออาบน้ำสักตั้งจะเป็นอย่างไรเนาะ
ควาญเริ่มเสียงหลงเมื่อน้ำเริ่มถึงระดับท้องช้าง เลยระดับรักแร้แดงขึ้นมา เพราะช้างจะงอขาทรุดตัวลงไปให้ทั้งตัวอยู่ในน้ำ ซึ่งหากจะเพียงเท่านี้ก็พอทน เพราะข้าวของเครื่องใช้ก็จะเพียงแต่เปียกชุ่มน้ำ แต่ช้างก็เป็นสัตว์ขี้เล่นอยู่พอสมควรทีเดียว เขาก็จะตะแคงตัวนอนแช่น้ำ คราวนี้ซิครับที่จะแย่ เพราะข้าวของเครื่องใช้ที่บรรทุกอยู่บนแหย่ง จะหลุดลอยหายไปเลย เหมือนกับการเทกระจาด
โชคดีที่ช้างทั้งสองตัวของคณะผมพอจะเชื่อฟังควาญของเขา มันก็เลยทำเพียงแต่จุ่มตัวให้มิดน้ำแต่ไม่ตะแคงตัวนอน กระนั้นก็ตาม ควาญเองก็ต้องยืนอยู่บนหัวช้าง แล้วคอยเลี้ยงตัวไม่ให้ตกลงไปในน้ำ ควาญตกน้ำเมื่อใดก็เมื่อนั้นแลที่จะได้เห็นข้าวของทั้งหลายหลุดตกน้ำอันตรธารหายไป คนที่ซวย(ขออภัยทีหากเป็นคำไม่สุภาพนัก แต่มันให้อารมณ์ดี) ก็คือผม ก็ "ของหลวงตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้" นี่ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 476 เมื่อ 25 ม.ค. 16, 19:04
|
|
ข้ามน้ำครั้งแรกก็แบบหนึ่ง พอข้ามกลับก็อีกแบบหนึ่ง ขาข้ามกลับนี้ น้ำก็ลึกแถวๆเหนืออกพอๆกัน แต่หากหลุดก็จะไหลไปเข้าแก่งยาว อันนี้เจ็บตัวแน่ๆ ช้างกลับทำตัวดี ว่านอนสอนง่ายเอาทีเดียว เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเขาได้กลับบ้าน(ถิ่นที่เขารู้จัก)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Anna
|
ความคิดเห็นที่ 477 เมื่อ 26 ม.ค. 16, 13:11
|
|
แล้วก็ได้เห็นภาพที่น่ารักของช้าง และสิ่งที่น้อยคนจะได้รู้
ช้างเขาก็มีความกลัวเหมือนเรา พอเดินลงถึงชายน้ำ เขาก็จะค่อยๆก้าวเดิน เอางวงแตะพื้นดินนำหน้าไปก่อนที่จะเหยียบ(ลงน้ำหนักเท้า)ลงไป ก็เพื่อประเมินว่าพื้นมั่นคงดีพอใหม เขาก็จะใช้งวงทำเช่นนี้ในขณะที่เดินไปเมื่อลงไปอยู่ในน้ำแล้วเช่นกัน แต่กระทำในน้ำนั้นก็เพื่อหยั่งความลึกและสภาพผิวพื้นท้องน้ำ
ภาพที่น่ารักจะเกิดขึ้นเมื่อน้ำที่เขาเดินลุยลงไปนั้นเริ่มลึกถึงระดับประมาณห้วเข่า หรือระดับน้ำใกล้แตะพุงเขานั่นแหละ ลักษณะตัวของช้างก็จะเปลี่ยนไป คือเขาจะเริ่มพองลม เราจะเห็นท้องเขาใหญ่ขึ้นและพองกลมขึ้น อารมณ์ของเขาเองก็จะเปลี่ยนไป จากที่ดูจะเครียดๆ ก็กลายเป็นดูร่าเริง ชูงวงพ่นอากาศ ไม่สนใจอีกต่อไปว่าน้ำจะลึกหรือพื้นท้องน้ำจะเป็นอย่างไร
อาจารย์บรรยายจนเห็นภาพปรากฏอยู่ตรงหน้า เห็นช้างเคลื่อนไหวอย่างน่ารักเลยละค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 478 เมื่อ 27 ม.ค. 16, 17:35
|
|
ครับ ช้างมีความน่ารักอยู่ในตัวของเขามาก ควบคู่ไปกับความน่ากลัวที่มีแฝงอยู่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 479 เมื่อ 27 ม.ค. 16, 18:07
|
|
ช้างข้ามน้ำได้ไม่ยาก แต่คนนะซีครับที่เสียวใส้หน่อย คะเนดูจากระดับน้ำที่ท้องช้างแล้ว น้ำลึกสุดก็ประมาณชายโครง ลึกในระดับที่ไม่ใช่เป็นการเดินข้ามแบบลุยน้ำธรรมดาๆเสียแล้ว คงต้องหาวิธีเดินไปโดยไม่ให้ล้ม มิฉะนั้นก็จะต้องหลุดลอยตามน้ำลงผ่านแก่งไป ควาญช้างนั้นจะไปยืนอยู่อีกฝั่งเพื่อเป็นจุดเป้าหมายที่จะต้องพยายามไปให้ถึง ณ จุดนั้น
พอลงน้ำไปจริงๆ พื้นท้องน้ำเป็นพวกหินก้อนใหญ่ ใช้วิธีเดินสืบเท้าไปไม่ได้เสียแล้ว ต้องใช้วิธีใช้เท้าถีบให้ลอยตัวเล็กน้อยบังคับให้ไปในทิศทางที่ต้องการ เพราะว่าหากจะใช้วิธีเดินเหยียบไปบนก้อนหิน ก็มีโอกาสที่จะพลาดไปขัดร่อง ข้อเท้าแพลงได้ง่ายๆ ลุยแล้วก็ต้องไปเลย ไปเร็วอย่างเดียว หยุดหรือย้อนกลับไม่ได้แล้ว ตายเอาดาบหน้าอย่างเดียว
มีการนัดกันล่วงหน้าแล้วว่า ผู้ใดหลุดลอยลงแก่งไป ให้พยายามลอยคอพยุงตัวอย่างเดียว อย่าพยายามว่ายให้มาก จะหมดแรง แล้วก็หาทางคัดหางให้ไปขึจากน้ำบนฝั่งที่เราจะข้ามไปนั่นแหละ จะไปตามหากันเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|