^
กรุณาขยายความหน่อยได้ไหมคะ สนใจมาก
อยากรู้ว่าตรงกับที่ดิฉันคิดหรือเปล่า
ไม่แน่ใจว่าจะตรงกับที่ อ.เทาชมพู คิดไว้หรือไม่นะครับ ผมขอเดาตามแบบผมนะครับ
คือถ้าดูตามช่วงเวลาของทั้งไทยและญี่ปุ่น ทั้งสองประเทศนี้ ต่างผ่านเหตุการณ์ทางการเมืองซึ่งมีผลกระทบต่อประเทศชาติมาพอ ๆ กัน ของญี่ปุ่นก็ตามที่ได้นำเรียนไปแล้ว ของไทยหรือสยามเอง ก็มีไม่ต่างกัน ตั้งแต่สมัย ร.๔ , ร.๕ เป็นต้นมา สยามหรือต่อมาก็คือไทย ก็ผ่านเหตุการณ์ทางการเมืองที่เป็นตัวกระตุ้นให้ต้องมีการพัฒนาประเทศอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น จึงยังทำให้ช่วงแรกของการพัฒนานั้น สยามแทบจะไม่ต่างจากญี่ปุ่นสักเท่าไร
จุดที่ต่างของไทยกับญี่ปุ่น น่าจะมีผลมาตั้งแต่ช่วงที่ไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาจนถึงช่วงสงครามโลก จะเห็นได้ชัดเจนว่า
ผู้บริหารของเรามุ่งเน้นไปที่เรื่องของ "การเมืองในประเทศ" มากกว่า "การพัฒนาประเทศ" ในขณะที่ญี่ปุ่น มุ่งหน้าไปที่เรื่องของ "การพัฒนาประเทศ" มากกว่า และยิ่งจะชัดเจนมากขึ้น หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง ญี่ปุ่นโดนอเมริกาบังคับห้ามไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับ "การเมืองระหว่างประเทศ" จนแทบไม่ต้องกังวลกับเรื่องของการพัฒนากองทัพมากนัก ตรงข้ามกับของบ้านเรา เพราะฉะนั้นประเทศหนึ่งที่มุ่งแต่ "การเมือง" กับอีกประเทศที่มุ่งแต่ "พัฒนาบ้านเมือง" จึงทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของประเทศอย่างชัดเจนครับ
ป.ล. การพัฒนาบ้านเมืองของญี่ปุ่น ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีเรื่องคอรัปชั่นนะครับ การเมืองญี่ปุ่นก็ยังมีเรื่องแบบนี้ แต่ก็น้อย และการเมืองญี่ปุ่นค่อนข้างจะไม่นิ่งมานานมากแล้ว แต่ที่ทำให้ประเทศยังเดินหน้าต่อไปได้ เพราะศักยภาพทางเศรษฐกิจที่มาจากการพัฒนาบ้านเมืองในอดีตนี่ล่ะครับ