เรือนไทย

เมื่อถึงเทศกาลคริสต์มาสคราใด หลายท่านคงนึกถึงชายชราท่าทางใจดี หนวดเคราสีขาวยาวเฟื้อยเชียว รูปร่างอ้วนพุงพลุ้ย สวมหมวกและเสื้อคลุมสีแดง นั่งเลื่อนเทียมด้วยกวางเรนเดียร์ล่องมาในนภากาศพร้อมกับของขวัญมากมาย

แต่คุณแน่ใจแล้วหรือว่าคุณรู้จักตัวจริงของชายชรานาม "ซานตาคลอส"  ;)

ตำนานของซานตาคลอสเริ่มต้นเมื่อประมาณ ค.ศ. ๓๐๐ ที่เมือง Myra (ปัจจุบันเป็นอยู่ในประเทศตุรกี) มีบิชอปคนหนึ่งนาม Nicholas สามารถชุบชีวิตเด็ก ๓ คนที่ถูกคนฆ่าสัตว์ฆ่าชำแหละเอาเนื้อไปขายที่ตลาด  อีกตำนานเกี่ยวกับเจ้าสาวเรื่องมีอยู่ว่าท่านบิชอปเอาเหรียญทองไปโยนให้กับเด็กสาว ๓ คนที่อาจจะไม่ได้แต่งงานเพราะว่าครอบครัวฐานะยากจน จนพ่อมีความคิดจะเอาลูกสาวทั้งสาวคนไปขาย พอมีเหรียญทองแล้วสาวน้อยทั้งสามคนก็มีทุนรอนไปแต่งงานกับหนุ่มที่ตนเองหมายปอง   เรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งคือเมื่อท่านกลับจากการเดินทางไปแสวงบุญทางเรือนั้น ได้เกิดพายุลูกใหญ่กลางทะเล ลูกเรือคนอื่น ๆ ตระหนกตกใจ คิดว่าพายุต้องพัดเรือล่มแน่แท้ แต่ท่าน Nicholas นั้นได้สวดภาวนาถึงพระเจ้าให้เรือรอดพ้นพายุไปได้ แล้วในทันใดพายุก็สงบลง

ตำนานทั้ง ๓ เรื่องนี้ ทำให้ท่านเป็นนักบุญคุ้มครองเด็ก ๆ  รวมทั้งเจ้าสาวและ การเดินเรือ  ท่านยังเป็นนักบุญประจำเมืองอัมสเตอร์ดัมอีกด้วย เนื่องด้วยอัมสเตอร์อัมเป็นเมืองท่า เมืองที่มีท่าเรือทั้งหลาย รวมทั้งอัมสเตอร์ดัมจึงนับถือท่านเป็นนักบุญประจำเมืองด้วยประการนี้

นักบุญนิโคลัส (Saint Nicholas) นี้แหละคือที่มาของตำนานซานตาคลอสในเวลาต่อมา  ;D

ภาพวาดฉากชีวิตของนักบุญนิโคลัสโดยจิตรกรชาวรัสเซียประมาณต้น ค.ศ. ๑๕๐๐ ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ สตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน

นึกตรงกันเลย  กำลังจะตั้งกระทู้ "ตำนานซานตาคลอส"  พอดีคุณเพ็ญชมพูเข้ามาตั้งเสียก่อน เลยทุ่นแรงไป
ขอบคุณค่ะ
คริสต์มาสเป็นตรุษของชาวคริสต์  แต่คนไทยชาวพุทธก็ร่วมฉลองด้วยได้ ไม่เกี่ยงงอน
สุขสันต์วันคริสต์มาส แด่ชาวเรือนไทยนะคะ

สุขสันต์วันคริสต์มาสแด่คุณเทาชมพูและชาวเรือนไทยทุกท่าน

(http://topicstock.pantip.com/isolate/topicstock/2011/12/M11496440/M11496440-9.gif)

หากตำนานซานตาคลอสเวอร์ชันนี้ขาดตกบกพร่องไป ขอความกรุณาคุณเทาชมพูช่วยเสริมด้วย  ;D

นักบุญนิโคลัสเป็นที่นับถือมากในเนเธอร์แลนด์  ทุกวันที่ ๕ ธันวาคมของทุกปีจะเป็นวัน Sinterklaas อันเป็นชื่อของนักบุญนิโคลัสในพากย์ภาษาดัชต์ จุดประสงค์เพื่อระลึกถึงความดี และความมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับมนุษย์ (โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ) ของนักบุญท่านนี้ที่เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม โดยปกติชาวเบลเยียมจะฉลองตรงกับวันที่ ๖ ธันวาคม แต่ชาวดัตช์ถือว่าต้องให้ของขวัญกันคืนก่อนวันจริงหนึ่งวัน วัน Sinterklaas จึงกลายเป็นวันที่ ๕ ธันวาคมไปโดยปริยาย

ตำนานนักบุญนิโคลัส เวอร์ชันของชาวดัตช์ในปัจจุบันได้รับอิทธิพลมาจากหนังสือเรื่อง Sint Nicolaas en zijn knecht (Saint Nicholas and his servant) แต่งโดยคุณครู Jan Schenkman ในปี ๑๘๕๐

เนื้อเรื่องมีอยู่ว่า ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน Sinterklaas จะนั่งเรือจักรไอน้ำจากประเทศสเปน พร้อมกับผู้ช่วยคือ Zwarte Piet (สวาร์ตเตอะ ปีตหรือนายปี๊ตดำ) ท่าน Sinterklaas มีม้าขาวคู่ใจชื่อ Americo (บางทีก็เป็นสีหมอก) ที่จะช่วยพาท่านไปแจกของขวัญให้กับเด็ก ๆ โดยมีนายปี๊ตดำคอยปีนเข้าไปในปล่องควันเอาของขวัญและขนมไปให้เด็กดี (เวอร์ชันที่ของเยอรมนีและออสเตรีย นายปี๊ตดำเป็นตัวปีศาจที่จับเด็กซนใส่ถุงไปด้วย) เด็ก ๆ ชาวดัตช์ในวัน Sinterklaas จะถือปฎิบัติกันว่า ก่อนเข้านอนต้องเอาแครอทและข้าวโอตไปวางในรองเท้าเพื่อเป็นอาหารของม้าขาว Americo พอรุ่งเช้าก็จะเจอของขวัญหรือขนมแทนที่

Sinterklaas จะนั่งเรือจักรไอน้ำจากประเทศสเปน

พร้อมกับผู้ช่วยคือ Zwarte Piet (สวาร์ตเตอะ ปีตหรือนายปี๊ตดำ)

มีม้าขาวคู่ใจชื่อ Americo

เด็ก ๆ ชาวดัตช์ในวัน Sinterklaas จะถือปฎิบัติกันว่า ก่อนเข้านอนต้องเอาแครอทและข้าวโอตไปวางในรองเท้าเพื่อเป็นอาหารของม้าขาว Americo

พักครึ่งเวลา รอคุณเทาชมพูและชาวเรือนไทยท่านอื่นช่วยเสริม  ;D

http://www.youtube.com/watch?v=ix1fGImifn0#ws (http://www.youtube.com/watch?v=ix1fGImifn0#ws)

    ตามประวัติศาสตร์ พระเยซูคริสต์ประสูติเมื่อวันไหนไม่มีใครรู้   วันที่ 25 ธันวาคมที่เราเรียกว่าคริสต์มาส หรือคริสตสมภพ(แปลว่าวันเกิดพระไครสต์) กำหนดขึ้นมาโดยพระสันตปาปาจูเลียสที่ 1  นี่เอง ท่านดำรงตำแหน่งประมุขของโรมันคาทอลิค ตั้งแต่ค.ศ. 337จนถึงค.ศ. 352
    ก่อนหน้าจะมีวันคริสต์มาส  ฝรั่งมีเทศกาลฉลองกึ่งกลางฤดูหนาวมาตั้งแต่ก่อนคริสตศาสนาจะเข้ามาเผยแพร่ในยุโรป  ก็ตกประมาณปลายๆเดือนธันวาคมนี่แหละ     องค์สันตปาปาก็เลยเห็นเป็นโอกาสดีว่า ในเมื่อมีประเพณีฉลองดั้งเดิมอยู่แล้ว จะไปกำหนดใหม่ทำไมให้ป่วยการ   ก็ทำให้สองอย่างกลืนเข้ามาหากันเสียเลย  โดยกำหนดเป็นวันฉลองวันประสูติของพระเยซูเจ้า   ตกอยู่ในเทศกาลฉลองกึ่งกลางฤดูหนาว    ฝรั่งไม่ต้องมาฉลองเทศกาลดั้งเดิมอีกต่อไป
    ส่วนวันเฉลิมฉลองเซนต์นิโคลัสตกอยู่ในวันที่ 6 ธันวาคม ใกล้กว่าวันฉลองนักบุญองค์อื่นๆ   ในที่สุดก็ถูกโยงเข้ามาถึงวันคริสต์มาส  เพราะความเมตตากรุณาต่อผู้คนโดยเฉพาะเด็กๆเป็นจุดเด่น     ก็เลยเกิดประเพณีว่าเด็กๆจะนำของกินเล็กๆน้อยๆอย่างลูกนัต แอปเปิ้ลหรือขนมที่ทำเองไปวางไว้เป็นการบูชาท่าน    ไม่ใช่ไปรับของขวัญจากท่าน
    ต่อมาเมื่อคริสตศาสนาแยกออกมาอีกเป็นหลายนิกายที่รวมแล้วเรียกว่าโปรแตสแตนท์   ลักษณะสำคัญประการหนึ่งคือนิกายเหล่านี้ไม่นับถือนักบุญแบบเดียวกับคาทอลิค     ความนิยมในตัวเซนต์นิโคลัสก็เลยไม่มีในประเทศที่นับถือโปรแตสแตนท์เป็นหลัก เช่นสหรัฐอเมริกา
   
ภาพล่างนี้คือสันตปาปาจูเลียสที่ 1 ค่ะ

คำถามต่อมาคือ เซนต์นิโคลัสกลายเป็น "ซานตาคลอส" ได้ยังไง
คำตอบก็คือ ในประเทศเนเธอร์แลนด์เรียกชื่อท่านว่า  "Sinter Klaas."  เมื่อชาวดัทช์อพยพมาอเมริกา ตั้งถิ่นฐานแรกที่นิวอัมสเตอร์ดัม  หรือมหานครนิวยอร์คในปัจจุบัน     การเรียกชื่อก็เพี้ยนจากสำเนียงเดิมมาเป็น "Sancte Claus." และ Santa Claus ตามลำดับ

ในวันคริสต์มาส "เทาชมพู" ไม่ได้หยุดงาน   ขอลาไปทำงานประจำให้เสร็จก่อน แล้วจะกลับมาต่อนะคะ
เชิญคุณเพ็ญชมพูบรรเลงกระทู้ไปพลางๆ

ฟังเพลงไปพลางๆก่อนค่ะ

Top Songs Christmas Songs New || Best Songs Of Christmas (http://www.youtube.com/watch?v=GlAwT2DMEuM#ws)

เรื่องราวมีอยู่ว่าชาวดัตช์สมัยที่ไปบุกเบิกอเมริกาเมื่อหลายร้อยปีที่แล้วได้นำวัฒนธรรมประเพณีเฉลิมฉลองของตัวเองไปด้วย มีการแต่งตัวเป็น  Sinterklaas มาเยี่ยมเด็ก ๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวดัชต์ที่อพยพมา ก็รู้สึกอยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้าง เพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในอเมริกา

เมื่อ Sinterklaas อยู่ในอเมริกา จึงถูกเรียกเพี้ยนไปเป็น Santa Claus อย่างที่คุณเทาชมพูเล่า และแทนที่จะสวมชุดนักบวชร่างผอมในมาดสุขุมคัมภีรภาพ กลับกลายร่างเป็นชายชราร่างท้วมอารมณ์ดีในชุดสีแดงอย่างที่เรารู้จักกัน

อีกคำถามหนึ่งคือ Sinterklaas ของชาวดัชต์นั่งเรือมาจากสเปน แล้วไย Santa Claus ของอเมริกันจึงมาจากขั้วโลกเหนือแถมยังนั่งเลื่อนเทียมด้วยกวางเรนเดียร์แล่นมาในนภากาศ

คำตอบต้องโยงเข้ากับนิยายปรัมปราของชาวยุโรปเหนือซึ่งอยู่ใกล้ขั้วโลก นับถือว่าเทพผู้สร้างโลกคือ "เทพโอดิน" (Odin) พาหนะของโอดินเป็นม้าชื่อสเลปไนร์ (Sleipnir) ตามตำนานกล่าวว่ายามวิ่งจะเร็วมากจนดูเหมือนมีแปดขาและสามารถวิ่งไปได้ทั้งบนสวรรค์ โลกและมหาสมุทร  ม้าตัวนี้เลยกลายมาเป็นกวางเรนเดียร์แปดตัวอันเป็นพาหนะของซานตาคลอสที่จะพาไปแจกของขวัญเด็ก ๆ ทั่วโลก

ว่ากันด้วยรูปลักษณ์ของซานตาคลอสจากอดีตสู่ปัจจุบัน

เดิมที "ซานต้า" ไม่อ้วนเหมือนปัจจุบันนี้

ซานต้าเริ่มอ้วนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๒ Thomas Nast เขียนภาพประกอบบทกวี "A Visit from St. Nicholas" ของ Clement Clarke Moore ซานต้ามีลักษณะรูปร่างอ้วน พุงใหญ่ เครายาว ถือไปป์ยาว มือกอดของเล่น ลงในหนังสือพิมพ์ซึ่งได้รับความนิยมเป็นต้นมา

สีของชุดซานต้าก็ไม่ใช่มีแต่สีแดงสีเดียว

เมื่อรูปลักษณ์ของซานตาคลอสในปัจจุบันเกิดขึ้นจากการค้า องค์การทางศาสนาแห่งหนึ่งของเยอรมัน  (The Federation of German Catholic Youth (BDKJ) of Speyer) จึงออกมารณรงค์สร้าง ‘Santa-free zone’ ขึ้น และแนะนำตัวจริงของบุคคลซึ่งเป็นต้นกำเนิดของซานตาคลอส - St. Nicholas

ที่มา catholicnewsagency.com  (http://www.catholicnewsagency.com/news/german_diocese_creates_santafree_zone/)

ในออสเตรเลีย คำทักทายของซานตาคลอส 'Ho Ho Ho' ถูกเซนเซอร์ เนื่องจากฟังแล้วความหมายคล้ายกับคำสแลงของอเมริกันซึ่งหมายถึง "โสเภณี"

ที่มา foxnews (http://www.foxnews.com/story/2007/11/15/australian-santas-asked-not-to-ho-ho-ho/)

หันกลับมามองในบ้านเรา แม้แต่ช้างยังสนุกกับการเป็นซานตาคลอส

http://www.youtube.com/watch?v=SKmuMtVUJVg#ws (http://www.youtube.com/watch?v=SKmuMtVUJVg#ws)

สุขสันต์วันคริสต์มาส

(http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/12/K8687430/K8687430-36.jpg)

ข้อมูลของกระทู้นี้นำมาจาก

๑. ซานตาคลอส : ชายชราใจดีผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลคริสต์มาสเลย  (http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2006/12/K4990457/K4990457.html)

๒. โฮ่ะๆๆๆ กำเนิดซานตาครอส  (http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/12/K8687430/K8687430.html)

๓. Sinterklaas ชายชราในชุดคลุมสีแดง และนายตัวดำถือไม้กวาด  (http://tsanknowhow.wordpress.com/2013/02/17/sinterklaas-%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87/)
 
(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

ขอเชิญคุณเทาชมพู คุณหนุ่มสยาม และชาวเรือนไทยทุกท่านเข้ามาเพิ่มเติมข้อมูลส่วนที่ขาดตกบกพร่อง ho ho ho ;D

นึกว่าคุณเพ็ญชมพูจะเล่าถึงอีตาคนนี้

ในบทกวีเรื่องนี้ มัวร์ผู้แต่งสร้างภาพเซนต์นิโคลัสเป็นชายร่างเล็กนั่งมาในเลื่อน เทียมด้วยกวางเรนเดียร์ตัวน้อยๆแปดตัว   พาเหาะไปตามหลังคาบ้าน เพื่อลงไปทางปล่องไฟ เอาของขวัญไปบรรจุในถุงเท้าที่แขวนหน้าเตาผิงให้เด็กๆ

บทกวีอันลือชื่อนี้ บางครั้งคนรุ่นหลังรู้จักกันในนาม The Night Before Christmas  ตามบรรทัดแรกของบทกวี

ีรูปข้างล่าง มัวร์กับบทกวีลายมือเขียน

อยากรู้จัก   คุณนวรัตนจะพามาแนะนำในโอกาสนี้ไหมคะ

 :D
บทกวีฉบับดั้งเดิม(ขวามือ)

บทกวีที่วอลท์ ดิสนีย์ไปทำเป็นเพลงประกอบการ์ตูนเข้ากับเนื้อเรื่อง

The Night Before Christmas Disney's Silly Symphonies YouTube (http://www.youtube.com/watch?v=Z4hP5iNFdg4#)

นอร์แมน ร็อคเวลล์ ศิลปินที่เคยอยู่ในกระทู้เรือนไทย   ก็เคยวาดซานตาคลอสไว้เหมือนกันในค.ศ. 1921

คุณครูคร้าบบบบบ แล้วต้นคริสต์มาสนี่มีที่มาที่ไปยังไงคร้าบบบบบบบ

รูดอล์ฟ เจ้ากวางน้อยจมูกแดง ตามซานตาคลอสมาทีหลัง  ถือกำเนิดจากนิทานเด็กประกอบคริสต์มาสโรเบิร์ต แอล.เมย์ ซึ่งทำงานเป็นก๊อปปี้ไรเตอร์อยู่ที่ห้างสรรพสินค้า  Montgomery Ward ในค.ศ.1939. นายจ้างสั่นให้แต่งเรื่องสำหรับเด็กประกอบหนังสือคริสต์มาสที่จะแจกในเทศกาล  เขาก็เลยแต่งบทกวีสั้นๆ เล่าถึงเจ้ากวางเรนเดียร์น้อยที่กอบกู้คริสต์มาสไว้ได้  พอพิมพ์ออกไป  เรื่องนี้ก็ดังระเบิด
ตอนแรกลิขสิทธิ์เป็นของนายจ้าง  แต่เขาเป็นนักธุรกิจที่มีคุณธรรม จึงยกลิขสิทธิ์ให้ผู้แต่งตัวจริง    เมย์ก็เลยรอดพ้นจากวิกฤติแทบหมดตัวไปในการรักษาอาการป่วยของภรรยา กลายเป็นเถ้าแก่ในบั้นปลายชีวิตเพราะโคลงบทเดียว

rudolph the red nosed reindeer song (http://www.youtube.com/watch?v=mfWH2AVSrww#ws)

ครูเพ็ญช่วยตอบดช.ประกอบหน่อยนะคะ    ดิฉันขอไม่ทำโอทีวันนี้

ถ้าจะให้คำตอบง่าย ๆ ก็เหมือนให้ปลาไปรับประทาน เดี๋ยวเดียวก็หมด สู้ให้เครื่องมือไปจับปลาไม่ได้ เอาไว้รับประทานได้อีกนาน (แหะ แหะ  ;))

คุณประกอบลองเอา เรื่องของคุณวิกกี้ (http://en.wikipedia.org/wiki/Christmas_tree) ไปอ่านดู อ่านจบแล้วไปปรึกษาคุณกุ๊กต่อ รับรองคุณประกอบสามารถแยกกระทู้ไปเขียนเรื่องต้นคริสต์มาสได้ยาวเชียว

วิกกี้พากย์อังกฤษพอเชื่อถือได้  ;D

ใครเคยเห็นซานตาคลอสชุดเหลืองบ้าง

O Christmas Tree (http://www.youtube.com/watch?v=9_3ngTHs6gA#)

รูปลักษณ์ของซานตา คลอส ในยุคต่างๆ

http://publicdomainreview.org/collections/a-pictorial-history-of-santa-claus/ (http://publicdomainreview.org/collections/a-pictorial-history-of-santa-claus/)

ภาพประกอบบทกวี "A Visit from St. Nicholas" (http://archive.org/stream/visitfromstnicho00inmoor#page/n9/mode/2up) ของ Clement Clarke Moore ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๐๗

ซานต้าในเรือนไทยก็มีมุมหวานเหมือนกัน   ;D

ภาพซานตา คลอส ฝีมือ Norman Rockwell   จากเพลง I saw Mommy Kissing Santa Claus

I Saw Mommy Kissing Santa Claus (http://www.youtube.com/watch?v=EW0aj-ngpIg#ws)

ซานตา คลอส เมื่อครั้งยังรับราชการเป็นเซนต์นิโคลัส

ซานตา คลอส ยุควิคตอเรียนของอังกฤษ  ประมาณ ค.ศ.1880

ิีิิอีกรูปหนึ่ง

กวางของซานตาที่น่ารักที่สุด

Female Maltese dog Momo (http://www.youtube.com/watch?v=WmyPdcjbaAs#)

ของขวัญคริสต์มาส
Puppy's First Christmas (http://www.youtube.com/watch?v=9vLnfWT9wQ8#ws)

ซานตาคลอสที่คุณไม่รู้จักอีกตัวนึง

คงไม่มีวาสนาจะได้ของขวัญแบบนี้จากซานตาคลอส...

ต่อให้ได้มา   ก็คงจะกลายเป็นภักษาหารของเจ้าตัวข้างล่างนี้เสียก่อนค่ะ

ขอร่วมวงด้วยคน  ;D

ยกให้ทั้งกลุ่ม

 :-*

เครดิตภาพ Nation Channel

อีกอาชีพหนึ่งของซานตา

ซานตาไร้อาชีพ

จะถึงคิวภาพซานตาอดตายมั้ยเนี่ย?

ข่าวไม่แจ้งว่าตายเพราะอะไรง่ะครับ

I Saw Mommy Kissing Santa Claus

I saw Mommy kissing Santa Claus
Underneath the mistletoe last night.
She didn't see me creep
down the stairs to have a peep;
She thought that I was tucked
up in my bedroom fast asleep.

Then, I saw Mommy tickle Santa Claus
Underneath his beard so snowy white;
Oh, what a laugh it would have been
If Daddy had only seen
Mommy kissing Santa Claus last night

https://www.youtube.com/watch?v=2BalSkeUoxw (https://www.youtube.com/watch?v=2BalSkeUoxw)

I Saw Mommy Kissing Santa Claus Christmas in July Nationals (http://www.youtube.com/watch?v=2BalSkeUoxw#noexternalembed)

ช่วยแปะให้คุณนวรัตน  ;D

http://www.youtube.com/watch?v=2BalSkeUoxw#ws (http://www.youtube.com/watch?v=2BalSkeUoxw#ws)

ภาพลักษณ์ซานต้าของคุณนวรัตนค่อนข้างหดหู่ แต่ความจนมิใช่สิ่งที่น่าเศร้าหากเราเข้าใจชีวิต

คนกลุ่มนี้ล้วนอยู่ในระดับใกล้เคียงกับซานต้าของคุณนวรัตน พวกเขาแต่งตัวเป็นซานตาคลอสและมอบของขวัญแก่คนรอบข้าง "ผู้รับ" ย่อมมีความสุข แต่ความสุขของการเป็น “ผู้ให้” อาจจะมากกว่าหรือเท่าเทียมกัน

"ไม่มีใครมีน้อยเกินไปที่จะให้" เป็นคำที่คนทำคลิปนี้อยากจะบอกกับเรา  ;D

http://youtube.com/watch?v=Rcw8duVM56c#ws (http://youtube.com/watch?v=Rcw8duVM56c#ws)

นายปี๊ดดำเป็นเรื่องแล้วที่เนเธอร์แลนด์

'พีตตัวดำ' ผู้รับใช้ซานต้าคลอสในตำนานของเนเธอร์แลนด์ กลายเป็นดราม่าเรื่องเหยียดสีผิว (http://www.prachatai.com/journal/2014/12/57134)

ชาวเนเธอร์แลนด์มีประเพณีเฉลิมฉลองต้อนรับ 'เซนต์นิโคลาส' หรือที่นับเป็น 'ซานต้าคลอสฉบับเนเธอร์แลนด์' ด้วยพาเหรดคนแต่งกายเป็น 'พีตตัวดำ' ที่บางคนมองว่าเป็นมรดกการกดขี่ทาสยุคอาณานิคมอีกทั้งยังเป็นเหยียดสีผิวโดยการเหมารวมลักษณะคนผิวดำ

๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๗ เทศกาลเฉลิมฉลองตามประเพณีประจำปีของประเทศเนเธอร์แลนด์กลายเป็นเรื่องชวนให้ถกเถียงถึงความเหมาะสมในแง่ของการเหยียดสีผิวจากการที่ให้คนแต่งตัวเลียนแบบคนผิวดำที่เรียกว่า ที่ชื่อ "ซวาร์เต พีต" (Zwarte Piet)

ในงานช่วงเย็นก่อนหน้าวันเซนต์นิโคลาส คือวันที่ ๕ ธันวาคม ของประเทศเนเธอร์แลนด์จะมีการเดินขบวนเฉลิมฉลองรำลึกถึงการต้อนรับการมาเยือนของเซนต์นิโคลาสหรือ "ซินเตอร์คลาส" ผู้เปรียบเป็น "ซานตาคลอส" ในแบบของเนเธอร์แลนด์ งานนี้มีเป็นประจำทุกปีและในขบวนเฉลิมฉลองจะมีการแต่งตัวเลียนแบบซาวร์เต พีต หรือ "พีตตัวดำ" ซึ่งจากการเล่าขานต่อกันมาระบุว่า "พีตตัวดำ" เป็นชาวมัวร์ผู้ติดตามเซนต์นิโคลาส โดยประชาชนผู้ร่วมขบวนหลายคนจะแต่งตัวด้วยชุดแบบยุคเรอเนสซองส์แล้วทาตัวเป็นสีดำ

แต่การแสดงออกในเชิงสนุกสนานเช่นนี้ก็กลายเป็นการสะท้อนเรื่องการเหยียดสีผิว การใช้แรงงานทาส และลัทธิอาณานิคม โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ จนมีการเปิดประเด็นถกเถียงถึงเรื่องนี้เพราะในอีกแง่หนึ่งก็มีคนมองว่าการแต่งตัวเลียนแบบพีตตัวดำเป็นประเพณีอย่างหนึ่งของชาวเนเธอร์แลนด์

จากเรื่องเล่าปรับปราเกี่ยวกับที่มาของซานต้าคลอสแบบเนเธอร์แลนด์พีตตัวดำจะเป็นผู้รับใช้เซนต์นิโคลาสมีหน้าที่คอยแจกลูกอมให้กับเด็กที่ทำตัวดี และตีเด็กที่ดื้อหรือซนด้วยไม้กวาดปล่องไฟ มีเพลงเกี่ยวกับซานต้าเนเธอร์แลนด์บางเพลงที่ระบุว่าเด็กดื้อจะถูกพีตตัวดำจับใส่ถุงเอากลับไปสเปนด้วย ซึ่งตำนานนี้ส่วนหนึ่งมาจากเรื่องที่ชาวมัวร์เคยรุกรานดินแดนชายฝั่งทะเลของทวีปยุโรปและจับคนไปเป็นทาส

พีตตัวดำกลายเป็นตัวละครที่มาจากการมองคนผิวดำแบบเหมารวมคล้ายกับกรณีที่ในสหรัฐฯ เคยมีการแสดงที่เรียกว่า "มินสเตรล โชว์" ช่วงยุคคริสตศตวรรษที่ ๑๘๐๐ ซึ่งเป็นการแสดงดนตรี เต้นรำ และตลกโปกฮา ในเชิงเหมารวมคนผิวดำว่าเป็นคนโง่ ขี้เกียจ ตลกหยาบคาย เชื่อเรื่องเหลวไหล แม้ว่าการเหมารวมคนเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกัน จะเปลี่ยนแปลงไปในยุคสมัยใหม่แต่ก็ยังคงมีการเหมารวมอยู่เช่นจากเหตุการณ์ตำรวจสังหารคนผิวสีในเมืองเฟอร์กูสัน แต่ชาวอเมริกันโดยรวมก็มองว่าการแต่งหน้าเลียนแบบคนผิวสีก็เช่นเดียวกับการใช่แรงงานทาสคือเป็นประเพณีที่ไม่ควรจะรักษาไว้

สำนักข่าวโกลบอลโพสต์ระบุว่าในช่วงปี ๒๓๙๓ ที่มีหลักฐานระบุถึงพีตตัวดำในยุคนั้นเนเธอร์แลนด์ยังคงออกล่าอาณานิคมและทำให้คนผิวสีเป็นทาส บางประเทศเพิ่งเป็นอิสระจากเจ้าอาณานิคมเนเธอร์แลนด์เมื่อไม่นานมานี้เองในขณะที่เกาะหลายแห่งยังคงถือเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเนเธอร์แลนด์

ชาวเนเธอร์แลนด์บางส่วนกลับมองว่าพีตตัวดำไม่ใช่เรื่องการเหยียดสีผิว แต่ที่พีตตัวดำเพราะเขาปีนผ่านปล่องไฟ อย่างไรก็ตามคำอธิบายนี้มีช่องโหว่ที่ว่าทำไมะทำไมการแต่งเป็นพีตถึงถึงไม่มีคราบเขม่าติดตามเสื้อผ้าและทำไมถึงใช้ทรงผมแบบแอโฟร นอกจากนี้คนที่แสดงเป็นพีตตัวดำยังพูดด้วยสำเนียงสุรินามซึ่งเป็นประเทศที่เคยอยู่ภายใต้อาณานิคมของเนเธอร์แลนด์

ถึงแม้ว่าผลสำรวจโพลล์จะพบว่าชาวเนเธอร์แลนด์ราวร้อยละ ๙๑ คิดว่าควรจะมีการรักษาประเพณีการแต่งกายเป็นพีตตัวดำไว้ แต่ก็มีคนบางส่วนโดยเฉพาะที่เป็นผู้ที่ไม่ได้มีเชื้อสายดัตช์มองว่าพีตตัวดำเป็นสิ่งที่เหยียดเชื้อชาติ พวกเขาส่วนมากคิดว่าไม่ถึงขั้นต้องทำให้พีตตัวดำหายไปแต่ค้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของพีตและมีการปรับปรุงเนื้อหาการสอนประวัติศาสตร์ในเนเธอร์แลนด์ เมื่อไม่นานมานี้ประชาชนบางส่วนเริ่มแต่งตัวเป็น "พีต" ที่มีลักษณะต่างจากเดิมเช่น "พีตสีรุ้ง", "พีตดอกไม้", "พีตชีส" ซึ่งแต่งหน้าสีเหลือง เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีคนตั้งกลุ่มเพื่อสร้างความตระหนักรู้ว่าพีตตัวดำเป็นเรื่องเหยียดเชื้อชาติ โรลอฟ ยาน มินเนบู นักประวัติศาสตร์ผู้ก่อตั้งกลุ่ม "Zwarte Piet is Racism" (พีตตัวดำเป็นเรื่องเหยียดเชื้อชาติ) กล่าวว่าพวกเขาอยากให้มีตัวละครนี้มีอยู่แต่นำลักษณะที่เป็นการเหมารวมทางเชื้อชาติออกไป มินเนบูบอกอีกว่าระบบการศึกษาของเนเธอร์แลนด์ควรมีการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ช่วงใช้แรงงานทาสมากกว่าเพราะชาวเนเธอร์แลนด์หลายคนอธิบายเรื่องการกดขี่ทาสในยุคอาณานิคมไม่ได้

แต่ก็มีปฏิกิริยาจากกลุ่มขวาจัดที่ต่อต้านผู้อพยพพยายามจะผ่านร่างกฎหมายเพื่อทำให้การเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของพีตตัวดำเป็นเรื่องผิดกฎหมาย

เรียบเรียงจาก  The Netherlands has a holiday blackface problem (http://www.globalpost.com/dispatch/news/regions/europe/141202/blackface-christmastime-tradition-the-netherlands-maybe-not-long), Timothy Mcgrath, Globalpost, 12-12-2014

ุอุตส่าห์ลากเข้าไปจนได้นะคนเรา
ก็นายปื๊ด โดยสัญชาติเขาเป็นชาวมัวร์ จะให้ผิวเหลืองผิวชมพูได้ยังไงเล่า     

บัดนี้ นายปื๊ดก็ตกงานไปเรียบร้อยแล้ว

ลูกน้องของลุงซานต้าในอเมริกาจึงเปลี่ยนเป็น เอลฟ์ Elf ภูติตัวเล็ก ๆ  ;D

โปรดสังเกตว่าหมวกของลุงซานต้ากับเหล่าเอลฟ์มีทรงเดียวกัน หมวกนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของซานตาคลอสทีเดียว

ลุงซานต้ายังส่งหมวกเป็นตัวแทนมาสวัสดีปีใหม่อยู่เสมอ

สุขศรีปีแพะ ๒๕๕๘  ;D

ซานตาคลอสและต้นคริสต์มาสที่สนามบินสุวรรณภูมิ สองแบบสองอารมณ์  ;D

ซ้าย : วันก่อน    ขวา : วันนี้

ปรากฎภายหลัง มีคนโยงว่า การใช้ภูตตัวน้อยคือการใช้แรงงานเด็ก

จบข่าว...

คงไม่มีปัญหาดังว่าดอก เพราะขณะนี้ "เอลฟ์" ไม่ใช่ภูติตัวเล็ก ๆ ดั่งในนิยายแล้ว แต่เป็นคนงานวัยหนุ่มสาวถึงกลางคน ในดินแดนที่คุณหาญปิงกำลังศึกษาอยู่นั่นแล  ;D

ตามตำนานบอกกันว่า ซานตาคลอสนั้นพำนักอาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ โดยมีบรรดาเอลฟ์ (แบบที่ตัวแคระและต้องทำงานใช้แรงงานในหนังสือชุดแฮรี พอตเตอร์ มากกว่าแบบที่รูปร่างสง่างามดุจเทพในหนังสือชุด ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง) เป็นลูกมือคอยทำข้าวของต่าง ๆ  สำหรับเทศกาลคริสต์มาส แล้วก็มีฝูงกวางเรนเดียร์ ซึ่งตัวผู้นำชื่อ รูดอล์ฟ จมูกแดง เป็นกำลังในการลากเลื่อนพาซานตาไปแจกของขวัญยังบ้านเด็ก ๆ  ทั่วโลก
      
เวลานี้ ซานตาตลอดจนกวางเรนเดียร์อาจจะยังพำนักอยู่ที่ขั้วโลก แต่สำหรับบรรดาเอลฟ์ได้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานมาอยู่ตามเมืองน้อยและชนบททางภาคใต้และภาคตะวันออกของจีนเรียบร้อยแล้ว!
      
ข้าวของประดับตกแต่ง ตลอดจนอุปกรณ์เครื่องใช้ประกอบอื่น ๆ สำหรับเทศกาลคริสต์มาสในโลก ขณะนี้มีถึง ๗๐% ทีเดียวซึ่งต้นตอแหล่งผลิตอยู่ในแผ่นดินใหญ่แดนมังกร ที่ประกาศตัวอย่างเป็นทางการว่าไม่นับถือศาสนาไม่เชื่อถือในพระเจ้า

ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับตกแต่งอันแวววับ, ช่อมิสเทิลโท, ชุดซานตาคลอส, และต้นคริสต์มาสประดิษฐ์ทุกเฉดสีทุกขนาด ต่างพรูพรั่งหลั่งไหลออกมาด้วยฝีมือของคนงานโรงงานนับหมื่นนับแสน ในมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง), เจ๋อเจียง, และเจียงซู

ข้อมูลจาก  ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9480000179146)

ภาพจาก  สำนักข่าวซินหัว (http://news.xinhuanet.com/english/photo/2012-09/23/c_131868170_19.htm)

ปัญหาของ "โรงงานเอลฟ์" ในจีนไม่ใช่เรื่องแรงงานเด็ก แต่เป็นเรื่องสภาพแวดล้อมในโรงงาน

http://youtube.com/watch?v=_Jh8nJ7hdYI#ws (http://youtube.com/watch?v=_Jh8nJ7hdYI#ws)

ตามรอยเมืองยี่วู หมู่บ้านคริสต์มาสแดนมังกร

แม้จะเป็นวัฒนธรรมที่มีต้นกำเนิดจากตะวันตก แต่ทุกปีที่เทศกาลคริสต์มาสมาเยือน เมืองยี่วูในประเทศจีนจะคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางในการผลิตสินค้าสำหรับใช้ในการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสของโลกเลยทีเดียว

แม้จะอยู่ไกลจากขั้วโลกเหนือนับพันไมล์ แต่เมืองยี่วู ในมณฑลเจ้อเจียง ถูกเรียกว่าหมู่บ้านคริสต์มาส เนื่องจากเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตของตกแต่งในเทศกาลคริสต์มาสที่ใหญ่ที่สุดในโลก หลังจากมีโรงงานมาก่อตั้งเมื่อปี ๒๐๐๑ แค่ ๑๐ แห่ง วันนี้ ยี่วูมีโรงงานผลิตสินค้าเกี่ยวกับคริสต์มาสกว่า ๖๐๐ แห่ง คิดเป็นเครื่องประดับเทศกาลคริสต์มาสถึงร้อยละ ๖๐ ของกำลังผลิตทั้งโลก

แต่เบื้องหลังโรงงานที่มอบความสุขให้กับชาวโลก คือความยากลำบากของบรรดาเอลฟ์ของยี่วูหรือแรงงานชาวจีน ที่ต้องทำงานในโรงงานถึงวันละ ๑๒ ชั่วโมง โดยได้รับค่าจ้างเพียงเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท หนึ่งในนั้นยังรวมถึง เว่ย แรงงานหนุ่มชาวจีนวัย ๑๙ ปีที่ต้องผลิตของที่ระลึกถึง ๕,๐๐๐ ชิ้นต่อวัน ส่วนผู้เป็นพ่อก็ต้องสวมหมวกทำงานตลอดเวลา ไม่ใช่เพราะอยากสร้างบรรยากาศ แต่เพราะกลัวศีรษะจะถูกย้อมไปด้วยผงสีแดงที่อยู่เต็มโรงงาน โดย ๒ พ่อลูกต้องเปลี่ยนหน้ากากอนามัยถึงวัน ๑๐ ครั้ง เพื่อป้องกันการสูดดมผงสีแดงจำนวนมหาศาล โดยหลังจากเก็บเงินแต่งงานให้ลูกชายได้ตามตั้งใจแล้ว ทั้งสองก็สัญญาว่าจะไม่กลับมายังหมู่บ้านแห่งนี้อีก

เครื่องประดับจากโรงงานแห่งนี้จะถูกส่งมายัง Yiwu International Trade Market ตลาดค้าส่งบนพื้นที่กว่า ๔ ล้านตารางเมตร ซึ่งสหประชาชาติยกให้เป็นตลาดค้าส่งสินค้าขนาดเล็กที่กว้างที่สุดในโลก โดยตลาดยี่วู ประกอบไปด้วยบูทจัดแสดงสินค้าของเมืองกว่า ๖๒,๐๐๐ แห่งโดยมีลูกค้าทั้งชาวจีนและต่างชาติมาเยือนกว่า ๔ หมื่นคนทุก ๆ วัน

แม้วันนี้ยอดขายเครื่องประดับคริสต์มาสในตลาดยี่วูจะถูกเว็บไซต์ขายของทางออนไลน์มาแย่งส่วนแบ่งทางตลาดไปมาก จนยอดสั่งซื้อจากต่างชาติลดลงทุกปี แต่ยอดขายในประเทศยังเป็นไปด้วยดี เนื่องจากชาวจีนหันมาฉลองเทศกาลคริสต์มาสกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น แม้พ่อค้าแม่ค้าของเมืองยี่วูจะมองเครื่องประดับคริสต์มาสเป็นสิ่งที่พบเห็นจนชินตา แต่การได้ทำงานท่ามกลางบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองทุกวันเช่นนี้ ถือเป็นสิ่งที่สร้างความสุขให้กับพวกเขาอยู่เสมอ  

ข้อมูลจาก ไทยพีบีเอส (http://news.thaipbs.or.th/content/ตามรอยเมืองยี่วู-หมู่บ้านคริสต์มาสแดนมังกร)

ภาพจาก   Theguardian (http://www.theguardian.com/artanddesign/architecture-design-blog/2014/dec/19/santas-real-workshop-the-town-in-china-that-makes-the-worlds-christmas-decorations)

เมืองนี้ดังมาก อยู่ใกล้ๆกับเมืองที่ผมเรียน ชื่อว่าเมือง อี้อู (义乌：yi wu) แหล่งผลิตของใช้ทุกสิ่งอันที่สำคัญแห่งหนึ่งในโลก

ของขวัญทั้งหลายก็ข้ามแดนมาวางโชว์ในร้านแบบนี้   เก็บเมื่อพ้นเทศกาลแล้ว รอวันโชว์ใหม่ในปีหน้า

ถึงเวลาที่รอคอย เทศกาลรื่นเริงเริ่มต้นแล้วอีกครา ;D

เทศกาลคริสต์มาสก็เวียนมาอีกปีแล้ว   อีกไม่กี่วันก็จะฉลองปีใหม่กันอีก

http://thaiarmedforce.com/taf-military-news/57-world-news/796-norad-santa-tracker.html (http://thaiarmedforce.com/taf-military-news/57-world-news/796-norad-santa-tracker.html)
ที่มา : thaiarmedforce.com
Written by Administrator   

24/12/2558 21.45 น. ThaiArmedForce.com - NORAD หรือ North American Aerospace Defense Command เป็นหน่วยงานป้องกันภัยทางอากาศของอเมริกาเหนือที่คอยระแวดระวังภัยจากการโจมตีทางอากาศตั้งแต่สงครามเย็นเป็นต้นมา แต่ในปี 1955 ในสมัยที่ยังเป็น Continental Air Defense Command (CONAD) อยู่นั้น มีโฆษณาชิ้นหนึ่งของบริษัท Sears Roebuck & Co. ที่เชิญชวนให้เด็ก ๆ โทรไปหาซานต้านั้น กลับพิมพ์หมายเลขโทรศัพท์ผิด กลายเป็นหมายเลขโทรศัพท์สายด่วนของผู้บัญชาการหน่วยป้องกันภัยทางอากาศของอเมริกาเหนือเสียอย่างนั้น

แต่แม้จะมีสายจากเด็ก ๆ กระหน่ำโทรเพื่อที่จะอยากรู้ว่าซานต้าเดินทางมาจากขั้วโลกเหนือมาถึงบ้านพวกเขาหรือยัง NORAD ก็ไม่ทำลายความฝันของเด็ก ๆ แต่ นาวาอากาศเอก Harry Shoup กลับสั่งให้ทีมงานช่วยตรวจสอบระบบเรดาร์ของตนว่าตอนนี้เจ้ากวางรูดอร์ฟลากเลื่อนของซานต้าไปถึงไหนแล้ว โดยอ้างอิงจากเขตเวลาของโลก

หลังจากนั้นเป็นต้นมา กิจกรรมนี้ก็กลายเป็นประเพณีของเจ้าหน้าที่ของ NORAD ที่จะต้องคอยอัพเดตความเคลื่อนไหวของซานต้าที่เดินทางด้วยความเร็วเหนือเสียงว่าอยู่ที่ไหนของโลกแล้ว เพื่อที่เด็ก ๆ จะได้ตั้งตารอคอยเวลาแห่งความสุขที่จะมาเยือนทุกปี และ NORAD ยังใช้โอกาสนี้ในการทำให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญในหน้าที่ของพวกเขาที่จะต้องปกป้องน่านฟ้องของอเมริกาเหนือผ่านการให้ความรู้ด้านระบบเรดาร์ ระบบสั่งการ และงานของ NORAD ที่ทำอยู่ตลอด 24 ชั่วโมงใน 1 ปี เช่น การนำเสนอคลิป VDO ที่แสดงให้เห็นการใช้เครื่องบิน E-3 Sentry คอยติดตามซานต้าอีกด้วย ซึ่งถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจเสมอ โดยเฉพาะหน่วยงานราชการที่เห็นความสำคัญด้านการประชาสัมพันธ์และงานด้านกิจการพลเรือนครับ

โดยในปีนี้ ซึ่งถือเป็นวาระครบรอบ 60 ปีของภารกิจการติดตามซานต้า NORAD จะใช้เครือข่ายดาวเทียมป้องกันประเทศและเรดาร์ภาคพื้นดินในการติดตามการเดินทางของซานต้าไปทั่วโลก และเมื่อซานต้าเข้าสู่ทวีปอเมริกาเหนือ เครื่องบินขับไล่ของ NORAD จะขึ้นทำการบินคุ้มกันให้กับซานต้าในภารกิจแจกของขวัญ ในทะเล เรือรบและเรือดำน้ำจะดูแลน่านน้ำเพื่อป้องกันการรบกวนเส้นทางการแจกของขวัญ และพิเศษที่สุดคือจะมีกล้อง VDO จากทั่วโลกจับภาพซานต้าขณะเดินทางผ่านสถานที่สำคัญต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งทุกคนสามารถติดตามชมภารกิจแจกของขวัญด้วยความเร็วเหนือเสียงของซานต้าได้ที่เว็บไซต์ แฟนเพจ หรือแอปของ NORAD หรือโทรหรือ E-mail ไปที่ศูนย์บัญชาการของ NORAD ที่ Colorado Spring เพื่อสอบถามข้อมูลและตำแหน่งสด ๆ ของซานต้า โดยทาง NORAD จะมีอาสาสมัครคอยตอบคำถามให้ตลอดคืนจนกว่าซานต้าจะแจกของขวัญเสร็จสิ้น

ท่านสามารถเข้าชมเว็บไซต์ http://www.noradsanta.org/ (http://www.noradsanta.org/) ตั้งแต่วันที่ 24 ธ.ค. เป็นต้นไป เพื่ติดตามซานต้าได้ โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงพลบค่ำครั้งแรกของโลกในเขตแปซิฟิกจนครบและไปสิ้นสุดที่เกาะมิดเวย์ในคืนคริสมาสอีฟ

สำหรับชาวพุทธในเรือนไทย

วันนี้วันพระ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 1 ปีมะแม ตรงกับวันศุกร์ ที่ 25 ธ.ค.ปี 2558 เป็นวันพระสุดท้าย ประจำปี 2558
ขออนุโมทนาบุญ แด่ท่าน และครอบครัว ประสบแด่ ความสุข ความเจริญ และสมหวัง ในสิ่งอันพึงปรารถนา จงทุกประการ เทอญฯ

ซานต้าอยู่เมืองไทยในเทศกาลคริสต์มาสได้อย่างมีความสุข แต่อาจจะอยู่ได้ยากลำบากหน่อยในบางพื้นที่ในโลกนี้  :o

ขณะที่ผู้คนทั่วโลกกำลังเตรียมต้อนรับเทศกาลคริสต์มาส ทั่วทั้งบรูไนดารุสซาลามกลับไม่มีแสงไฟจากต้นคริสต์มาส หรือแม้แต่หมวกซานตาคลอสให้เห็น เนื่องจากรัฐบาลมีคำสั่งห้ามประชาชนจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองเทศกาลซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักศาสนาอิสลาม

“การนำสัญลักษณ์ทางศาสนามาใช้ ไม่ว่าจะเป็นไม้กางเขน การจุดเทียน ต้นคริสต์มาส การร้องเพลงศาสนา หรือส่งการ์ดอวยพรในวันคริสต์มาส ล้วนเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักอิสลามทั้งสิ้น” หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอ้างคำเทศนาของบรรดาอิหม่าม
      
ทั้งนี้ ผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งรัฐบาลจะมีโทษจำคุก ๕ ปี

รัฐบาลบรูไนประกาศเตือนชาวมุสลิมตั้งแต่ปีที่แล้วว่า การสวมหมวกหรือเครื่องแต่งกายที่คล้ายคลึง “ซานตาคลอส” เข้าข่ายผิดกฎหมาย
      
แม้ชาวคริสต์บรูไนจะยังสามารถฉลองเทศกาลคริสต์มาสกันได้ตามปกติ แต่รัฐบาลก็ขอร้องไม่ให้จัดงานอย่าง “เอิกเกริกเกินไป”

คุณแม่ชาวมุสลิมคนหนึ่งในกรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน กล่าวว่า “คำสั่งของรัฐบาลเป็นเรื่องน่าตลก และทำให้คนเข้าใจผิดว่าอิสลามไม่ยอมรับสิทธิของคนศาสนาอื่นที่จะจัดงานฉลองตามความศรัทธาของพวกเขา”
      
“อิสลามสอนให้เราเคารพซึ่งกันและกัน และฉันคิดว่ามันจะต้องเริ่มจากการให้เกียรติศาสนาอื่น ๆ ก่อน แม้สิ่งที่รัฐบาลทำในขณะนี้จะเป็นเพียงการห้ามประดับตบแต่งก็ตาม”

ข่าวจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000140456)

หากพลิกไปตอนต้นของกระทู้นี้ ก็จะทราบความจริงว่ารูปลักษณ์ของซานตาคลอสแบบที่ชาวบรูไนหรือแม้แต่ชาวโลกรู้จักไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาเลย แต่เกิดจากวัฒนธรรมทุนนิยมของอเมริกาโดยแท้  :o

ข่าวจาก บีบีซี (http://www.bbc.com/thai/international-41508183#share-tools) วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๐

นักโบราณคดีตุรกีค้นพบหลุมฝังศพที่เชื่อว่าอาจเป็นสุสานของซานตาคลอสหรือที่รู้จักกันในชื่อนักบุญนิโคลัส ทางพื้นที่ตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศตุรกี ซึ่งเชื่อกันว่านักบุญนิโคลัสเคยอาศัยอยู่เมื่อศตวรรษที่ ๔

สุสานดังกล่าวถูกพบอยู่ใต้โบสถ์นักบุญนิโคลัสที่เขตเดมเร ในจังหวัดอันตัลยา ทางตะวันตกเฉียงใต้ของตุรกี ซึ่งเขตนี้แต่ก่อนเคยเป็นเมืองโบราณไมรา

ที่ผ่านมา นักโบราณคดีเชื่อกันว่ากระดูกของนักบุญนิโคลัสถูกเก็บอยู่ที่เมืองบารี ในอิตาลี โดยตั้งสันนิษฐานว่ามีพ่อค้านักเดินเรือชาวอิตาลี นำออกไปจากเมืองไมราเมื่อปี ๑๐๘๗ ในสมัยที่เมืองอยู่ภายใต้การปกครองของชาวกรีกและกำลังถูกกองทหารเซลจุกเติร์กรุกราน ซึ่งในเวลานั้น นักบุญนิโคลัส มีชื่อเสียงเป็นที่ยกย่องในหมู่ชาวคริสต์ จากความอ่อนน้อมถ่อมตนและความใจบุญโดยเฉพาะกับเด็ก

ส่วนในปัจจุบัน นอกจากโบสถ์นักบุญนิโคลัสในเมืองเดมเร จะเป็นที่นิยมของนักแสวงบุญตามความเชื่อเกี่ยวกับสุสานแล้ว ตลอดเวลา ๒๐ ปีที่ผ่านมา ได้มีงานขุดค้นทางโบราณคดีอย่างต่อเนื่อง

นายเซมิล คาราเบย์รัม ผู้อำนวยการฝ่ายสำรวจและอนุสรณ์สถานประจำอันตัลยา ระบุว่าจากการศึกษาด้วยกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พบว่าภายใต้โบสถ์ มีสุสานซึ่งอยู่ในสภาพสมบูรณ์ โดยได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ฮูริเยต์ของตุรกีว่า "วัดที่อยู่ภายใต้โบสถ์ ยังคงอยู่ในสภาพดี" และ "เราเชื่อว่าเท่าที่ผ่านมาสุสานยังไม่บุบสลาย แต่ยากที่จะเข้าถึง เนื่องจากมีหินและลวดลายแกะสลักอยู่บนพื้น ซึ่งจำเป็นต้องค่อย ๆ แกะออกทีละชิ้น"

นายคาราเบย์รัม กล่าวด้วยว่า ระหว่างการศึกษาเอกสารโบราณ พบบันทึกชิ้นหนึ่งที่ระบุว่า กระดูกซึ่งถูกนำไปยังเมืองบารี เป็นของนักบวชอีกรายหนึ่ง

ในการขุดค้นขั้นตอนสุดท้ายนี้ ต้องใช้เครื่องซีทีสแกน ร่วมกับการตรวจเรดาร์ระบุตำแหน่ง และนักวิชาการอีก ๘ คน ซึ่งนายคาราเบย์รัม ระบุว่า "สายตาคนทั่วโลกจะจับจ้องมาที่นี่ เราอ้างว่าร่างของนักบุญนิโคลัสถูกเก็บรักษาไว้โดยไม่บุบสลาย เราอยู่ในขั้นตอนสุดท้าย และหากเป็นจริงก็จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวของอันตัลยาเป็นอย่างมาก"

ความใจบุญของนักบุญนิโคลัส กลายเป็นเรื่องเล่าขานติดต่อกันมาหลายศตวรรษ โดยเป็นที่รู้จักดีจากการแจกของขวัญให้กับเด็กในวันคริสต์มาส ชาวดัตช์เรียกเขาว่า "ซินเทอร์คลาส" และคนกลุ่มที่ย้ายไปตั้งรกรากยังทวีปอเมริกาได้นำความเชื่อนี้ติดตัวไปด้วย ซึ่งชื่อได้วิวัฒนาการไปพร้อมกับภาษา จนกระทั่งกลายมาเป็นซานตาคลอสอย่างที่รู้จักกันทุกวันนี้

สุขสันต์วันคริสต์มาส  ;D

รูปปั้นนักบุญนิโคลัส

สุขสันต์วันคริสต์มาส โฮ่ โฮ่ โฮ่  ;D

https://youtu.be/VXpLEOMwnto

ทางซีกโลกตะวันตกยังเป็นคืนก่อนคริสต์มาสอยู่ 
ป่านนี้คุณปูนิคเดินทางถึงไหนแล้วนะ

https://www.thesun.co.uk/news/8055638/santa-tracker-2018-live-find-out-where-father-christmas-is-now-as-he-flies-around-the-world-delivering-presents/

Merry Christmas 2019 Ho Ho Ho   ;D

https://youtu.be/og4LX-OWTjg

คุณปู่รักษาสุขภาพ ได้อยู่กับเราอีกนานๆ

https://www.youtube.com/watch?v=XBS2Qv8ZMa4

คุณปู่ซานต้ายังแข็งแรงอยู่เสมอ คราวนี้นั่งปลายปีกโมเดลเครื่องแอร์บัส A380 ของการบินไทย เล่นเพลง Jingle Bells ด้วยการใช้เทคนิคสร้างเสียงดนตรีจากระดับน้ำในขวด ที่ Miniatur Wunderland เยอรมัน

https://youtu.be/iEFPCamYfT4

https://www.youtube.com/watch?v=wEq705sGz2k

องค์การอนามัยโลกลงมาเล่นเรื่องซานตาคลอสด้วย  

ในขณะที่การระบาดของโรคโควิด-๑๙ ยังทวีความรุนแรงอยู่ในขณะนี้ ดร.มาเรีย แวน เคอร์โคฟ (Dr. Maria Van Kerkhove) หัวหน้าฝ่ายโรคติดเชื้ออุบัติใหม่และโรคติดต่อขององค์การอนามัยโลก ให้ความมั่นใจต่อเด็ก ๆ ทั่วโลกว่า ซานตาคลอสยังคงเดินทางไปมอบของขวัญให้แก่เด็กๆ ทั่วโลกได้ เนื่องจากซานตาคลอสมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโรคโควิด-๑๙

https://youtu.be/fQyBe419aNw

สุขสันต์วันคริสต์มาส  ;D

ซานตาคลอสก็ต้องป้องกันโควิด 19  เหมือนกัน

;D

Merry Christmas 2022 Ho Ho Ho ;D

มาทำความรู้จัก 'คุณลุงซานต้า' สัญลักษณ์ของเทศกาลคริสต์มาส  อีกครา

https://youtu.be/eSRf0A-C-Uw

Merry Christmas 2023 ;D

คุยเฟื่องเรื่องซานต้า ในรายการ People You May Know ระหว่าง ฟาโรส และแขกรับเชิญ ดร.ปติสร เพ็ญสุต เจ้าของคอลัมน์ 'ครุ่นคริสต์' (https://readthecloud.co/art-and-culture/christianity/) ผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีคริสต์ไม่กี่คนในประเทศไทย

https://youtu.be/iIqutx2P3ts

     นอกจากซานตา คลอส ยังมีตัวละครในตำนานอีกคนที่ใช้นามสกุล Claus ร่วมกัน คือ Mrs.Santa Claus   ภรรยาของคุณตาใจดีผู้หอบของขวัญมาให้เด็กๆ   เธอปรากฏตัวครั้งแรกเรื่องสั้นชื่อ A Christmas Lagend  ตีพิมพ์เมื่อปี 1849  ในตอนแรกก็เป็นตัวประกอบในนิทานซานตาคลอส   ต่อมาก็เริ่มมีบทมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นที่รู้จักของเด็กๆทั่วโลก

https://www.youtube.com/watch?v=V0LZGOdgvoU