อ่านนิยายชุดนี้ของ ป. อินทรปาลิต จะเห็นว่านิยายเรื่อง "เสือดำ" มีลักษณะเป็น "เรื่องรักโศก" มากกว่าเรื่อง "เสือใบ" ที่เน้นไปที่พฤติกรรมที่ไม่ชอบของข้าราชการและเบื้องหลังความร่ำรวยของเศรษฐีในยุคหลังสงคราม ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของ "เสือใบ" ที่จะต้องกำจัด. อย่างไรก็ตามนิยายเรื่อง "เสือดำ" ก็จงใจเปิดโปงความชั่วร้ายของสังคมในยุคนั้น ตลอดจนการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐในบางหน่วย. ข้อที่น่าสังเกตอีกประเด็นหนึ่งก็คือ แม้ว่าในนิยายทั้ง ๒ เรื่อง ขุนโจรจะรับบท "พระเอก", แต่ ป. อินทรปาลิต ก็ได้ให้เกียรติแก่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นฝ่ายตรงกันข้ามอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในแง่ของความกล้าหาญ, รักเกียรติและศักดิ์ศรี ตลอดจนความมีมนุษยธรรมและคุณธรรม. สำหรับ "ผู้ร้าย" นั้น ป. อินทรปาลิต ได้มอบบทบาทนั้นแก่เจ้าหน้าที่เรือนจำ ซึ่งในช่วงหลังสงครามจะมีการกล่าวถึงเจ้าหน้าที่เหล่านี้ในด้านลบอยู่เนือง ๆ. ข้อสังเกตประการสุดท้ายก็คือ แม้ว่าทั้ง "เสือใบ" และ "เสือดำ" จะได้ประกอบอาชญากรรมเอาไว้มากมายในการปล้นและฆ่าทั้งเจ้าทรัพย์และเจ้าหน้าที่ตำรวจ อีกทั้งพฤติกรรมที่เข้าข่ายกบฏภายในราชอาณาจักร, แต่ในตอนจบเรื่อง ขุนโจร "ผู้ร้ายผู้ดี" ทั้งคู่ก็รอดตาย โดย "เสือใบ" หลบหนีออกไปนอกประเทศ ขณะที่ "เสือดำ" ติดคุกตลอดชีวิต.
จะเป็นด้วยการเรียกร้องของผู้อ่านที่ติดตามอ่านนิยายทั้ง ๒ เรื่องมาอย่างสนุกสนาน ซึ่งไม่ประสงค์จะให้นิยายดังกล่าวต้องจบลงขณะนั้น, หรืออาจจะเนื่องจากจิตสำนึกของผู้ประพันธ์ที่รู้สึกว่า ไม่ว่าขุนโจรทั้งสองจะกอปรด้วยคุณงามความดีมากมายเท่าใดก็ตาม แต่นิยายก็ควรจะต้องจบลงด้วยการเสียชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น, ป. อินทรปาลิต จึงได้ประพันธ์ตอนจบของนิยายชุดนี้ คือ "ดาวโจร" ที่ให้ "เสือใบ" และ "เสือดำ" โคจรมาพบกัน ได้ร่วมกันเป็นประมุขของ "กองโจรเชิ้ตดำ" ปฏิบัติการท้าทายกฎหมายทั้งในกรุงและในป่าอย่างเกรียงไกร ซึ่งในที่สุดก็ต้องจบชีวิตที่เป็นตำนานขุนโจร โดย "เสือดำ" ถูกตำรวจยิงพรุนไปทั้งตัว ขณะที่ "เสือใบ" ยิงตัวตายเมื่อหมดหนทางที่จะต่อสู้หรือหลบหนี. ขุนโจรทั้งสองได้เสียชีวิตลงประมาณ พ.ศ. ๒๔๙๖ ในระยะเวลาที่ไม่ห่างกันมาก. "เสือดำ" จบชีวิตลงก่อนในป่ากาญจนบุรี ขณะที่ "เสือใบ" ได้ตายตามไปในป่าสุพรรณบุรี.
ป. อินทรปาลิต ปิดท้ายนิยายชุด "เสือใบ-เสือดำ" โดยให้บุตรชายของขุนโจรทั้งสองที่เกิดจากสตรีอันเป็นที่รักในวัยหนุ่ม ซึ่งอยู่ในวัยหนุ่มเมื่อผู้ให้กำเนิดเสียชีวิต ได้มาพบกัน และร่วมกันดำเนินตามรอยบิดาในช่วงเวลาหนึ่งที่ไม่นานนัก ก่อนที่จะอำลาแผ่นดินไทยข้ามพรมแดนไปใช้ชีวิตในประเทศเพื่อนบ้าน. ในเวลาที่ใกล้เคียงกัน อดีตสมุนของ "เสือใบ-เสือดำ" กลุ่มหนึ่งก็ได้พยายามรื้อฟื้น "กองโจรเชิ้ตดำ" ขึ้นมาอีกตามแนวทางที่อดีตขุนโจรได้วางไว้ ซึ่ง ป. อินทรปาลิต ให้ชื่อนิยายเรื่องนี้ว่า "เชิ้ตดำคืนชีพ" ซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการปิดท้ายนิยายชุด "เสือใบ-เสือดำ".
สำหรับนักอ่านที่ได้อ่านนิยายชุด "เสือใบ-เสือดำ" จะทั้งหมด ๗,๘๔๐ หน้าพ็อคเก็ตบุ๊กหรือเพียงบางส่วนก็ตาม ก็มักจะตั้งคำถามที่น่าคิด ๒ ข้อ ซึ่งคำตอบก็คงจะมีต่างๆ กันไป. คำถามที่มักจะถามกันก็คือ ๑. นิยายชุดดังกล่าวนี้ได้ให้สิ่งใดแก่ผู้อ่านในแง่ของข้อคิดความเห็น นอกเหนือไปจากความสนุกสนานและความซาบซึ้งตรึงใจอันเป็นเสน่ห์ของบทประพันธ์ของ ป. อินทรปาลิต และ ๒. การที่นิยายชุดดังกล่าวนี้ได้เกิดขึ้นในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ จะเป็นไปได้หรือไม่เพียงใดที่จะสะท้อนสังคมไทยในขณะนั้น ทั้งที่เป็นรูปธรรม คือเหตุการณ์ต่าง ๆ และที่เป็นนามธรรม อาทิ บรรยากาศ, ทัศนคติ, วิถีชีวิต และปรัชญาสังคม.
ท่ามกลางคำตอบที่คงจะต่าง ๆ กันไปสำหรับคำถามทั้ง ๒ ข้อข้างต้น หากจะมีบางคำตอบที่น่าจะเป็นความรู้สึกที่ตรง ๆ กันของผู้อ่านส่วนมาก.
ต่อคำถามข้อแรกว่าด้วยข้อคิดความเห็นที่แทรกอยู่ระหว่างตัวอักษรที่ยาวเหยียดในนิยายชุด "เสือใบ-เสือดำ", คำตอบที่น่าจะตรงกันของบรรดาผู้อ่านก็มีอาทิ
สังคมไทยขาดความเป็นธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นธรรมในทางเศรษฐกิจ ดังจะเห็นว่าโภคทรัพย์และรายได้มิได้กระจายอย่างเป็นธรรมทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ ทำให้มีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างคนมั่งมีและคนยากจน ขณะที่ความร่ำรวยของบุคคลบางคนบางกลุ่มสร้างมาจากการเอารัดเอาเปรียบคนยากคนจน. คนจนในสังคมไทยเป็นคนที่มีความอดทนอย่างไม่มีที่เปรียบในชีวิตความเป็นอยู่.
การกระทำความผิด ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด จะเป็นบาปติดตัวไปจนตายที่ไม่อาจไถ่ถอนได้ และยากที่จะได้รับการให้อภัย ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่บังคับให้คนที่เคยกระทำความผิดจำต้องกระทำความผิดต่อๆ ไป ด้วยไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่น แม้ว่าจะมีความปรารถนาที่จะกลับตัวกลับใจสักเพียงใดก็ตาม.
บุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นโจรผู้ร้าย ไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนเลวและคนชั่วเสมอไป เพราะอาจเป็นเพียงผู้กระทำผิดกฎหมายบ้านเมืองเท่านั้น. โจรผู้ร้ายอาจจะมีมนุษยธรรม, ศีลธรรมและคุณธรรมเหนือกว่าผู้ที่เป็นข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายก็ได้.
สำหรับคำถามข้อหลังที่ยกเป็นประเด็นว่านิยายชุด "เสือใบ-เสือดำ" อาจจะสะท้อนสังคมไทยในช่วงเวลาภายหลังที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้สงบลงใหม่ ๆ ในบางแง่บางมุม หรือในหลายแง่หลายมุม ทั้งที่เป็นรูปธรรมและที่เป็นนามธรรมนั้น, คำตอบที่น่าจะไม่แตกต่างกันก็คือสังคมไทยในขณะนั้นมีส่วนในการทำให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะที่ปรากฏในนิยายชุดดังกล่าวโดยปราศจากข้อสงสัย โดยอาจแยกวิเคราะห์สังคมไทยในยุคนั้นออกได้เป็น ๓ ด้าน คือ
ด้านการเมือง ที่เป็นยุคที่มีการใช้อำนาจและความรุนแรงในการตัดสินความแตกต่างและในการระงับความขัดแย้ง. การที่มีกลุ่มบุคคลตั้งตัวเป็นโจร ปฏิบัติการฝ่าฝืนและท้าทายกฎหมายบ้านเมือง ก็เป็นการเลียนแบบพฤติกรรมการแย่งอำนาจรัฐ หรือการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองในยุคนั้นนั่นเอง.
ด้านเศรษฐกิจ ที่ความล่มสลายของระบบการเงินของประเทศจากสงครามได้ก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทำให้ประชาชนโดยทั่วไปได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีรายได้เท่าเดิม หรือสูญเสียรายได้. ความเดือดร้อนมาจากการมีรายได้ไม่เพียงพอสำหรับรายจ่าย ซึ่งทำให้ผู้มีทรัพย์สินต้องขายทรัพย์สินเพื่อได้เงินมาจุนเจือค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะภาวะเงินเฟ้อ. ส่วนผู้ที่ไม่มีทรัพย์สินที่จะขายกิน ก็จำเป็นต้องขายตัว หรืออีกทางเลือกหนึ่งก็คือการปล้นทรัพย์ผู้อื่น. ข้าราชการที่มีโอกาส ก็กระทำการฉ้อราษฎร์บังหลวงเพราะเงินเดือนไม่พอกิน.
ด้านสังคม ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเจน คือการเปลี่ยนแปลงในฐานะเศรษฐกิจและสังคมในลักษณะของ "ผู้ดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน" ซึ่งหมายถึงว่าผู้ที่เคยมีเกียรติและยังคงรักษาเกียรติมีสถานภาพทางสังคมตกต่ำลง ขณะที่บรรดา "เศรษฐีสงคราม" คือผู้ที่ได้รับประโยชน์จากสภาพของเศรษฐกิจในระหว่างสงครามจนกระทั่งร่ำรวย ได้ก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำในสังคมด้วยธนวุฒิ. การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้มีอิทธิพลต่อ "ค่านิยม" ซึ่งมีวิวัฒนาการโดยปกติอยู่แล้ว. "การบูชาเงินเป็นพระเจ้า" ก็เป็นส่วนหนึ่งของ "ค่านิยม" ที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคนั้น ขณะที่การทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการได้กลายเป็นเรื่องปกติ. จริยธรรม, คุณธรรม และศีลธรรม ทั้งในการครองชีวิตและในการใช้ชีวิตในสังคมมิใช่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงอีกต่อไป.
การวิเคราะห์สภาวะของสังคมไทยในทั้ง ๓ ด้านดังกล่าวข้างต้น จะช่วยทำให้สามารถเข้าใจที่มาของบรรดาเหตุการณ์ต่าง ๆ ในนิยายชุด "เสือใบ-เสือดำ" ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ขณะที่ผู้ติดตามอ่านในขณะนั้นก็เปรียบเสมือนการมองภาพในกระจกเงา ซึ่งทำให้ตื่นเต้นและ "สะใจ" ไปพร้อมกัน.
จากยุคนั้นถึงยุคนี้ กาลเวลาก็ได้ผ่านพ้นไปแล้วถึง ๖๐ ปี. สมาชิกของสังคมไทยส่วนใหญ่ในขณะนี้เกิดไม่ทันหรือโตไม่ทันที่จะได้เห็นสังคมไทยในยุคนั้น. ดังนั้นนิยายชุด "เสือใบ-เสือดำ" ของ ป. อินทรปาลิต ก็จะมีประโยชน์เชิงประวัติศาสตร์สังคมด้วยอีกโสดหนึ่ง เพราะอย่างน้อยก็จะช่วยปลูกฝังจิตสำนึกทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นจิตสำนึกที่จะบอกให้รู้ว่าบ้านเมืองและสังคมของเราปรารถนาสิ่งใด. นอกจากนั้นเนื่องจากประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยเดิมอยู่เนืองๆ, นิยายชุด "เสือใบ-เสือดำ" ก็คงจะทำให้คนไทยในยุคปัจจุบันได้สังเกตเห็น "รอย" เดิมในประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์เมื่อ ๖๐ ปีที่แล้วบ้างไม่มากก็น้อย.
จากหนังสือ
"นิยายชุดเสือใบ-เสือดำ ของ ป. อินทรปาลิต กับสังคมไทยยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒" โดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร