กระทู้: ขออนุญาตเรียนถามถึงเรื่องการรักนวลสงวนตัวของคนไทยสมัยก่อนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: ดาวกระจ่าง ที่ 18 ก.พ. 20, 10:59 เนื่องจากดิฉันได้ไปอ่านเกี่ยวกับเรื่องการรักนวลสงวนตัวของคนไทยมาค่ะ แล้วเจอข้อมูลที่ขัดแย้งกันอยู่ตรงฝ่ายหนึ่งว่าคนไทยสมัยอยุธยาไม่ได้มีการรักนวลสงวนตัวแต่เราได้วัฒนธรรมนี้มาจากฝรั่งในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนกลาง อีกฝ่ายก็ว่าไทยเรามีวัฒนธรรมการรักนวลสงวนตัวมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้วไม่ได้รับของฝรั่งเข้ามา ซึ่งท่านๆในเว็บนี้ก็คงเคยได้ยินข้อขัดแย้งมาบ้าง ดิฉันเลยอยากจะขออนุญาตเรียนถามถึงเรื่องการรักนวลสงวนตัวของคนไทยสมัยก่อนหน่อยค่ะ
1 คนไทยในสมัยอยุธยา-รัตนโกสินทร์ตอนกลางมีการรักนวลสงวนตัวกันไหมคะ 2 วัฒนธรรมการรักนวลสงวนตัวของประเทศฝั่งตะวันตกหลักๆมีอะไรบ้างคะ 3 วัฒนธรรมการรักนวลสงวนตัวของคนไทยในสมัยอยุธยา-รัตนโกสินทร์ตอนกลางมีหลักฐานบ้างไหมคะว่ามีอะไรบ้าง 4 เป็นไปได้ไหมคะที่ว่าวัฒนธรรมการรักนวลสงวนตัวของคนไทยในสมัยอยุธยา-รัตนโกสินทร์ตอนกลางจะมีแต่เฉพาะชนชั้นสูงไม่นับคนทั่วไป 5 เป็นไปได้ไหมคะที่ว่าวัฒนธรรมการรักนวลสงวนตัวของคนไทยในสมัยอยุธยา-รัตนโกสินทร์ตอนกลางจะเป็นจินตนาการของผู้ชายที่คาดหวังอยากให้ผู้หญิงเป็นแบบนั้น แบบนี้ซึ่งอาจไม่ตรงกับความจริงก็ได้ กระทู้: ขออนุญาตเรียนถามถึงเรื่องการรักนวลสงวนตัวของคนไทยสมัยก่อนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ก.พ. 20, 11:44 มีคนพูดประเด็นนี้มากพอสมควร คุณดาวคงผ่านตาทางเน็ทบ้างแล้ว
นี้คือ ของว่างนำเสิร์พ ก่อนของหนักจากท่านอื่นที่อาจจะตามมา เป็นเรื่อง นางพิมที่ไร่ฝ้าย จาก ขุนช้าง ขุนแผน, เธอนั้นก็มีความหวงตัวอยู่บ้างพอประมาณ ตัวน้องมิใช่ของอันเคยขาย จะเรียงรายกลางหนหาควรไม่ พิเคราะห์ให้เหมาะก่อนเป็นไร กลับไปเถิดพ่อแก้วผู้แววตา อดข้าวดอกนะเจ้าชีวิตวาย ไม่ตายดอกเพราะอดเสน่หา http://www.reurnthai.com/index.php?PHPSESSID=h3cs1d9bibs5rjitnfhbpl6te0&topic=3476.0 กระทู้: ขออนุญาตเรียนถามถึงเรื่องการรักนวลสงวนตัวของคนไทยสมัยก่อนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ก.พ. 20, 11:57 แต่แล้ว, ในที่สุด
มาถึงบ้านนางพิมหาช้าไม่ เสกข้าวสารหว่านไปให้หลับสนิท สะเดาะกลอนถอนลั่นทุกชั้นชิด ที่บานปิดก็เปิดออกทันใด ......................... .......................... เปิดมุ้งเห็นหน้าเจ้าพิมนอน สนิทหลับรับขวัญเจ้าทั้งหลับ ดังยิ้มรับให้พี่รีบมาร่วมหมอน โฉมแฉล้มแย้มยิ้มพริ้มเพรางอน งามเนตรเมื่อเจ้าค้อนพี่ยามชม ส่วนภาพโดย ครูเหม เวชกร ท่านวาดมาเป็นแบบนี้ กระทู้: ขออนุญาตเรียนถามถึงเรื่องการรักนวลสงวนตัวของคนไทยสมัยก่อนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.พ. 20, 13:16 เรื่องนี้ทุกท่านในเรือนไทยมีสิทธิ์แย้งดิฉันได้นะคะ
ก่อนอื่น คุณดาวกระจ่างต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า วรรณคดีที่แต่งจากจินตนาการไม่ใช่กระจกเงาสะท้อนความเป็นอยู่ในอดีตออกมาเป๊ะๆ ไม่ใช่ว่าเรากางวรรณคดีสมัยอยุธยาขึ้นมาแล้วสามารถบอกได้ว่า อ้อ เขาอยู่กันยังงี้เอง ผู้ชายอยู่แบบพระลอ ผู้หญิงอยู่แบบพระเพื่อนพระแพง ไม่ใช่เลย วรรณคดีสะท้อน "ค่านิยม" ในยุคสมัยที่เรื่องนั้นแต่งขึ้น ไม่ได้สะท้อนภาพทั้งหมด สะท้อนบางส่วนเท่านั้น เช่นสะท้อนรูปธรรมทั้งหลายประเภทอาหารการกิน เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย บ้านเรือนเวียงวังที่อยู่อาศัย แต่นอกเหนือจากนี้ จินตนาการของกวีเข้ามามีบทบาทเต็มๆ ถ้าถามว่าค่านิยมรักนวลสงวนตัวมีมาตั้งแต่อยุธยาบ้างไหม ก็ต้องตอบว่ามีค่ะ สมัยอยุธยาลูกสาวที่ทำตัวเละเทะ คบชู้สู่ชาย ไม่ได้รอจนแต่งงานตามประเพณี อาจถูกขายเข้าซ่องเป็นโสเภณีได้ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สุภาษิตสอนหญิงก็มีตอนหนึ่ง บอกไว้ชัดเจนถึงการรักนวลสงวนตัว ว่า เขารักจริงให้สู่ขอกับพ่อแม่ อย่าวิ่งแร่หลงงามไปตามง่าย เขาไม่เลี้ยงไล่ขับจะอับอาย ต้องเป็นม่ายอยู่กับบ้านประจานตน ...ข้างพ่อแม่ก็จะโกรธพิโรธร่ำ จะจองจำตีโบยออกโหยหน ด้วยท่านอายขายหน้าประชาชน ไม่รักตนเราจึงต้องมาหมองมัว กระทู้: ขออนุญาตเรียนถามถึงเรื่องการรักนวลสงวนตัวของคนไทยสมัยก่อนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.พ. 20, 13:33 กลอนข้างบนนี้แสดงให้เห็นอะไร? คำตอบคือแสดงให้เห็นว่าการหนีตามกันของหนุ่มสาวในสมัยนั้นเกิดขึ้นบ่อยมาก กวีถึงเขียนสุภาษิตสั่งสอนเอาไว้ว่าอย่าทำ ถ้าการหนีตามกันเป็นเคสที่เกิดขึ้นนานๆครั้ง แทบจะไม่มีกันเลย ก็ไม่จำเป็นต้องมีใครเขียนขึ้น
เมื่อเกิดหนีตามกันมาก ก็แปลได้ว่าการรักนวลสงวนตัวในหญิงสาวชาวไทย ในทางปฏิบัตินั้นไม่ค่อยจะมี แต่ในค่านิยม มีอยู่ พ่อแม่ไม่นิยมให้ลูกสาวมีเพศสมพันธ์กับใครก่อนแต่งงานเป็นเรื่องเป็นราว เนื้อหาสุภาษิตสอนหญิงเป็น "สาร" ส่งถึงชาวบ้านร้านถิ่น คนทำมาหากิน ไม่ใช่ส่งถึงเจ้านายหรือชนชั้นสูงในรั้วในวัง สตรีชั้นสูงมีกฎบังคับมากมายอยู่แล้ว เช่นเจ้านายสตรีที่เกิดในวังมีกฎมณเฑียรบาลบังคับกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ สตรีลูกขุนนางหรือคนมีหน้ามีตาในสังคมก็ถูกประเพณีตีกรอบไว้เข้มงวด ไม่ต้องอาศัยกวีเขียนบอกให้รู้ แต่ชาวบ้านร้านถิ่นนั้นไม่มีกรอบแข็งแรงหนาเท่านี้ ลูกสาวชาวบ้านจึงทำตามใจได้มากกว่าทำตามประเพณี ฝรั่งมีค่านิยมรักนวลสงวนตัวไหม มีค่ะ อังกฤษกับอเมริกา มีคำว่า pre-marital relationship คือเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน ถือเป็นสิ่งต้องห้ามมาจนสิ้นศตวรรษที่ 19 กระทู้: ขออนุญาตเรียนถามถึงเรื่องการรักนวลสงวนตัวของคนไทยสมัยก่อนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ก.พ. 20, 15:24 บันทึกจาก ลา ลูแบร์ อัครราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศส ผู้มาเยือนกรุงศรีฯ ช่วงปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
พ.ศ.๒๒๓๐ เล่าว่า ประเพณีของประเทศนี้ไม่อนุญาตให้หญิงสาว พูดจาพาทีกับชายหนุ่ม ผู้เป็นแม่จะลงโทษ ถ้าจับได้ว่าลูกสาวของตน แอบไปพูดจาวิสาสะกับผู้ชายตามใจชอบ แต่พวกลูกสาวก็มักจะหนีตามผู้ชายไปเมื่อสบช่อง หญิงชาวสยามมีบุตรได้ตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี บางทีก็ก่อนหน้านั้น บางคนอายุ ๔๐ ปีแล้วยังมีลูกได้ จึงเป็นธรรมเนียมที่ จะให้ลูกสาวแต่งงานแต่อายุยังน้อยกับชายหนุมอายุใกล้เคียงกัน แต่บางคนก็ไม่ยอมแต่งงานตลอดชีวิต การอยู่กินกันโดยไม่ได้แต่งงาน เป็นสิ่งที่น่าอัปยศ โดยเฉพาะในหมู่ราษฎรสามัญ เมื่อไม่พอใจต่างก็แยกกันไป มีผลเท่ากับ การหย่าร้าง หญิงชาวสยาม ไม่อาจทอดตัวให้แก่คนต่างประทศโดยง่าย หญิงสาวสยามไม่เล่นการพนัน ไม่ต้อนรับผู้ชายพายเรือ การมหรสพก็มีห่างมากในกรุงสยาม ขุนนางสยามหวงลูกสาวเท่ากับหวงภรรยา ถ้าลูกสาวคนใดทำชั่ว ผู้เป็นพ่อก็จะขายลูกสาวให้แก่ชายผู้หนึ่ง ซึ่งมีความชอบธรรม ที่จะเกณฑ์ให้ผู้หญิงที่ตนซื้อมาเป็นหญิงแพศยา ฯ กระทู้: ขออนุญาตเรียนถามถึงเรื่องการรักนวลสงวนตัวของคนไทยสมัยก่อนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 19 ก.พ. 20, 09:20 การอยู่กินกันโดยไม่ได้แต่งงานเป็นสิ่งที่น่าอัปยศ โดยเฉพาะในหมู่ราษฎรสามัญ เมื่อไม่พอใจต่างก็แยกกันไป มีผลเท่ากับการหย่าร้าง ข้อความตรงนี้อาจจะคัดลอกมาผิด ในหนังสือ จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม เขียนโดย มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร ตอนที่ ๒ ว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวสยามโดยทั่ว ๆ ไป บทที่ ๗ ว่าด้วยการแต่งงานและการหย่าร้างของชาวสยาม ๑๕. ความสัมพันธ์ทางด้านความรัก กล่าวถึงตอนนี้ไว้ว่า การสมสู่อยู่กินด้วยกันอย่างเสรีโดยมิได้ประกอบพิธีแต่งงานนั้นไม่เป็นสิ่งที่น่าอัปยศ โดยเฉพาะในหมู่ราษฎรสามัญ เขาถือว่าเมื่อได้สมสู่อยู่กินด้วยกันแล้วก็เสมือนว่าได้แต่งงานกันแล้ว และถ้าเกิดความไม่ปรองดองกันขึ้น ต่างฝ่ายต่างแยกทางกันไป ก็มีผลเท่ากับการหย่าร้างกันไปในตัวนั่นแล. กระทู้: ขออนุญาตเรียนถามถึงเรื่องการรักนวลสงวนตัวของคนไทยสมัยก่อนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 ก.พ. 20, 11:00 ตามนั้นแล;
ต้นทาง ไม่มี ไม่, ใช้การ coppaste มา ไม่ ไม่น่าหล่นหาย กระทู้: ขออนุญาตเรียนถามถึงเรื่องการรักนวลสงวนตัวของคนไทยสมัยก่อนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: ดาวกระจ่าง ที่ 19 ก.พ. 20, 12:59 ขอบคุณที่มาตอบกันคะ
สรุปว่ามีทั้งที่ยอมมีอะไรก่อนแต่งและไม่ยอมมีอะไรก่อนแต่ง แต่ส่วนใหญ่ไปทางยอมซินะคะ อีกอย่างที่ว่าถ้า"แต่พวกลูกสาวก็มักจะหนีตามผู้ชาย" "หญิงชาวสยามมีบุตรได้ตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี" "การอยู่กินกันโดยไม่ได้แต่งงานไม่เป็นสิ่งที่น่าอัปยศ" การรักนวลสงวนตัวก็ดูเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยจำเป็นเท่าไร เป็นได้ไหมไหมคะที่ว่า "ประเพณีของประเทศนี้ไม่อนุญาตให้หญิงสาว พูดจาพาทีกับชายหนุ่ม ผู้เป็นแม่จะลงโทษ ถ้าจับได้ว่าลูกสาวของตนแอบไปพูดจาวิสาสะกับผู้ชายตามใจชอบ" มันคือการคลุมถุงชนให้ลูกสาวเลือกคุยแต่คนที่ตัวเองอยากได้มาเป็นเขยเท่านั้น และที่ว่า"ขุนนางสยามหวงลูกสาวเท่ากับหวงภรรยา" เป็นไปได้ไหมคะว่าวัฒนธรรมการรักนวลสงวนตัวมีในชนชั้นสูง คนมีเงินซะส่วนใหญ่พบในคนทั่วไปน้อย ขอถามเพิ่มหน่อยค่ะว่า 1 ตัวละครในขุนช้างขุนแผนถือว่าเป็นชนชั้นสูงในสมัยนั้นไหมคะเพราะบ้านก็ร่ำรวย มีคนใช้ มีคนทอง มีงานทำดีๆรับราชการกัน 2 "หญิงสาวสยามไม่เล่นการพนัน ไม่ต้อนรับผู้ชายพายเรือ" ผู้ชายพายเรือคือผู้ชายแบบไหนคะ ถ้าดิฉันเขาใจผิดไปอย่างไรก็แนะนำได้ค่ะ กระทู้: ขออนุญาตเรียนถามถึงเรื่องการรักนวลสงวนตัวของคนไทยสมัยก่อนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 19 ก.พ. 20, 14:09 ต้นฉบับภาษาฝรั่งเศสมี 'ไม่' ด้วยครับ
https://archive.org/details/descriptionduro00loubgoog/page/n7/mode/1up กระทู้: ขออนุญาตเรียนถามถึงเรื่องการรักนวลสงวนตัวของคนไทยสมัยก่อนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ก.พ. 20, 09:15 ขอถามเพิ่มหน่อยค่ะว่า 1 ตัวละครในขุนช้างขุนแผนถือว่าเป็นชนชั้นสูงในสมัยนั้นไหมคะเพราะบ้านก็ร่ำรวย มีคนใช้ มีคนทอง มีงานทำดีๆรับราชการกัน 2 "หญิงสาวสยามไม่เล่นการพนัน ไม่ต้อนรับผู้ชายพายเรือ" ผู้ชายพายเรือคือผู้ชายแบบไหนคะ ขุนช้างและขุนแผนเป็นลูกขุนนางชั้นผู้น้อยในต่างจังหวัด ถ้าเป็นสมัยนี้ก็เห็นจะเทียบได้กับลูกชายประธานอ.บ.ต. หรือลูกกำนันดังๆ หรือลูกส.จ. มีฐานะมีอันจะกิน (well-to-do) ขุนช้างมีเพิ่มขึ้นอีกอย่างคือพ่อแม่รวย เป็นคหบดีต่างจังหวัด ตัวเองก็ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ถือว่าเป็นคนระดับสูงในสังคมชนบท แต่ถ้ามาอยู่เมืองหลวง เทียบกับข้าราชการสำคัญๆอย่างบิดาของแม่พลอย หรือคุณเปรมสามีแม่พลอย ก็ไม่ถือว่าเป็นชนชั้นสูงค่ะ ผู้ชายพายเรือ เป็นสำนวน หมายถึงผู้ชายทั่วไป ค่ะ ใช้ในเนื้อความที่ไม่เจาะจงกว่าเป็นผู้ชายระดับสูงหรือต่ำในสังคม ไม่ว่าอายุเท่าใด มักจะเอ่ยถึงเมื่อมีการตักเตือนผู้หญิง เช่น เป็นสาวแล้ว ต้องระวังผู้ชายพายเรือ กระทู้: ขออนุญาตเรียนถามถึงเรื่องการรักนวลสงวนตัวของคนไทยสมัยก่อนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ก.พ. 20, 09:25 มีคำถามในใจข้อหนึ่งสงสัยมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้คำตอบจากวรรณคดีเรื่องไหน คือค่านิยมเรื่องรักนวลสงวนตัวนี้เกิดจากเหตุผลอะไร เป็นของไทยแต่ดั้งเดิมหรือว่ารับมาจากอินเดียพร้อมกับพุทธศาสนา
ทั้งนี้ ตามเหตุผลทางวัฒนธรรม ไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมซึ่งต้องอาศัยแรงงานคนเป็นหลัก ครอบครัวไทยสมัยก่อนจึงมีลูกกันมากมาย เพื่อช่วยแรงงานในบ้าน พ่อที่มีลูกเจ็ดแปดคนก็ได้แรงช่วยในการทำนา ทำสวน ได้เปรียบกว่าพ่อที่มีลูกแค่คนสองคน นอกจากนี้อัตราการตายของทารกมีสูงมาก เรียกได้ว่าทุกครอบครัวที่มีลูกมากๆ จะต้องมีลูกบางคนตายไปแต่เล็ก ด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ดังนั้น การมีเด็กเพิ่มขึ้นมาในบ้าน ไม่ว่าจะมีพ่อเด็กให้เห็นหรือไม่ก็ตาม น่าจะเป็นเรื่องน่ายินดีมากกว่าควรห้ามปราม หรือจะมองว่า ครอบครัวชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ได้ร่ำรวย ถ้าลูกสาวท้องขึ้นมาไม่มีพ่อ ก็เป็นภาระของตายายต้องหาเลี้ยงปากท้องเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง จึงตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการห้ามคบผู้ชายเสียเลย เว้นแต่ว่าพ่อแม่จัดการให้ลูกสาวแต่งงานไป ได้ลูกเขยมาช่วยแรงงานในบ้าน หรือไม่ก็ปล่อยลูกสาวออกจากบ้านไปให้ลูกเขยหาเลี้ยง อย่างนี้ค่อยบรรเทาภาระของผู้ใหญ่ลงบ้าง กระทู้: ขออนุญาตเรียนถามถึงเรื่องการรักนวลสงวนตัวของคนไทยสมัยก่อนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: ดาวกระจ่าง ที่ 25 ก.พ. 20, 12:17 ขอบคุณสำหรับความรู้เพิ่มเติมค่ะคุณเทาชมพู
กระทู้: ขออนุญาตเรียนถามถึงเรื่องการรักนวลสงวนตัวของคนไทยสมัยก่อนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.พ. 20, 16:05 ความจริงค่านิยมเรื่องนี้มีทั้งไทย และตะวันตก ในอเมริกาเอง จนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 พ่อแม่ก็ยังอบรมลูกสาวไม่ให้มีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน ลูกสาวออกเดทได้ แต่หมายถึงการทำความรู้จักกันให้ดี เพื่อเรียนรู้นิสัยใจคอ ว่าจะไปกันได้ไหม มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้างในแต่ละฝ่าย แต่ไม่มากกว่านั้น
แต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง หนุ่มสาวมีอิสระเสรีมากขึ้น ยุค 1960 ปลายๆเป็นยุคของบุปผาชน หรือ Flower people ซึ่งนิยมแหวกกฎเกณฑ์สังคมทุกชนิดรวมทั้งเรื่องความรักและการแต่งงาน นำไปสู่ free sex ทั้งหญิงและชาย จากนั้น ทศวรรษ 1970s เป็นยุคของ Feminism หรือ สิทธิสตรี ขบวนการปลดแอกผู้หญิงจากค่านิยมดั้งเดิม ให้มีสิทธิและเสรีภาพทางสังคมเท่าผู้ชาย จึงเกิดค่านิยมใหม่ว่า ผู้หญิงไม่ได้เกิดมาเพื่ออยู่ในกรอบฝ่ายเดียว ขณะที่ฝ่ายชายไม่ยักมีกรอบอย่างที่ว่า ผู้หญิงสามารถเป็นอิสระจากกรอบได้มากเท่าผู้ชาย เพราะฉะนั้น ผู้หญิงก็มีสิทธิ์จะมีความสุขทางเพศได้ไม่จำกัด ก่อนแต่งงาน หรือไม่อยากแต่งงานแต่มีแค่คู่นอนก็ไม่ผิดอะไร ในเมื่อสิ่งนี้ไม่ได้เป็นเรื่องผิดสำหรับผู้ชาย มาแต่ไหนแต่ไร มาถึง 2020 กลายเป็นว่า การรักนวลสงวนตัวไม่ได้เป็นหลักประกันว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนดี หรือประกันว่าจะได้แต่งงานกับท่านชายพจน์และคุณชายกลาง แล้วอยู่กันเป็นสุขตลอดไป ไม่ได้ประกันว่าเธอจะประสบผลสำเร็จเรื่องการงาน หรือชีวิตครอบครัว มันมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมายเข้ามาเป็นตัวกำหนดเส้นทางชีวิต แต่ที่ประกันได้อีกอย่างสำหรับค่านิยมรักนวลสงวนตัว ชนิดไม่มีใครค้านได้ คือทำให้ผู้หญิงไม่เสี่ยงกับเอดส์และโรคที่เกิดจากความสัมพันธ์ทางเพศ ชนิดอื่นๆ ก่อนแต่งงานค่ะ ส่วนแต่งไปแล้วจะเสี่ยงจากสามีไหม นั่นเป็นอีกเรื่อง |