เครื่องหมายนี้เรียกว่า "มังกรคาบแก้ว" หรือ "มังกรเล่นแก้ว" เดิมใช้เป็นพระราชลัญจกร แต่ไม่ทราบที่มา แต่สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงฯ ได้ทรงสันนิษฐานไว้ว่า “...หวนรําลึกถึงพระราชลัญจกรเล่นแก้ว ซึ่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงพระราชทานให้เป็นตราสําหรับโบราณคดีสโมสร ในประกาศก็เรียกว่าพระราชลัญจกร ถ้าพระราชลัญจกรองค์นั้นไม่ใช่สําหรับพระราชสาส์นไปเมืองจีนไซร้ คงสําหรับใช้ในการอย่างอื่นอันใดอันหนึ่ง พระราชลัญจกรองค์นั้นสังเกตดูแบบที่เขียนลายดูเป็นแบบเก่าถึงรัชกาลที่ ๑ มาคิดเห็นว่าจะสําหรับประทับพระราชสาส์นไปเมืองญวน (เวียดนาม) ดอกกระมัง... พระราชสาส์นที่ไปเมืองญวนเห็นจะไม่ประทับพระราชลัญจกรมังกรหก เพราะเป็นตราหองของจีน...”
เหตุที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้นําพระราชลัญจกรมังกรคาบแก้วมาใช้เป็นตรา “โบราณคดีสโมสร” (ค้นคว้าเรื่องโบราณอันเกี่ยวเนื่องในพงศาวดาร) นี้ มีปรากฏอยู่เมื่อครั้งพระราชพิธีรัชมงคล ร.ศ. ๑๒๖ (พ.ศ. ๒๔๕๐) ณ พระที่นั่งสุริยาสอมรินทร์ พระราชวังโบราณ เมืองกรุงเก่า โดยทรงพระกรุณาโปรดให้ตั้งสมาคมฯ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ (รัชกาลที่ ๖) ทรงเป็นอุปนายกสมาคมฯ ทรงมีพระราชดํารัสว่า “...การที่จะให้สโมสรนี้เป็นสโมสรสําหรับพระนคร จึงได้ยอมให้ใช้เครื่องหมายรูปมังกรคาบแก้ว อันเป็นพระราชลัญจกรโบราณอันหนึ่ง
...เหตุไฉนจึงจะได้ใช้รูปนาคฤๅมังกรนี้ เหตุด้วยนาค แลมังกร ฤๅงู ย่อมเป็นที่นับถือมาแต่โบราณกาลในแถบประเทศเราทั้งหลาย ก่อนกว่าที่นับถืออย่างอื่นๆ อันได้นํามาในภายหลัง เพื่อจะให้เป็นเครื่องหมายว่า ความคิดความมุ่งหมายของสโมสรนี้ จะแสวงข้อความโบราณอันมีในระหว่างพันปี ตั้งแต่บัดนี้ขึ้นไป ...”
https://facebook.com/dharma.org/posts/712120328883990หนังสือเล่มใดที่แต่งดี จะได้รับพระบรมราชานุญาตประทับพระราชลัญจกรมังกรคาบแก้ว อันเป็นตราของโบราณคดีสโมสร
จดหมายหลวงอุดมสมบัติก็อยู่ในเกณฑ์นี้