เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 45 เมื่อ 25 เม.ย. 13, 09:32
|
|
เอาขนมกับน้ำชาอังกฤษมาเสิฟเด็กๆก่อนค่ะ รอเปิดเรียน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Jalito
|
ความคิดเห็นที่ 46 เมื่อ 25 เม.ย. 13, 20:49
|
|
ชอบเข้ามาเรียนห้องนี้ เพราะนอกจากจะได้สาระที่ไม่เคยรู้ ก็ยังได้ชีวิตชีวาจากภาพแบบข้างบนด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 47 เมื่อ 25 เม.ย. 13, 21:16
|
|
ถ้าหากว่ากระทู้นี้ยาว ก็จะไม่เสิฟแค่ขนมน้ำยา แต่จะถึงขั้นดินเนอร์ด้วยเลยค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 48 เมื่อ 25 เม.ย. 13, 21:17
|
|
เอาภาพวาดของสมเด็จพระนารายณ์ที่ฝรั่งวาดมาให้ดูกันพลางๆก่อน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 49 เมื่อ 27 เม.ย. 13, 14:52
|
|
น่าจะเป็นภาพวาดในจินตนาการของฝรั่ง เหมือนดั่ง ภาพนี้ องค์ทางขวาพระเกศาสีทองเสียด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 50 เมื่อ 28 เม.ย. 13, 14:29
|
|
ในสมัยนั้นเจ้าเมืองหรือเจ้าท่าที่เขี้ยวลากดินไม่ได้มีแต่แซมมวล ไวท์คนเดียว อะไรที่ไวท์ทำกับคนอื่น คนอื่นก็ทำกับเขาได้เหมือนกัน คนที่เป็นเจ้าเมืองค้าขายทางทะเลในยุคมือใครยาวสาวได้สาวเอา ไม่มีกฎหมายนานาชาติมาควบคุม ย่อมจะต้องเป็นอะไรทำนองก๊อดฟาเธอร์อยู่ไม่มากก็น้อย ไม่งั้นคงกินตำแหน่งนี้ไม่ได้นาน ไม่ถูกฝ่ายตรงข้ามโค่นก็ถูกพวกเดียวกันชิงเก้าอี้ไปจนได้ ไวท์จึงเจอคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อกัน อันได้แก่อาลี บีค เจ้าเมืองมาสุลิปาตัม ( Masulipatam) ที่ในหนังสือบอกว่าจงใจกลั่นแกล้งไวท์ให้ได้รับความเสียหายเรื่องส่งสินค้าไปขายอยู่หลายครั้ง ด้วยเหตุผลว่าไม่พอใจที่เมืองมะริดตกไปอยู่ในมือผู้บริหารชาวอังกฤษ แทนที่จะเป็นแขกพวกเดียวกันอย่างเมื่อก่อน
เมื่อสินค้ามาถึงเมืองนี้ เจ้าเมืองก็รีดนาทาเร้นเอาบ้าง แกล้งให้เกิดอุปสรรคต่างๆบ้าง จนสินค้าจากเมืองมะริดเสียหายขาดทุน ไวท์เข้าเนื้อหนักเข้าจนโกรธแค้น ทนไม่ไหวก็คิดจะใช้กำลังปราบปรามอาลี บีคให้ราบ โดยถือว่าอาลี บีคทำตัวเป็นปรปักษ์ร้ายแรงกับสยาม ทั้งๆที่จริงแล้ว สินค้าที่เสียหายมากกว่าสินค้าท้องพระคลังหลวงก็คือสินค้าของไวท์เองน่ะแหละ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 51 เมื่อ 28 เม.ย. 13, 14:42
|
|
แซมมวล ไวท์ทำหนังสือราชการมาถึงกรุงศรีอยุธยา สาธยายให้ฟังถึงปัญหา แล้วทำเรื่องขออนุมัติขอให้สร้างเรือรบออกไปเล่นงานเรือของแคว้นกอลคันดาอันเป็นแคว้นที่อาลี บีคสังกัดอยู่ จับเรือของแคว้นเป็นเชลยเพื่อขู่ให้อาลี บีคยอมจำนน ยอมจ่ายค่าเสียหายให้สยาม ไวท์ยังแถมไปด้วยว่าพวกขุนนางมอญที่เป็นพวกอิสลามทางตอนใต้ก็ชักจะกำเริบก่อเรื่องขึ้นมาทำนองเดียวกัน ก็ควรจะปราบปรามเสียให้เรียบ ในทำนองเดียวกัน ไม่นาน ไวท์ก็ได้หนังสือตอบจากเจ้าพระยาวิชเยนทร์ซึ่งเป็นบิ๊กสุดอยู่ในกรุงศรีอยุธยา ตอบมาอย่างรอบคอบด้วยชั้นเชิงนักการทูตและนักการค้าเจนจัดว่าไวท์ ว่าเรื่องนี้ในเมื่อเป็นข้อขัดแย้งระหว่างอาณาจักร ก็ต้องทำตามขั้นตอน อย่างแรกคือทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร บรรยายต้นสายปลายเหตุ พร้อมหลักฐาน ยื่นให้เจ้าผู้ครองแคว้นกอลคันดาอย่างเป็นทางการเสียก่อน ว่าทางสยามเสียหายอย่างไร ขนาดไหน จากขุนนางของพระองค์ ถ้าทางพระราชาฝ่ายโน้นยอมจ่ายค่าเสียหายก็จะได้จบกันไปไม่ต้องมีเรื่อง แต่ถ้าดื้อแพ่งไม่ยอมจ่าย ก็ให้ดัดแปลงเรือชื่อพรอสเพอรัสซึ่งเป็นเรือปืนประจำอยู่ที่มะริดให้เป็นเรือรบ ให้กัปตันชาวอังกฤษชื่อจอห์น โค้ตส์ เป็นผู้บังคับการเรือ นำเรือออกไปจับเรือพ่อค้าของกอลคันดาเป็นเชลย เพื่อยึดเป็นค่าเสียหาย วิชเยนทร์ไม่ลืมที่จะแถมท้าย กำชับกำชาอย่างเข้มงวด ว่าการจู่โจมทางทะเลครั้งนี้อย่าได้เผลอไปแตะต้องเรือของบริษัทอีสต์อินเดียเข้าเป็นอันขาด เพราะวิชเยนทร์รู้ดีว่า แม้บริษัทที่อินเดียไม่มีเรือรบของตัวเอง เพราะมุ่งค้าขายอย่างเดียว จึงไม่อยากเรียกเรือรบมาประจำอยู่ให้เปลืองค่าบำรุงและค่ากลาสีเปล่าๆปลี้ๆ แต่ถ้าเมื่อใดถูกหางเลขจากการรบกันของสยามและกอลคันดา อันเป็นเหตุให้เสียหายถึงกำไรที่พึงได้แล้ว บริษัทจะต้องฟ้องรัฐบาลอังกฤษ เมื่อนั้นก็กำลังรบก็จะถูกส่งมา เท่ากับสยามไปแหย่เสือหลับเข้าให้แล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 52 เมื่อ 28 เม.ย. 13, 14:51
|
|
วัตถุประสงค์ของพระเอกและพระรองในตอนนี้เริ่มแตกต่างกัน พระรองหรือเจ้าพระยาวิชเยนทร์ อยากได้กำไรจากการทำศึก แต่ไม่อยากให้อยุธยาเสี่ยงแม้แต่น้อยนิด ส่วนพระเอกคือไวท์ไม่ได้เอาใจใส่ประโยชน์ที่จะเข้าท้องพระคลังมากกว่าเข้ากระเป๋าตัวเอง เมื่อได้หนังสือราชการฉบับนี้ ก็เนื้อเต้น ถือว่าวิชเยนทร์เปิดไฟเขียวให้นายสยามขาวได้ทำมาหากินได้กว้างขวางเต็มเหนี่ยวกว่าก่อน
ไอ้เรื่องเรียกค่าเสียหายจากอาลี บีค หรือพระราชานั้น ไวท์ไม่ค่อยอยากได้นัก เพราะได้เงินมาก็เข้าท้องพระคลังอยุธยาไปเป็นส่วนใหญ่ สู้ได้ไฟเขียวมายึดเรือสินค้าต่างๆเป็นเชลยไม่ได้ กำไรเข้ากระเป๋ามากกว่ากันแยะ แต่เมื่อท่านเจ้าพระยาผู้บังคับบัญชาสั่งมา ข้าราชการอย่างไวท์ก็ทำตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง ใครจะมาตำหนิภายหลังไม่ได้ คือให้ตัวแทนของตัวเองทำบัญชี โก่งค่าเสียหายเสียสูงลิบ ยื่นไปให้กอลคันดา เพื่อพระราชาและอาลี บีคเห็นแล้วส่ายหน้าว่าใครมันยอมจ่ายก็บ้าแล้ว ระหว่างนั้น ไวท์ก็ทุ่มงบประมาณตกแต่งเรือปืนให้เป็นเรือรบ พรั่งพร้อมด้วยปืนใหญ่และกระสุนดินดำ เพื่อจะโจมตีทางทะเลได้ด้วยกำลังเหนือกว่าเรือพ่อค้าทั่วไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 53 เมื่อ 28 เม.ย. 13, 21:06
|
|
แซมมวล ไวท์มีลูกน้องมือขวาเป็นคนอังกฤษเหมือนกันชื่อจอห์น โค้ทส์ ซึ่งมีนิสัยเอาแต่ได้ไม่แพ้นาย จึงทำงานเข้าคู่กันได้ดี ไวท์แต่งตั้งโค้ทส์เป็นกัปตันเรือรบ เอาเรือออกทะเลไปเพื่อจะยึด(หรือพูดให้ตรงคือปล้น) เรือค้าขายในแถบทะเลอินเดียและฝั่งใต้ของพม่าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ห้ามไปแตะต้องเรืออังกฤษของบริษัทอีสต์อินเดียเป็นอันขาด ในตอนแรกนี้ หน้าที่ของกัปตันโค้ทส์คือแล่นเรือตรงไปที่เมืองมัทราสก่อน เพื่อชี้แจงกับตัวแทนบริษัทที่โน่นว่า ที่มานี่ มาทำการในนามราชการสยาม แล้วอย่าแวะเปล่าๆ ให้ถือโอกาสซื้อเสบียงอาหารและกระสุนดินดำเพิ่มเติมให้เต็มเพียบ อย่าลืมจ้างกลาสีฝรั่งมาเป็นลูกเรือ สรุปความว่าทำทุกอย่างเพื่อให้ปล้นสะดมในนามของอาณาจักรสยามได้ผลสมมุ่งหมาย
เมื่อโค้ทส์พาเรือรบออกจากท่ามะริดไปแล้ว ทางเมืองหลวงก็ส่งสารตราฉบับใหม่ไล่หลังมาเป็นการด่วน สั่งเพิกถอนคำสั่งแรกที่อนุญาตให้ไปเล่นงานเรือสินค้าของกัลคอนดา สาเหตุนั้นอาจเป็นได้ว่าสมเด็จพระนารายณ์ทรงเห็นว่าไม่ควรจะวู่วามทำสงครามกับอาณาจักรใกล้เคียง ด้วยเหตุเพียงแค่นี้ หรือไม่ก็เป็นได้ว่าพ่อค้าแขกที่มะริดรู้ว่าไวท์กำลังจะไปปล้นสะดมเรือสินค้าของพวกตนที่ขึ้นล่องอยู่ในทะเลอินเดีย ก็เลยทำเรื่องร้องเรียนไปที่อยุธยา ขอให้ระงับทำศึกกับอาลี บิคไว้ก่อน ไม่งั้นการค้าแถวนั้นล่มจมหมดแน่
เหตุผลแท้จริงจะเป็นอย่างไหนก็ตาม ไวท์ถือว่าสั่งลูกน้องมือขวาออกเรือไปคราวนี้เท่ากับพยัคฆ์ติดปีก ยังไงเงินทองก็กองอยู่ข้างหน้าแล้วเห็นๆ จะมาถอยเรือกลับเข้าท่า ก็หมดท่า จึงไม่ยอมทำตามคำสั่งจากราชการ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 54 เมื่อ 28 เม.ย. 13, 22:45
|
|
มาสุริปาตัมอยู่ในรัฐอานธรประเทศทางใต้ฝั่งตะวันออกของอินเดีย เป็นเมืองท่าที่ชาวอังกฤษมาตั้งสถานีการค้าในอ่าวเบงกอลเป็นแห่งแรกในปี1611 ตามประวัติศาสตร์ของเมืองนี้กล่าวว่าในระหว่างปี1686ถึง1756 ฝรั่งเศสและดัตช์ผลัดกันเข้ามายึดครอง สุดท้ายอังกฤษสามารถเข้ามาแย่งชิงกลับมาจากฝรั่งเศสได้อีกในปี1759 และผนวกอยู่ในเครือจักรภพจนกระทั่งอินเดียได้รับเอกราช ประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ไม่ได้กล่าวถึงไวท์และลูกน้องมาประกาศสงครามในนามของสยามกับที่นี่ ซึ่งระบุว่าเป็นปี1685เลย
เมืองกอลคันดายิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ด้วยอยู่ลึกจากมาสุริปาตัมเข้าไปในแผ่นดินใหญ่กว่า๓๒๐กิโลเมตร เรือรบลำเดียวจะมีสิทธิ์ไปข่มขู่อะไรเขาได้
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 55 เมื่อ 28 เม.ย. 13, 22:46
|
|
รูปเขียนของเมืองมาสุริปาตัมในปี1676 จะเห็นว่าเป็นเมืองท่าที่ดูมั่นคงกว่ามะริดมาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 56 เมื่อ 28 เม.ย. 13, 22:48
|
|
ส่วนเมืองกอลคันดาเป็นเมืองป้อมขนาดใหญ่ที่สร้างไว้ป้องกันกองทัพมุสลิมที่รุกเข้ามาจากเหนือ ปัจจุบันทรากป้อมนี้ยังเป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ดี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 57 เมื่อ 29 เม.ย. 13, 09:21
|
|
สงสัยว่าสมเด็จพระนารายณ์อาจจะมารู้ทีหลัง ขุนนางแขกในราชสำนักที่เป็นพวกเดียวกับพ่อค้าคงจะทูลว่าส่งเรือรบลำเดียวไปทำสงครามกับแคว้นนี้ ก็เท่ากับส่งเรือไปเที่ยวทะเลแล้วกลับมาเท่านั้น เสียงบประมาณเปล่าๆ ไม่รวมกับถูกอาลี บีคหรือพระราชาหัวร่อเอางอหายอีกด้วย แต่จุดประสงค์แอบแฝงของไวท์ สมเด็จพระนารายณ์ไม่ทรงทราบ ที่มะริดมีเรือใหม่อีกลำหนึ่งเพิ่งต่อเสร็จ ชื่อว่าเรือ "โดโรธี" (Dorothy) ไวท์ตั้งใจจะทำเป็นเรือรบอีกลำหนึ่งไว้เสริมกำลังเรือลำแรก เมื่อมีคำสั่งจากอยุธยามาถึง ในฐานะเจ้าท่าจะทำไม่รู้ไม่ชี้ไม่ได้ ไวท์ก็เลยสั่งขนปืนใหญ่ติดตั้งลงในเรือโดโรธีให้เป็นเรือรบ สั่งฝรั่งอีกคนชื่อครอปลีย์ให้ทำหน้าที่กัปตันเรือ เอาเรือลำที่สองนี้ออกไล่หลังเรือลำแรก ให้ไปทันกันที่มัทราส เพื่อยื่นหนังสือให้กัปตันโค้ทส์อย่างเป็นทางการ เรื่องดำเนินงานนี้ พระเอกเราเล่นลูกไม้ 2 แบบคือแบบเป็นทางการก็ทำตามคำสั่งจากอยุธยาไม่มีขาดตกบกพร่อง เมื่อมีสารตราออกมาให้ระงับยับยั้งทำศึก เจ้าท่าก็รีบส่งข่าวไปยับยั้งกับเรือรบ แต่แบบที่ไม่เป็นทางการคือไวท์แอบส่งจดหมายฉบับที่สองแนบไปด้วย ในนั้นสั่งโค้ทส์ว่าไม่ต้องทำตามคำสั่งจากอยุธยา ให้เดินหน้าดำเนินการต่อไปอย่างที่วางแผนไว้แต่แรก ถ้าเกิดอะไรขึ้นไวท์จะรับผิดชอบเอง โค้ทส์ไม่ต้องรับผิด แต่ถ้าทำตามแผนได้สำเร็จคือเที่ยวยึดเรือเชลยขนถ่ายสมบัติมาเข้ากระเป๋าได้มาก ไวท์จะแบ่งส่วนให้อย่างงาม เรียกว่าเป็นเศรษฐีกันทั้งคู่ เราก็คงเดาได้ไม่ยากว่า เมื่อโค้ทส์อ่านข้อความหมดทั้ง 2 ฉบับแล้วจะเลือกทำอย่างสมเด็จพระนารายณ์ทรงสั่งมา หรือทำอย่างที่ไวท์บอกให้ทำ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 58 เมื่อ 29 เม.ย. 13, 10:04
|
|
ถ้าใครอ่านเรื่องที่นายมอรีส คอลลีสเขียนชีวประวัติแซมมวล ไวท์ก็คงยากยิ่งที่จะทราบว่าตรงไหนเป็นเรื่องจริง ตรงไหนเป็นนิยาย แต่เดี๋ยวนี้ง่ายขึ้นมาก ถ้าสงสัยที่ใดก็คลิ๊กหาอินทรเนตร ให้ท่านสอดส่องให้เราได้
อย่างเช่นที่ผมสงสัยว่า มะริดห่างจากมาสุริปัตนำตั้ง๑๙๐๐กิโลเมตร นายไวท์ส่งเรือลำที่สองไปตามหาเรือลำแรก ในสมัยที่มิได้มีไอโพน ไอแพดให้ติดต่อนั้น จะไปเจอกันได้ง่ายๆอย่างไร
แถมสั่งให้ไปทันกันที่มัทราช เมืองที่ไม่ใช่ทางผ่าน แต่อยู่ห่างมาสุริปัตนำไปทางใต้อีกเกือบ๔๐๐กิโลเมตร ถ้าเจอได้จริงก็คงเป็นเรื่องปาฏิหารย์
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 59 เมื่อ 29 เม.ย. 13, 10:26
|
|
ไวท์สั่งให้กัปตันโค้ทส์นำเรือลำแรกไปที่มัทราส เพื่อจะแจ้งกับบริษัทอีสต์อินเดียให้ทราบว่ามาทำราชการในนามของสยาม เรือคงจะพักอยู่ที่นั่นหลายวันหรืออาจจะแรมเดือน กว่าจะซื้อเสบียง กระสุนและหาลูกเรือเพิ่มเติมได้ครบ เมื่อส่งเรือลำที่สองตามมา ก็คงกะว่าเรือลำแรกยังอยู่ที่มัทราส ส่งสารให้โค้ทส์ได้ที่นั่น กระมังคะ
เรื่องที่คอลลิสเขียนขึ้น รวบรวมจากจดหมายของไวท์ บันทึกและจดหมายเหตุในยุคนั้น ต่างก็เล่าไม่ค่อยจะตรงกัน แล้วแต่ใครได้ยินข่าวแบบไหน หรือเจอเข้าอย่างไร เพราะฉะนั้นตัวผู้เขียนก็คงต้องตีความใส่สีใส่ไข่เข้าไปบ้าง ขอเชิญอ่านด้วยวิจารณญาณ ไม่ต้องเชื่อหมดค่ะ
ไวท์น่าจะเป็นคนมีไหวพริบปฏิภาณอยู่มาก จึงสามารถพลิกแพลงแผนเดิมที่ทำท่าจะเจ๊งไปแล้วให้กลับเข้ารูปเข้ารอยได้ ในเมื่อตอนนี้ไม่สามารถอ้างได้ว่าพาเรือรบไปทำศึกกับอาลี บีค แต่จะให้เอาเรือกลับมะริดก็เสียการณ์เปล่าๆ ไวท์ก็เลยคิดแผนสองโดยสั่งว่าเมื่อเรือโดโรธีนำคำสั่งมาให้กัปตันโค้ทส์แล้วก็กลับมะริด หมายความว่าไม่ต้องมาร่วมรับรู้แผนของไวท์กับโค้ทส์ด้วย ส่วนโค้ทส์ ถูกสั่งให้เดินเรือต่อไปจนถึงเมืองมาดาโพลัม(โปรดดูแผนที่ของออกพระศรีนวรัตน) ซึ่งเป็นเมืองในเขตปกครองของอาลี บิค อยู่ในแคว้นกอลคันดา เมืองนี้มีอาชีพหลักคือต่อเรือขาย ไปถึงก็ให้โค้ทส์สั่งต่อเรือ 3 ลำรวด โดยอ้างว่าทำในนามของพระเจ้ากรุงสยาม เมื่อสั่งต่อเรือแล้วก็ให้เร่งให้ต่อเสร็จเร็วๆ เพราะรู้ว่าต่อเรือตั้ง 3 ลำมันเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่เล่น อู่ต่อเรือที่ไหนจะเนรมิตให้ได้ทันใจ ไวท์ก็สั่งโค้ทส์ให้โวยวายต่อว่าต่อขานว่าทางเมืองนี้กลั่นแกล้งหน่วงเหนี่ยว ทำให้ฝ่ายสยามเสียหาย ต้องปรับเงิน ถ้าไม่มีเงินให้ปรับ(ซึ่งก็แน่อยู่แล้วว่าใครจะยอม) ก็ให้ยึดเรือสินค้าที่ท่าเรือเมืองนี้ เอากลับไปมะริด ค่าเสียหายที่ว่านั้นจะไปเข้ากระเป๋าใคร ไวท์ไม่ต้องอธิบาย และกัปตันโค้ทส์เองก็ไม่โง่พอที่จะถาม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|