เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2] 3
  พิมพ์  
อ่าน: 40121 การเสียชีวิตของพระเจ้าตากสิน
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 11 พ.ค. 07, 18:30


       ลักษณาการสัญญาวิปลาสของพระเจ้าตากตามบันทึก น่าจะเข้าข่ายโรคทางจิตในกลุ่ม schizophrenia
[โรคจิตเภท] มีความผิดปกติของความคิด การรับรู้ มีการหลงผิด เห็นด้วยกับคุณ CHO ว่าป่วยการ ฯ
จะจริงหรือไม่ ไม่สามารถรู้ได้ แน่นอน
 
        และเห็นด้วยกับคำว่า ดับขันธ์ ครับ เพราะหมายถึงดับทั้งรูป นาม-จิต ย่อมไม่มี(จิต)ปฏิสนธิแล้ว
        คำนี้ชวนให้นึกถึง (ถ้าจำไม่ผิด) เมื่อครั้งท่านพุทธทาสถึงแก่มรณภาพ ศิษย์ของท่านก็ใช้ว่า ท่านดับขันธ์ 
จนมีผลให้อาจารย์คึกฤทธิ์ เขียนบทความท้วงติงลงคอลัมน์ในสยามรัฐของท่าน     
             
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 11 พ.ค. 07, 20:26

ดิฉันเข้าใจว่าหมายถึงขันธ์ทั้ง ๕ จบลงแค่นั้น  แต่ไม่ได้หมายความลึกไปถึงท่านหลุดพ้นจากกิเลสหรือไม่
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 11 พ.ค. 07, 22:54

ตามที่ผมเข้าใจ ดับขันธ์จะใช้กับผู้ที่บรรลุอรหัตถผลแล้วนะครับ คือเมื่อดับกิเลสได้เท่ากับเป็นพระอรหันต์ เมื่อตายแล้วจึงเรียกว่าดับขันธ์ เป็นอันจบสิ้น พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดทุกสิ่งปวง

คนที่ตายโดยยังไม่ละกิเลส ขันธ์ ๕ (กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) จะดับไม่หมด ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไปครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
Liewfarn
อสุรผัด
*
ตอบ: 1


ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 17 พ.ค. 07, 16:10

จากหนังสือ..... ตายไม่สูญ ... แล้วไปไหน
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
เรื่องที่ 15
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงลาจากพุทธภูมิ
เมื่อวันที่ 29 มากราคม 2533
   เมื่อ พ.ศ. 2500 อาตมา (หลวงพ่อ-ฤาษีลิงดำ) ป่วยหนัก ไปนอนพักรักษาตัวที่กรมแพทย์ทหารเรือ (ปัจจุบัน – โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า) ไปนอนอยู่ที่ตึก 1 เป็นห้องพิเศษ เวลาประมาณ 4 ทุ่มเศษๆ ไฟฟ้าในห้องยังไม่ดับและประตูก็ใส่กลอนแล้ว ถึงเวลานอน นอนคนเดียวยังไม่หลับ ปรากฎว่ามีคนๆหนึ่งมายืนอยู่ข้างเตียง เป็นชายลักษณะเป็นคนล่ำๆ ท่าทางแข็งแรงทะมัดทะแมงปราดเปรียวมาก เป็นคนผิวขาว หน้าค่อนข้างจะสี่เหลี่ยมนิดๆ แต่มีเนื้อเต็ม นุ่งกางเกงขาสั้นสีขาวเหนือเข่านิดหนึ่ง ใส่เสื้อแขนสั้นสีขาวเหนือศอกหน่อย
   ก่อนที่อาตมาจะเห็นท่านผู้นี้ ก็เพราะขณะที่ไปนอนป่วยอยุ่ที่นั่นก็มีความรู้สึกว่า บรรดาผีทั้งหลายอาจจะแกล้งได้ง่าย เนื่องจากกำลังใจของคนป่วยความเข้มแข็งน้อย ก็นึกว่าในที่นี้เป็นเขตพระราชฐานของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงขอพึ่งบารมีท่านให้คุ้มครอง พอท่านมายืนก็มองเห็นไม่ต้องหลับตาไม่ต้องเข้าฌาน ในเมื่อผีจะแสดงตัวให้ปรากฎ แต่ความกลัวไม่มีเพราะเรื่องนี้ชินมาตั้งแต่บวชพรรษาที่ 1 ก็เลยถามท่านว่า “ท่านเป็นใคร” ท่านผู้นั้นก็ถามว่า “เมื่อกี้ท่านนึกถึงใคร” ก็ตอบท่านว่า “นึกถึงสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช”
   ท่านก็บอกว่า “ผมนี่แหละ พระเจ้าตากสินมหาราช” ก็เลยมองไปมองมา ดูลักษณะการแต่งตัวของท่าน ท่านถามว่า “มองอะไร” ก็บอกว่า “มองดูลักษณะพระเจ้าตากสินมหาราช”  ท่านถามว่า “เชื่อหรือยังว่าเป็นพระเจ้าตากสินมหาราช” ตอบว่า”ยังไม่เชื่อ ที่มองเพราะยังไม่เชื่อ” ท่านถามว่า “ไม่เชื่อตรงไหน” ก็บอกว่า “ไม่เชื่อตรงกางเกงกับเสื้อเพราะพระมหากษัตริย์ไม่น่าจะนุ่งแบบนี้” ท่านถามว่า “กษัตริย์ต้องทรงเครื่องกษัตริย์นอนเชียวหรือ นี่มัน 4 ทุ่มกว่าแล้วนะ” ก็บอกว่า “จะรู้ได้อย่างไรในเมื่อเป็นกษัตริย์ เวลาเป็นผีมาแสดงตนให้ปรากฎ ก็ต้องใช้เครื่องทรงแบบกษัตริย์” ท่านบอกว่า “ใช้เครื่องทรงกษัตริย์ก็ได้” พอพูดจบเครื่องทรงก็เป็นกษัตริย์ ท่านถามว่า “เชื่อหรือยัง “ ตอบว่า “ตอนนี้เชื่อแล้ว”
   ต่อมาก็คุยกันตั้งแต่ 4 ทุ่มเศษๆ ถึงตี 5 ครึ่ง คุยกันเรื่องในอดีต ความเป็นมาของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตั้งแต่เป็นเด็กชายสินไว้หางเปีย จนกระทั้งถึงขั้นวางแผนให้รัชกาลที่ 1 เป็นพระมหากษัตริย์ เป็นการยืนยันว่าพระองค์ไม่ได้ถูกรัชกาลที่ 1 ประหารชีวิต เมื่อรัชกาลที่ 1 ขึ้นเถลิงราชสมบัติแล้ว ก็นำสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ท่านบวชเป็นพระแล้วนั่งคานหามไปส่งออกทางปากท่อ ตอนกลางคืน ไปส่งที่ถ้ำในจังหวัดนครศรีธรรมราช ลูกชายของท่านมีสองคน คนพี่ให้เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชจะได้บำรุงพ่อ คนน้องก็ให้ทุนเป็นพ่อค้าสำเภา เป็นการหาทรัพย์สินเข้าเมือง เป็นการยืนยันว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก่อนจะสวรรคตเป็นพระสงฆ์ ไม่ได้ถูกฆ่าตาย  พระองค์สวรรคตที่นครศรีธรรมราช ถ้ำที่ท่านพักก็ยังอยู่ กุฎิหลังนั้นเขาทำเลียนแบบไว้ แต่ความจริงกุฎิที่อยู่จริงๆ ดีกว่านั้น เขาทำให้มีความผาสุก กว่านั้น ออกจากถ้ำท่านก็มีที่พัก  มีห้องพักแบบสบายๆ  ความจริงท่านไม่ได้สั่ง แต่ลูกชายเป็นคนสร้างให้ ท่านอยู่ด้วยความสงบ คนที่เป็นกษัตริย์มาแล้ว เป็นทุกอย่างมาแล้ว มันก็หมดความโลภ ความโกรธ ความหลง และก็เป็นคนแก่ด้วย ก็หมดความรัก ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมของท่านก็เป็นไปด้วยความเคร่งครัด แต่ไม่ได้เคร่งเครียด คำว่า “เคร่งครัด” คือ “ปฎิบัติตรงไปตรงมา ในมัชฌิมาปฎิปทา”
   ก่อนท่านจะลากลับ อาตมาถามว่า “ขอหวยสัก 2 ตัวได้ไหม” ท่านบอกว่า “สมัยผมมีแต่หวยจัยยี่กี หวยแบบเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว แบบนี้ไม่มี เรื่องหวยนี่ผมไม่รู้หรอก แต่เวลานี้ผมมีสตางค์ติดกระเป๋ามาเพียง แค่ 25 สตางค์ ผมขอถวายหมด” พูดแล้วท่านก็หยิบเหรียญโยนไปใต้เตียงเห็นเลข 25 ใสแจ๋ว พอตอนเช้าบรรดาพยาบาล และนายทหารประจำตึกมาถามว่า “เมื่อคืนมีอะไรบ้างครับ” ก็เลยเล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมาเยี่ยม ขอหวยท่าน ท่านบอกว่าไม่มี มีแต่เงินเหรียญ 25 สตางค์ แล้วท่านก็โยนเหรียญไปใต้เตียง ปรากฎว่าภายในวันนั้นข่าวกระจายไปทั่วกรมอู่ ทุกคนเล่นเลยท้าย 2 ตัว ถูกกันมาก
   ต่อมาวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2533 วันนั้น พ.อ.สถาพร ได้นำดาบเล่มหนึ่งมาจากเมืองตาก เขาบอกว่าเป็นดาบของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อมาให้เจ้ากรมการสัตว์หหารบกที่จังหวัดนครปฐม คืนนั้นก็นำดาบตั้งไว้ที่มีเครื่องสักการะ พอตอนดึกเวลาประมาณสัก 6 ทุ่ม เวลาจะนอน ก็ทำจิตเป็นสมาธิตามปกติของพระ ก็เห็นภาพสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สวยงามมากมาที่ดาบ ถามท่านว่า “มาทำไม” ท่านบอกว่า”ก็เขาว่าดาบของผมนี่ครับ ผมก็มาทำให้มันหน่อย” ถามว่า ทำแล้วจะมีประโยชน์อะไรบ้าง” ท่านก็บอกว่า “ประโยชน์มี”
   หลังจากนั้นก็คุยกันถามว่า “เวลานี้ลาจากพุทธภูมิหรือยัง” ท่านบอกว่า “ยังไม่ได้ลา” จึงถามว่า “ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ หรือ “ ท่านบอกว่า “เวลานี้พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเต็มรอคิวกันยาวเหยียด ผมก็อยากจะลาพุทธภูมเหมือนกัน แต่ก็ไม่แนใจว่าถ้าลาแล้วจะมีผลเป็นประการใด” ก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นไปคุยกับพระกันดีกว่า ไปด้วยกันไหม” ท่านบอกว่า “ไปซิ ที่มานี่ก็จะมาชวนไปหาพระด้วยกัน”
   เมื่อไปถึงกราบท่านแล้วก็ถามว่า เวลานี้เทวดาสิน เป็นพระโพธิสัตว์ อยากจะทราบว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่เท่าไร หลังจากพระศรีอาริย์ไปแล้ว” พระท่านก็บอกว่า”จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 30 หลังพระศรีอาริย์นิพพานแล้ว” ก็เล่นเอาเทวดาสิน ต้องไปนั่งยิ้มที่ชั้นดุสิตอีกถึง 30 พระพุทธเจ้า ก็เลยถามพระว่า “ถ้าเทวดาสินจะลาจากพุทธภูมิ เมื่อไรจะไปนิพพาน” ท่านบอกว่า “เทวดาสินนี่ ถ้าหากลาจากพุทธภูมิเป็นสาวกภูมิ กำลังเต็มมานานแล้ว ก็เหลือแต่ เอหิภิกขุ เท่านั้นก็พอแล้ว ถ้าตรัสว่า เอหิภิกขุ เทวดาสินก็เป็นพระสมบูรณ์แบบ” ท่านก็เลยเข้าไปกราบพระ พระท่านก็บอกว่า “เอหิภิกขุ เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด” เพียงเท่านี้ เทวดา สินก็กลับสภาพจากเทวดา เป็นวิสุทธิเทพ
   นี่เป็นเรื่องของนิมิตลืมตา ไม่ใช่นิมิตหลับตา ไม่ได้เข้าฌานสมาบัติ ถ้าถามว่า “ถ้าไม่เข้าฌานสมาบัติ แล้วรู้ได้อย่างไร” ก็บอกว่า “ท่านแสดงภาพให้รู้ มันก็รู้ด้วยกันทุกคนแหละ ไม่ว่าใคร “คนที่เห็นผีเข้าฌานหรือเปล่า เดินไปแล้วก็ถูกผีหลอก ต้องเข้าฌานหรือเปล่า สภาพนี้ก็เหมือนกัน ผีไม่ได้หลอกแต่ว่าผีมาชวนคุย ผีมาบอกตามความเป็นจริง ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าฌานสมาบัติ...”
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 17 พ.ค. 07, 18:38

http://www.navy.mi.th/newwww/code/special/budham/tp/tp200366.htm
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็ควรแล้วที่ท่านทั้งหลายจะเคลือบแคลงสงสัย และท่านทั้งหลายเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในฐานะที่ควรแล้ว มาเถิดท่านทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายอย่าได้เชื่อถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา อย่าได้เชื่อถือ ตามถ้อยคำสืบๆ กันมา อย่าได้เชื่อถือ โดยตื่นข่าวว่าได้ยินอย่างนี้ {น.๑๘๐}อย่าได้เชื่อถือ โดยอ้างตำรา อย่าได้เชื่อถือโดยเดาเอาเอง อย่าได้เชื่อถือโดยคาดคะเน อย่าได้เชื่อถือโดยความตรึกตามอาการ อย่าได้เชื่อถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฏฐิของตัว อย่าได้เชื่อถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ อย่าได้เชื่อถือ โดย ความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา
บันทึกการเข้า
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 18 พ.ค. 07, 01:12

มีความสงสัยถ้อยคำที่อ้างว่าเป็นของหลวงพ่อลิงดำหลายประการ

1 "คนที่เป็นกษัตริย์มาแล้ว เป็นทุกอย่างมาแล้ว มันก็หมดความโลภ ความโกรธ ความหลง และก็เป็นคนแก่ด้วย"
วันสิ้นแผ่นดินพระเจ้าตากนั้น พระชนม์เพียง 48 ไม่เรียกว่าแก่
มาแก่ได้ก็ต้องอยู่มาหลัง 2325 อีกเป็นสิบๆ ปี ตอนนั้นก็ทรงเป็นพระเถระได้แล้ว (ถ้าเชื่อว่าออกบวชนะครับ)
ที่ว่าหมดความโลภอะไรนั่น ถ้าจริงก็หมดเพราะบวช ไม่ใช่หมดเพราะแก่

2 "ลูกชายของท่านมีสองคน คนพี่ให้เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชจะได้บำรุงพ่อ"
เจ้าเมืองนครที่คาดว่าเป็นโอรสเจ้าตากนั้น ได้เป็นเจ้าเมืองในรัชกาลที่ 2 คนก่อนหน้าก็เป็นมาตั้งแต่สมัยธนบุรี
ไม่มีช่องให้เจ้าตากหรือรัชกาลที่ 1 ตั้งลูกเจ้าตากเป็นเจ้าเมือง
แม้ตั้งได้ เจ้าตากก็ตายไปนานแล้วครับ บำรุงได้แต่กระดูก

ทำไมบอกว่าตายไปแล้ว ก็เพราะพอขึ้นรัชกาลที่ 2 สายสกุลพระเจ้าตากถูกล้างจนไม่เหลือคนสำคัญ
ถ้าเจ้าตากยังอยู่ คงไม่มีกรณีประหารเจ้าฟ้าเหม็นเกิดขึ้น

3 สงสัยว่า เจ้าตากใช้ศัพท์ "ผม" ด้วยหรือ "ท่านก็บอกว่า “ผมนี่แหละ พระเจ้าตากสินมหาราช”
เอกสารที่เชื่อว่าเป็นของร่วมสมัยกับพระองค์ ระบุว่า ทรงตรัสกับพระสงฆ์เรียกพระองค์เองเป็น "โยม"
และคำยกย่องมหาราช ไม่น่าจะทรงรู้จัก เว้นแต่ดวงพระวิญญานวนเวียนอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ระยะนั้นพอดี

4 “สมัยผมมีแต่หวยจัยยี่กี"
ท่านผู้เล่า(จะเป็นพระลิงดำหรือคนที่นำมาเล่าต่อ) คงไม่เคยอ่านประชุมพงศาวดารภาค 17 ตำนานเรื่องเลิกหวยแลบ่อนเบี้ยในกรุงสยาม
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์ว่า "ได้ความในหนังสือซื่อยังว่า หวยเปนของพึ่งคิดขึ้นในแผ่นดินพระเจ้าเตากวาง
รัชกาลที่ ๖ ในราชวงศ์ใต้เชง เสวยราชย์แต่ปีมเสง พ.ศ. ๒๓๖๔ จนปีจอ พ.ศ. ๒๓๙๔ (ตรงกับรัชกาลที่ ๒ ต่อรัชกาลที่ ๓ กรุงรัตนโกสินทรนี้ )"
ผีพระเจ้าตากคงสับสน

5 “เวลานี้พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเต็มรอคิวกันยาวเหยียด ผมก็อยากจะลาพุทธภูมิเหมือนกัน แต่ก็ไม่แนใจว่าถ้าลาแล้วจะมีผลเป็นประการใด”
คตินี้ไม่เคยได้ยิน ที่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้ามีคิวรอเต็มเหยียด อ่านที่ใหนๆ ก็ว่าเป็นยากเย็นนัก นี่รอคิวยังกับจะเข้าดูหนัง คงมีเป็นร้อยเป็นพันยังกะเซลล์แมน
และที่เคยทราบ การเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตนี่ไม่มีคิวนี่นา บำเพ็ญบารมีถึงก็เป็น นี่ต้องรอคิวก็แปลว่าบารมียังไม่ถึง บารมียังไม่ถึง ก็ต้องไปสร้างสมต่อ
ไม่ใช่มาจูงมือกันไปหานายทะเบียนอะไรสักอย่างเช่นที่เล่าไว้

6 “เวลานี้ลาจากพุทธภูมิหรือยัง”
ไม่เข้าใจคำนี้เลย พุทธภูมินี้มีการลาออกด้วยหรือ
บุคคล เมื่อบรรลุพุทธภูมิแล้ว หากจะพ้นก็โดยความเสื่อม แต่ถ้าเสื่อมได้ก็แปลว่ายังไม่ถึงพุทธภูมิ ข้อนี้รู้น้อย ไม่คิดต่อ

7 “ถ้าอย่างนั้นไปคุยกับพระกันดีกว่า ไปด้วยกันไหม” ท่านบอกว่า “ไปซิ ที่มานี่ก็จะมาชวนไปหาพระด้วยกัน”
ข้อนี้ยิ่งไม่เข้าใจ ที่ว่าไปหาพระด้วยกัน แปลว่าท่านฤาษีลิงดำ ไปกับพระโพธิสัตว์สิน(หรือเทวดากันแน่ เห็นเรียกทั้งสองอย่าง) ที่ได้พุทธภูมิแล้ว
แต่สุดท้ายกลับเรียกเป็นผี ตกลงร่างที่มานี้เป็นอะไรกันแน่ เป็นผู้ได้พุทธภูมิคือเป็นภิกษุ
เป็นโพธิสัตว์ หรือเป็นเทวดา....
แล้วก็เลยย้อนไปสงสัยต่อว่า ตอนต้นมาในชุดกางเกงสั้นแขนสั้น ตกลงท่านเลิกบวชแต่เมื่อไรล่ะ ใหนว่ารัชกาลที่ 1 ให้บวชไง

8 ท่านก็เลยเข้าไปกราบพระ พระท่านก็บอกว่า “เอหิภิกขุ เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด”
ข้อนี่ช็อคมากครับ คำนี้เป็นพุทธพจน์ หรืออย่างอ่อนก็เป็นคำครั้งพุทธกาล ผู้ที่พูดได้ ล้วนดับสูญแล้ว ใครอื่นจะพูดได้อีก
ทีนี้ทั้งสองจูงมือกันไปเข้าเฝ้าได้ ก็แปลว่า ที่เราเรียนกันว่ามหาปรินิพพานนั้นคือดับสูญไม่มาเกิดอีก ก็ไม่จริง
ท่านไม่ได้ดับสูญเลย ยังนั่งทำงานเป็นนายทะเบียนอยู่ที่ใหนสักแห่ง

9 เทวดาสินก็กลับสภาพจากเทวดา เป็นวิสุทธิเทพ
ทราบแต่ว่าเทวดาก็คือเทพ ถ้าที่เล่ามาคือจะยกว่า ผีสินได้เลื่อนจากเทวดาขึ้นเป็นวิสุทธิเทพ
ก็ให้แปลกใจ เพราะตอนแรกเล่าว่าเทวดาสินนี่ รอคิวเป็นพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว
แต่มาตรงนี้ ได้เลื่อนเป็นวิสุทธิเทพ
นึกว่าการรอคิวเป็นพระพุทธเจ้านี่คือสุดทางแล้ว ที่ใหนได้ มีเลื่อนขึ้นอีกก็ได้แฮะ
 
สรุปว่า เรื่องยืดยาวนี้ ไม่น่าเป็นถ้อยคำของพระเถระผู้ใหญ่ระดับพระราชพรหมญาน
แต่คนจำ จำมาตกหล่น ไม่ก็เล่าเอง
ข้อเอหิภิกขุนั้น ไม่มีพระภิกษุที่มีความรู้รูปใดจะกล้าเล่าอย่างนั้น
ถ้าเล่าก็ไม่ใช่พุทธแบบที่เรารู้จัก หรือไม่ใช่พุทธเลย
บันทึกการเข้า
Hotacunus
องคต
*****
ตอบ: 613


AD FRANCIAM


ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 18 พ.ค. 07, 02:00

 ฮืม ... มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ (เรื่องที่ 15 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงลาจากพุทธภูมิ)

ผมว่า พระเจ้าตากน่าจะใช้สรรพนามว่า "เรา" มากกว่านะครับ หรือไม่ก็ "ข้าพเจ้า" (ข้า ของ พระพุทธเจ้า)

คำว่า "ผม" ไม่รู้เหมือนกันว่าเก่าแค่ไหน ดูเหมือนว่าน่าจะบังคับใช้กันเมื่อไม่นานมานี้ (ไม่ ร.๖ ก็ จอมพล ป. ... ไม่รู้เหมือนกันครับ ท่านใดรู้ช่วยขยาย)

เรื่อง "พระขอหวยผี" นี่ก็เหลือเกิน .... อันนี้แหละที่จะทำให้ผมไม่เชื่อ ... เหมือนแต่งเอาใจคนบ้าหวย ...

เรื่องเล่าในวัฒนธรรมหวย (ไทย)   ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
UP
แขกเรือน
องคต
*****
ตอบ: 516


ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 18 พ.ค. 07, 05:07

ขอพูดซ้ำประโยคเดิมที่ผมพูดอยู่เสมอว่า การพร่ำเพ้อตำนานว่าพระมหาราชเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐของไทย ๒ พระองค์ ทรงสมคบคิดกันหนีหนี้เมืองจีนนั้น ไม่เป็นพระเกียรติยศเอาเสียเลย

สู้เชื่อตามพระราชพงศาวดารที่กล่าวไว้ชัดเจนแจ่มแจ้งแล้วจะยังดีเสียกว่า
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 18 พ.ค. 07, 10:02

โดยส่วนตัว   ไม่เชื่อตำนานจากคำบอกเล่า ประเภท"นั่งทางใน"  โดยเฉพาะเรื่องพระเจ้าตากสินไม่ได้ถูกสำเร็จโทษ   
เพราะเหตุผลต่างๆขัดกับเหตุการณ์ที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ทั้งปลายสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์
- หากเป็นการคบคิดกันไม่ว่าเรื่องหนีหนี้เมืองจีน หรือตั้งใจออกผนวชไม่สึก   ทำไมจะต้องมีการประหารพระราชโอรสของพระเจ้าตาก คือเจ้าฟ้าจุ้ย กรมขุนอินทรพิทักษ์ และพระราชโอรสอีกพระองค์หนึ่งที่ขอตายตามพ่อไปด้วย
- ทำไมพระยาพิชัยดาบหัก จึงขอตายตามเจ้านาย   หากเจ้านายมิได้สวรรคตจริง  หากว่าขอตายเพราะไม่รู้ว่าเจ้านายยังมีพระชนม์อยู่  ก็ไม่น่าที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯจะยอมให้ทหารเอกมือดีถูกประหารไป ๑ คนจากความไม่รู้
- ทำไมกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท จึงตั้งพระทัยจะประหารขุนนางที่เป็นฝ่ายพระเจ้าตากอีกหลายคน  แต่ว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าทรงขอไว้
- ทำไมมีการกริ้วจนเฆี่ยนบรรดานางในเจ้าจอมหม่อมห้ามทั้งหลายของสมเด็จพระเจ้าตากสินที่คร่ำครวญหวนไห้ถึงเจ้านายเดิม
- ทำไมถึงมีการปราบปรามกบฎของกรมขุนกษัตรานุชิต พระราชโอรสของพระเจ้าตากในต้นรัชกาลที่ ๒  จับสำเร็จโทษรวมทั้งลูกเด็กเล็กแดงหมด
- ทำไมเชื้อสายสมเด็จพระเจ้าตากที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงถูกลดลงไปเป็นสามัญชนทั้งหมด
หากสมเด็จพระเจ้าตากสินยังมีพระชนม์ชีพอยู่ทางนครศรีธรรมราช   เรื่องทั้งหมดนี้ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นให้เป็นที่ระคายเคืองพระราชหฤทัย

ส่วนหนังสือ ตายแล้วสูญ  มีข้อความที่น่าเคลือบแคลงหลายอย่าง  ดิฉันเห็นด้วยกับคุณ pipat  คุณ Hotacunus และคุณ UP
นี่ยังไม่รวมว่า ทางเมืองจีนไม่เคยมีหลักฐานเลยว่าเคยให้ยืมสตางค์ หรือยกทัพข้ามทะเล(จากปักกิ่ง??)มาตีอาณาจักรธนบุรี เป็นการยึดใช้หนี้    ขนาดไม่ต้องพูดถึงความจริงว่า การเดินทางเป็นแรมปีจากอ่าวไทยไปเฝ้าฮ่องเต้จีน กินเวลาแรมปีกว่าจะไปจะกลับ   จะยืมสตางค์ทันใช้หรือ  หรือว่าจะยกทัพเรือมากินเวลาเท่าไหร่กว่าจะถึงธนบุรี
บันทึกการเข้า
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 18 พ.ค. 07, 13:03

เรื่องยืมเงินนี้ ท่านที่เล่าอาจจะเคยชินกับธุรกรรมปัจจุบัน
ระบบการค้าของจีนนั้น เขาเรียกว่าการฑูตแบบบรรณาการ คือไม่ใช่การค้า แต่เป็นความเมตตาที่ฮ่องเต้ให้กับประเทศโพ้นทะเล
แต่เรามาเรียกเป็นการค้า ราชสำนักจีนไม่เคยมีคำนี้ เพราะฮ่องเต้เป็นโอรสสวรค์ จะมาค้าขายกับใครได้

หน้าที่ของโอรสสวรรค์ก็คือดูแลโลก ดำรงคุณธรรม
กรณีพระเจ้าตากตั้งตนเป็นเจ้านี่ ทางจีนไม่รับรู้ด้วย แม้ว่าจะยอมให้ฑูตเข้าเฝ้า ก็เป็นอย่างนอกสำรับ
เพราะฮ่องเต้ไม่ประทานตราตั้งมาให้
เจ้าตากเพียรขอถึงสามครั้ง ได้มาก็เป็นรัชกาลพระพุทธยอดฟ้าฯ
มีตราตั้ง จึงจะมีสิทธิเข้าถึงปักกิ่ง

เพราะฉะนั้น เจ้าตากจะไปยืมเงินใครได้ครับ ในเมื่อไม่มีตัวตนอยู่ในการรับรู้ของจีน
การค้าที่เกิดขึ้น ก็ต้องถือว่าเป็นการแทรกเข้าได้วยการใช้ช่องทางเดิมๆ พอให้ได้เงินมาใช้จ่าย
ตามการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญจีน มาในรัชกาลที่ 1 นี่เอง ที่สยามได้รับสิทธิทางการฑูตเต็มที่
และส่งทูตไปจีนถี่ครั้งมากที่สุด ปกติสามปีครั้ง แต่ตัวเลขออกมาดูเหมือนจะปีละครั้ง

คนที่คิดเรื่องกู้เงิน คงไปฟังเรื่องขอซื้อกระทะมาหลอมทำอาวุธ แล้วผูกเป็นว่าได้รับการช่วยเหลือ
ถ้าจำไม่ผิด ทฤษฏีเรื่องเจ้าตากไม่ได้ถูกประหาร เริ่มมาจากนักเขียนฝ่ายซ้ายคนหนึ่งเมื่อกึ่งพุทธกาล
แล้วมีการเสริมต่อกันออกมาอีกหลายสำนวนความ ต่างก็ไม่ใช่งานทางวิชาการ และไม่เคยได้รับการสนใจ
เว้นแต่จากคนที่ไม่ชอบงานที่ต้องคิด ชอบงานที่ต้องเชื่อ
เนื้อหาที่เสนอเป็นนิยายแบบที่คุณพุ่มเคยใช้กับพระอภัยมณีว่า "ขี้ปดสยดสยอน" ประมาณนั้น

แต่อันที่จริงก็ต้องขอบคุณท่านที่ยกข้อความมาให้อ่านนะครับ
เพราะสามารถใช้เป็นบททดสอบได้ดีว่า ความรู้ที่นักวิชาการช่วยกันสอบค้นสะสมทิ้งเอาไว้มากมาย
จะสามารถทดสอบความเท็จของเรื่องเล่าต่างๆ ได้หรือไม่
ถ้าไม่ได้ เรื่องเหล่านั้นก็ยังฝังตัวอยู่ตามมุมมืดของการศึกษา คอยหลอกหลอนนักเรียนขวัญอ่อนให้คล้อยตาม
ถ้าได้ ก็เป็นการดี ที่มีตัวอย่างมาให้ตรวจสอบระดับความรู้

แต่ขอร้องว่าอย่าขุดขึ้นมาบ่อยนัก เกิดน้ำมนต์ขาดตลาดจะยุ่งกันใหญ่
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 18 พ.ค. 07, 13:20

เท่าที่จำได้ ไม่ปะติดปะต่อกันนัก     
ความคิดเรื่องสมเด็จพระเจ้าตากสินไม่ได้ถูกประหาร มีเรื่องซับซ้อนซ่อนเงื่อนอยู่เบื้องหลัง น่าจะเริ่มจากเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งของหลวงวิจิตรวาทการ ชื่อ"ใครฆ่าพระเจ้าตาก" เป็นเรื่องแต่ง ไม่ใช่สารคดี
ต่อจากนั้นก็มีคนจับประเด็นขึ้นมาบ้าง สิ่งละอันพันละน้อย เช่นร.ท.จงกล ไกรฤกษ์ พุ่งประเด็นไปที่พระยาสรรค์ ในหนังสือชื่ออะไรลืมไปแล้ว เคยอ่านพบในห้องสมุด
ความคิดนี้มาแพร่หลายอีกครั้งจากการนั่งทางในติดต่อกับดวงวิญญาณของพระเจ้าตากสิน โดยนักบวชหญิงคนหนึ่ง  หลังพ.ศ. ๒๕๐๐     แล้วเขียนเป็นหนังสือเผยแพร่
การติดต่อกับดวงวิญญาณ ก็ทำกันมาอีกหลายครั้ง   สอดคล้องไปทางเดียวกันแต่แตกต่างในรายละเอียด   ต่างคนต่างเชื่อว่าไม่มีการประหาร แต่เป็นการสร้างฉากละครขึ้นมา
เรื่องก็เงียบหายไปพักใหญ่ๆ  ก่อนที่ล่าสุดจะมีการจุดประเด็นนี้ขึ้นมาอีก

น่าคิดว่า นักวิชาการพยายามเขียนและรวบรวมหลักฐานกันมาเท่าไร  ไม่มีคนสนใจอ่าน มีก็แต่กลุ่มน้อยที่ศึกษาในชั้นเรียน หรือผู้สนใจประวัติศาสตร์ที่จำนวนน้อยยิ่งกว่า
แต่พอมีเรื่องที่เรียกร้องความเชื่ออย่างเดียว  ไม่แยแสข้อพิสูจน์  กลับแพร่หลายได้แพร่หลายเอา
จบประเด็นเสียทีก็ดีค่ะ
บันทึกการเข้า
Bana
องคต
*****
ตอบ: 439



ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 18 พ.ค. 07, 14:19

ทุกวันนี้  มันปะปนกันไปหมด  ทั้งพวกเข้าทรงนั่งทางใน  กับแต่เรื่องเล่า  ตำนาน  ที่มีอยู่ก็สับสนกับประวัติศาสตร์พอสมควร
เห็นด้วยกับคุณ UP เชื่อพระราชพงศาวดารแล้วสบายใจ  แถมยังได้เล่าถึงพระวีรประวัติให้ลูกหลานฟังได้อย่างสบายใจอีกด้วย
ส่วนการดับขันธ์  ผมคิดว่าน่าจะใช้ได้กับพระอรหันต์  ,พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้า  เท่านั้นนะครับ
การดับซึ่งขันธ์  ไม่ได้กล่าวแค่รูปครับ  หมายถึงด้านนามด้วยครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 27  เมื่อ 18 พ.ค. 07, 15:12

ตอบคุณ Ho เรื่องสรรพนาม
ผู้ชายสมัยอยุธยาตอนปลายต่อมาถึงต้นรัตนโกสินทร์ เรียกตัวเองอย่างสุภาพว่า "ดีฉัน"  ไม่ใช่ "ผม"
คนที่พูดกับพระสงฆ์ ว่า "ผม " ก็คือพระด้วยกันในสมัยปัจจุบัน  ย้อนอดีตไปก็ไม่ถึง ๑๐๐ ปี
บันทึกการเข้า
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 28  เมื่อ 18 พ.ค. 07, 16:11

ปรึกษาท่านปาเลกัวส์แล้ว ท่านบอกว่า สมัยรัชกาลที่ 3 พวกนายหมวด นายกองทั้งหลายพูดกับเจ้าพระยากลาโหมว่า "พวกเกล้ากระผม....."
ก็เลยเดาเอาว่า มาจากการเลียนคำว่า เกล้ากระหม่อม มาเป็นเกล้ากระผม แล้วเป็นกระผม จนมาเป็นผม....

อันนี้ผีท่านไม่ได้มาบอก
แต่เปิดเล่าเรื่องเมืองไทยของท่าน ที่คุณ สันต์ ท. โกมลบุตร แปลให้สำนักพิมพ์กาวหน้า
อยู่ตรงหน้า362

เวลากลางวันแสกๆ ไม่ได้เคลิ้มหรือทำอะไรกับสติตัวเองเลยครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 29  เมื่อ 18 พ.ค. 07, 16:35

ลองปรึกษาขุนช้างกับขุนแผนดูบ้างไหมคะ ใช้คำพูดว่าอะไร
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.079 วินาที กับ 19 คำสั่ง