มีบันทึกว่า พวกแขกเจ้าเซ็นได้ สวดถวายตัวในการบำเพ็ญพระราชกุศล เมื่อ พ.ศ. 2423 ต่อมาคิดสวดแผลงเป็นลำนำต่าง ๆ คิดลูกหมดเข้าแกมสวด ร้องเป็นเพลงต่างภาษา และทำตัวหนังเชิด โดยเอารำมะนาเป็นจอก็มี ลิเกจึงกลายเป็นการเล่นขึ้น ต่อมามีผู้คิดเล่นลิเกอย่างละคร คือ เริ่มร้องเพลงแขก แล้วต่อไปเล่นอย่างละครรำ และใช้ปี่พาทย์อย่างละคร
ก่อนหน้า พ.ศ. ๒๔๒๓ ลิเกไม่ใช่การแสดงเป็นเรื่องเป็นราวอย่างที่เรารู้จัก เป็นเพียงการสวดสรรเสริญพระเจ้าของพวกแขกเจ้าเซ็นเท่านั้นเอง
อาจารย์สุรพล วิรุฬห์รักษ์ ท่านบรรยายไว้ว่า ลิเกมีพัฒนาการที่สลับซับซ้อน ประวัติของลิเกแบ่งออกได้เป็น ๖ ยุคหลัก คือ
เริ่มจากยุคแรก ลิเกสวดแขก คือ ยุคที่ชาวไทยมุสลิมเดินทางจากภาคใต้เข้ามาตั้งถิ่นฐาน ในกรุงเทพมหานคร ในสมัยรัชกาลที่ ๓ แล้วได้นำการสวดสรรเสริญพระเจ้าประกอบ การตีรำมะนา (กลองหน้าเดียวตีประกอบลำตัดในปัจจุบัน) เข้ามาด้วย
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ลูกหลานชาวไทยมุสลิมก็ใช้ภาษาไทยแทนภาษามลายู สำหรับการแสดง ลิเกสวดแขกนั้น ผู้แสดงชายนั่งล้อมเป็นวงกลม มีคนตีรำมะนาเสียงทุ้มและแหลม ๔ ใบ หรือ ๑ สำรับ การแสดงเริ่มด้วยการสวดสรรเสริญพระเจ้าเป็นภาษามลายู จากนั้นก็ร้องเพลงด้นกลอนภาษามลายูตอนใต้ เรียกกันว่า ปันตุน หรือ ลิเกบันตน ต่อมาแปลงจากภาษามลายูเป็นภาษาไทย การแสดงบางครั้งมีการประชันวงร้องตอบโต้กัน จนกลายมาเป็นลำตัดในปัจจุบัน
ยุคของลิเกต่อมา ก็ได้แก่ ลิเกออกภาษา ลิเกทรงเครื่อง ลิเกลูกบท ลิเกเพชร และ ลิเกลอยฟ้า
มีรายละเอียดเป็นอย่างไรกันบ้าง ต้องตามอ่านในสารานุกรมสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ ๒๗
http://kanchanapisek.or.th/kp6/BOOK27/chapter1/t27-1-l2.htm