เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์ไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: cottoncandy ที่ 13 พ.ย. 14, 11:57



กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: cottoncandy ที่ 13 พ.ย. 14, 11:57
เจอข้อมูลเกี่ยวกับ รศ 130 ที่ต่างออกไปจากของท่านอื่น ขอท่านผู้รู้ชี้แจงด้วยค่ะ


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: cottoncandy ที่ 13 พ.ย. 14, 11:59
ต่อค่ะ


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: cottoncandy ที่ 13 พ.ย. 14, 12:02
อันนี้เป็นหนังสืออ้างอิงที่ผู้เขียนใช้ค่ะ


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 พ.ย. 14, 12:27
ไม่ต้องบอกก็พอเดาได้ว่าเอามาจากหนังสืออะไร

เชิญอาจารย์วรชาติอธิบายดีกว่าครับ


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: cottoncandy ที่ 13 พ.ย. 14, 12:38
ว่าจะถามถึงหนังสือนี้อยู่เหมือนกัน แต่ขอรอฟังเรื่องนี้ก่อนนะคะ ^^'


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 13 พ.ย. 14, 17:41
เรื่อง ร.ศ. ๑๓๐ ที่มีการเผยแพร่กันมานั้นล้วนเป็นข้อมูลที่บิดเบือนทั้งสิ้น
เอกสารจดหมายเหตุเรื่องกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ ที่มีเก็บรักษาไว้ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติรวม ๒ กล่องกว่า ๒๐ แฟ้ม  เป็นเอกสารหลายพันหน้า  มีทั้งเอกสารที่ค้นได้จากบ้านผู้ต้องหาในดคดีดังกล่าว  คำให้การของผู้ถูกกล่าวหาในคดี  พระราชหัตถเลขาและลายพระหัตถ์รวมทั้งหนังสือโต้ตอบของผู้เกี่ยวข้องกับการจับกุม  สรุปความได้ว่า การก่อการกำเริบครั้ง ร.ศ. ๑๓๐ นั้น  มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อเปลี่ยนระบบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นรีพปับลิค (Republic)  โดยจะมีการลอบปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นสำคัญ

มูลเหตุของการคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น  มีความปรากฏในเอกสาร "ว่าด้วยความเสื่อมซามแลความเจริญของประเทศ" ที่เจ้าพนักงานค้นได้จากบ้านนายพันตรี หลวงวิฆเนศวรประสิทธิ์วิทย์ นายร้อยเอก ขุนทวยหาญพิทักษ์  และนายร้อยตรี ชลอ  ซึ่งมีประเด็นที่สำคัญกล่าวถึงความเสื่อมทรามของชาติสยามว่า เกิดมาจากการปกครองแบบ "แอบโซลู๊ด มอนากี่"  ซึ่งกษัตริย์สยามใช้อำนาจ "แอ๊บโซลู๊ด"  "กดขี่"  และ "กดคอ" ราษฎรตามอำเภอใจ  ทำให้ราษฎรขาดอิสรภาพ  และเป็นอุปสรรคที่ทำให้ชาติสยามไม่สามารถก้าวสู่ความเจริญรุ่งเรืองหรือภาวะ "ศีวิลัย" ดังนานาชาติที่เจริญแล้วได้  ด้วยเหตุนี้เอกสารนี้จึงเสนอความคิดให้ "ล้มล้างประเพณีอันชั่วร้ายของกระษัตริย์"  ด้วยการนำเสนอทางเลือกสองแพร่งระหว่างการปกครองแบบ "ลิมิเต็ด มอนากี้" หรือการปกครองแบบ "รัปับลิก" ที่จำกัดอำนาจรัฐ  ตั้งแต่การจำกัดอำนาจของพระมหากษัตริย์จนถึงการเสนอให้มีการเลือกตั้งผู้ปกครองที่มาจากสามัญชนเพื่อให้ราษฎรมีความเสมอภาคกัน

สาระสำคัญของแนวคิดของนายทหารหนุ่มที่คิดก่อการคราวนั้นมีดังที่กล่าวมา  จากนั้นจึงมีการหยิบยกเรื่องภัยแล้งในตอนปลายรัชกาลที่ ๕ และเรื่องการฝึกหัดเสือป่ามาเป็นเหตุผลประกอบ  นอกจากนั้นก็มีเรื่องการพระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์ที่มหาดเล็กไดรับพระราชทานต่อพระหัตถ์  ส่วนข้าราชการอื่นๆ ต้องรอกันนานๆ  ส่วนที่มีผู้หยิบยกเรื่องการเล่นโขนของเสือป่ามาอ้างถึง  ไม่มีที่ใดที่กล่าวถึงเรื่องการใช้จ่ายเงินในพระราชสำนัก  เรื่องปัญหาการเงินการคลังของประเทศ  รวมถึงเรื่องการโบยหลังทหาร ๕ คนที่ศาลาว่าการยุทธนาการ  เมื่อมีการตรวจสอบแล้วกลับไม่มีการกล่าวถึงในเอกสารจดหมายเหตุชุด ร.ศ. ๑๓๐ เลย  คาดว่าเป็นนิยายที่แต่งขึ้นในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง  เพื่อสนับสนุนความชอบธรรมให้แก่คณะราษฎรผ฿้กระทำการเปลี่ยนแปลงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕

จากเหตุผลของการก่อการกำเริบในคราวนั้นเมื่อตรวจดูรายชื่อผู้ร่วมก่อการล้วนเป็นนายทหารลั้นผ๔้น้อย  มีนายพันตรีเพียง ๑ นาย  นายร้อยเอกอีกไม่กี่นาย  ที่เหลือเป็นนายทหารชั้นนายร้อยโท และนายร้อยตรีหลายสิบคน  มีพลเรือนเข้าร่วมด้วยก็แต่เพียงข้าราชการกระทรวงยุติธรรมเพียงไม่กี่คน


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: cottoncandy ที่ 13 พ.ย. 14, 18:01
แต่ดูจากที่มาแล้ว หนังสือ เหรียญรำลึก ที่พูดถึงเรื่องนี้เป็นหนังสือที่ผู้ก่อการกบฏในครั้งนั้นเขียนขึ้นมาเองในภายหลัง แสดงว่าผู้เขียนจงใจใส่สีตีไข่เพิ่มเข้าไปเองทีหลังใช่มั้ยคะ ถ้าบอกว่าไม่ตรงกับข้อมูลจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ แล้วส่วนที่พูดถึงเหตุการณ์ที่พระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงยืนกรานที่จะสละพระอิสริยยศเพื่อกดดันรัชกาลที่ 5 ให้ทรงลงพระอาญาเฆี่ยนหลังนายทหารที่วิวาทกับมหาดเล็กของพระองค์นี่เป็นเรื่องจริงมั้ยคะ ตัดสินได้มั้ยคะว่าหนังสือเหรียญรำลึกนี้ให้ข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 13 พ.ย. 14, 18:10
เรื่อง กบฏ ร.ศ. ๑๓๐ นี้จะว่าไปแล้ว  น่าจะเป็นมหากาพย์ได้อีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว  เพราะภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมีการแต่งเติมและสร้างสีสันให้คณะผู้ก่อการ ร.ศ. ๑๓๐ จากกบฏให้เป็นนักปฏิวัติรุ่นหนุ่มชุดแรกของกรุงสยามเลยทีเดียว

เอกสารจดหมายเหตุได้กล่าวถึงเรื่องราวการก่อกบฏครั้งนั้นไว้ชัดเจนว่า เจ้าพระยายมราช (ปั้น  สุขุม) เสนาบดีกระทรวงนครบาลได้ทราบข่าวการเตรียมการก่อการกำเริบมาแล้วชั่วระยะเวลาหนึ่ง  ทราบจนถึงว่ามีการว่าจ้างชาวจีนซึ่งทำงานอยู่ที่ห้างวินเซอร์ในกรุงเทพฯ ให้ฃักลอบติดต่อซื้ออาวุธจากต่างประเทศเข้ามาเพื่อก่อความไม่สงบในบ้านเมือง  แต่ยังมิได้ลงมือจับกุมเพราะต้องการรอให้หลักฐานมัดแน่น  ประจวบกับนายพันตรี หลวงสินาดโยธารักษ์ (ยุทธ  คงอยู่) ซึ่งกำลังจะย้ายไปรับราชการที่พิษณุโลกได้รับการชักชวนให้เข้าร่วมขบวนการ  โดยกลุ่มผู้ก่อการหวังจะให้นำแนวคิดของผู้ก่อการไปขยายต่อที่พิษณุโลก  แต่เมื่อหลวงสินาดฯ ได้รับทราบแนวคิดนี้แล้วได้นำความไปรายงานต่อผู้บังคับบัญชาซึ่งมีการรายงานเป็นลำดับไปจนถึงนายพลเอก สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบก ซึ่งเวลานั้นทรงเทำการแทนเสนาบดีกระทรวงกระกระลาโหม ซึ่งเสด็จไปรักษาพระองค์ที่ต่างประเทศ

เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าฯ เสนาธิการทหารบกทรงทราบเรื่องตลอดแล้ว  ได้มีพระบัญชาเรียกประชุมผู้บังคับบัญชาทหารในกรุงเทพฯ ที่กองบัญชาการกองพลที่ ๑ รักษาพระองค์เมื่อจอนเช้าวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ (นับแบบเก่า)  เลิกประชุแล้วผู้บังคับบัญชาทหารได้แยกย้ายกันออกจับกุมแบะตรวจค้นที่ทำงานและบ้านพักแาศัยของผู้ก่อการทั้งหมด  แล้วนำตัวไปคุมขังไว้ที่ศาลาว่าการกระลาโหม  ส่วนตัวผู้นำในการก่อความไม่สงบถูกนำไปฝากขังไว้ที่เรือนจำมหันตโทษ (ตลองเปรม) ในความควบคุมของกระทรวงนครบาล  จากนั้นได้มีการสอบสวนโดยให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดเขียนคำให้การด้วยลายมือของตน  

เนื่องจากในคดีนี้มีผู้ถูกกล่าวหานับจำนวนได้หลายร้อยคน  แม้จะผู้ถูกกล่าวหาจะมียศสูงสุดเพียงนายพันตรี  ซึ่งตามข้อบังคับศาลทหารองค์คณะตุลาการศาลทหารจะมีนายทหารยศสูงสุดเพียงชั้นนายพันน่วมเป็นองค์คณะ  แต่คงจะเป็นเพราะคณะผู้ก่อการนี้มุ่งร้ายถึงขั้นจะปลงพระชนม์ชีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  สมเด็จฯ เสนาธิการทหารบกจึงกราบบังคมทูลเสนอให้มีศาลทหารพิเศษประกอบด้วยองคณะ ๗ คน  เป็นตุลาการพิพากษาคดีนี้  เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้วได้มีพระบรมราชโองการตั้งตุลาการศาลทหารพิเศษสำหรับพิจารณาพิพากษาคดีนี้รวม ๗ นาย คือ
๑. นายพลเอก พระยาสีหราชเดโชไชย (ม.ร.ว.อรุณ  ฉัตรกุล – จอมพล เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต) ผู้ช่วยเสนาบดีกระทรวงกระลาโหม  
๒. นายพลตรี พระยาวรเดชศักดาวุธ (แย้ม  ณ นคร – นายพลเอก เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต) ปลัดทูลฉลองกระทรวงกระลาโหม  
๓. นายพลตรี พระยาศักดาภิเดชวรฤทธิ์ (อุ่ม  อินทรโยธิน – นายพลเอก เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน) จเรทหารม้าและทหารราบ  
๔. นายพลตรี พระยาพิไชยสงคราม (ม.ร.ว.สิทธิ์  สุทัศน์ – นายพลโท พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร) ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก
๕. นายนาวาเอก พระยาวิจิตรนาวี (วิลเลียม  บุณยกลิน - นายพลเรือโท พระยาวิจิตรนาวี)  เจ้ากรมช่างโยธาทหารเรือ
เป็นตุลาการทหาร  และตุลาการพระธรรมนูญ อีก ๒ นาย ประกอบด้วย  
๑. นายพันเอก พระศรีณรงค์วิไชย (เจิ่น  บุนนาค – นายพลตรี พระยาเทพาธิบดี) เจ้ากรมพระธรรมนูญทหารบก  
๒. นายนาวาโท พระสุนทรานุกิจปรีชา (วิม  พลกุล – นายพลเรือตรี พระยาวินัยสุนทร) ผู้ช่วยเจ้ากรมพระธรรมนูญทหารเรือ

ศาลทหารในเวลาปกติ จะประกอบด้วยตุลาการทหารซึ่งเป็นนายทหารสัญญาบัตร ๒ - ๓ นาย  โดยตุลาการผู้เป็นหัวหน้าต้องมียศสูงกว่าจำเลยในคดี  เพื่อปฏิบัติหน้าที่เสมือนเป็นผู้แทนของผู้บังคับบัญชาทหาร มีสิทธิออกเสียงในการพิจารณาพิพากษาได้ ๑ เสียง เช่นเดียวกับตุลาการพระธรรมนูญ เพื่อให้บังคับบัญชาทหารได้ทราบถึงมูลเหตุแห่งการกระทำผิด  มีส่วนพิจารณาลงโทษผู้กระทำผิดตามความเหมาะสม และหาทางป้องกันมิให้มีการกระทำผิดเช่นนั้นเกิดขึ้นได้อีก  ส่วนตุลาการพระธรรมนูญในศาลทหารทั้วไปจะมีเพียง ๑ นายเป็นองคณะ  มีฐานะเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร ซึ่งสำเร็จการศึกษาทางด้านกฎหมาย เป็นองค์คณะผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลทหาร ให้เป็นไปตามกฎหมาย  


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 13 พ.ย. 14, 18:12
เรื่อง กบฏ ร.ศ. ๑๓๐ นี้จะว่าไปแล้ว  น่าจะเป็นมหากาพย์ได้อีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว  เพราะภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมีการแต่งเติมและสร้างสีสันให้คณะผู้ก่อการ ร.ศ. ๑๓๐ จากกบฏให้เป็นนักปฏิวัติรุ่นหนุ่มชุดแรกของกรุงสยามเลยทีเดียว

เอกสารจดหมายเหตุได้กล่าวถึงเรื่องราวการก่อกบฏครั้งนั้นไว้ชัดเจนว่า เจ้าพระยายมราช (ปั้น  สุขุม) เสนาบดีกระทรวงนครบาลได้ทราบข่าวการเตรียมการก่อการกำเริบมาแล้วชั่วระยะเวลาหนึ่ง  ทราบจนถึงว่ามีการว่าจ้างชาวจีนซึ่งทำงานอยู่ที่ห้างวินเซอร์ในกรุงเทพฯ ให้ฃักลอบติดต่อซื้ออาวุธจากต่างประเทศเข้ามาเพื่อก่อความไม่สงบในบ้านเมือง  แต่ยังมิได้ลงมือจับกุมเพราะต้องการรอให้หลักฐานมัดแน่น  ประจวบกับนายพันตรี หลวงสินาดโยธารักษ์ (ยุทธ  คงอยู่) ซึ่งกำลังจะย้ายไปรับราชการที่พิษณุโลกได้รับการชักชวนให้เข้าร่วมขบวนการ  โดยกลุ่มผู้ก่อการหวังจะให้นำแนวคิดของผู้ก่อการไปขยายต่อที่พิษณุโลก  แต่เมื่อหลวงสินาดฯ ได้รับทราบแนวคิดนี้แล้วได้นำความไปรายงานต่อผู้บังคับบัญชาซึ่งมีการรายงานเป็นลำดับไปจนถึงนายพลเอก สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบก ซึ่งเวลานั้นทรงเทำการแทนเสนาบดีกระทรวงกระกระลาโหม ซึ่งเสด็จไปรักษาพระองค์ที่ต่างประเทศ

เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าฯ เสนาธิการทหารบกทรงทราบเรื่องตลอดแล้ว  ได้มีพระบัญชาเรียกประชุมผู้บังคับบัญชาทหารในกรุงเทพฯ ที่กองบัญชาการกองพลที่ ๑ รักษาพระองค์เมื่อจอนเช้าวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ (นับแบบเก่า)  เลิกประชุแล้วผู้บังคับบัญชาทหารได้แยกย้ายกันออกจับกุมแบะตรวจค้นที่ทำงานและบ้านพักแาศัยของผู้ก่อการทั้งหมด  แล้วนำตัวไปคุมขังไว้ที่ศาลาว่าการกระลาโหม  ส่วนตัวผู้นำในการก่อความไม่สงบถูกนำไปฝากขังไว้ที่เรือนจำมหันตโทษ (ตลองเปรม) ในความควบคุมของกระทรวงนครบาล  จากนั้นได้มีการสอบสวนโดยให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดเขียนคำให้การด้วยลายมือของตน  

เนื่องจากในคดีนี้มีผู้ถูกกล่าวหานับจำนวนได้หลายร้อยคน  แม้จะผู้ถูกกล่าวหาจะมียศสูงสุดเพียงนายพันตรี  ซึ่งตามข้อบังคับศาลทหารองค์คณะตุลาการศาลทหารจะมีนายทหารยศสูงสุดเพียงชั้นนายพันน่วมเป็นองค์คณะ  แต่คงจะเป็นเพราะคณะผู้ก่อการนี้มุ่งร้ายถึงขั้นจะปลงพระชนม์ชีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  สมเด็จฯ เสนาธิการทหารบกจึงกราบบังคมทูลเสนอให้มีศาลทหารพิเศษประกอบด้วยองคณะ ๗ คน  เป็นตุลาการพิพากษาคดีนี้  เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้วได้มีพระบรมราชโองการตั้งตุลาการศาลทหารพิเศษสำหรับพิจารณาพิพากษาคดีนี้รวม ๗ นาย คือ
๑. นายพลเอก พระยาสีหราชเดโชไชย (ม.ร.ว.อรุณ  ฉัตรกุล – จอมพล เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต) ผู้ช่วยเสนาบดีกระทรวงกระลาโหม  
๒. นายพลตรี พระยาวรเดชศักดาวุธ (แย้ม  ณ นคร – นายพลเอก เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต) ปลัดทูลฉลองกระทรวงกระลาโหม  
๓. นายพลตรี พระยาศักดาภิเดชวรฤทธิ์ (อุ่ม  อินทรโยธิน – นายพลเอก เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน) จเรทหารม้าและทหารราบ  
๔. นายพลตรี พระยาพิไชยสงคราม (ม.ร.ว.สิทธิ์  สุทัศน์ – นายพลโท พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร) ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก
๕. นายนาวาเอก พระยาวิจิตรนาวี (วิลเลียม  บุณยกลิน - นายพลเรือโท พระยาวิจิตรนาวี)  เจ้ากรมช่างโยธาทหารเรือ
เป็นตุลาการทหาร  และตุลาการพระธรรมนูญ อีก ๒ นาย ประกอบด้วย  
๑. นายพันเอก พระศรีณรงค์วิไชย (เจิ่น  บุนนาค – นายพลตรี พระยาเทพาธิบดี) เจ้ากรมพระธรรมนูญทหารบก  
๒. นายนาวาโท พระสุนทรานุกิจปรีชา (วิม  พลกุล – นายพลเรือตรี พระยาวินัยสุนทร) ผู้ช่วยเจ้ากรมพระธรรมนูญทหารเรือ

ศาลทหารในเวลาปกติ จะประกอบด้วยตุลาการทหารซึ่งเป็นนายทหารสัญญาบัตร ๒ - ๓ นาย  โดยตุลาการผู้เป็นหัวหน้าต้องมียศสูงกว่าจำเลยในคดี  เพื่อปฏิบัติหน้าที่เสมือนเป็นผู้แทนของผู้บังคับบัญชาทหาร มีสิทธิออกเสียงในการพิจารณาพิพากษาได้ ๑ เสียง เช่นเดียวกับตุลาการพระธรรมนูญ เพื่อให้บังคับบัญชาทหารได้ทราบถึงมูลเหตุแห่งการกระทำผิด  มีส่วนพิจารณาลงโทษผู้กระทำผิดตามความเหมาะสม และหาทางป้องกันมิให้มีการกระทำผิดเช่นนั้นเกิดขึ้นได้อีก  ส่วนตุลาการพระธรรมนูญในศาลทหารทั้วไปจะมีเพียง ๑ นายเป็นองคณะ  มีฐานะเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร ซึ่งสำเร็จการศึกษาทางด้านกฎหมาย เป็นองค์คณะผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลทหาร ให้เป็นไปตามกฎหมาย  


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 13 พ.ย. 14, 18:23
ขออนุญาตเล่าเรื่องการพิจารณาพิพากษาจำดลยในคดีกบฎ ร.ศ. ๑๓๐ ให้จบก่อนนะครับ  แล้วขะมาขยายความเรื่องโบยหลังทหารในตอนต่อไป

การสอบสวนและพิจ่ารณาพิพากษาคดีกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ ดำเนินมาหลายเดือนที่สุด ศาลทหารพิเศษได้มีคำพิพากษาวางโทษจำเลยทั้งหมด ดังนี้ ประหารชีวิต ๓ คน จำคุกตลอดชีวิต ๒๐ คน จำคุก ๒๐ ปี ๓๒ คน จำคุก ๑๕ ปี ๖ คน และจำคุก ๑๒ ปี ๓๑ คน

แต่เมื่อได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลแล้ว   พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระมหากรุณาลดโทษให้ทุกคน  ด้วยทรงพระราชดำริว่า “...กรรมการพิพากษาลงโทษพวกเหล่านี้ชอบด้วยพระราชกำหนดกฎหมายทุกประการแล้ว แต่ว่าความผิดของพวกเหล่านี้ มีข้อสำคัญที่จะกระทำร้ายต่อตัวเรา  เราไม่ได้มีจิตรพยาบาลคาดร้ายแก่พวกนี้  เห็นควรที่จะลงหย่อนผ่อนโทษ  โดยถานกรุณาซึ่งเปนอำนาจของเจ้าแผ่นดินจะยกให้ได้...” ในที่สุดมีผู้ได้รับโทษดังนี้

โทษประหารชีวิตได้รับพระราชทานอภัยโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต ๓ คน คือ นายร้อยเอกขุนทวยหาญพิทักษ์ นายร้อยโท จรูญ ณ บางช้าง  และนายร้อยตรี เจือ ศิลาอาสน์
โทษจำคุกตลอดชีวิตได้รับพระราชทานอภัยโทษเหลือจำคุก ๒๐ ปี  จำนวน ๒๐ คน มีนายร้อยโทจือ  ควกุล  นายร้อยตรีเขียน อุทัยกุล  นายร้อยตรีวาศ วาสนา  นายร้อยตรีถัด รัตนพันธ์  นายร้อยตรีหม่อมราชวงศ์แช่ รัชนิกร  นายร้อยตรีเหรียญ  ทิพยรัตน์  นายร้อยตรีเหรียญ ศรีจันทร์  นายอุทัย เทพหัสดิน ณ อยุธยา ว่าที่นายร้อยตรีทวน เธียรพิทักษ์  นายร้อยตรีเนตร์ พูนวิวัฒน์  นายร้อยตรีสอน วงษ์โต  นายร้อยตรีปลั่ง บูรณะโชติ  นายร้อยตรีจรูญ ษตะเมษ  นายร้อยตรีทองดำ คล้ายโอภาส  นายร้อยตรี บ๋วย บุณยรัตนพันธ์  ว่าที่นายร้อยตรีศริ ชุณห์ประไพ  นายร้อยตรีจันทร์ ปานสีดำ  ว่าที่นายร้อยตรี โกย วรรณกุล นายพันตรีหลวงวิฆเนศประสิทธิวิทย์  นายร้อยตรีบุญ  แตงวิเชียร
   
ส่วนผู้มีชื่ออีก ๖๘ คนที่เหลือให้รอการลงอาญาไว้ “ซึ่งวางโทษไว้ในชั้นที่ ๓ ให้จำคุก ๒๐ ปี ๓๒ คน  แลวางโทษชั้นที่ ๔ ให้จำคุก ๑๕ ปี  แลวางโทษชั้นที่ ๕ ให้จำคุก ๑๒ ปี ๓๐ คนนั้น”  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ “ให้รอการลงอาญาไว้  ทำนองอย่างเช่นที่ได้กล่าวในกฎหมายลักษณอาญา มาตรา ๔๑ แล ๔๒  ซึ่งว่าด้วยการรอลงอาญา  ในโทษอย่างน้อยนั้น  แลอย่าเพ่อให้ออกจากตำแหน่งยศก่อน” 

น่าสังเกตว่าผู้ก่อการทั้งหมดล้วนเป็นทหารชั้นผู้น้อยและอายุยังน้อยทั้งสิ้น นายพันตรี หลวงวิฆเนศร์ประสิทธิวิทย์ ผู้เดียวที่มีอายุ ๓๘ ปี  นอกนั้นมีอายุระหว่าง ๒๐ – ๓๐ ปีเป็นอย่างมาก  ผู้ที่ต้องโทษทั้งหมดนี้ได้รับพระราชทานอภัยโทษ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๗ ระหว่างถูกคุมขังถึงแก่กรรม ๒ คน คือ นายร้อยตรีวาส วาสนา และ นายร้อยตรีหม่อมราชวงศ์แช่ รัชนิกร ระหว่างต้องโทษทุกคนถูกถอดออกจากตำแหน่งยศและบรรดาศักดิ์
   
คณะผู้ก่อการซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเมื่อครั้งพระราชทานอภัยโทษเป็นอย่างมากดังที่ ร้อยตรีเหรีญ  ศรีจันทร์ และร้อยตรีเนคร  พูนพวิวัฒน์ ได้เขียนไว้ในภาคสรุปของหนังสือ "หมอเหล็งรำลึก  ภาคปฏิวัติครั้งแรกของไทย ร.ศ. ๑๓๐  พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานศพ ร.อ.ขุนทวยหาญพิทักษ์ (นายแพทย์เหล็ง  ศรีจันทร์) เมื่อวันที่  ๑๙  เมษายน  พ.ศ. ๒๕๐๓ ว่า

พระมหากรุณาที่มีต่อพวกเราซึ่งนับว่าเป็นครั้งสำคัญอย่างยิ่งล้นก็คือได้พระราชทานชีวิตพวกเราไว้จากคำพิพากษาของกรรมการศาลทหาร โดยเรามิแน่ใจนักว่าหากมิใช่พระราชาพระองค์นี้ทรงเป็นพระประมุขแล้วพวกเราจะได้พ้นจากการประหารชีวิตหรือหาไม่ขอให้ดูการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสมัยหลังจากนั้นมา ก็จะพบว่าน้ำพระทัยของพระองค์สูงกว่าน้ำใจของหลายคน ผู้ซึ่งยกตัวเองว่าเป็นนักประชาธิปไตยจนติดปาก
ครั้นเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนความแห่งคดีปฏิวัติร.ศ.๑๓๐ แล้ว เราจำได้ไม่ผิดว่าองค์พระประมุขได้ทรงยอมให้รัฐบาลของพระองค์เรียกเก็บภาษีอากรได้จากทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์เยี่ยงพลเมืองทุกประการ...ยิ่งกว่านั้นยังได้ลดพระองค์ลงมาทาบกับระดับประชาธิปัตย์ โดยทรงขียนความเห็นทางการเมืองซึ่งใช้พระนามแฝงว่า “อัศวพาหุ” บ้าง “รามจิตติ” บ้าง ลงในหน้าหนังสือพิมพ์ทำนองจะใคร่สดับตรับฟังความคิดเห็น (Public  Opinion) จากประชาชนที่รักของพระองค์ และถ้าความเห็นฉบับใดขัดแย้งกับพระองค์ พระองค์ก็ทรงโต้ด้วยน้ำพระทัยนักประชาธิปัตย์ มิได้เกรี้ยวกราดใช้พระอำนาจโดยโทสาคติที่อาจจะกระทำได้นั้นเลย...นับว่าพระองค์เป็นนักกีฬาที่น่าสรรเสริญ


นอกจากนั้น ร้อยตรีเหรียญ  ศรีจันทร์ และร้อยตรี เนตร  พูนวิวัฒน์  ยังได้กล่าวถึง “น้ำพระทัยพระมหาธีรราชเจ้า” ไว้ใน “ปฏิวัติ ร.ศ. ๑๓๐” ซึ่งตีพิมพ์ใน "หมอเหล็งรำลึก" อีกว่า
“พวกเรายังรำลึกถึง น้ำพระทัย ในครั้งกระนั้นอยู่มิรู้วาย  และในที่สุดควรนำมากล่าวรวมกันไว้เสียเลย  คือ พระองค์ได้ทรงตั้ง “ดุสิตธานี”  เพื่อเป็นการฝึกข้าราชการในพระองค์ให้ได้ศึกษาการปกครองระบบประชาธิปไตยไปในตัว  ซึ่งพวกเราก็ได้มีส่วนร่วมในการออกแบบและในการสร้างบ้านเล็กเรือนน้อย ณ ดุสิตธานีนั้นด้วย” 



กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 พ.ย. 14, 19:42
อ้างถึง
เรื่อง กบฏ ร.ศ. ๑๓๐ นี้จะว่าไปแล้ว  น่าจะเป็นมหากาพย์ได้อีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว  เพราะภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมีการแต่งเติมและสร้างสีสันให้คณะผู้ก่อการ ร.ศ. ๑๓๐ จากกบฏให้เป็นนักปฏิวัติรุ่นหนุ่มชุดแรกของกรุงสยามเลยทีเดียว

ผมขอเสนอให้ท่านผู้ดูแลเว็บช่วยกรุณาแยกเรื่องนี้ออกไปจะดีกว่าครับ กระทู้เดิมจะได้ไม่ยาวมากจนเกินเหตุ


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: cottoncandy ที่ 13 พ.ย. 14, 20:22
แหะ ๆ ที่จริงว่าจะช่วยปั่นกระทู้เก่าต่อสักหน่อยค่ะ มีคำถามเกี่ยวกับ หนังสือของ มจ พูนพิศมัย ที่เขียนถึง 2475 ด้วย แต่ตอนแรกคิดว่าจะเก็บเอาไว้หลังจากถามเรื่อง กบฏ รศ 130 >_<


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: cottoncandy ที่ 13 พ.ย. 14, 20:23
ถ้ายังไงขอกลับไปถามเรื่องนั้นในกระทู้เก่าได้มั้ยคะ ^^'


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 พ.ย. 14, 20:39
ถ้าคิดว่าไม่ยาวก็เชิญครับ

แต่ถ้าอยากให้เป็นเรื่องเป็นราวก็ตั้งเป็นกระทู้ใหม่มาเลยน่าจะดีกว่า


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: cottoncandy ที่ 13 พ.ย. 14, 20:46
งั้นขออนุญาตนะคะ ^^


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 14 พ.ย. 14, 15:44
สำหรับเรื่องโบยหลังทหารที่เชื่อกันว่าเป็นสาเหตุหลักของก่อกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ นั้น  มีที่มาจากข้อเขียนของร้อตรี เหรีญ  ศรีจันทร์ และร้อยตรี เนตร  พูนวิวัฒน์  ในอง “ปฏิวัติ ร.ศ. ๑๓๐”  ที่ได้ตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกใน “หมอเหล็งรำลึก ภาคปฏิวัติครั้งแรกของไทย ร.ศ. ๑๓๐”  อนุสรณ์ในงานศพ ร.อ.ขุนทวยหาญพิทักษ์ (นายแพทย์เหล็ง  ศรีจันทร์)  ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม เมื่อวันอังคารที่  ๑๙  เมษายน  ๒๕๐๓ ซึ่งมีความตอนหนึ่งว่า

“ณ พ.ศ. ๒๔๕๒ (ร.ศ. ๑๒๘)  ในปลายสมัยรัชกาลที่ ๕  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระพุทธเจ้าหลวงปิยมหาราช) ได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในราชอาณาจักร  เป็นเหตุการณ์ที่ยังความสะเทือนจิตใจนักเรียนนายร้อยทหารทั่วไปทั้งฝ่ายบกและเรือ  ผู้ซึ่งจะออกรับราชการเป็นนายทหารของชาติไทยสืบไป  นับเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและสำคัญอุบัติขึ้นอย่างมิได้คาดฝันกันเลย  คือการเฆี่ยนหลังนายทหารชั้นสัญญาบัตร  ทหารของชาติด้วยสาเหตุอันมิบังควร  มีร้อยเอกโสม  ผู้เคยช่วยชาติ  โดยปราบกบฏเงี้ยวมาแล้วเปนหัวหน้าที่ถูกเฆี่ยนหลัง  พร้อมกับนายร้อย  นายดาบ  และนายสิบพลทหาร  รวม ๕ คน  ณ กลางหญ้าภายในกระทรวงกลาโหมท่ามกลางวงล้อมของนายทหารกองทัพบก  ต่อพระพักตร์สมเด็จพระยุพราชเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ (คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖)  และเหล่าข้าราชบริพารในพระราชสำนักบางจำพวก  บนมุขด้านหลังกระทรวงกลาโหมชั้นที่ ๒

สาเหตุแห่งการเฆี่ยนหลังก็ด้วยทหารพวกนั้นวิวาทกับพวกมหาดเล็กบางคนของสมเด็จพระยุพราช  ซึ่งสมัยนั้นมักเรียกกันติดปากว่า “มหาดเล็กสมเด็จพระบรมฯ” (คำเต็มว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช)   สมเด็จพระบรมฯ ประทับอยู่ที่วังปารุสกวัน  ใกล้ๆ กับกรมทหารราบที่ ๒ เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์  เรื่องเดิมที่จะเกิดขึ้นจนถึงกับเป็นเหตุวิวาทกันนั้น  ก็เพราะผู้หญิงขายหมากสมัดคนหนึ่ง  แถวบริเวณสะพานมัฆวานฯ นั้นเองเป็นเชื้อเพลิงเสน่ห์  ทำให้พวกมหาดเล็กและพวกทหารไปคลอเคลียพูดเกี้ยวและเย้าหยอกกันในเวลาค่ำคืนเสมอๆ  ในที่สุดพวกเจ้าชู้หนุ่มๆ เหล่านั้นก็เกิดขัดใจกันขึ้น  ครั้นค่ำวันหนึ่งต่อมา  พวกมหาดเล็กอาจจะเขม่นทหารด้วยความมืดหน้า  ถึงกับใช้ไม้รุมตีศีรษะนายดายดาบ ราบ ๒ ผู้หนึ่ง  ซึ่งแต่งกายพลเรือนออกมาแต่ลำพังตัวคนเดียว  นายดาบผู้นั้นก็กุมศีรษะวิ่งเข้ากรมทหาร  ไปรายงานตนต่อ รอ.โสม  ผู้บังคับกองกองร้อยของตนทันที  ขณะนั้นพวกมหาดเล็กยังท้าทายอยู่ที่หน้ากรม  เมื่อ ร.อ.โสม  ผู้เคยผ่านศึกสงครามมาแล้วได้ทราบเช่นนั้นก็ลั่นวาจาด้วยความโกรธว่า “เมื่อมีผู้อุกอาจมาข่มเหงทหารถึงหน้ากรมเช่นนี้  มันก็หนักเกินไปละ!  ควรจะออกไปสั่งสอนให้หลาบจำกันไว้เสียบ้าง”  ว่าแล้ว ร.อ.โสม  ก็วิ่งนำหน้านายร้อยตรีผู้บังคับหมวดผู้หนึ่ง  พร้อมกับนายดาบผู้ถูกรุมตี  ตรงไปยังหน้ากรมด้วยมือเปล่าๆ  แต่ ณ ที่นั้นบังเอิญมีกิ่งก้ามปูที่ถูกรานทิ้งไว้ตามโคนต้น  ต่างก็ตรงเข้าหักได้คนละท่อน  พุ่งเข้าตีโดยฉับพลันทันที  ฝ่ายพวกมหาดเล็กทนกำลังความว่องไวไม่ได้  และเห็นท่าจะสู้ไม่ไหวจึงวื่งหนีร่นไปทางวังปารุสก์  ทันใดนั้น  นายสิบพลทหารอีก ๒ คนเพิ่งกลับจากเป็นกองตรวจ  พอดีพบเหตุการณ์เข้า   พวกมหาดเล็กก็หลบเข้าประตูวังไป  พวกทหารก็พากันกลับกรม  หาได้รุกติดตามเข้าไปไม่

เมื่อสมเด็จพระบรมฯ ทรงทราบเหตุจากมหาดเล็ก  ก็รับสั่งให้ ผ.บ.ก. กรมทหารราบที่ ๒ สอบสวนทันที  ร.อ.โสม ผู้ผ่านศึกก็ออกรับสารภาพตามความสัตย์จริงทุกประการอย่างลูกผู้ชาย  เลยพากันถูกขังทั้ง ๕ คน  เพื่อรอคำสั่งผู้บังคับบัญชาต่อไป
ครั้นรุ่งขึ้น  เมื่อความปรากฏเป็นสัตย์ดังนั้นแล้ว  สมเด็จพระยุพราชก็นำความขึ้นกราบบังคมทูลสมเด็จพระชนกนาถ รัชกาลที่ ๕ ขอให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนหลังทหารเหล่านั้น  ตามประเพณีจารีตนครบาลในฐานทำการอุกอาจถึงหน้าประตูวังของพระรัชทายาท

เท่าที่ทราบมาว่า  ชั้นแรก  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ หาทรงเห็นด้วยไม่  ประกอบด้วยเจ้านายบางพระองค์ได้ทรงคัดค้านไว้  อาทิเช่น เสด็จในกรมราชบุรี  นักปราชญ์กฎหมายได้ทรงชี้แจงว่าควรจะได้จัดการไปตามกระบิลเมือง  เพราะได้ใช้ประมวลกฎหมายอาญาเยี่ยงอารยประเทศพร้อมมูลแล้ว  ไม่ควรจะนำจารีตนครบาลซึ่งยกเลิกไปแล้วกลับมาใช้อีก
แต่เมื่อสมเด็จพระยุพราชทรงยืนกรานจะให้เฆี่ยนหลัง  เพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่างให้จนได้  มิเช่นนั้นพระองค์จะทรงลาออกจากตำแหน่งพระรัชทายาท ทันที  สมเด็จพระชนกนาถทรงเห็นการณ์ไกลว่าถ้าไม่ตามพระทัย  เรื่องอาจจะไปกันใหญ่โต  เพราะจะเกิดการน้อยพระทัย  จึงทรงอนุมัติไปตามคำขอ”


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 14 พ.ย. 14, 15:46
วาทกรรมที่ว่า “สมเด็จพระยุพราชทรงยืนกรานจะให้เฆี่ยนหลัง  เพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่าง” นั้น  ออกจะขัดกับความใน “ประกาศกระแสพระราชดำริห์ในเรื่อง เปนลูกผู้ชาย”  ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกประกาศไว้เมื่อวันที่  ๑  เมษายน  ร.ศ. ๑๒๘  ก่อนที่จะมีการโบยทหารครั้งนั้นเพียง ๒ เดือนเศษ  โดยมีความตอนหนึ่งในประกาศนั้นว่า “ การที่จะลงพระราชอาญาด้วยอาการใดๆ มีตีและขังเปนต้น  ก็ทรงพระราชดำริห์ว่าน่าจะไม่เปนประโยชน์  เพราะลูกผู้ดีไม่ใช่สัตว์เดียรฉาน  ที่จะบังคับบัญชาได้ด้วยอาญา” 

ซึ่งความตอนนี้ก็สอดคล้องกับที่ทรงพระราชบันทึกไว้ใน “ประวัติต้นรัชกาลที่ ๖” ว่า
“เมื่อเกิดชำระกันขึ้นได้ความว่าตัวการมีนายร้อยเอกสม, นายร้อยตรีจัน, กับนายดาบบาง, ได้พาพลทหารออกจากโรงไปตีเขา.  กรมนครชัยศรีเอาตัวพวกทหารขึ้นศาลทหารชำระได้ความจริงว่าได้ออกจากโรงทหารผิดเวลาและยกพวกไปตีเขาเช่นนั้น, เห็นว่าเปนโทษหนัก, จำเปนต้องลงอาญาให้เปนเยี่ยงอย่าง, กรมนครชัยศรีจึ่งได้กราบบังคมทูลพระเจ้าหลวงขอให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนหลังคนละ ๓๐ ทีและถอดจากยศ.  การลงอาญาครั้งนั้นไม่ใช่โดยความขอร้องของฉันเลย,  ตรงกันข้ามฉันเปนผู้ท้วงว่าแรงเกินไป,  แต่กรมนครชัยศรีว่าจะต้องลงโทษให้เป็นเยี่ยงอย่าง.  หาไม่จะกำราบปราบปรามทหารที่เกะกะไม่ได้, และนายทหารจะถือตนเปนคนมีพวกมากเที่ยวรังแกข่มเหงเขาร่ำไปให้เสียชื่อทหาร”


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 14 พ.ย. 14, 15:47
ในเมื่อข้อมูลของฝ่ายกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ กับพระราชบันทึกในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวขัดแย้งกันเช่นนี้  จึงได้สืบหาหลักฐานเพิ่มเติม  และในที่สุดก็ได้พบหลักฐานสำคัญเป็นลายพระหัตถ์นายพลโท พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  เมื่อวันที่  ๑๗  มิถุนายน  ร.ศ. ๑๒๘  ความว่า

“ด้วยเมื่อวันที่  ๑๕  เดือนนี้เวลาประมาณ ๒ ทุ่มเศษ  หม่อมราชวงษ์เหรียญและนายกรด  ซึ่งเปนพนักงานรถสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชมกุฎราชกุมาร  แจ้งความต่อกรมทหารราบที่ ๒ สวนดุสิต  ว่ามีคนหลายคนดักตีคนทั้ง ๒ นี้ที่สพานมัฆวาฬรังสรรค์เข้าใจว่าเปนทหาร  นายกรดมีบาดแผลที่แขนซ้ายฟกช้ำแห่ง ๑  หม่อมราชวงษ์เหรียญไม่มีบาดแผล

กรมทหารราบที่ ๒ ไต่สวนได้ความจากพลทหารนายอ่อนว่า  นายร้อยเอกสม,  นายร้อยตรีจั่น,  นายดาบบาง,  กรมทหารราบที่ ๒ ไม่ได้แต่งเครื่องทหารไปเที่ยวที่นางเลิ้งกลับมา  พบทหารกรมตรวจ  นายร้อยเอกสมจึงเรียกพลทหารนายอ่อนในกองตรวจมาที่โรงทหาร  ให้พลทหารนายอ่อนเปลื้องเครื่องทหารที่แต่งอยู่นั้นเปนพลเรือน  แล้วชวนกันไปที่สพานมัฆวาฬทั้งนายสิบโทเที่ยงอีกคนหนึ่ง  รวมเปน ๕ คนด้วยกัน  พบหม่อมราชวงษ์เหรียญกับนายกรดและผู้หญิงเดินมา  นายดาบบางร้องให้ลงมือ  ทั้ง ๕ คนก็เข้าชกตีคน ๒ คนนั้น  แล้วชวนกันหนีไป  ได้ไต่สวนคน ๔ คน แบ่งรับแบ่งสู้

ในเรื่องนี้  เมื่อได้สืบไต่สวนความโดยเลอียดแล้วเห็นชัดได้ว่า  เปนความผิดในวินัยทหารเปนอันมาก  เห็นด้วยเกล้าฯ ว่าสมควรลงโทษทางฝ่ายปกครองให้ปรากฏในทันที  จะได้เปนที่สยดสยองยำเกรงสำหรับการต่อไป  ดีกว่าที่จะต้องให้ขึ้นพิจารณาทางศาล  ซึ่งเปนการชักช้าไปนั้น

เหตุการกระทำร้ายซึ่งมีในกรมทหารราบที่ ๒ มาหลายคราวนั้น เปนที่ให้สงไสยอยู่แล้วว่าจะเปนด้วยนายทหารด้วย  จึงนำให้พลทหารเปนไปในการประพฤติไม่เรียบร้อยต่างๆ  ตามที่นายพันเอก พระพิพิธเดชะ  ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ ๒ จับได้ขึ้นครั้งนี้จะเปนที่เข็ดขยาดในการเช่นนี้ต่อไป

ถ้าทรงพระราชดำริห์เห็นสมควรแล้ว  ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดนายทหารที่มีความผิดนี้จากยศบรรดาศักดิ์  ลงพระราชอาญาเฆี่ยนทั้ง ๕ คนนี้คนละ ๓๐ ทีในที่ประชุมทหารที่ศาลายุทธนาธิการ”


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 14 พ.ย. 14, 15:49
เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชวินิจฉัยเมื่อวันที่  ๑๗  มิถุนายน  ร.ศ. ๑๒๘ ว่า “เปนการดีแล้ว  อนุญาตให้ถอดนายทหารที่มีความผิดนี้จากยศบรรดาศักดิ์  แลลงอาญาเฆี่ยนทั้ง ๕ คนๆ ละ ๓๐ ที  ตามที่ว่านั้น”

ต่อจากนั้นวันที่  ๒๐  มิถุนายน  พ.ศ. ๒๔๕๒  ราชกิจจานุเบกษา  เล่ม ๒๖  ก็ได้ลงประกาศ “แจ้งความกรมยุทธนาธิการ” ว่า
“ด้วยนายร้อยเอก สม  นายร้อยตรี จั่น  กรมทหารราบที่ ๒  ประพฤติตนไม่สมควรกับตำแหน่ง  มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ถอด นายร้อยเอก สม  นายร้อยตรีจั่น  จากตำแหน่งยศบรรดาศักดิ์แล้ว ฯ
         ศาลายุทธนาธิการ
วันที่  ๑๙  มิถุนายน  รัตนโกสินทรศก ๑๒๘
                (ลงพระนาม)  จิรประวัติวรเดช
                  ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ”

ความในพระราชบันทึก  ลายพระหัตถ์ผู้บัญชาการยุทธนาธิการ และพระบรมราชวินิจฉัยในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รวมทั้งแจ้งความกรมยุทธนาธิการที่ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษานั้น  ล้วนสอดรับเป็นเรื่องเดียวกัน  จึงสามารถยืนยันได้ว่า ผู้ที่กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ลงพระราชอาญาโบยหลังทหารเมื่อเดือนมิถุนายน ร.ศ. ๑๒๘ นั้นคือ นายพลโท พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ  หาใช่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ดังที่กล่าวอ้างกัน

สำหรับประเด็นที่กล่าวถึงในเรื่อง “ปฏิวัติ ร.ศ. ๑๓๐”  ว่า ประเทศสยาม “ได้ใช้ประมวลกฎหมายอาญาเยี่ยงอารยประเทศพร้อมมูลแล้ว  ไม่ควรจะนำจารีตนครบาลซึ่งยกเลิกไปแล้วกลับมาใช้อีก” นั้น  ก็นับว่ามีส่วนถูกอยู่  เพราะบทลงโทษ “โบย”  ตามจารีตเดิมนั้นมิได้ถูกบัญญัติไว้ใน “กฎหมายลักษณอาญา ร.ศ. ๒๓๗”  ที่ประกาศใช้มาตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๕๑  แต่ทว่าโทษ “โบย” นี้ยังคงเป็นบทลงโทษที่กำหนดไว้ใน “กฎว่าด้วยอำนาจลงอาญาทหารบก”  ซึ่งออกตามความในประมวลกฎหมายอาญาทหาร มาตรา ๗  ที่ให้อำนาจ “นายทหารผู้มีอำนาจบังคับบัญชาได้นั้น  ท่านให้มีอำนาจลงอาญาแก่ผู้ที่กระทำผิดต่อวินัยทหารตามลักษณกฎหรือข้อบังคับทหารบกทหารเรือ”   โดยความผิดต่อวินัยทหารคามกฎว่าด้วยการลงอาญาทหารบกซึ่งตราขึ้นเมื่อวันที่  ๑๔  กุมภาพันธ์  ร.ศ. ๑๓๐ นั้น  กำหนดอาญาที่จะต่อผู้กระทำผิดต่อวินัยทหารไว้เป็น ๗ สถาน ดังนี้
(๑)    โบย
(๒)    จำขัง
(๓)    กักขัง
(๔)    ขังมืด
(๕)    กักยาม
(๖)    ทัณฑกรรม
(๗)    ภาคทัณฑ์

การลงอาญาโบยฐานละเมิดวินัยทหารนี้เพิ่งจะมายกเลิกและเปลี่ยนมาเป็นโทษ “มัดมือ” แทน  เมื่อมีการประกาศใช้ “กฎว่าด้วยยุทธวินัยและการลงอาญาทหารบกฐานละเมิดยุทธวินัย” เมื่อวันที่  ๒๓  กันยายน  พ.ศ. ๒๔๖๔ แล้ว  ฉะนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า การลงอาญาโบยนายและพลทหารทั้ง ๕ นายที่สนามในศาลาว่าการยุทธนาธิการเมื่อเดือนมิถุนายน ร.ศ. ๑๒๘ (พ.ศ. ๒๔๕๒)  เป็นการลงอาญาฐานละเมิดยุทธวินัย  หาใช่การลงโทษตามจารีตนครบาลดัที่คณะกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ ได้กล่าวอ้างไว้ใน “ปฏิวัติ ร.ศ. ๑๓๐”อ้างว่า ได้ยกเลิกไปนานแล้ว   


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 14 พ.ย. 14, 15:57
จากเรื่องโบยหลังทหารเมื่อ ร.ศ. ๑๒๘ นั้น  ชวนให้ติดต่อไปว่า หากในช่วงเวลาที่เกิดกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ นั้น  จอมพล พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ยังทรงปฏิบัติราชการอยู่ในกรุงเทพฯ  มิได้ทรงลาพักเสด็จไปรักษาพระองค์ที่ยุโรป  และนายพลเอก สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบก ทรงทำการแทนในตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกระลาโหมแล้ว  ก็เชื่อว่า ผู้ก่อเหตุไม่สงบในคราว ร.ศ. ๑๓๐ นั้น  อาจจะต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญาทหารถึงประหารชีวิตก็ได้  เพราะเสด็จในกรมฯ เสนาบดีกระทรวงกระลาโหมนั้นทรงเป็นนายทหารที่เคร่งครัดในกฎยุทธวินัยทหารเป็นที่สุด


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 14 พ.ย. 14, 16:23
อีกสาเหตุหนึ่งที่มีการกล่าวถึงกันมากคือ ความเข้าใจของผู้ก่อการที่ว่า รัชกาลที่ ๖ ทรงตั้งเสือป่าขึ้นมาแข่งกับทหาร  ซึ่งในเรื่องนี้สามารถตอบได้เป็นหลายประเด็น คือ

ประเด็นแรกว่าด้วยความจำเป็นในการจัดตั้งกองเสือป่า 
เป็นเพราะเมือจัดระเบียบกองทัพใน พ.ศ. ๒๔๕๑ นั้น  เป็นที่ตระหนักชัดว่า กำลังทหารที่จัดเป็น ๑๐ กองพลกระจายกันอยู่ทั่วประเทศนั้น  ในทางปฏิบัติมีแต่โครงไม่มีกำลังพลและอาวุธพอที่จะบรรจุลงตามโครงสร้างที่กำหนดไว้ได้  ที่สำคัญยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศที่กำหนดกันไว้ในเวลานั้น คือ เมื่อมีข้าศึกมาประชิดจะถอนกำลังทหารจากทั่วประเทศนั้นลงมารวมป้องกันกรุงเทพฯ  ซึ่งจากยุทธศาสตร์ดังกล่าวทำให้เกิดช่องโหว่ขึ้นว่า เมื่อทหารไปรบกันหมดแล้วใครจะทำหน้าที่ปกป้องบ้านเมือง  จึงมีแนวพระราชดำริให้จัดตั้งกองเสือป่าขึ้นเพื่อทำหน้าที่รักษาบ้านเมืองในยามที่ทหารไปรบกันหมด 

แต่การที่จะจัดให้ประชาชนเป็นอาสาสมัครปกป้องบ้านเมืองของตนนั้น  ก็มีข้อตกลงว่าด้วยการรบทางบกซึ่งที่ประชุมสันติภาพที่กรุงเฮกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้วางกฎเกณฑ์เอาไว้ว่า  พลเมืองที่จะทำหน้าที่อาสาสมัครในการสงครามนั้นจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อพลอาสาสมัครนั้นมีเครื่องแบบที่แลเห็นได้ชัดแต่ไกล  และมีสายการบังคับบัญชาที่ชัดเจนเช่นทหาร  การที่ทรงจัดให้เสือป่ามีเครื่องแบบมีการฝึกหัดเฉกเช่นทหานั้นจึงเป็นการป้องกันมิให้พลเรือนที่จับอาวุธขึ้นต่อสู้ในการสงครามให้ได้รับการคุ้มครองจากสนธิสัญญาดังกล่าว  ซึ่งหากไม่มีการปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อตกลงดังกล่าว  พลเรือนที่จับอาวุธขึ้นต่อสู้นั้นย่อมมีความผิดเป็นอาชญากรสงครามซึ่งมีต้องรับโทษทางอาญา

อีกประเด็นหนึ่งที่ควรกล่าวถึง คือ เมื่อมีการซ้อมรบใหญ่ทหารบกกที่มณฑลกรุงเก่าตอนปลายปี ๒๔๕๗ นั้น  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จไปประทับท่ามกลางกองทหารที่ทำการซ้อมรบ  และได้เสด็จไปในสนามพร้อมกับบกองทหารที่เคลื่อนที่ไปตลอดการซ้อมรบนั้น  ทำให้ทรงตระหนักแน่ด้วยสายพระเนตรว่า  แม้ในเวลาซ้อมรบนายทหารที่จะตองใช้บังคับหน่วยยังมีจำนวนไม่พอ  ต้องเอาจ่านายสิบมาทำหน้าที่ผู้บังคับกองร้อย  นายสิบมาเป็นผู้บังคับหมวด  แบละให้พลทหารเป็นผู้บังคับหมู่

ทรงพระราชดำริว่า การที่เอานายทหารที่มิได้รับการฝึกหัดให้คสบคุมบังคับบัญชามาทำหน้าที่ผู้บังคับหน่วย  ก็ไม่สามารถที่จะนำหน่วยเข้าทำการสู้รบให้บรรลุภารกิจตามที่ได้รับมอบหมายได้  และในยามมีศึกสงครามที่จะเกิดความสูญเสียและนายทหารจะต้องบาดเจ็บล้มตายลง  จะหาผู้บังคับหน่วยและกำลังพลที่ไหนมาทดแทน  การฝึกพลเรือนเป็นเสือป่าจึงเป็นการอุดช่องโหว่นี้ 


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 21 พ.ย. 14, 11:47
เรื่องที่หนังสือดังกล่าวอ้างถึงเหตุผลในการก่อกบฏ ร.ศ. ๑๓๐  โดยอ้างว่าบรรดามหาดเล็กต่างก็ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรกันหลายครั้งในแต่ละปี  ในขณะที่ทหารและข้าราชการพลเรือนแทบจะไม่มีโอกาสได้รับพระราชทานเช่นนั้น  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ในพระราชหัตถเลขาที่พระราชทานแก่จอมพล สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบก ทำการแทนเสนาบดีกระทรวงกะลาโหม  เมื่อวันที่  ๖  มีนาคม  ร.ศ. ๑๓๐ ว่า

“เรื่องสัญญาบัตรนั้น  ฉันยอมรับว่าอยู่ฃ้างจะช้าไปมากจริง  ฉันเองก็ได้เคยเตือนๆ อาลักษณ์อยู่แล้ว  คงจะเร่งเร็วขึ้นได้  ส่วนข้อที่ว่าฃ้าราชการในพระราชสำนักนิ์ได้รับสัญญาบัตร์เลื่อนเร็วนั้น  ก็เปนความจริง  ที่เปนเช่นนี้เพราะเหตุ ๒ ประการ  คือประการ ๑ฉันมิได้ต้องรอถามเจ้ากระทรวงก่อน  และเห็นว่าเปนส่วน ๑ ไม่กีดขวางกับการเลื่อนยศบรรดาศักดิ์ของฃ้าราชการแพนกอื่น     แลถึงแม้ฃ้าราชการในพระราชสำนักนิ์จะมิได้เปนขุนนางในตำแหน่งนั้นในพระราชสำนักนิ์  ตำแหน่งเหล่านั้นก็ต้องว่างเปล่าอยู่  ไม่ใช่ว่าผู้อื่นจะมาเปนได้  คือไม่ใช่ว่าฉันได้ไปแย่งเอาตำแหน่งซึ่งควรจะได้มาให้แก่คนของฉัน  อีกประการ ๑ ซึ่งเฃ้าใจว่าจะไม่ใคร่รู้กัน คือ ฃ้าราชการในพระราชสำนักนิ์เปนคนจำพวกที่มีอัตราเงินเดือนต่ำเต็มที  ถ้าจะเปรียบกับฃ้าราชการกระทรวงอื่นๆ แล้ว  แพ้เฃาทั้งสิ้น  ยิ่งเปรียบกับทหารแล้วยิ่งเสียเปรียบ  เพราะฉนั้นเมื่อบำรุงน้ำใจไม่ได้ด้วยลาภ  จึ่งต้องบำรุงด้วยยศ  ซึ่งเปนราชประเพณีมาแต่โบราณแล้ว  ไม่ใช่เปนของฉันริเริ่มขึ้นใหม่เลย  และตามประเพณีโบราณฃ้าราชการในพระราชฐานกับฃ้าราชการนอกเฃาไม่ได้เคยเปรียบเทียบฤาคิดแข่งขันกัน  ตำแหน่งยศจึ่งมีชื่อเรียกแปบกๆ กันอยู่มาก  ต่อมาชั้นหลังนี้  เกิดมีตำแหน่งหลวงขุนพระพระยาในหมู่ฃ้าราชการในพระราชฐานมากขึ้น  โดยความประสงค์จะให้คล้ายคลึงกับฃ้าราชการทั่วๆ ไป  จึ่งได้บังเกิดมีผู้รู้สึกและสังเกตการณ์เลื่อนยศศักดิ์ของฃ้าราชการในพระราชสำนักนิ์มากขึ้น  อันที่จริงถึงแม้ในบัดนี้เองในส่วนศักดินา  ฃ้าราชการในพระราชสำนักนิ์ก็น้อยกว่าทหารตั้งครึ่งตัว  เช่นหลวงทหาร ๘๐๐  หลวงมหาดเล็ก ๔๐๐  พระ ๖๐๐ ดังนี้เปนตัวอย่าง  ข้อนี้เธอคงจะได้สังเกตเห็นเองแล้วเปนแน่  ไม่ต้องเคยพูดเคยจาร้องทุกข์อย่างใดเลย  ปล่อยให้ฉันงมคลำหาเงื่อนแก้ความขัดต่างๆ อยู่คนเดียว”

พระราชหัตถเลขานี้เก็บรวมอยู่ในแฟ้มเอกสารจดหมายเหตุเรื่อง กบฏ ร.ศ. ๑๓๐  แต่ไม่ปรากฏว่า ผู้ที่ศึกษาค้นคว้าเรื่องกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ ได้หยิบยกมาอธิบายประกอบคำกล่าวหาของผู้ก่อกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ เลย  เข้าตำราว่า อยากจะให้รับรู้กันแต่เรื่องที่อยากให้รู้


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 พ.ย. 14, 19:47
พระราชหัตถเลขานี้เก็บรวมอยู่ในแฟ้มเอกสารจดหมายเหตุเรื่อง กบฏ ร.ศ. ๑๓๐  แต่ไม่ปรากฏว่า ผู้ที่ศึกษาค้นคว้าเรื่องกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ ได้หยิบยกมาอธิบายประกอบคำกล่าวหาของผู้ก่อกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ เลย  เข้าตำราว่า อยากจะให้รับรู้กันแต่เรื่องที่อยากให้รู้

มันเป็นเช่นนั้นจริงๆครับ

สมัยนี้มันเป็นสงครามข่าวสาร สิ่งที่อาจารย์วรชาติเขียน สื่อที่เล่นทางนี้จะไม่นำไปขยาย ส่วนความเท็จของอีกฝ่ายหนึ่งนั้น จะได้รับการเสนอซ้ำๆซาก จนคนทั้งหลายเชื่อเรื่องเท็จว่าเป็นเรื่องจริงกันไปหมด


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 22 พ.ย. 14, 10:55
ในพระราชหัตถเลขาที่พระราชทานไปยังสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถฉบับเดียวกับที่อ้างถึงข้างบนนั้น  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายถึงเรื่องการเสด็จออกขุนนาง  ซึ่งคณะผู้ก่อการ ร.ศ. ๑๓๐ ได้หยิบยกขึ้นกล่าวหาว่า ในรัชกาลนี้ไม่โปรดเสด็จออกขุนนางเช่นในรัชกาลก่อนว่า

“ในที่นี้ฉันเห็นควรจะชี้แจงต่อไปว่า การที่ฉันได้เลิกเสด็จที่อภิเศก (พระที่นั่งอภิเศกดุสิต – V_Mee) เสียนั้น  เพราะเห็นว่า  การที่จะให้สัญญาบัตรและตรา  ฤาใฟ้ทูลลาและเฃ้าเฝ้าตามธรรมเนียมนั้น  ออกที่อัมพรก็ได้เท่ากัน  และยิ่งสังเกตดูเห็นว่าคนจำพวกเฝ้าตามธรรมเนียมเช่นนี้เปนทหารโดยมาก  และฉันเห็นว่าทหารเปนคนสนิท  ดังได้อธิบายมาแล้ว  จึ่งตกลงในใจว่าเฝ้าที่อมพรก็ได้  ส่วนพลเรือนนั้นเมื่อมีที่จะต้องเฝ้ารับสัญญาบัตรรับตรฤาทูลลาและเฃ้าเฝ้า  อันเปนแพนก “ตามเคย” นั้น  มีน้อยส่วน  ก็เลยให้เฃ้าไปเฝ้าที่อัมพรเสียด้วยเปนครั้งคราวตามที่มีแต่ในตอนหลังๆ นี้  พระยามหาอมาตยืฏ้ได้เคยนำฃ้าราชการมหาดไทยเฝ้าที่สโมสรเสือป่าอยู่บ้าง  ซึ่งเมื่อฉันสังเกตเห็นว่ามีบ่อยเฃ้าก็ได้ร้องท้วงว่าไม่ถูกระเบียบ  ควรนำไปในวังจึ่งจะถูก  ตั้งแต่ร้องแล้ว  ก็พะเอินไม่ได้มีฃ้าราชการมหาดไทยเฝ้าอีก  เพราะหมดคราวที่ทูลลากัน  ส่วนในการเฝ้าปรกติ  ไม่ใช่เฝ้าเปนพิธีนั้น  ฉันตั้งใจให้โอกาสให้ฃ้าราชการได้เฝ้าฤาอย่างน้อยให้ได้เห็นตัวฉันทุกวัน  จึ่งได้ไปที่สโมสรเสือป่าทุกๆ วันในเวลาบ่าย  การที่ทำเช่นนี้ก็โดยมีเหตุ  คือตั้งแต่ในเวลาต้นๆ แผ่นดิน  ได้มีกิติศัพท์มากระทบหูฉันว่า  ฃ้าราชการพลเรือนได้พากันพูดไปต่างๆ หลายอย่างหลายประการ  เช่นกล่าวว่า “พวกพลเรือนต่อไปเห็นจะตกอยู่ในที่อาภัพ  เพราะพรเจ้าแผ่นดินใหม่ท่านเปนทหาร  คงมีแต่ทหารเท่านั้นที่จะได้ดี”  และพูดอะไรกันต่างๆ อีกหลายประการ  เปนอันสำแดงปรากฏว่าฤศยาทหารอยู่ทั่วไป  ฉันจึ่งได้คิดแก้ไขความไม่พอใจส่วนนี้  คิดหาทางที่จะแสดงให้ปรากฏว่า  ฉันมิได้ตั้งใจจะลำเอียงเช่นเฃาทั้งหลายคาดหมาย  จึงตั้งใจจะหาอุบายที่จะชักโยงฃ้าราชการทั้งทหารพลเรือนทุกกระทรวงให้สนิทสนมกลมเกลียวกัน  จึ่งได้คิดตั้งเสือป่าขึ้น  โดยความหวังอันนั้น  และหวังว่าสโมสรเสือป่านั้น  จะเปนสถานกลางอันจะเปนที่ชุมนุมฃ้าราชการทุกชั้นทุกแพนก  และโดยเหตุที่ฉันไปสโมสรนั้นอยู่ทุกวัน  ฃ้าราชการก็จะได้มีโอกาสได้เฝ้าทั่วกัน  เสมอหน้ากันหมด  และปราศจากความกีดก้นขัดขวางทั้งปวง  ไม่มีพิธีรีตองอะไร  เฃ้าใจเสียว่าดีกว่าเสด็จออกน่าพระที่นั่งอภิเษก  เพราะการเสด็จออกที่นั้นสังเกตดูตามประเพณีก็เคยเห็นมีแต่เจ้านายและฃ้าราชการผู้ใหญ่  ที่จะได้เฝ้าใกล้ ๆ จริง  ฝ่ายผู้น้อยซึ่งโดยมากไปเฝ้าแต่เฉภาะในวันจันทรกับวันพฤหัศนั้น  ก็เห็นเคยนั่งซุ่มๆ คอยๆ กันแกร่วอยู่ที่สนามหญ้าฤาตามถนน  จนกว่าจะถึงเวลาก็มีผู้ต้อนไปเฃ้าแถวในพระที่นั่งอภิเศก  ทรงพระดำเนินผ่านไปจนตลอดแถวแล้วก็เลยเสด็จขึ้นเท่านั้น  ด้วยความคิดเช่นนี้จึ่งเฃ้าใจไปว่าการที่ไปสโมสรดูเปนทางที่เปิดโอกาศให้ฃ้าราชการได้เฝ้าทั่วถึงกันมากกว่าที่ได้เคยเปนมาแล้ว  และในส่วนฃ้าราชการพลเรือนก็ได้เห็นผลดีอยู่บ้างได้เลย  คือฉันสังเกตในส่วนตัวฉันเองว่า ได้รู้จักฃ้าราชการอีกหลายคน  ซึ่งจะไม่มีหนทางได้รู้จักฤารู้อัธยาไศรยได้เลยโดยทางให้เฝ้าตามวิธีเก่า  แต่ในส่วนทหารนั้นและดูกลับเปนผลตรงกันฃ้าม”


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 22 พ.ย. 14, 19:24
ที่ตลกร้ายที่สุดคือ ในพระราชหัตถเลขาที่พระราชทานไปยังสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลสวงพิษณุโลกประชานาถที่อ้างถึงข้างต้น  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกล่าวถึงเสียงร่ำลือในตอนต้นรัชกาลไว้ว่า  “ตั้งแต่ในเวลาต้นๆ แผ่นดิน  ได้มีกิติศัพท์มากระทบหูฉันว่า  ฃ้าราชการพลเรือนได้พากันพูดไปต่างๆ หลายอย่างหลายประการ  เช่นกล่าวว่า “พวกพลเรือนต่อไปเห็นจะตกอยู่ในที่อาภัพ  เพราะพรเจ้าแผ่นดินใหม่ท่านเปนทหาร  คงมีแต่ทหารเท่านั้นที่จะได้ดี””

แต่ใน“วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตร์มหาบัณฑิต  เรื่อง “เสือป่า : โครงสร้างขององค์กรและบทบาททางการเมือง” กลับกล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า

“เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ ๖ บทบาทของกรมทหารมหาดเล็กนี้ได้เริ่มลดลงในทันทีที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงขึ้นครองราชสมบัติ  ทั้งนี้ เพราะทรงมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ทรงโปรดปรานและไว้วางพระราชหฤทัยมากกว่า  คนกลุ่มนั้นได้แก่ ข้าราชสำนักซึ่งพระองค์ทรงถือว่า  เป็นพวกพ้องของพระองค์อย่างแท้จริง  ส่วนทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์  ทรงถือว่าเป็นกรมทหารของรัชกาลที่ ๕  ดังนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ผู้ทรงตั้งกรมทหารนี้เสด็จสวรรคต  จึงทรงพระราชดำริเห็นสมควรที่จะยกกรมนี้ถวายแด่สมเด็จพระบรมชนกาธิบดีให้เป็นข้าสืบไปชั่วกัลปาวสานและทรงโปรดฯ ให้ขนานนามกรมนี้ว่า “กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว”  และให้ใช้อักษรพระบรมนามาภิไธยย่อ จ.ป.ร. ติดที่บ่าเสื้อยศเป็นสัญลักษณ์พร้อมกับทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ  ทรงเข้าดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์  สืบแทนพระองค์ซึ่งทรงมีพระราชภารกิจเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ
 
ความสำคัญของกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ในสมัยรัชกาลที่ ๖  จึงลดลงเป็นลำดับ  เหลือแต่เพียงเป็นอนุสรณ์แห่งกรมทหารที่รัชกาลที่ ๕ ทรงจัดตั้งขึ้นเท่านั้น  การเปลี่ยนแปลงฐานะความสำคัญของกรมทหารนี้นับเป็นจุดหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความห่างเหินของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อทหารของชาติ”


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 22 พ.ย. 14, 19:26
เมื่อเกิดกรณี ร.ศ. ๑๓๐ ขึ้นโดยมีนายทหารบางนายในกรมทหารมหาดเล็กฯ ต้องหมองไปเพราะพัวพันกับกลุ่มผู้เหตุไม่สงบ  นายพลโท พระยาสุรเสนา (กลิ่น  แสง-ชูโต) สมุหราชองรักษ์ได้มีดำริที่จะไม่ให้ทหารมหาดเล็กถวายอารักขาอีกต่อไป  แต่จะเปลี่ยนให้ทหารรักษาวังซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนสังกัดกระทรวงวังทำหน้าที่แทน  แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงเห็นด้วยกับความเห็นดังกล่าว  ทหารมหาดเล็กฯ จึงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้เป็นหน่วยอารักขาใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทมาจนถึงยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง

อนึ่งในส่วนที่วิทยานิพนธ์ฉบับดังกล่าวๆ ว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว  ทรงถือว่า ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์เป็นกรมทหารของรัชกาลที่ ๕  ดังนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ผู้ทรงตั้งกรมทหารนี้เสด็จสวรรคต  จึงทรงพระราชดำริเห็นสมควรที่จะยกกรมนี้ถวายแด่สมเด็จพระบรมชนกาธิบดีให้เป็นข้าสืบไปชั่วกัลปาวสาน  แต่เมื่อได้อ่านกระแสพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่นายและพลทหารในกรมนี้เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๔๕๓ กลับพบความที่แตกต่างออกไป ดังนี้

“ตั้งแต่ได้ตั้งกรมทหารมหาดเล็กขึ้นแล้วตลอดมาจนถึงกาลบัดนี้  กรมทหารนี้ได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณโดยความจงรักภักดีมิได้ย่อหย่อน  เปนที่ไว้วางพระราชหฤทัยแห่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  มาบัดนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงตั้งกรมนี้ขึ้น  ได้เสด็จสวรรค์คตแล้ว  เปนเหตุทำให้เศร้าโศกอย่างสาหัสทั่วทุกตัวคน  เราเชื่อว่าทหารมหาดเล็กทุกคน  คงมีความรู้สึกเช่นเดียวกับเราแล้ว  เมื่อเรามานึกถึงความสวามิภักดิ์ของทหารมหาดเล็ก  เราจึ่งเห็นว่าควรจะยกกรมนี้ถวายแด่สมเด็จพระบรมชนกาธิบดี  ให้เป็นข้าสืบไปชั่วกัลปาวสาน  เพราะฉนั้นตั้งแต่วันนี้ต่อไป  ให้เรียกนามกรมนี้ว่า “กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว”  และให้ใช้อักษรพระบรมนามาภิไธยย่อ จ.ป.ร. ติดที่บ่าเสื้อยศสืบไป

ส่วนตัวเราที่ได้เคยเปนผู้บังคับการมาจนบัดนี้  มีความจำใจที่จะต้องออกจากตำแหน่ง  โดยเหตุที่มีราชกิจอย่างอื่นที่จำเป็นจะต้องกระทำ  จะหาเวลาดูแลการงานในตำแหน่งน่าที่ผู้บังคับการเช่นที่เคยมาไม่สดวก  แต่เราจะรับตำแหน่งเป็นนายพันเอกพิเศษ  สนองพระองค์สมเด็จพระบรมชนกาธิบดีต่อไป  และเราถือว่าทหารมหาดเล็กได้เคยเป็นผู้สนิทใช้ชิดมา  เพราะฉะนั้นเราคงจะยังตั้งใจพยายามทราบเหตุการณ์ทุกข์ศุขของคนในกรมนี้  ตั้งแต่นายทหารผู้ใหญ่ผู้น้อยตลอดลงไปจนจนถึงนายสิบพลทหารทั่วทุกตัวคน

อนึ่งตำแหน่งผู้บังคับการกรมทหารนี้ที่ว่างลง  เราขอตั้งให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนพิษณุโลกประชานาถ  ผู้เป็นน้องที่รักและผู้เป็นที่ไว้วางใจของเรา  ให้เป็นผู้บังคับการแทนตัวเราต่อไป”


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: cottoncandy ที่ 22 พ.ย. 14, 21:12
ขอบคุณอาจารย์วรชาติมากนะคะที่สละเวลามาอธิบายให้อ่านจนไม่สงสัยอะไรอีก ขอขอบคุณจากใจจริงค่ะ

....

โดยส่วนตัวคิดว่าถ้าเป็นสงครามข่าวสาร เราก็น่าที่จะต้องเผยแพร่ข่าวสารที่ถูกต้องออกมาสู้ด้วย เพื่อที่คนไม่รู้จะได้ไม่เข้าใจว่าความจริงมีอยู่ด้านเดียว


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 พ.ย. 14, 21:25
คุณ V_Mee ได้ทำงานนี้ด้วยความอุตสาหะวิริยะอย่างน่าชมเชยมาก   ดิฉันไม่เห็นใครจะทำงานนี้ได้ดีกว่าท่านได้    แต่ว่าการเผยแพร่ก็มีส่วนสำคัญ  ให้คนทั่วไปได้เข้าใจข้อมูลที่ถูกต้อง   
ถ้าคุณ cottoncandy ช่วยอีกแรงหนึ่งเท่าที่จะช่วยได้ ในการกระจายคำตอบออกไปก็จะเป็นสิ่งดีมากค่ะ และขอขอบคุณด้วย


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 24 พ.ย. 14, 12:35
ในพระราชหัตถเลขาที่ทรงไว้ด้วยพระราชหัตถ์จำนวน ๑๗ หน้า  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายเรื่องทหารและเสือป่าแก่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถว่า

“ในชั้นต้นฉันไม่คิดให้ทหารเปนเสือป่า  เพราะเห็นว่าไม่มีความจำเปนเลย  ทหารดีกว่าเสือป่าอยู่แล้ว  เสือป่าเปนแต่ผู้ที่มุ่งหมายจะทำการเปนผู้ช่วยทหารเท่านั้น  และฉันตั้งใจให้ทหารเปนครูแท้ๆ  ส่วนสโมสรฉันก็ตั้งใจให้ใช้ร่วมกัน  คือผู้ที่เปนนายทหารชั้นสัญญาบัตรแล้ว  ไม่จำจะต้องเปนสมาชิกเสือป่าด้วย  ถ้าแต่งเครื่องทหารอยู่แล้วก็เปนอันใช้สโมสรเสือป่าได้  จะผิดกันอยู่กับสามัญสมาชิกก็แต่เพียงจะใช้ได้เฉภาะตัว  จะพาสหายไปได้ด้วยอย่างสามัญสมาชิกไม่ได้เท่านั้น  แต่ข้อนี้ไม่ช้าก็ปรากฏขึ้นว่า  ทหารมิได้เฃ้าใจความมุ่งหมายอันนี้ของฉันเลย  กลับเกิดมีเสียงแค้นๆ ขึ้นว่า  ไม่ยอมให้มีโอกาศเฃ้าสมาคมกับเพื่อนฃ้าราชการ  และทหารไม่มีโอกาศได้เฃ้าใกล้ชิดพระองค์พระเจ้าแผ่นดินเท่าพลเรือน  ดังนี้เปนต้น  ฉันก็ได้ให้พระยาสุรเสนาไปทูลพี่จิระ (จอมพล พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช เสนาบดีกระทรวงกะลาโหม – V_Mee) ให้เฃ้าพระไทยความคิดของฉัน  ไม่ใช่แต่ครั้งเดียว  และได้แนะนำพระยาพิไชยสงคราม (นายพลตรี พระยาพิไชยสงคราม (ม.ร.ว.สิทธิ์  สุทัศน์ – นายพลโท พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร – V_Mee)  ซึ่งเวลานั้นเปนผู้แทนเสนาธิการให้ช่วยอธิบายชี้แจงให้ทหารเฃ้าใจ  พระยาพิไชยสงครามได้แต่งข้อความเปนคำอธิบายให้ฉันดูแล้ว  ก็ได้ลงพิมพ์ในยุทธโกษ  ใช่แต่เท่านั้น  ในเมื่อยังไม่มีสโมสรสถานที่สนามม้า (สนามม้าหลวงสวนดุสิต  ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ สนามเสือป่า – V_Mee) เดี๋ยวนี้นั้น  ได้มีฝึกหัดน่าพระที่นั่งอัมพร  ฉันได้แนะนำพระราญรอน (นายพันโท พระราญรอนอริราช (ถั่ว  อัศวเสนา) ราชองครักษ์ – พระตำรวจโท พระยาราชมานู ผู้ช่วยสมุหพระตำรวจหลวงรักษาพระองค์ – V_Mee)  ให้หานายทหารเฃ้ามาช่วยเปนครูฝึกหัดเสือป่าอยู่  พระราญรอนก็ได้หานายทหารเฃ้าไป  ผลัดเปลี่ยนเป็นเวรกันฝึกหัดเสือป่าอยู่  ส่วนในวันใดที่มิใช้วันฝึกหัด  แม้มีเล๊กเชอร เช่นเล๊กเชอร์ “ปลุกใจเสือป่า” นั้น  ฉันก็ได้บอกพระยาพิไชยสงครามให้บอกนายทหารให้ทราบว่า  ใครจะไปฟังก็ได้  ในหนู่นั้นนายทหารก็ได้เฃ้าไปฟังเล๊กเชอรของฉันคราวละมากๆ  ทำให้เปนที่พอใจและให้ฉันหวังอยู่ว่า  คงจะเปนที่เฃ้าใจความมุ่งหมายของฉันแล้ว  เพราะฉะนั้นคงจะไม่ต้องชักชวนอีกให้มาเฃ้าสมาคมเสือป่า  คิดว่าต่อนั้นไปคงมาเอง  ครั้นเมื่อสโมสรสถานที่สนามม้าได้ทำขึ้นแล้วเสร็จ  การเสือป่าก็ขยายตัวขึ้นโดยรวดเร็ว  มีฃ้าราชการขอเฃ้าเปนสมาชิกกันมากขึ้นๆ  จนจะรับไม่ทัน  แต่ในตอนนี้ทหารก็ดูไม่เห็นไปที่สโมสร  ฉันก็เฃ้าใจไปเสียว่า  จะเปนด้วยเฃามีมีกิจการต้องฝึกหัดเหน็จเหนื่อยอยู่แล้วตลอดวัน  จึ่งไม่ได้ไป  ต่อมามีฃ้าราชการกระทรวงกลาโหมและกระทรวงทหารเรือที่กระทำน่าที่ราชการแพนกพลเรือนฤาผู้ช่วยพลรบได้มาร้องขออนุญาตเฃ้าปนสมาชิกเสือป่า  ฉันก็ได้ยอมอนุญาตให้เฃ้า  โดยชี้แจงว่า  ที่ยอมเช่นนี้คือยอมรับ “พลเรือน” ในกระทรวงทั้ง ๒ นั้น  เพราะอาจจะเปนผู้ต้องการรับความฝึกหัดเท่ากับฃ้าราชการพลเรือนกระทรวงอื่นๆ เหมือนกัน  ดูเหมือนจำเดิมแต่เมื่อ/ได้รับ “พลเรือน” ของกระทรวงทหารทั้ง ๒ นั้นเปนต้นไป  ก็ได้เกิดมีเสียงไม่พอใจขึ้นในหมู่นายทหาร  “ว่าไม่ได้รับความเสมอหน้ากับเพื่อนฃ้าราชการ  แม้คนในกระทรวงเดียวกันท่านก็ยังเลือกรับแต่บางคน  ทีคนที่ดีๆ เท่ากัน  ฤาดีกว่าก็มีก็ไม่รับ””


กระทู้: กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 24 พ.ย. 14, 12:36
“เมื่อฉันได้ยินกิติศัพท์เช่นนี้  ฉันก็ได้คิดอยู่ว่าคารจะให้นายทหารผู้ใหญ่ช่วยกันอธิบายความประสงค์อันมีอยู่เดิมนั้น  ให้แก่นายทหารผู้น้อยอีก  เพื่อให้เฃ้าใจกันให้แจ่มแจ้งจริงๆ  แต่ขณนี้พี่จิระได้ร้องขอขึ้นว่าให้รับนายทหารเฃ้าเปนสมาชิก  ฉันได้พูดในที่ประชุมที่สโมสรเสือป่า (ทูลกรหม่อมอา (จอมพล จอมพลเรือ สมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช – V_Mee) ก็ดูเหมือนประทับอยู่ในที่นั้นด้วย) ชี้แจงความตั้งใจเดิมของฉันในส่วนทหาร  พี่จิระได้ตอบว่าทราบอยู่ดีแล้ว  แต่เห็นว่าการที่จะยอมถือเอานายทหารเปนสมาชิกพิเศษ  ซึ่งอาจจะใช้สโมสรเสือป่าได้เท่าสามัญสมาชิกทุกประการนั้น  พระองค์ท่านเห็นว่า  ทหารจะเอาเปรียบมากเกินไป  ควรจะให้เงินค่าบำรุงเท่าสมาชิกอื่นๆ  แต่ควรยกการฝึกหัดให้เสีย  ที่ประชุมก็ตกลงเห็นด้วยพร้อมกัน  จึงเกิดมีวิสามัญสมาชิกขึ้น  ฝ่ายฉันก็เริ่มหวังอีกว่า  คราวนี้จะเปนที่เรียบร้อย  แลจะได้เห็นทหารใช้สโมสรมาสโมสร  และได้พบปะกันตามความมุ่งหมายเดิม  แต่การก็หาเปนไปอน่างนั้นไม่  ดูเหมือนจะกลับทำให้ทหารไม่พอใจยิ่งขึ้น  เพราะกลับดูเหมือนมีเส้นขีดกัดกันทหารอย่างแน่นหนายิ่งไปกว่าแต่ก่อนอีก  คือจะมีผู้ใช้สโมสรได้ก็แต่เฉพาะผู้ที่ได้เปนวิสามัญสมาชิกเท่านั้น  และยังจะมีต่อไปอีกทาง ๑  คือดูเหมือนว่าผู้ที่จะได้มีเฝ้าจะต้อง “ซื้อ” เกียรติยศอันนั้น  โดยทางเสียเงินเฃ้าเปนสมาชิกเสือป่า  เมื่อฉันรู้สึกไหวขึ้นมาเช่นนี้  ฉันจึ่งได้ขอโอกาศที่จะแสดงให้ปรากฏว่า  ความตั้งใจอย่างเดิมยังคงอยู่  คือยังคงเห็นทหารเปนพวกเดียวกับเสือป่าอยู่นั่นเอง  เพราะฉะนั้นเมื่อมีการแสดงตำนานเสือป่า  ฉันจึ่งให้ออกประกาศและให้บอกกล่าวว่า  ในการแสดงตำนานนั้น  ทหารทุกชั้นให้ได้รับตั๋วเฃ้าไปดูโดยไม่ต้องเสียเงิน  อย่างเดียวกับสมาชิกเสือป่า  ในคราวนั้นทหารก็ได้ไปดูกันมาก  แต่การที่ฉันได้คิดจัดให้เปนไปเพื่อให้ทหารได้เปรียบทุกๆ อย่าง  ดังได้บรรยายมาแล้วฃ้างบนนี้  ฉันพึ่งจะมารู้สึกชัดเจนเดี๋ยวนี้ว่า  ไม่ได้มีผลดีดังมุ่งหมายเลย  ทั้งนี้ก็เปนเพราะไม่ได้มีผู้อธิบายให้พวกทหารเฃ้าใจความมุ่งดีของฉันอันมีอยู่แก่หมู่ทหารทั่วไปเปนนิจนิรันตร์   แต่โดยเหตุที่ฉันเปนผู้ที่จะต้องตั้งตนเปนกลางไม่เอียงไปทางทหารมากกว่าพลเรือน  ทหารจึ่งเฃ้าใจฉันผิดและตัวฉันเองฤาก็เปนผู้ที่มีนิไสยอันไม่ชอบการป่าวประกาศยกย่องตนเอง  เพราะฉะนั้นเมื่อฉันทำการใดๆ ไปแล้ว  ฉันก็ไม่ได้คอยชี้ฤาตะโกนประกาศให้คนทั้งปวงเห็นและเฃ้าใจความมุ่งดีของตัวฉัน  ฉันคอยแต่นั่งหวังอยู่ว่า  คงจะมีผู้เอาใจใส่ชี้แจงให้ผู้น้อยเฃ้าใจ  และเล็งเห็นว่า  ความมุ่งหมายของฉันในการที่ทำเช่นนั้นๆ  อันที่จริงมีอยู่อย่างไร  ฤาบางทีจะไม่มีใครแลเห็นฤาเฃ้าใจความมุ่งหมายของฉันเสียเลย  ตั้งแต่ผู้ใหญ่ตลอดถึงผู้น้อย  ฉนี้ก็อาจจะเปนได้  จึ่งมิได้มีใครเอาใจใส่ในทางนั้น  ฉันได้อธิบายความในตอนนี้โดยละเอียดและยืดยาว  เพราะในขณเมื่อเหตุการณ์ที่ได้บรรยายมาแล้วนี้บังเกิดขึ้นและเปนไปนั้น  เปนเวลาที่ตัวเธออยู่ในยุโรป (เวลานั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสด็จแทนพระองค์ไปในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระเจ้ายอร์ชที่ ๕ พระราชาธิบดีแห่งกรุงบริเตนใหญ่ – V_Mee)  และตั้งแต่เธอกลับเฃ้ามาแล้ว  ก็พะเอินมีการงานต่างๆ ชุกอยู่มาก  ฉันยังมิได้มีเวลาอธิบายความแก่เธอให้ละเอียดเช่นที่ได้อธิบายมาในจดหมายนี้  ข้อความใดๆ ที่เธอได้รู้มาแล้วฉันเฃ้าใจว่าโดยมากรู้จากบุคคลภายนอก  จึ่งเห็นควรบอกความในโดยพิสดารให้ทราบเสียคราว ๑  แล้วแต่เธอจะคิดเปนเห็นประการใดเถิด”