กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 มี.ค. 13, 13:48 จะเล่าสิ่งละอันพันละน้อย สั้นๆ เกี่ยวกับรอยสักของไทยค่ะ
เปิดประตูให้เข้ามานั่งกันก่อนจะเปิดชั้นเรียนภาคค่ำ กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 มี.ค. 13, 20:41 รอยสักบนร่างกายของคนไทย เกิดจากเหตุผลหลายอย่าง อย่างแรกคือเป็นค่านิยมในท้องถิ่น อย่างพวกทางเหนือ นิยมสักเพราะเห็นว่าเป็นความงาม และใช้แสดงความเป็นลูกผู้ชาย เพราะการสักร่างกาย ต้องทนเจ็บปวดมาก ผู้ชายกล้าหาญและอดทนความเจ็บปวดได้เท่านั้นจึงจะสักลวดลายถี่ยิบลงบนร่างกายได้ ดังนั้น หนุ่มๆที่ไร้รอยสักจะไม่เป็นที่เหลียวแลของหญิงสาว
ธรรมเนียมนี้เป็นที่แพร่หลายทั่วไป จนยากที่จะหาชายไหนที่ไม่ได้สักร่างกาย เพิ่งจะมาเลิกกันเมื่อประมาณ 60 ปีมานี้เอง ชายเหนือนิยมสักลวดลายตั้งแต่พุงลงไปจนถึงขา ด้วยหมึกดำ เป็นรอยเต็มพรืดบนร่างกายราวกับนุ่งกางเกงขาสามส่วน คนภาคกลางที่ขึ้นไปเห็น จึงเรียกกันชายเหล่านี้ว่า "ลาวพุงดำ" กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 มี.ค. 13, 14:07 สำหรับชายไทยภาคกลาง ถ้าหากว่าเกิดเป็นชาวบ้านธรรมดา ที่สมัยอยุธยาเรียกว่า "ไพร่" พอโตขึ้นเป็นหนุ่ม อยากสักหรือไม่อยากสักก็ต้องเจอรอยสักทุกคน เพราะทุกคนต้องขึ้นทะเบียนเป็นไพร่หลวงที่มีสังกัดกรมกอง วิธีรู้ว่าใครเป็นไพร่หลวงก็คือ ต้อง "สักเลก"
คำว่า "เลก" หรือเลข หมายถึงชายฉกรรจ์ โตเป็นหนุ่มวัดส่วนสูงได้ถึง 2.5 ศอก หรือตั้งแต่ 150 ซ.ม. ขึ้นไป ก็ต้องเป็นเลกไปจนถึงอายุ 70 ปี มีหน้าที่เข้ามารับใช้ราชการ ปีละกี่เดือนก็ว่ากันไป วิธีรู้ว่าใครเป็นใคร สังกัดไหน ทางการใช้สักคือการเอาเหล็กแหลมแทงตามเส้นหมึกที่เขียนไว้ ทำให้ผิวหนังเป็นรอยตัวอักษร บอกชื่อเมือง ชื่อมูลนายที่สังกัด โดยสักที่ข้อมือด้านหน้า คือด้านหลังมือ รอยนี้ติดแน่นไม่ลบเลือน เอาออกไม่ได้ จะหนีไปไหนทางการบ้านเมืองก็ตามตัวพบเพราะรอยสักนี้เอง กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 มี.ค. 13, 14:09 การเป็นไพร่ หมายถึงแรงงานที่ต้องทำฟรีให้บ้านเมือง ในยามสงบก็ถูกเกณฑ์มาใช้แรงงานต่างๆ ในยามรบก็ถูกเกณฑ์ไปรบ ไม่มีทางหลีกเลี่ยง รอยสักข้อมือจึงเป็นเครื่องหมายของความลำบากตรากตรำ หาทางให้พ้นได้ก็ดี
ถ้าเป็นเจ้าขุนมูลนายไม่ได้เพราะเกิดมาเป็นชาวไร่ชาวนาเสียแล้ว หนทางหนึ่งที่จะหลีกเลี่ยงได้คือไปบวช เพราะพระสงฆ์แม้เป็นชายฉกรรจ์ก็ถือว่าพ้นจากทางโลกไปแล้ว ไม่ถูกเกณฑ์แรงงานใดๆ ในขุนช้างขุนแผน พอเณรแก้วร้อนผ้าเหลือง อยากมีเมีย คิดจะสึก ท่านสมภารคงก็เตือนไว้ว่าอย่าหาเรื่องถูกสักข้อมือเลย ฆราวาสชาตินี้มันชั่วนัก จะสึกไปให้เขาสักเอ็งหรือหวา ข้อมือดำแล้วระกำทุกเวลา โพล่กับบ่าแบกกันจนบรรลัย กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 19 มี.ค. 13, 14:44 ขุนช้างขุนแผน พูดถึงเรื่องการสักไว้เพิ่มอีกดังนี้ครับ
อันแม่ทัพคนนี้มีศักดา อยู่คงศาสตราวิชาดี แขนขวาสักรงเป็นองค์นารายณ์ แขนซ้ายสักชาดเป็นราชสีห์ ขาขวาหมึกสักพยัคฆี ขาซ้ายสักหมีมีกำลัง สักอุระรูปพระโมคคลา ภววัมปิดตานั้นสักหลัง สีข้างสักอักขระนะจังงัง ศีรษะผังพลอยนิลเม็ดจินดา แสดงว่าสักเกือบทั้งตัวเลยนะนี่ครับ จะเห็นว่ามีการใช้ "สักชาด" สีแดงในการสักผิวหนังด้วย กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 มี.ค. 13, 15:01 แม่ทัพคนนี้เป็นแม่ทัพเชียงใหม่ ชื่อแสนตรีเพชรกล้า รูปร่างหน้าตาน่ากลั๊ว ไม่ได้หล่ออย่างหนุ่มเหนือโดยมาก แค่เห็นหน้าตาฝ่ายตรงข้ามก็ระย่อเสียแล้ว
“สูงใหญ่รูปร่างเหมือนเสือ กำลังเหลือเนื้อหนังก็แน่นเหนียว หนวดโง้งฟั่นพันเป็นเกลียว ฟันขาวปากเขียวดังปลิงควาย นัยน์ตาดำคล้ำคล้ายกับตาเสือ ขอบตาแดงเรื่อดังชาดป้าย คิ้วกระหมวดหนวดแดงดูแรงร้าย ผมมุ่นมวยคล้ายกับโยคี” วิธีสักของท่านแม่ทัพไม่แน่ใจว่าเป็นการสักแบบล้านนาหรือว่าแบบไทยภาคกลางกันแน่ เพราะสักทั้งแขนทั้งขา หน้าอก แผ่นหลังและสีข้าง ลายพร้อยไปทั้งตัว ไม่ได้สักเฉพาะพุงลงไปถึงขาอย่างลาวพุงดำ รอยสักแบบนี้อยู่ในหัวข้อสักไสยศาสตร์ ซึ่งตั้งใจว่าจะพูดต่อไปหลังจากพูดถึง "สักประจาน" พอดีคุณหนุ่มสยามยกขึ้นมาตอนนี้ ก็เลยเลื่อนมาพูดเสียตอนนี้ก็ดีเหมือนกันค่ะ ไม่ขาดตอน กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 มี.ค. 13, 15:17 ท่านแม่ทัพแสนตรีเพชรกล้า ไม่ได้สักสีเขียวครามอย่างรอยสักธรรมดา แต่เล่นสีสันทั่วตัวด้วย
แขนขวาที่บอกว่าสักสีรงนั้นคือสีเหลือง เป็นรูปพระนารายณ์ซึ่งเป็นเทพเจ้าอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่ อวตารลงมาปราบปรามฝ่ายอธรรมเมื่อโลกเกิดความเดือดร้อน แขนซ้ายสักสีแดงเป็นรูปราชสีห์ เจ้าแห่งสัตว์หิมพานต์ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีอำนาจสุด ขาขวาสักหมึกเป็นรูปเสือ ขาซ้ายสักเป็นรูปหมี ล้วนแต่ยอดสัตว์ป่า ตรงอกสักเป็นพระโมคคัลลาน์ซึ่งเป็นเอตทัคคะด้านอิทธิปาฏิหาริย์ ข้างหลังสักเป็นพระภัควัมปิดตา ก็คือพระปิดทวารทั้งเก้า ยอดแห่งความเหนียวแน่น สีข้างสักเป็นคาถานะจังงัง เป็นคาถาตวาดศัตรูให้นิ่งงันไปไม่อาจจะเข้ามาทำร้ายได้ จนใจไม่รู้จะหารูปตัวอย่างมาจากไหน ซายาเพ็ญพอจะมีบ้างไหม ลายสักแบบนี้ เกิดจากความเชื่อว่าลวดลายของขลังต่างๆเหล่านี้สามารถบันดาลความคงกระพันชาตรีแก่เนื้อหนังได้ ใช้สำหรับคนที่ต้องเสี่ยงอันตรายเช่นออกรบทัพจับศึกเป็นประจำ แต่ในเรื่องนี้แสนตรีเพชรกล้าก็ไม่ได้ใช้แต่รอยสักอย่างเดียว ยังเพิ่มความเหนียวด้วยวิธีฝังด้วย ฝังเข็มเล่มทองไว้สองไหล่ ฝังเพชรเม็ดใหญ่ไว้แสกหน้า ฝังก้อนเหล็กไหลไว้ในอุรา ข้างหลังฝังเทียนคล้าแก้วตาแมว เป็นโปเปาปุบปิบยิบทั้งกาย ดูเรี่ยรายรอยร่องเป็นถ่องแถว แต่เกิดมาอาวุธไม่พ่องแพว ไม่มีแนวหนามขีดสักนิดเดียว” กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 19 มี.ค. 13, 15:23 หาภาพรอยสักอย่างล้านนาไทยมาให้ชม เป็นภาพที่โด่งดังมากในนามปู่ย่าแห่งเมืองน่าน จะเห็นรอยสักหมึก และ ชาดแดง ครับ
กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 19 มี.ค. 13, 15:25 ชาวล้านนาโบราณกับรอยสัก ดูไปก็งามดีนะครับ
กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 19 มี.ค. 13, 17:47 เดิมชาวล้านนาก็ไม่ได้สักขาเหมือนชาวสยามและล้านช้าง แต่ก่อนที่พม่าจะยกลงมาตีกรุงศรีอยุธยาครั้งหลัง พระเจ้ากรุงอังวะได้มีตรามาบังคับให้ชาวล้านนาสักขา การสักขาลายนี้จึงเป็นที่มาของคำเรียกชาวล้านนาว่า "ลาวพุงดำ" และ "ลาวพุงขาว" คือพวกลาวล้านช้างที่มิได้สักขา
กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 มี.ค. 13, 21:30 ชาวล้านนาในอดีต
ชายล้านนานิยมการสักขาลายมาก เมื่อมีอายุย่างเข้าสู่วัยรุ่นจะทำการสักแทบทุกคน การสักชนิดนี้ใช้หมึกสีดำ ไม่มีการเสกคาถากำกับแต่อย่างใด เพราะเป็นการสักเพื่อความสวยงามตามจารีตประเพณีนิยม เป็นเอกลักษณ์ที่แสดงถึงความเข้มแข็งของลูกผู้ชาย ทั้งนี้เนื่องจากในอดีตคนส่วนใหญ่จะนิยมอาบน้ำในแม่น้ำหรือลำห้วย โดยแบ่งกลุ่มเป็นกลุ่มผู้ชายและกลุ่มผู้หญิง ในสมัยนั้นผู้ชายที่มีรอยสักหมึกตามร่างกาย โดยเฉพาะที่ขาต้องสักขาลายด้วยจึงถือว่าเป็นผู้ชายเต็มตัว หากชายคนใดไม่ได้สักขาลาย ถ้าไปอาบน้ำก็จะถูกล้อเลียนว่าขาขาวเหมือนผู้หญิงควรจะไปอยู่กับกลุ่มผู้หญิง ทำให้ชายผู้นั้นได้รับความอับอายมากและผู้หญิงก็ไม่ชอบผู้ชายขาขาวถือว่าเป็นคนอ่อนแอไม่สมควรเอามาเป็นคู่ครอง ด้วยเหตุนี้ผู้ชายในสมัยนั้นจึงนิยมสักขาลายแทบทุกคน ส่วนความเชื่ออื่นๆ ที่เกี่ยวกับการสักหมึก ตัวอย่างเช่น ความมั่นใจ อยู่ยงคงกระพัน ให้โชคลาภหรือรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เป็นต้น จะพบน้อยมากเป็นเพราะว่าเป็นความเชื่อเฉพาะบุคคล ไม่ได้เป็นเหตุผลสำคัญ จึงไม่มีอิทธิพลต่อผู้สักเท่าไหร่ จะพบเพียงไม่กี่คนที่สักเพื่อจุดมุ่งหมายเฉพาะตัว การสักขาลายทุกครั้งนั้นจำเป็นต้องใช้เวลาและความอดต่อความอดทนต่อการเจ็บปวดที่ได้รับ จากการสัก บางคนบอกว่าเจ็บพอทนได้ บางคนบอกว่าเจ็บเหลือประมาณ โดนหลักสักแทงไม่กี่ครั้งก็บอกเลิกกลางคันก็มี การสักนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะใช้หลักสักซึ่งเป็นเหล็กแหลม ทำจากเหล็กทั้งแท่งตรงปลายแหลมมาก และข้างในเป็นรูกลวงมาตามยาวเพื่อใส่สี ซึ่งมีความยาวตั้งแต่ 30-50 เซนติเมตรส่วนหัวหล่อทองเหลืองเป็นรูปต่างๆ เทวดาบ้าง สิงห์บ้าง แตกต่างกันออกไป เพื่อให้มีน้ำหนักในการกระแทกเหล็กสัก จิ้มให้เป็นลวดลายต่างๆ ลงไปใต้ผิวหนังในเนื้อขาซึ่งมีความเจ็บปวดมาก ฉะนั้นผู้ที่ถูกสัก จะต้องดื่มเหล้า สูบฝิ่น หรือสูบกัญชา เพื่อให้เมาและมึนเสียก่อน เพื่อระงับความเจ็บปวด ลักษณะการสักหมึกบนร่างกาย มีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไปดังนี้ หมึกขาตัน คือการสักหมึกที่สักจนดำเป็นพืดทั้งขา หมึกขาลาย คือสักลายสัตว์ต่างๆ ในกรอบไว้ห่างๆ พอเห็นเนื้อหนังได้บ้าง หมึกขายาว คือสักลายจากเอวถึงกลางน่อง หมึกขาก้อม คือสักลายจากเอวถึงต้นขา ซึ่งการสักลายในแต่ละแบบนั้น ก็เป็นการแสดงถึงความอดทน เข้มแข็งทั้งกายและใจด้วย จนในบางครั้งอาจจะได้ยินคำหยอกล้อกันในหมู่ชายล้านนาว่า... ?น้ำหมึกขายาว เอาไว้แป๋งฮาวผ้าอ้อม น้ำหมึกขาก้อมเอาไว้กล่อมแม่ญิงนอน? ลวดลายส่วนใหญ่มักจะสักเป็นรูปสัตว์ต่างๆ คือ เสือ แมว ลิง ค้างคาว ช้าง มอม ที่เด่นอยู่ในบรรดาสัตว์ร้ายทั้งหลายก็คือ ราชสีห์ในนิยาย แต่มีบางพื้นที่ในแถบลุ่มน้ำโขง เช่นเมืองลื้อสิบสองปั้นนา เมืองหลวงพระบาง มักจะสักเป็นลายเกล็ดนาค เพราะเชื่อว่าพวกตนเป็นลูกหลานของพญานาค ซึ่งการสักลายดังกล่าว ก็เพื่อให้พญานาคที่ตนนับถือ มาปกป้องคุ้มครองตน นอกจากนี้ก็ยังมียันต์ต่างๆ ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้อยู่ยงคงกะพัน โดยส่วนใหญ่จะสักเฉพาะขาถึงเข่า แต่บางคนก็สักทั้งตัว ชายล้านนารวมไปถึงพื้นที่ใกล้เคียงนิยมสักหมึกกันอย่างแพร่หลาย และกลายเป็นเอกลักษณ์ของคนแถบนี้ โดยเห็นได้จากตอนที่สยามเข้ามามีบทบาทการปกครองหัวเมืองเหนือ โดยเรียกล้านนาว่า มณฑลพายัพ เมื่อข้าหลวงของสยามเข้ามามีบทบาทในพื้นที่แถบนี้ ก็พบเห็นการสักของชายล้านนา จนเป็นที่สนใจของข้าหลวงชาวสยามและเรียกชาวมณฑลพายัพว่า ลาวพุงดำ เพราะชายชอบสักมอม ตั้งแต่พุงไปถึงเข่า http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=7595.0;wap2 กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 มี.ค. 13, 21:10 สักเนื้อตัวเพื่อเป็นยันตร์กันเหนียว เป็นที่นิยมของลูกผู้ชายที่ชอบตีรันฟันแทง อย่างพวกหนุ่มนักเลงลูกทุ่งทั้งหลาย แม้แต่นักเลงลูกกรุงก็สักด้วย กลุ่มหนึ่งที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง คือนักเลง"เก้ายอด" เพราะสักยันตร์เก้ายอดบนแผ่นหลังด้านบนขึ้นมาจรดหลังคอ
นักเลงเก้ายอดเป็นการรวมกลุ่มของหนุ่มไทย เพื่อต่อต้านนักเลงจีนในกรุงเทพ ที่ตั้งแก๊งค์อันธพาลข่มขู่รีดไถ เก็บส่วยเอากับคนจีนที่มาทำมาหากินในประเทศไทย ตั้งแก๊งค์ของตัวเองขึ้นมาเรียกว่า "ลั้กกั้ก" พวกนี้แผ่อิทธิพลได้รวดเร็วมาก นักเลงของไทยทนไม่ได้ก็เลยรวมตัวกันขึ้นมา บุกนักเลงจีนในเยาวราช ตีรันฟันแทงกันบาดเจ็บล้มตาย มีตำรวจไทยหนุนหลังอีกทีหนึ่ง ทำให้นักเลงเก้ายอดกลายเป็นคนดังขึ้นมา ต่อมา พลต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เลี้ยงพวกนักเลงเก้ายอดไว้เป็นลูกน้อง ทำให้หนุ่มๆพวกนี้เดินเข้าออกกองปราบเป็นว่าเล่น นักเลงเก้ายอดพร้อมรอยสักก็เลยเป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย เป็นนักเลงระดับ "บิ๊ก" สมัยนั้น การสักในช่วงนี้จึงกลายเป็นแฟชั่นของหนุ่มๆ ที่อยากจะเป็นลูกผู้ชายมาดนักเลงอย่างพวกเก้ายอดบ้าง มาหายไปก็เมื่อหมดยุคอันธพาลผยอง จอมพลสฤษดิ์กวาดนักเลงกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่เข้าคุก ขังลืมเสียหลายปี กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: ศานติ ที่ 20 มี.ค. 13, 21:38 ภริยาเขาเตือนไว้ว่าถ้าสักเมื่อไหร่เขาจะหย่าเมื่อนั้น ถ้าคงต้องรอชาติหน้า
กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 มี.ค. 13, 21:58 สักแบบนี้ก็ชวนให้หย่าได้มากๆ ;D
กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 มี.ค. 13, 20:34 ขอต่อที่รอยสักอีกแบบหนึ่ง คือสักเพื่อเป็นการลงโทษ
สักแบบนี้คือสักหน้าผาก ไม่ได้สักเป็นลวดลายดำพรืดไปหมด แต่สักเป็น 3 จุดเล็กๆพอให้สังเกตได้ อีกแห่งคือสักท้องแขนใช้กับผู้กระทำผิด ถึงขั้นลงโทษ จำคุก แต่ยกเลิกในปี พ.ศ. 2475 ตัวอย่างคนที่ถูกสักหน้าผากสามจุด คือคุณป้าแท้ๆของม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ชื่อคุณป้าชุ่ม ท่านหัดละครรำเป็นตัวพระมาตั้งแต่เด็ก รำละครเป็นตัวพระได้สวยงาม จนได้เป็นครูละคร ท่านคิดท่าเจ้าเงาะของตัวเองขึ้นมา ถ่ายทอดท่ารำให้ลูกศิษย์ลูกหาจนขึ้นชื่อเป็นที่เลื่องลือ เรียกว่า"ท่าเงาะครูชุ่ม" ในรัชกาลที่ 5 เมื่อเจ้าคุณพระประยูรวงศ์หรือเจ้าจอมมารดาแพหัดละครผู้หญิงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง ครูชุ่มก็เข้าไปสอนละครอยู่ในวังให้พวกฝ่ายใน ในเมื่อรำเป็นตัวพระ ก็มีแฟนคลับสาวๆจากบรรดาชาววังติดกันเกรียว คุณป้าชุ่มเกิดมาผิดเพศ คือตัวเป็นหญิงแต่ใจเป็นชาย รำเป็นตัวพระอย่างเดียวไม่พอ ท่านตัดผมสั้นและแต่งตัวเหมือนผู้ชายคือนุ่งผ้าพื้นผ้าม่วงชักชายพกให้ใหญ่ ใส่เสื้อมิสกรีผ้าป่าน สูบบุหรี่สะพานโพ วาดภาพตามที่ม.ร.ว.คึกฤทธิ์บรรยายไว้ในเรื่อง "โครงกระดูกในตู้" เห็นภาพว่าครูชุ่มคงเป็น "สาวหล่อ" เอาการอยู่ทีเดียว กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 มี.ค. 13, 20:39 เมื่อเป็นครูสาวหล่ออยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน ซึ่งมีแต่ผู้หญิงล้วน ครูชุ่มก็ประพฤติตัวแบบที่สมัยโน้นเรียกว่า "เล่นเพื่อน" สมัยนี้เรียกว่าเป็นทอม มีดี้สาวๆมากมาย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ระบุไว้สั้นๆว่าแฟนคลับของท่านมีสตรีบรรดาศักดิ์รวมอยู่ด้วย ท่านไม่ได้ขยายความมากกว่านั้น แต่เราก็คงรู้ได้ว่าหมายถึงสตรีชั้นสูงกว่านางข้าหลวงและพนักงานอย่างแน่นอน
ของพรรค์นี้ปกปิดกันไม่มิด ในเมื่อการเล่นเพื่อนเป็นสิ่งต้องห้ามในวังมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ ก็โปรดเกล้าฯให้มีการสอบสวนชำระความ เมื่อได้ความจริงว่าทำเช่นนั้นจริง ครูชุ่มก็ถูกลงโทษคือถูกแห่ประจานรอบวัง ถูกสักหน้าและถูกไล่ออกจากพระบรมมหาราชวังไป แต่มิได้ถูกจำคุกหรือเฆี่ยนตี การสักหน้าคือสักสามจุดบนหน้าผาก บุคคลผู้ถูกสักหน้านี้ถูกห้ามขาดมิให้เข้าในพระราชวังอีก กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 มี.ค. 13, 10:35 ขอส่งท้ายด้วยรอยสักจากการลงโทษอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องสุดท้ายของกระทู้นี้ค่ะ เอามาเล่าสู่กันฟังเพราะเป็นคดีที่ค่อนข้างแปลก นับว่ามีสีสันดราม่าเอาการอยู่คดีหนึ่ง
เรื่องนี้เกิดขึ้นในรัชกาลที่ 4 มีอยู่ว่า วันหนึ่งขุนนางชื่อพระยาสามภพพ่ายซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำเหมือนอย่างชาวกรุงทั่วไปในสมัยนั้น เจอกระทงกระดาษใบหนึ่งจุดเทียนลอยน้ำมา ก็คงมาติดที่หน้าบ้าน เจ้าของบ้านจึงจับกระทงได้ พบว่าบนก้นกระทงมีเศษกระดาษเขียนชื่อพระยาสามภพพ่าย คุณหญิงผู้ภรรยา และชื่อเจ้าจอมท่านหนึ่งซึ่งเป็นญาติกัน เท่านั้นยังไม่พอ มีชื่ออำแดงสุ่นเพื่อนบ้านใกล้เคียง และชื่อทาสของอำแดงสุ่นด้วย วางมากับหมากพลูหนึ่งคำ และเทียนที่จุดอยู่ ในเมื่อไม่ใช่เทศกาลลอยกระทง พระยาสามภพพ่ายก็คงเฉลียวใจอะไรบางอย่างจึงไม่ได้โยนกระทงทิ้งไปอย่างเศษขยะ แต่นำกระทงพร้อมบัญชีหางว่าวในกระทงขึ้นไปกราบเรียนเจ้าพระยายมราชผู้เป็นมท. 1 ในยุคนั้น แล้วให้การว่า สงสัยว่าตัวการเจ้าของกระทงและกระดาษนี้จะเป็นชาวบ้านคนหนึ่งชื่อจีนเส็ง มากระทำการอันไม่ชอบมาพากลกับกระผมและภรรยาเป็นแน่ เจ้าพระยายมราชก็ให้คนไปเอาตัวจีนเสงมาสอบถาม จีนเส็งก็ไม่รับ ปฏิเสธไม่รู้ไม่ชี้อะไรด้วย ทางเจ้าพระยายมราชท่านก็เก่งเอาการ เมื่อสอบปากคำไม่ได้เรื่อง ท่านก็หาหลักฐานอื่นมามัดตัวจนได้ กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 มี.ค. 13, 14:01 จีนเส็งเคยมีหลักฐานลายมือตัวเองเขียนไว้ในหนังสือประกันทาส เมื่อเป็นความกันมาในอดีต เจ้าพระยายมราชท่านก็มัดนายคนนี้ให้ดิ้นไม่หลุดด้วยลายมือนี้เอง พอเจอหลักฐานแบบนี้เข้า จีนเส็งก็หมดท่า ถูกสอบสวนหนักเข้าก็สารภาพว่าได้เขียนกระดาษบัญชีรายชื่อหางว่าวนั้นจริง
จีนเส็งสารภาพต่อไปว่า มันเป็นวิชาคุณไสย เคยเรียนมาจากภิกษุทุศีลคนหนึ่งชื่อสมีน้อย ซึ่งตายไปแล้ว สมัยยังมีชีวิตอยู่เคยสอนวิชานี้ให้จีนเส็ง เมื่อเจ้าพระยายมราชซักต่อว่า ทำวิชานี้ไปทำไม จีนเส็งก็แก้เกี้ยวว่าเพื่อจะได้หมดเรื่องพิพาทที่มีอยู่กับอำแดงสุ่นเพื่อนบ้านของพระยาสามภพพ่าย ว่าด้วยเรื่องทาสของอำแดงสุ่น จีนเส็งอ้างต่อไปว่า ตัวเองกลัวว่าอำแดงสุ่นจะทำเรื่องราวเป็นคำร้องถวายฎีกา แล้วจะเดินเรื่องให้พระยาสามภพพ่ายกับภรรยานำเรื่องฎีกาไปขอเจ้าจอมข้างในซึ่งเป็นญาติกัน ทูลเกล้าฯถวาย จีนเส็งก็เลยเขียนชื่ออำแดงสุ่นกับทาสซึ่งเป็นเจ้าของความ และพระยาสามภพพ่ายกับภรรยาที่เป็นเพื่อนบ้านคุ้นเคยชอบพอกันกับอำแดงสุ่น ใส่กระทงลอยน้ำไป เอาเคล็ดตามที่สมีน้อยเคยสอนมา ว่าเพื่อให้ความสูญหายไป หมดเรื่องหมดราวแค่นั้น กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 มี.ค. 13, 14:06 จีนเส็งให้ปากคำแบบนี้ก็ถือว่าเรื่องนี้เบาหวิว เพราะไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร แค่แก้เคล็ดนิดหน่อย ถ้าเรื่องจบแค่นี้ก็คงจบกันไป แต่เรื่องไม่จบเพราะพระยาสามภพพ่ายกับเจ้าจอมที่เป็นญาติกันไม่เชื่อ เห็นว่าจริงๆแล้วเรื่องมันมีมากกว่านี้ เพราะจีนเส็งน่าจะมีเรื่องเคืองแค้นใจอยู่มาก จึงทำอะไรที่น่าจะเป็นคุณไสยมากกว่าแก้เคล็ด
สาเหตุใหญ่ชวนให้ปักใจเชื่อว่าเป็นความอาฆาตแค้นก็มีอยู่เหมือนกัน คือที่บ้านที่ที่แพของอำแดงสุ่น ซึ่งอยู่ติดกับบ้านของจีนเส็ง เดิมเป็นของผู้อื่น เจ้าของที่มาขายแก่เจ้าจอมญาติของพระยาสามภพพ่าย แต่เจ้าจอมผู้นั้นไม่ต้องการเก็บที่ไว้ ก็เลยบอกขายต่อ จีนเส็งอยากได้ที่ดินตรงนั้นก็มาขอซื้อ ยังไม่ทันจะตกลงกัน อำแดงสุ่นโผล่มาทีหลัง เกิดอยากได้ก็มาขอซื้อบ้าง ให้ราคาที่ดินสูงกว่าราคาจีนเสง เจ้าจอมท่านเห็นกำไรดีกว่า ก็เลยขายที่ให้อำแดงสุ่นไป ไม่ขายให้แก่จีนเสง ในเมื่ออำแดงสุ่นมาปาดหน้าจีนเส็งไปเช่นนี้ ก็ดูรูปการณ์ว่าจีนเส็งมีความอาฆาตแค้นในตัวเจ้าจอม และพระยาสามภพพ่ายกับภรรยาซึ่งเชียร์เจ้าจอมให้ขายที่ดินให้อำแดงสุ่น ตลอดจนอำแดงสุ่นเอง เมื่อเรื่องราวลุกลามไปถึงขั้นว่า จีนเส็งใช้วิชาไสยศาสตร์ทำร้ายคู่กรณี เรื่องก็เลยต้องถึงพระเนตรพระกรรณ เจ้าพระยายมราชนำขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 22 มี.ค. 13, 16:35 ระหว่างรอเรื่องจีนเส็งที่ออกแนวไสยศาสตร์นิดๆ ก็ต้องมีภาพประกอบที่เคยเห็นมานานแล้ว ใครใจไม่ถึงอาจสยองนิดหน่อย เป็นภาพที่บอกว่ามาจากการล้างป่าช้าที่วัดแห่งหนึ่งในชลบุรีหลายปีมาแล้ว มีร่างหนึ่งส่วนอื่นๆ เน่าเปื่อยไปแล้วเหลือแต่ตรงลำตัวที่มีรอยสักหนุมานยังไม่เน่า เลยเอามาให้ดูเล่นๆ ฆ่าเวลา ว่าของเค้าขลังจริง ;D
เอาภาพน่ากลัวมาลง จะโดนคุณครูตีอีกไหมนี่ พักนี้ยิ่งโดนตาเขียวใส่บ่อยๆ อยู่ :'( :'( :'( กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 22 มี.ค. 13, 16:41 ^
เหนียวแท้ครับ นอกจากนีผมยังเคยเห็นบุคคลที่สักนี้ ไม่เปื่อยยุ่ยอยู่ในทะเล ศพเน่ากว่า 7 วันแล้ว หัวหาย แขน ขา ปลาแทะแล้ว แต่ลำตัวบริเวณสักทั้งแผ่นยังคงอยู่ครับ กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 22 มี.ค. 13, 16:50 ของคุณหนุ่มต้องจากข่าวนี้แน่ๆ จะเอารูปมาลงก็เกรงใจ เอา link มาให้ตามไปอ่านไปดูรูปกันเอง
http://www.dailynews.co.th/thailand/172253 พูดถึงเรื่องรอยสักไม่เน่านี่ มีญาติผมที่มีงานอดิเรกล้างป่าช้าเคยเล่าให้ฟังซักสิบกว่าปีมาแล้วว่าแกเคยไปล้างป่าช้าที่นึง เจอกรณีคล้ายแบบนี้เหมือนกัน คือเจอแผ่นหนังคนที่มีรอยสักที่ยังไม่เน่า แต่อันนั้นเหลือเฉพาะหนังส่วนที่มีรอยสักกับเนื้อข้างใต้ แล้วก็เหลือปอดอยู่นิดหน่อยที่มีรอยสีจากลอยสักลงไปถึงเนื้อปอดตรงนั้นที่ไม่เน่าด้วย แต่ส่วนอื่นๆ เน่าสลายไปหมดแล้ว แต่ส่วนที่ไม่เน่านี่ยังดูแดงๆ ดูสดมาก ไม่ได้เป็นแบบเนื้อแห้งๆ ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหนียวจริง หรือเพราะสีที่สักทำปฏิกริยาบางอย่างเนื้อแถวนั้นเลยไม่เน่า กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 มี.ค. 13, 20:47 ขอบคุณสำหรับภาพประกอบ ทำให้วันนี้ดิฉันกินข้าวเย็นได้น้อยกว่าปกติ บวกคำอธิบายของคุณประกอบ เอามาดูบ่อยๆคงลดน้ำหนักได้เร็วมาก ;)
กลับมาเรื่องจีนเส็ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ท่านไม่โปรดเรื่องไสยศาสตร์เอามากๆ โดยเฉพาะเรื่องกลั่นแกล้งกันด้วยคุณไสย ทรงวินิจฉัยว่า ถ้าหากว่าราษฎรไม่สะดุ้งสะเทือนกับการกระทำประเภทนี้ ถือว่าเป็นการกระทำของคนบ้าๆบอๆ ท่านก็เห็นว่าควรเลิกแล้วกันไป แต่ในเมื่อราษฎรเชื่อเรื่องรำเพรำพัด (คำนี้เป็นภาษาเก่าหมายถึงสิ่งร้ายกาจอัปมงคลที่ปล่อยให้ล่องลอยมา หลังๆนี้เราเรียกว่าลมเพ-ลมพัด ) ให้ถึงตัวผู้เป็นเป้าหมายได้ มันก็เลยกลายเป็นหนทางหากินของพวกที่อวดตัวว่าเป็นหมอรู้วิชาพวกนี้ฝ่ายหนึ่ง และหมอแก้วิชาพวกนี้อีกฝ่ายหนึ่ง ส่วนชาวบ้านที่เชื่อก็เสียเงินเสียทองไปจ้างให้ทำกับคนอื่นบ้าง หรือเชื่อว่าตัวเองถูกกระทำก็จ้างให้แก้ไข วุ่นวายเดือดร้อนกันไปต่างๆนานา ความเชื่อเช่นนี้ ก่อให้เกิดพระราชกำหนดกฎหมายเก่า ให้จับคนเป็นชมบเป็นผีปอบฆ่าเสียก็มี ถ้าจับเลขยันต์ได้ระหว่างผู้เป็นความก็ให้ปรับคดีเป็นแพ้ แถมมีเบี้ยปรับอีกต่างหาก เมื่อก่อนนี้มีหมออวดว่ามีวิชาทำเสน่ห์เล่ห์มนตร์ หรือทำจะให้ศัตรูป่วยไข้ล้มตาย หากเรื่องที่ทำเกี่ยวข้องในพระราชวังและหมู่ข้าราชการ ก็ได้ลงพระราชอาญาถึงประหารชีวิตเสียก็มี หรือจำคุกก็มี สรุปว่าพระองค์ท่านเห็นว่าพวกที่ใช้เล่ห์มนตร์ทำคุณทำไสยต่างๆ เป็นพวกน่ารังเกียจ เพราะก่อความเดือดร้อนให้ประชาชนในวงกว้าง เมื่อเกิดคดีจีนเส็งขึ้นมา จึงมิได้ทรงปล่อยให้ผ่านหรือเลิกแล้วกันไป กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 22 มี.ค. 13, 21:00 ของคุณหนุ่มต้องจากข่าวนี้แน่ๆ จะเอารูปมาลงก็เกรงใจ เอา link มาให้ตามไปอ่านไปดูรูปกันเอง http://www.dailynews.co.th/thailand/172253 ใช่เลยครับผม ;D อันที่จริงรอยสัก ควรจะแยกแบบตะวันตก กับ แบบตะวันออก ของไทยเองก็เน้นไปที่ "เลขยันต์" เลขยันต์ เป็นอักขระภาษาบาลี ตัวเลขไทย สักตามความเชื่อแห่งกำลังวัน โดยเอาหลักพระพุทธศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ยันต์ดวงต่าง ๆ, ยันต์นะ ๑๐๘, ยันต์ตรีนิสิงเห เป็นต้น กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 มี.ค. 13, 21:48 สักยันตร์
กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 มี.ค. 13, 22:09 สงสัยว่าการกระทำของจีนเส็งในครั้งนี้ เจ้าจอมซึ่งในเรื่องไม่ได้บอกชื่อว่าเป็นเจ้าจอมท่านใด คงจะหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย เกรงว่าตัวเองจะมีอันเป็นไป พระยาสามภพพ่ายก็คงไม่ค่อยจะสบายใจนักเช่นกัน ในพระบรมราชวินิจฉัยจึงระบุว่า การทำคุณไสยครั้งนี้ จีนเส็งกำแหงมากที่กล้าใส่ชื่อเจ้าจอมฝ่ายในพระบรมมหาราชวัง และยังมีชื่อพระยาสามภพพ่าย ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ทรงพระมหากรุณาชุบเลี้ยงให้เป็นจางวางกรมทหารใน
จีนเส็งเรียนวิชาจากสมี เอาชื่อศัตรูใส่กระทง ทำวิชาลอยไปเป็นที่หวาดหวั่นสะดุ้งสะเทือนแก่เจ้าของ ถ้าจะตัดสินให้หลุดพ้นจากโทษไป ก็จะกำเริบว่าตัวเองเก่ง วิชาขลังจึงหลุดพ้นไม่ต้องรับโทษ เมื่อมีข้อขุ่นเคืองกับผู้ใดด้วยเหตุเล็กน้อย เหมือนอย่างเช่นเป็นครั้งนี้ ก็จะทำแบบนี้อีก เป็นเหตุให้ชาวบ้านเกิดนับถือเลื่อมใส ต่อไปใครพิพาทโกรธขึ้งชิงชังกัน ก็จะมาหาจีนเส็งให้ทำ ก็จะก่อความหวาดกลัวแก่ผู้ถูกกระทำ กลายเป็นเชื่อลัทธิว่าคนทำร้ายกันได้ด้วยวิชาคาถาอาคม เกิดความวุ่นวายกันในวงกว้าง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯทรงเล็งเห็นการณ์ไกลว่า คนอย่างจีนเสงถ้าอยู่ในกรุงเทพฯต่อไป จะได้ใจว่าวิชาขลัง เดี๋ยวก็ทำอีก ก็จะเกิดผู้คนนับถือมาขอให้ทำให้บ่อยๆ อาจจะล่วงเกินไปถึงเจ้านายขุนนางฝ่ายหน้าฝ่ายใน ทั้งในพระบรมมหาราชวัง และพระบวรราชวัง ยิ่งถ้าผู้ไปนับถือจีนเสงเกิดเป็นคนใหญ่คนโตมีวาสนาบรรดาศักดิ์ เดี๋ยวก็จะกระทบกระเทือนถึงผู้มีบรรดาศักดิ์ด้วยกัน ทรงใช้คำว่า "ก็จะเป็นที่ขุ่นข้องหมองหมางสะดุ้งสะเทือนไปในผู้มีบรรดาศักดิ์ด้วยกัน" กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 มี.ค. 13, 08:44 ความจริงบทลงโทษในกฎหมายเก่ามีอยู่ แต่ทรงไม่เห็นด้วยกับการลงโทษหรือปรับค่าเสียหายที่เรียกว่าปรับไหม แบบเดิม จึงทรงพิจารณาโทษเสียใหม่ ไม่เฆี่ยน ไม่ติดคุก ไม่ปรับไหม แต่จะเรียกว่ารอดความผิดก็ไม่ได้ เพราะทรงกำหนดเป็นโทษสักหน้าผาก
"ให้เป็นแต่สักหน้าผากจีนเส็งว่า มักทำวิชาการเขียนชื่อคนลอยน้ำทำให้คนตกใจ" เมื่อสักหน้าผากแล้ว ก็เนรเทศจีนเสงกับบุตรภรรยาและทาสออกไปให้พ้นกรุงเทพฯ และปริมณฑลรอบๆคือนนทบุรี ปทุมธานี นครเขื่อนขันธ์ เมืองสมุทรปราการ ห้ามอยู่อาศัยในเมืองที่ระบุถึงเด็ดขาด ทรัพย์สมบัติตลอดจนเรือนแพที่อยู่อาศัย มิได้ทรงริบ ให้ไว้อย่างเก่า แต่ให้จีนเส็งรื้อขนเอาไปเสียให้พ้นภายใน ๑๕ วัน ส่วนที่ดินที่แพจอด หรือสวนหรือนาของจีนเส็งที่ครอบครองอยู่ในกรุงเทพฯ และ/หรือหัวเมืองใกล้ทั้ง ๔ นั้น ทรงริบเอาเป็นที่หลวง นอกจากนี้ ทรงห้ามประชาชนชาวบ้านในกรุงเทพและเมืองปริมณฑลทั้งสี่ ห้ามคบค้าสมาคมเป็นอันขาด ให้ด่านตรวจทั้งหลายในกรุงเทพและแขวงเมือง คอยตรวจตราว่าจีนเส็งกับบุตรภรรยาทาสแอบกลับเข้ามาหรือไม่ ถ้าเจอให้จับตัวไว้ แล้วปรับไหมเสียเงินแก่ผู้จับได้คนละสองตำลึงกึ่ง (10 บาท) ผู้ที่แอบกลับเข้ามาก็จะโดนสักตัว กลายเป็นไพร่หลวงโรงสี หรือจำคุกไว้ตามโทษานุโทษ กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 มี.ค. 13, 08:48 พระเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดโทษไว้ละเอียดลออถึงขั้นว่า ถ้าภรรยาจีนเสงหย่ากับผัวแล้วก็พ้นจากข้อห้ามเหล่านี้ แปลว่ากลับมาอยู่กรุงเทพได้ ถ้าทาสจีนเส็งพ้นจากความเป็นทาสจีนเส็งเพราะไปขายตัวให้นายคนใหม่แล้วก็พ้นจากข้อห้ามเหล่านี้ แต่ว่าเมื่อมีนายใหม่แล้วห้ามกลับมาคบหาสมาคมกับนายเก่าอีก ให้ไปแจ้งทางการให้เป็นพยานไว้เพื่อจะได้พ้นข้อห้าม ถ้าทาสไม่อยากออกจากกรุงเทพซัดเซพเนจรไปกับเถ้าแก่จีนเสงในคราวนี้ จะขายตัวหรือใช้หนี้จีนเส็งให้พ้นจากทาสเสียเดี๋ยวนี้ก็ได้ แต่ถ้าสมัครใจจะอยู่กับนายคนเก่าต่อไปก็ไม่ห้ามกัน
อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าใครเกิดสงสัยว่าจีนเส็งกับลูกเมียจะไปอยู่ในจังหวัดอื่นๆที่ไม่ใช่ปริมณฑลจะได้ไหม คำตอบคือได้ค่ะ "จะไปตั้งบ้านเรือนอยู่ตำบลใดๆในแขวงหัวเมืองอื่นๆนอกจากแขวงกรุงเทพฯ แลแขวงหัวเมืองทั้ง ๔ ดังว่าแล้วนั้น ไม่ห้าม" ดังนั้น จีนเส็งจะไปอยู่ชลบุรี ระยอง ทางตะวันออก มาอยู่นครปฐม สุพรรณบุรี กาญจนบุรีทางตะวันตก หรือขึ้นเหนือไปอยุธยา นครสวรรค์ เมืองไหนก็ได้ ลงใต้ก็ได้ ไม่ว่ากัน เชิญเอาทรัพย์สินที่ขนติดตัวไปทำมาหากินได้ตามสะดวก แต่ทรงเตือนว่า เมื่อชาวเมืองใดๆพบจีนเส็งแล้วอยากจะคบหาสมาคม ไปมาหาสู่ก็ได้ แต่ก็จะได้รู้ว่าคนนี้เป็นคนถูกสักหน้า เพราะเล่นวิชา"การกระทำยำเยีย" ถ้ากลัวก็จะได้ระวังตัวไม่เข้าใกล้ แต่ถ้าจีนเส็งไปอยู่หัวเมืองใดๆ มีผู้ไปนับถือร่ำเรียนวิชานั้น หรือไปหาขอให้กระทำยำเยียแปลกประหลาดมากขึ้นผิดปรกติ ก็ให้ทางการบ้านเมืองจับกุมคุมไว้ แล้วบอกข้อความเข้าไปยังกรุงเทพมหานครให้ทราบ กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 23 มี.ค. 13, 09:11 พักการเรียนการสอนด้วยภาพ รอยสักบนสะบักดาราสาวชื่อดังระดับโลก ครับ
เว็บ http://www.dailytelegraph.com บรรยายว่า Angelina Jolie (L) has her shoulder blade tattooed with ancient Khmer script by Thai tattoo master Noo Kampai in Thailand 2003. กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 มี.ค. 13, 09:21 ขอเดินออกห่างจีนเส็ง ตามรอยคุณ SILA ไปบ้างค่ะ
พี่เบ๊ค แกใช้รอยสักแทนปลอกแขนเลยเชียว กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 มี.ค. 13, 09:26 ดาราสาว Evan Rachel Wood น่าจะเป็นคนไม่กลัวความเจ็บ เพราะเนื้อตัวเธอสักไว้ถึง 9 แห่งรวมทั้งด้านในริมฝีปาก ซึ่งไม่โชว์ให้ใครเห็น (งั้นจะสักไว้ทำไมล่ะ หนู?) ลองนึกถึงเนื้ออ่อนๆด้านในริมฝีปาก แค่เป็นร้อนในยังเจ็บแทบตาย นี่เธอเล่นให้ช่างเอาเข็มสักลงไป...อึ๋ย...
อ้อ ข้อความยาวเหยียดบนหลังคอ เธอเอามาจากคำคมของ Edgar Allan Poe นักเขียนเรื่องลึกลับชาวอเมริกัน ซึ่งเขียนไว้ว่า “All my only weapon that I vividly see or seems, – a dream within a dream?” เธอคงจะชอบประโยคนี้มาก เลยโชว์ให้คนอื่นอ่านซะเลย กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 มี.ค. 13, 09:34 ครั้งหนึ่ง จอห์นนี่ เด็ปป์เคยเป็นแฟนกับวีโนน่า ไรเดอร์ ก็เลยสักคำว่า “Winona Forever” เอาไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง แต่ในเวลาเปลี่ยน รักก็เปลี่ยน พอเลิกกันคำนี้ก็กลายเป็นหนามยอกใจ ต้องกลับไปให้ช่างสักเอาเข็มจิ้มลงไปใหม่ ดัดแปลงเป็นคำว่า “Wine is good.” ก็โล่งอกไป
บทเรียนนี้สอนให้รู้ว่า อย่าสักชื่อแฟนลงไปเพื่อยืนยันความรักอมตะระหว่างกัน เพราะจะเจ็บตัวซ้ำสองหลังจากเจ็บใจตอนเลิกรากันแล้ว คราวนี้จอห์นนี่เอาใหม่ สักแบบมั่นใจไม่ต้องแก้ไข คือสักรูปนกกระจอกบินเหนือคลื่น พร้อมกับชื่อ Jack อยู่ข้างใต้ หมายถึงแจ๊ค สแปโรว์ ตัวเอกในหนัง “Pirates” - Captain Jack Sparrow ที่เขาแสดงจนลือลั่นไปทั่วโลก แบบนี้เก็บไว้ได้ตลอดไป กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 มี.ค. 13, 10:13 ออกนอกทางไปหอมปากหอมคอ กลับมาที่เรื่องจีนเส็ง
จีนเส็งแกจะโยกย้ายไปอยู่ที่ไหนยังไง ไม่เจอหลักฐานจะติดตามได้ แต่ก็เดาว่าในเมื่อพระเจ้าอยู่หัวมิได้ริบทรัพย์สิน แกก็คงจะไปตั้งหลักแหล่งในถิ่นใหม่ห่างกรุงเทพได้ไม่ยาก ลูกเมียก็ไปอยู่พร้อมหน้ากัน ไม่ได้โดดเดี่ยว แสดงว่าก็ทรงพระเมตตามิให้แกตกระกำลำบาก ต้องพลัดพรากจากครอบครัว แต่การสักหน้า คือการบอยคอตจีนเส็งไปในตัวมิให้คบหาสมาคมกับใครได้สะดวก เพราะชาวบ้านเห็นรอยสักก็ต้องซักถามเอาความจริง หรือสืบรู้กันว่าเป็นคนต้องพระราชอาญา ทำให้ปลีกตัวออกห่าง ทรงใช้วิธีการเช่นนี้เพราะวิชาที่จีนเส็งใช้นั้นจะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ตาม เป็นวิชาที่ชักนำคนให้เกิดความงมงาย เกิดผลเสียหายได้ในวงกว้างยิ่งกว่าจีนเส็งไปทำร้ายใครเพียงคนสองคนแล้วจบแค่นั้น การสักหน้าจีนเส็งในคดีนี้ น่าจะเป็น "เชือดไก่ให้ลิงดู" เพื่อมิให้คนเอาอย่าง เกิดเล่นของขลังกระทำรำเพรำพัดกันมากมาย ทำให้คนอื่นๆเดือดร้อนกันไปทั่ว ก็ทรงตัดไฟเสียแต่ต้นลม ขอจบกระทู้แค่นี้ค่ะ แต่ถ้าใครจะเพิ่มเติมอยากคุยเรื่องรอยสัก หรือเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวกับจีนเส็ง ก็เชิญได้ตามสะดวก กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 มี.ค. 13, 11:44 แวะมาบอกคุณ SILA ว่า ดาราสาวไทยก็นิยมสักเหมือนกัน ค่ะ
ในรูปคือหยาดทิพย์ ราชปาล กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 23 มี.ค. 13, 12:15 Angelina Jolie (L) has her shoulder blade tattooed with ancient Khmer script by Thai tattoo master Noo Kampai in Thailand 2003. (http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5568.0;attach=39768;image) ยันตร์ห้าแถว ดาราไทยตามรอยดารานอก หรือ ดารานอกตามรอยดาราไทย (http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley19.png) กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 มี.ค. 13, 19:45 ดูไม่ออกว่าภาษาญี่ปุ่นหรือจีน ต้องรอคุณม้ามาเฉลยว่าเธอสักว่าอะไร
กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 23 มี.ค. 13, 19:49 บ๊ะ จะสองทุ่มกว่าแล้ว มัวแต่ชักช้ามาไม่ทัน สงสัยท่านอาจารย์เทาฯของเราทานข้าวเย็นไปซะแล้ว ไม่งั้นจะเอารูปรอยสักร่างไม่เน่าแต่สยองมาให้ชมเป็นการช่วยท่านอาจารย์ลดน้ำหนักไปในตัวซะหน่อย :-\ :-\ :-\
กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 มี.ค. 13, 20:01 ^
กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 23 มี.ค. 13, 20:10 ยันต์ของไทยที่เก่าแก่ที่สุดกลุ่มหนึ่ง และใช้มาจนถึงทุกวันนี้คือ "ตัวเฑาว์" อันมีรากฐานมากจากตัวอักษร "ธ" คือ ธรรม มีแล้วคงกระพัน
กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 23 มี.ค. 13, 21:48 ดูไม่ออกว่าภาษาญี่ปุ่นหรือจีน ต้องรอคุณม้ามาเฉลยว่าเธอสักว่าอะไร 上帝與你常在 = พระเจ้าอยู่กับคุณเสมอ (http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png) กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: ศานติ ที่ 24 มี.ค. 13, 04:29 ผุ้หญิงสาวอเมริกันมีนิยมสักเหมือนกัน แต่มีหลายรายที่พออายุมากขึ้นเสียใจที่ไปสักไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสักตรงที่ที่ซ่อนไม่ได้ หรือบางทีสักอะไรบางอย่างที่ทำให้หางานดีๆไม่ได้ เช่นสักรูปใบกัญชาไว้ที่แขน พอจะหางานทำ คนที่จะจ้างถ้าเห็นที่สักก็จะถอย บางคนเขาเรียกสักบนตัวสาวว่า tramp stamp หรือ ตราพเนจร มีความหมายไปทางสำส่อน
กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 25 มี.ค. 13, 09:58 พูดถึงรอยสักไทย แล้วก็นึกถึงพระนาม พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
เว็บต่างๆ กล่าวถึงรอยสักของพระองค์ท่านตามๆ กันว่า ทรงสักยันต์ทั้งพระองค์ตั้งแต่สมัยวัยหนุ่ม รูปสักมีดังนี้ หนุมาน, ลิงลม(บริเวณพระชงฆ์ เพื่อเดินเร็ว), มังกร (เลื่อยพันบริเวณแขน), อักขระ(บริเวณข้อนิ้ว เพื่อชกต่อยหนัก) บริเวณอุระสัก “ร.ศ. 112 ตราด” เพื่อจำไม่ลืมกับการบุกรุกของกองเรือรบฝรั่งเศสที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา หม่อมเจ้าหญิงเริงจิตรแจรง อาภากร พระธิดาของเสด็จในกรมฯมีบันทึกยืนยันว่า ทรงสักทั้งองค์ตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ เล่ากันต่อมาว่า เมื่อหลวงปู่ขัน วัดนกกระจาบจะสักอาคมเพิ่มเติมให้ปรากฏว่าพระวรกายไม่มีที่ว่าง จึงได้อักขระ “นะ” คำเดียวที่บริเวณกัณฐมณี (ลูกกระเดือก) เท่านั้น เสด็จในกรมฯ ทรงสัก ร.ศ. ๑๑๒ ตราด ให้นักเรียนนายเรือรุ่นแรกๆเพียงไม่กี่คนด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง รวมทั้งที่พระอุระของพระองค์ก็สักคำนี้ กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 มี.ค. 13, 10:41 เพิ่งทราบจากข้อความของคุณ SILA เดี๋ยวนี้เอง ว่าพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงสักทั้งพระองค์ พยายามหาพระรูปที่พอมองเห็นรอยสักบนพระองค์บ้าง ก็ยังหาไม่เจอ
แต่ไปเจอรอยสัก “ร.ศ. 112 ตราด" ในภาพของพลเรือตรี พระยาหาญกลางสมุทร ร.น. (บุญมี พันธุมนาวิน)นายทหารเรือไทยคนแรกที่ได้ไปศึกษาวิชาการเรือดำน้ำ ณ ประเทศอังกฤษ เป็นนายทหารรุ่นบุกเบิกและเป็นศิษย์คนสนิทของกรมหลวงชุมพรเขตต์อุดมศักดิ์ ท่านได้เคยถ่ายรูปรอยสักของตนไว้ ซึ่งตัวหนังสือที่อยู่ที่กลางหน้าอกคือคำว่า “ร.ศ.๑๑๒ ตราด” ท่านเจ้าคุณเขียนคำอธิบายไว้ว่าท่านสักไว้ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ที่โรงเรียนนายเรือ อายุราว ๑๖ ปี เมื่อราวพ.ศ.๒๔๔๙ แต่ถ่ายรูปนี้ไว้เมื่ออายุได้ ๕๑ ปี เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๘๔ มีคำบรรยายพิมพ์บอกไว้ใต้รอยสักในรูปว่า “การสัก ร.ศ.๑๑๒ และตราด นี้ ก็เนื่องมาจากที่ชาติไทยถูกอินโดจีน ฝรั่งเศส รุกรานใน ร.ศ. ๑๑๒ นั้น และยังโกงยึดเมืองตราดไว้อีกจนไทยต้องยอมยกมณฑลบูรพาแลกเปลี่ยน เรื่องนี้ในกรมหลวงชุมพรฯ พระอาจารย์ของข้าพเจ้าทรงเกรี้ยวกราดและเจ็บแค้นฝังพระทัยนักหนา ทรงทนไม่ไหวและจะได้เป็นที่ระลึกและฝังใจกันได้เพื่อทำการตอบแทน จึงได้ทรงสัก ร.ศ.๑๑๒ และ ตราด ในพระองค์ท่าน และบรรดาสานุศิษย์ที่โปรดปรานทั่วไป ข้าพเจ้าสักในวันรุ่งขึ้นจากวันที่พระองค์ทรงสักอายุราว ๑๖ ปี” กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 25 มี.ค. 13, 11:17 สำหรับชายไทยภาคกลาง ถ้าหากว่าเกิดเป็นชาวบ้านธรรมดา ที่สมัยอยุธยาเรียกว่า "ไพร่" พอโตขึ้นเป็นหนุ่ม อยากสักหรือไม่อยากสักก็ต้องเจอรอยสักทุกคน เพราะทุกคนต้องขึ้นทะเบียนเป็นไพร่หลวงที่มีสังกัดกรมกอง วิธีรู้ว่าใครเป็นไพร่หลวงก็คือ ต้อง "สักเลก" คำว่า "เลก" หรือเลข หมายถึงชายฉกรรจ์ โตเป็นหนุ่มวัดส่วนสูงได้ถึง 2.5 ศอก หรือตั้งแต่ 150 ซ.ม. ขึ้นไป ก็ต้องเป็นเลกไปจนถึงอายุ 70 ปี มีหน้าที่เข้ามารับใช้ราชการ ปีละกี่เดือนก็ว่ากันไป วิธีรู้ว่าใครเป็นใคร สังกัดไหน ทางการใช้สักคือการเอาเหล็กแหลมแทงตามเส้นหมึกที่เขียนไว้ ทำให้ผิวหนังเป็นรอยตัวอักษร บอกชื่อเมือง ชื่อมูลนายที่สังกัด โดยสักที่ข้อมือด้านหน้า คือด้านหลังมือ รอยนี้ติดแน่นไม่ลบเลือน เอาออกไม่ได้ จะหนีไปไหนทางการบ้านเมืองก็ตามตัวพบเพราะรอยสักนี้เอง หนังสือ "คนไท (เดิม) ไม่ได้อยู่ที่นี่" โดย บี.เจ. เทอร์วีล, แอนโทนี ดิลเลอร์ และ ชลธรา สัตยาวัฒนา มีตอนหนึ่งเขียนถึง "การสักในระบบราชการ" โดย บี.เจ. เทอร์วีล เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสักในระบบราชการของไทยตั้งแต่สมัยอยุธยามาจนถึงรัตนโกสินทร์ ดังนี้ หลักฐานในสมัยอยุธยาได้บันทึกไว้ว่าการสักข้อมือของชายไทยเป็นเครื่องหมายแสดงตำแหน่งทางราชการ ซีมอง เดอ ลา ลูแบร์ ซึ่งเดินทางเข้ามาอยุธยาใน พ.ศ. ๒๒๓๐ และ พ.ศ. ๒๒๓๑ ได้บันทึกไว้ว่า ".....ข้าราชการแต่ละคนจะมี Pagayaus เป็นเครื่องหมายประจำกรมกองปรากฎอยู่บนข้อมือด้านนอก โดยการใช้แท่งเหล็กร้อนตราลงไปและกดทับด้วยสมอเหล็ก ผู้รับใช้ประเภทนี้เรียกว่า "บ่าว" ลา ลูแบร์ นั้นเห็นจะไม่คุ้นเคยกับการสัก ทั้งยังไม่เข้าใจวิธีการลงสีที่ใต้ผิวหนังจึงเรียกการสักว่าเป็นการ "ตราด้วยแท่งเหล็กร้อน" บันทึกของชาวเปอร์เซียในราชสำนักสมเด็จพระนารายณ์ได้กล่าวถึงเรื่องการสักที่ถูกต้องเอาไว้ว่าไม่ใช่ การประทับตรา และยังอธิบายขยายความถึงความแพร่หลายของระบบการสักไว้ดังนี้ "......พวกเขาจะได้รับการสักเป็นข้อความต่าง ๆ ด้วยตัวหนังสือของพวกเขา เปรียบได้กับที่พวกเตอร์ก และพวกอาหรับเผ่าเบดูอินตกแต่งร่างกายด้วยการทำจุดและเส้นเป็นลวดลายบนผิวหนัง เหล่าข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งสูงสุดที่ทำหน้าที่ในการจับกุม ประหารและทรมานบางพวก ก็มีรอยสักบนแขนขวา บางพวกก็สักบนแขนซ้าย ส่วนพวกที่ทำหน้าที่ส่งข่าวสารและกำกับเส้นทาง ต่างก็มีลายสักเฉพาะของตน หน้าที่ทางราชการทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นตำแหน่งที่ต้องสืบต่อจากบิดาไปยังบุตรชาย" ตามหลักฐานข้างต้นจะเห็นว่าการสักนับเป็นสิ่งที่ทำกันเป็นเรื่องปกติธรรมดาในการบริหารงานราชการสมัยอยุธยาในพุทธศตวรรษที่ ๒๓ รอยสักซึ่งใช้เพื่อการบริการราชการนั้น ได้พัฒนาจนเป็นเครื่องหมายและสัญลักษณ์ในรูปของรหัส ซึ่งเพียงแต่เหลือบมองก็ทราบว่า ผู้มีรอยสักอย่างนั้น ๆ มีหน้าที่ทางราชการในหน่วยใด การสักข้อมือขวาหรือข้างซ้าย น่าจะสืบเนื่องมาจากการจัดระบบราชการในสมัยโบราณที่แบ่งเป็นกรมต่าง ๆ ซึ่งแยกไปสังกัดในกรมขวา หรือกรมซ้าย การสักนับเป็นเครื่องมือของทางราชการที่มีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมไพร่หลวง หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. ๒๓๑๐ และเกิดศึกแย่งชิงอำนาจกันขึ้น สิ่งที่สำคัญมากในเวลานั้นก็คือ ผู้ชายทุกคนต้องมีเครื่องหมายเพื่อแสดงว่า เป็นสมัครพรรคพวกของใคร ช่วงตอนปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๓ และครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ ๒๔ ราชการส่วนกลางได้จัดส่งคณะเจ้าหน้าที่ไปทำการสักและขึ้นทะเบียนชายไทยทุกคน การสักได้ใช้ในระบบราชการไทยเรื่อยมาจนตลอด ๔ รัชกาลต้นของราชวงศ์จักรี เพิ่งจะมายกเลิกในปลายรัชการที่ ๕ เมื่อมีการประกาศให้เลิกการเกณฑ์แรงงาน การสักซึ่งทำโดยราชการนี้นับได้มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของไทย ในการศึกษาตามแนวประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์นี้เราจะตั้งเป็นข้อสังเกตว่า การสักชนิดนี้ได้พัฒนาขึ้นมาในหมู่ชนชาวสยามเท่านั้นมิได้หมายรวมถึงรัฐไทอื่น ๆ เมื่อชนชาติสยามได้แผ่อำนาจทางการปกครองไปยังนครเวียงจันทน์ในตอนต้นของพุทธศตวรรษที่ ๒๔ รัฐบาลได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปทำการสักคนลาวเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นพลเมืองของประเทศสยาม ปรากฏว่าคนลาวได้ต่อต้านและตอบโต้อย่างรุนแรง (http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png) กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 25 มี.ค. 13, 11:22 บี.เจ. เทอร์วีล อธิบายถึงการสักในระบบราชการของชนชาติไท ต่ออีกว่า
ในการปกครองบ้านเมืองของชนชาติไทกลุ่มอื่น ๆ เช่น ไทอาหม เป็นต้น ไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้ใช้การสักเพื่อกำหนดหน้าที่และฐานะของคนในสังคม ดูจะเป็นไปได้อย่างมาทีเดียวที่การสักชนิดนี้คงมีแต่ชาวสยามเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นที่ถือปฏิบัติมาแต่ครั้งอดีตกาล ในภูมิภาคนี้ นอกจากชาวสยามแล้ว พบว่ามีแต่ชาวเวียดนามเท่านั้นที่มีการสักในระบบราชการ มีหลักฐานบันทึกไว้ว่า ในศตวรรษที่ ๑๑ (นับแบบเวียดนาม) ทหารรักษาพระองค์จะได้รับการสักที่หน้าผาก ซึ่งนับเป็นรอยสักแห่งเกียรติยศของอาชีพที่น่าภาคภูมิใจ และในศตวรรษที่ ๑๓ (นับแบบเวียดนาม) ทหารที่จงรักภักดีต่อชาติจะมีรอยสักที่แขนเป็นข้อความว่า "มงโกลจงพินาศ" กล่าวโดยสรุป การสักร่างกายให้มีเครื่องหมายซึ่งลงไม่ได้เพื่อแสดงสถานะของคนในสังคม ที่มีปรากฏในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมิใช่กิจกรรมที่เป็นของวัฒนธรรมเดียว คือของชาวสยามเท่านั้น จากหลักฐานต่าง ๆ ที่มีอยู่ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ชาวสยามได้ยืมแนวคิดเรื่องการสักชนิดนี้มาจากชาวเวียดนามกระนั้นหรือ? หรือชนสองกลุ่มนี้ต่างก็คิดวิธีการนี้ขึ้นมาเอง? อย่างไรก็ตาม การสักทางราชการดูเหมือนจะไม่ใช่ลักษณะร่วมของวัฒนธรรมไทโบราณซึ่งแพร่กระจายทั่วภาคพื้นี้ และจากหลักฐานต่าง ๆ ก็มิได้สนับสนุนความเกี่ยวพันระหว่างการสักชนิดนี้กับวัฒนธรรมออสโตรเอเชียติค (http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png) กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 มี.ค. 13, 11:50 ในสมัยโบราณ ที่เรายังไม่รู้จักโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ ก็เลยไม่มียาฆ่าเชื้อ ไม่มีแม้แต่ยารักษาอาการอักเสบ ก็น่าคิดเหมือนกันว่าชายไทยที่สักกันเป็นของธรรมดานั้นติดเชื้อ จนรับโรคต่างๆเข้าไปในร่างกายกันมากน้อยแค่ไหน
แพทย์หญิงพู่กลิ่น ตรีสุโกศล จากสถาบันโรคผิวหนัง ได้ให้ข้อมูลเรื่องการสักว่า ” ในความสวยงามนั้นมีอันตรายที่แอบแฝงอยู่เหมือนกัน เนื่องจากสีที่ใช้สักทำให้เกิด ปฏิกิริยาการแพ้ แล้วเกิดเป็นผื่นหรือตุ่มแดง คันในตำแหน่งของรอยสักนั้นๆ ถ้าไม่ได้รับการรักษา หรือปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้ผื่นแดงดังกล่าวเป็นมากขึ้นได้ ” นอกจากนี้ผื่นแดงที่ใช้ในการสักอาจก่อให้เกิดการแพ้เมื่อโดนแดดมากๆ หรือบ่อยครั้งได้ ” อันตรายที่น่ากลัวอีกอย่างของรอยสักคือ การมีโอกาสติดเชื้อโรค หรือติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสจากการสักผิวหนัง โดยอาจเกิดจากการใช้เข็มที่ไม่สะอาดพอ หรือผ่านการทำให้ปลอดเชื้อที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งเชื้อโรคที่มีโอกาสติดต่อได้ เช่น เชื้อไวรัสตับอักเสบบี วัณโรค โรคเรื้อน โรคเอดส์ ซึ่งบางโรคสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่บางโรคก็ยังไม่มีการรักษา หรือยาที่ใช้รักษายังอยู่ในขั้นทดลอง” กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: Sujittra ที่ 09 เม.ย. 13, 18:06 ดูจากรูปของอาจารย์"เทาชมพู" ผมคิดว่าอาจจะเป็นโรคทางผิวหนังหรือติดเชื้ออื่นๆเช่น อาจเป็นอีสุกอีใสในคนที่สัก(มานาน) แต่ไม่น่าเกิดจากการสักเพราะตำแหน่งที่เป็นหนองนั้นไม่ค่อยสัมพันธ์กับจุดที่สักเท่าไรนัก
สมัยเด็ก เพื่อนฝูงวียรุ่นชอบไปสักที่วัดแถวถนนสี่พระยา สักเป็นแต้มบริเวณง่ามนิ้วระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ เรียกว่า "ศิษย์อาเจ็ก" ที่น่าทึ่งและผมยังหาคำตอบไม่ได้คือ คนทสักนั้นสามารถเชิญองค์มาประทับในตัวเมื่อยามที่จะทะเลาะวิวาทกัน ไม่ทราบว่าท่านใดพอจะไขความกระจ่างในเรื่องนี้ได้บ้างครับ กระทู้: รอยสักของไทย เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 เม.ย. 13, 18:48 ไม่มีความรู้เรื่องการติดเชื้อจากรอยสัก ที่นำลงเพราะรูปนี้มีคำอธิบายว่าเป็น skin infection ค่ะ
|