เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 120 เมื่อ 29 เม.ย. 21, 12:50
|
|
เสื้อกุยเฮง เป็นเสื้อที่ผู้ชายเชื้อสายจีนในไทย นุ่งกับกางเกงแพรปังลิ้นสีดำ ค่ะ ส่วนผู้ชายไทยมีเสื้อคล้ายๆกัน เรียกว่า เสื้อมิสกรี เป็นเสื้อผ้าป่านบางสีขาว คอกลม ผ่าหน้าลงมาแค่อกสำหรับสวมทางหัว แขนแค่ศอก ตัวหลวมๆยาวเลยเอวลงมา ไว้นุ่งกับกางเกงแพรสีต่างๆเวลาอยู่บ้าน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 121 เมื่อ 29 เม.ย. 21, 16:40
|
|
จาก "โหมโรง" เสื้อที่คุณอดุลย์ ดุลยรัตน์ ผู้รับบทนายศร หรือหลวงประดิษฐ์ไพเราะสวมในฉากนี้ คือเสื้อมิสกรี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
superboy
|
ความคิดเห็นที่ 122 เมื่อ 29 เม.ย. 21, 17:49
|
|
อาจารย์ครับ...ในฉากนี้คุณอดุลย์สวมเสื้อติดกระดุมทั้งตัวนี่ครับ (แต่คอกลม) พับแขนแล้วเหน็บเข้ากางเกงด้วยจิ๊กโก๋มากๆ ถ้าฉากตีระนาดให้พงษ์พัฒน์ได้ยินอันนั้นเป็นเสื้อมิสกรีแขนแค่ศอก สมัยยังมีชีวิตอากงผมก็ชอบใส่แต่ผมไม่รู้จักชื่อเสื้อ เวรของกรรม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 123 เมื่อ 29 เม.ย. 21, 21:18
|
|
กลับไปดูคลิปอีกครั้ง เสื้อคุณอดุลย์คล้าย แต่ไม่ตรงกับมิสกรีจริงๆด้วยค่ะ เพราะมิสกรีเป็นเสื้อผ่าอกลงมาครึ่งเดียวและไม่พับแขน แขนยาวแค่ศอกหรือเหนือศอกนิดหน่อย ส่วนท่อนล่าง เป็นกางเกงผ้าหลวมๆ นุ่งแบบกางเกงแพร คือเหน็บเอวไว้ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 124 เมื่อ 30 เม.ย. 21, 10:22
|
|
ยุคที่เกิดการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดในประวัติการแต่งกายไทย คือยุค "วัธนธัม" ของจอมพลป.พิบูลสงคราม ประชาชนเจอคำสั่งให้เลิกแต่งกายตามสบายแบบเดิม มาแต่งกายแบบตะวันตก ที่เรียกว่า "สากล" เวลาไปงาน ถ้าให้ครบเครื่อง ผู้หญิงต้องสวมหมวกสวมถุงมือ ผู้ชายก็ต้องสวมหมวก สวมเสื้อนอกเวลาไปงานใหญ่ๆ ทั้งๆประเทศไทยอยู่ในเขตร้อน แอร์ก็ยังไม่มี ผู้หญิงทั้งสาวและแก่ต้องสวมหมวกเวลาออกนอกบ้าน แฟชั่นสาวๆสมัยนั้นทันสมัยมากค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 125 เมื่อ 01 พ.ค. 21, 18:50
|
|
เอารูปคนสวยในอดีต ที่ไม่ใช่นางงามหรือดารามาให้ดูกันบ้าง นี่คือรูปของ" เจ้าป้า" เจ้ากอแก้ว ประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ สมัยยังเป็นสาว ท่านเป็นหลานตาของเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย เจ้ากอแก้วเป็นสาวยุคหลังสงครามโลกครั้งที่่ 2 จบการศึกษาจากอังกฤษและฝรั่งเศส กลับมาประเทศไทยเมื่อพ.ศ. 2499 นำแฟชั่นมาตั้งแต่นั้น ชุดทางซ้ายน่าจะเป็นชุดกีฬา ส่วนทางขวาก็คือตามแฟชั่นยุค 2500S แว่นกันแดดของเจ้า เปรี้ยวล้ำสมัยมากค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 126 เมื่อ 02 พ.ค. 21, 19:48
|
|
ไม่รู้ว่าคุณภศุสรรเคยนั่งรถสามล้อแบบดั้งเดิมของไทยหรือเปล่าคะ ไม่ใช่ตุ๊กๆหรือสามล้อเครื่อง เป็นสามล้อแรงงานคนถีบ ตามประวัติ ก่อนหน้ามีรถสามล้อ คนไทยมีรถลาก หรือที่เรียกว่า รถเจ๊ก เพราะคนจีนเป็นคนลาก ต่อมาในปี 2476 น.อ.เลื่อน พงษ์โสภณ ได้ประดิษฐ์รถสามล้อสำเร็จ จดทะเบียนที่กรุงเทพฯ โดย น.อ.เลื่อน เป็นผู้ขับขี่ด้วยตนเอง มีีนายพันตำรวจตรี หลวงพิชิตธุระการ (ยศในขณะนั้น) เป็นผู้นั่งทดลองรถสามล้อเป็นคนแรก ตามคำสั่งของกระทรวงมหาดไทย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 127 เมื่อ 02 พ.ค. 21, 19:57
|
|
สามล้อเป็นพาหนะโดยสารคู่คนไทยมานานหลายสิบปี ฮิทขนาดมีเพลงเกี่ยวกับสามล้อออกมา ลองฟังเพลงนี้นะคะ ชื่อเพลง สามล้อแค้น เป็นเพลงเพื่อชีวิตยุคแรกๆ สะท้อนภาพสังคมไทย แต่งโดยเสน่ห์ โกมารชุน เมื่อต้นทศวรรษ 2490 เสน่ห์แต่งเพลงเสียดสีนักการเมือง ชื่อ “ผู้แทนควาย” และเป็นปากเป็นเสียงให้คนถีบสามซึ่งกำลังจะถูกรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม สั่งห้ามวิ่งในเขต พระนคร-ธนบุรี ด้วยการแต่งเพลง “สามล้อแค้น” ในเชิงประท้วงรัฐบาล จนเสน่ห์กลายเป็นขวัญใจของชาวสามล้อในปี 2492
ผลก็คือเพลง “สามล้อ”, “ผู้แทนควาย” กลายเป็นเพลงต้องห้าม ไม่ให้เผยแพร่ทางสถานีวิทยุ และเมื่อวันหนึ่งเมื่อเสน่ห์ขับร้องเพลงนี้ที่เวทีเฉลิมนคร เขาก็ถูกเชิญตัวไปพบอธิบดีกรมตำรวจ พลต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ทำให้ต้องเลิกแต่งและร้องเพลงแนวชีวิตยั่วล้อเสียดสีสังคม หันไปสร้างภาพยนตร์แทน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 129 เมื่อ 02 พ.ค. 21, 21:01
|
|
ใครเอ่ย ? เมื่อยามยากเราเคยได้ใช้สอย ไม่เคยขาดค่ำเช้าก็เฝ้าคอย แม้ฝนปรอยเลนเปรอะเลอะมรรคา ถึงวันนี้ได้ดีมีรถนั่ง ลืมเพื่อนยากครั้งหลังกระมังหนา ทุกถนนด้นดั้นด้วยกันมา แม้นราคาติดเอาไว้ยังได้เลย
ใครเล่า ? ที่พาเจ้านั่งแนบแอบสนิท สองต่อสองประลองลมชื่นชมชิด แขนโอบติดกระชับหลังนั่งชมวิว ยามยากจนไร้รถยนต์จะพาชื่น ขึ้นสามล้อระรื่นรับลมลิ่ว ด้วยฤทธิ์รักรถน้อยเหมือนลอยปลิว ไม่บิดพริ้วถีบถึงไหนก็ได้เอย
ใครกัน ? เคยรับส่งลูกทุกวันจะหาไหน ฝากชีวิตลูกยากล้าไว้ใจ เช้ารีบไปเย็นรับเจ้ากลับมา เด็กจะเล่นซุกซนก็ทนได้ เด็กร้องไห้ปลอบพลันให้หรรษา ถึงรับจ้างก็ไม่ห่างทางเมตตา คิดแล้วน่าเห็นใจไม่ลืมเอย
ใครนี่ ? ถีบรถเลี้ยงชีวีน่าสงสาร เหตุเพราะความยากจนพ้นประมาณ วางสังขารเดิมพันพนันชีวิต ใครจะว่าอาชีพนั้นต่ำช้า ไม่ถือสายึดถือความสุจริต เป็นพาหนะคนยากอยู่เป็นนิจ โปรดช่วยคิดเห็นสำคัญกันบ้างเอย
ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ๗ มิถุนายน ๒๕๐๒ |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ภศุสรร
อสุรผัด
ตอบ: 0
|
ความคิดเห็นที่ 130 เมื่อ 03 พ.ค. 21, 10:25
|
|
เป็นเพลงที่เพราะมากเลยครับ แถมอยังสะท้อนภาพแห่งความเลื่อมล้ำทางสังคมในยุคนั้นได้ดีอีกด้วย ล้อเลียนรัฐบาลได้แบบแยบยนสอดเสียดที่สุด กระผมเชื่อว่า กลุ่มหนักการเมืองในสมัยนั้นถ้าหากได้ยินคงจะเจ็บลึกถึงสรวงในเป็นแน่แท้ จึงไม่แปลกที่จะมีการสั่งห้ามออกมา โดยเฉพาะจากจอมผลแปลกด้วยแล้ว กระผมเองนั้นโชคร้าย เกิดมาก็ไม่ทันได้เห็น’’รถเจ็กลาก’’ แบบนี้แล้วล่ะครับ เคยได้ยินแต่ชื่อในคำบอกเล่าของผู้ใหญ่เท่านั้นเอง แต่เท่าที่ผมรู้ รถคนลากแบบนี้ ในภาษาอังกฤษน่าจะเรียกว่า ‘`rickshaw’’ ครับ ตามประวัติที่ว่าคนจีนเป็นคนลากก็เห็นจะไม่ผิด
เพราะว่าเท่าที่กระผมรู้(หากข้อมูลผิดพลาดประการใดก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ) รถสามล้อคนลากแบบนี้ได้รับความนิยมและแพร่หลายเป็นอย่างมากในประเทศจีนในช่วงเวลาจากเวลาประมาณ ปลายราชวงศ์ชิง (晚清 ราวคศ 1840-1912) ไปจนถึงสมัยก๊กมินตั๋ง(国民党时期 ค.ศ.1912-1949)ครับ เป็นยานพาหนะในเมืองใหญ่ของประเทศจีนในสมัยที่อยังไม่มีรถยนต์หรือรถไฟครับ
ภาพด่านล่างนี่ก็คือภาพของรถสามล้อคนลากในประเทศจีนครับ ในภาษาจีนเรียกว่า(黄包车 หวางเปาชือ) แปลตรงตัวว่า’’รถถุงเหลือง’’ ครับ ว่ากันว่าที่มาของชื่อเรียกนี้มาจากการที่ว่า ที่ประเทศจีนในสมัยโบราณนั้นคนลากรถดั่งกล่าวนี้ จะนิยมทาส่วนบนของรถเป็นสีเหลือง ทำรถให้สะดุดตาเพื่อเรียกลูกค้า แต่เนื่องจากรูปถ่ายสมัยก่อยส่วนมากเป็นภาพขาวดำจึงจะไม่เห็นสีเหลืองนี้เป็นส่วนใหญ่
ต่อมาชาวจีนอพยบก็คงจะนำเอารถนี้เขามาในไทยจากประเทศจีนล่ะกระหมังครับ ส่วนประวัติของรถนี้นั้น ถึงแม้จะไดีรับความนิยมสูงสุดในประเทศจีน แต่ก็ไม่ได้ถูกประดิษฐ์ที่นั้นแต่อย่างได รถนี้แท้จริงแล้วถูกประดิษฐ์ขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นที่แรก
และก็ได้รับขวามนิยมเป็นอย่างสูงในประเทศญี่ปุ่นด้วยเหมือนกัน ต่อมาในปี1873พ่อค้าชาวฟรังเศษก็ได้นำเอารถลากนี้จากญี่ปุ่นมาเพยแพร่ทีเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีนเป็นที่แรก รถลากจึงได้รับความนิยมในประเทศจีนตั้งแต่นั้นมา และชาวจีนก็ได้นำเอารถลากไปเพยแพร่ต่อในประเทศที่ตนเองได้อพยพไป เช่นประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์เป็นต้นครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 131 เมื่อ 03 พ.ค. 21, 10:39
|
|
ทบทวนความหลังครั้งนั่งสามล้อ ว่าจำอะไรได้บ้าง 1 จำได้ว่าคนถีบสามล้อแต่งกายเรียบร้อย ไม่ใช่ว่าใส่อะไรก็ได้ตามสบาย เสื้อแขนสั้นสีกากี และกางเกงสั้นแค่เข่าสีเดียวกัน ไม่นุ่งกางเกงขายาว คงเป็นเพราะร้อนหรือไม่สะดวก มองเห็นน่องโป่งเต็มไปด้วยเส้นเอ็น เขาสวมหมวกด้วย เป็นหมวกทรงกะโล่สานด้วยใบลาน บังแดดได้แต่ไม่ร้อนอบอ้าวอย่างหมวกผ้าหนาๆ 2 คนถีบสามล้อที่ดี จะพิถีพิถันกับเบาะนั่ง คือซักสะอาดขาวรีดเรียบ ไม่ปล่อยให้ดำมอมแมมสกปรก ชายขาดลุ่ย มิฉะนั้นคนโดยสารอาจรังเกียจไม่อยากนั่ง ไปเลือกคนอื่น 3 ถ้าฝนตก เขามีผ้ายางคลุมรอบรถไม่ให้ผู้โดยสารเปียก 4 สามล้อจ้างเหมารายเดือนได้ แม่ของเพื่อนนั่งสามล้อไปรับลูกที่โรงเรียน ก็จ้างเหมาสามล้อว่าบ่ายสามโมงมารับที่บ้าน หรือบางบ้านก็จ้างสามล้อไปรับลูกๆที่โรงเรียนเลยทีเดียว สามล้อพวกนี้จะดูแลเด็กๆเหมือนเป็นลูกหลาน 5 สามล้อมีกระดิ่งดีดเสียงดังมาก เวลาเลี้ยวมุมถนนเขาจะยื่นมือขวาออกไป เป็นสัญญาณให้รถอื่นๆและคนเดินถนน รู้ว่าจะเลี้ยว 6 พื้นที่วางเท้า กว้างพอที่เด็กเล็กๆจะนั่งได้ วางตะกร้าจ่ายของจากตลาดได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ภศุสรร
อสุรผัด
ตอบ: 0
|
ความคิดเห็นที่ 132 เมื่อ 03 พ.ค. 21, 10:42
|
|
ต้องขอรบกวนเรียนถามท่านอาจารย์หน่อยนึงน่ะครับ ว่าเท่าที่ท่านอาจารย์ทราบนั้น รถสามล้อคนลากได้เรี่มจางหายและหมดไปในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงเวลาใดครับผม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 133 เมื่อ 03 พ.ค. 21, 11:09
|
|
รถลาก กับรถสามล้อไม่เหมือนกันนะคะ ไม่ทราบว่าคุณหมายถึงประเภทไหน
รถลากมีสองล้อเท่านั้นค่ะ ไม่ใช่สาม น่าจะหมดไปเมื่อรถสามล้อเข้ามาได้รับความนิยม ดิฉันเกิดมาก็ไม่เคยเห็นรถลากแล้วค่ะ ส่วนสามล้อ ถูกผลักดันออกไปจากกรุงเทพหลังปี 2502 แต่ยังมีในต่างจังหวัด ปัจจุบันน่าจะหมดไปแล้วเมื่อมีตุ๊กตุ๊กเข้ามาแทนที่
ฝากถามคุณหมอเพ็ญดีกว่า แถวปากช่องยังมีไหม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ภศุสรร
อสุรผัด
ตอบ: 0
|
ความคิดเห็นที่ 134 เมื่อ 03 พ.ค. 21, 11:23
|
|
ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับสำหรับความสับสน รถสามล้อที่กระผมได้กล่าวถึงก็คือรถลากนั่นแหละครับ กระผมก็น่าจะรีบพิมพ์จนพิมพ์ผิดไปเองนั่นแหละครับ ต้องขออภัยด้วยจริงๆครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|