จ้อ
|
บังเอิญได้อ่านมิติชนสุดสัปดาห์ แล้วพบบทความของ คุณ ไมเคิล ไรท์ (อีกแล้ว)
เลยก็อปเอามาให้อ่านกันครับ จะค่อนข้างยาวเล็กน้อย />
/> --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- />
ระบบการศึกษาและอำนาจในสังคมไทย :ต้นสมัยจักรวรรดินิยม :- ฝรั่งเป็น 'อริ' หรือ 'อริยะ' ?
ไมเคิล ไรท์ />
ในรัชกาลที่ 3 ดูเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สยามยังเป็นสยามเหมือนสมัยอยุธยา พุทธและพราหมณ์ยังเป็นบรรทัดฐานของ "อารยธรรม", กษัตริย์ยังเป็นกษัตริย์, ไพร่ยังเป็นไพร่ และจักรพรรดิเมืองจีนยังเป็นร่มโพธิ์ ร.3 /> จึงไม่มีเหตุต้องสนใจฝรั่งหรือฟังเสียงทูตที่เข้ามาเรียกร้องต่างๆ นานา
อย่างไรก็ตาม ในรัชกาลที่ 3, โลกรอบด้านสยามกำลังเปลี่ยนไปมาก และมีการปฏิวัติโลกทรรศน์ของปัญญาชนสยาม ว่าง่ายๆ "ไตรภูมิ" ของชาวสยามถูกพลิกคว่ำอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ผลก็คือสยามจะเป็นสยามแบบเดิม (อยุธยา, ขอม) อีกต่อไปไม่ได้
/> ความเปลี่ยนแปลงครั้งรัชกาลที่ 3 มีหลายประการ หลายระดับ ทั้งภายนอกและภายใน ทั้งด้านภววิสัยและอัตวิสัย
ทางด้านนอก ในต้นรัชกาลที่ 3 ได้ยึดรามัญญเทศ (เมืองมอญในตอนใต้ของพม่า) ประชิดชายแดนด้านตะวันตกใน ค.ศ.1825 และฝรั่งเศสเริ่มเบียดเบียนรังแกเวียดนาม ประชิดชายแดนด้านตะวันออก
มองจากกรุงเทพฯ แล้วคงเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่เห็นศัตรูเก่า (พม่าและเวียดนาม) ถูกถอนอำนาจ แต่ในขณะเดียวกันก็น่ากลัว เพราะสยามถูกขนาบระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส ที่ต่างมีอาวุธร้ายแรงและการจัดทัพที่มีประสิทธิภาพสูง
อย่าให้พูดถึงฝรั่งเศสที่เกลี้ยกล่อมเขมรและลาว และอังกฤษที่เกลี้ยกล่อมล้านนาและรัฐต่างๆ ในแหลมมลายู ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้น, ในสงครามฝิ่น (1839-42) อังกฤษและมหาอำนาจตะวันตกอื่นๆ ได้รุกรานรังแกและบังคับเมืองจีนตามใจชอบ
โดยที่จีนสู้หรือโต้ตอบไม่ได้เพราะอาวุธยุทโธปกรณ์ล้าสมัย และการจัดตั้งทั้งทางทัพและทางบ้านเมืองใช้งานไม่ได้เสียแล้ว
/> ผลก็คือสยามโดดเดี่ยว, ไม่มีที่พึ่ง บารมีจักรพรรดิเมืองจีนหดหู่, นโยบายอันเก่าแก่ที่สยามเคยพึ่งร่มโพธิ์เมืองจีนจึงล่มสลายไม่มีความหมาย />
ในเรื่องนี้อย่าเชื่อผมเลย ให้ฟังเสียง ร.3 ที่ตรัสในวาระสุดท้ายว่า
"การศึกสงครามข้างญวนข้างพม่าก็เห็นจะไม่มีแล้ว จะมีอยู่ก็แต่ข้างพวกฝรั่งให้ระวังให้ดีอย่าให้เสียทีแก่เขาได้ /> การงานสิ่งใดของเขาที่ดีควรจะเรียนร่ำเอาไว้ก็เอาอย่างเขา /> แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว" (พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์, รัชกาลที่ 3, กรมศิลปากร, พ.ศ.2538, หน้า 152)
ด้านภายใน ในปลายรัชกาลที่ 3 สยามถูกล้อมรอบ จึงยากที่จะส่งทัพไปรุกรานบ้านอื่นเมืองอื่น (เช่น เขมร, ลาว, มลายู) แล้วลากเชลยศึกกลับมาเป็นไพร่ขุดคลอง, สร้างกำแพงเมือง, ทำนาข้าว (สิ่งที่ขอมเคยทำมาก่อน)
/> ในยุคขาดแคลนแรงงานเช่นนี้ ชนชั้นปกครองจึงหันไปจ้างแรงงานราคาถูกของคนจีน ที่หนีความอดอยากในจีนตอนใต้
นี่คือจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ค่อยได้รับการศึกษา ในเมื่อแรงงานจีนเข้ามาแทนที่แรงงานไพร่เดิม (ลาว, มอญ, เขมร, มลายู) />
แรงงานไพร่เดิมนั้นหายไปไหน มีเวลาว่างจากราชการ และมีเสรีภาพที่จะสร้างครอบครัวให้ร่ำรวยมั่งคง? หรือตกนอกคอกเศรษฐกิจสมัยใหม่ ? เรื่องนี้ต้องค่อยว่ากันภายหลัง
กึ่งในกึ่งนอก รัชกาลที่ 3 เป็นยุคมหัศจรรย์สำหรับชาวสยามและฝรั่งพอๆ กัน เพราะเป็นยุคที่ความคิดและการทดลองยุคก่อนๆ เริ่มมีผลเป็นรูปธรรมอย่างเห็นได้ด้วยตา
ในรัชกาลที่ 3 เรือกลไฟลำแรกเข้ามาจอดในแม่น้ำเจ้าพระยา เราท่านไม่ตื่นเต้นกับเรือกลไฟ, แต่คนรุ่น ร.3 เคยเห็นแต่เรือฝีพายหรือเรือใบ นี่คงเป็นครั้งแรกที่ท่านเห็น "เรือเดินเอง" ที่ไม่ต้องคอยลมเข้าใบหรือพึ่งแรงพาย /> ซึ่งคงสร้างความตื่นเต้นกับคนทั่วไปและเรียกร้องความสนใจในหมู่เจ้านาย /> (เช่น เจ้าฟ้าจุฑามณี/พระปิ่นเกล้า) ที่โปรดศึกษาวิทยาศาสตร์ />
ในด้านแพทยศาสตร์ตะวันตกยังล้าหลังอยู่มาก แต่มีสิ่งใหม่ที่เป็นจุดเด่นคือการปลูกฝีป้องกันโรคฝีดาษอย่างได้ผลที่การแพทย์แผนโบราณไม่มีมาก่อน หมอสอนศาสนานำเข้ามาครั้งรัชกาลที่ 3 และเป็นที่นิยมทั้งในและนอกรั้ววังในทันที
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือแท่นพิมพ์ของหมอ บรัดเลย์ ที่สามารถพิมพ์ภาษาไทยด้วยอักษรไทยเป็นครั้งแรก (แท่นพิมพ์ภาษาไทยอักษรโรมันมีมาก่อนแล้ว)
พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎเป็นคนแรกที่จับความได้ว่า แท่นพิมพ์เป็นเครื่องมือที่จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงและความเจริญครั้งยิ่งใหญ่ เช่น กับที่เกิดในยุโรปแต่ก่อนเมื่อ Gutenburg คิดแท่นพิมพ์ที่ทำให้หนังสือ (และความรู้) เป็นของทุกคน /> ไม่ใช่ของชนชั้นเจ้านายฝ่ายเดียวที่มีทรัพย์เลี้ยงเสมียนคัดลอกเอกสารหรือจารใบลาน />
/> พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎเป็นชาวสยามคนแรกที่เป็นธุระสั่งซื้อแท่นพิมพ์กับตัวพิมพ์อักษรไทย (จากคณะมิชชันนารีเมืองกัลกัตตา) มาไว้ที่วัดบวรนิเวศ
วันบวรฯ นี้น่าจะเคยเป็นศูนย์กลางที่ชาวสยามเริ่มศึกษาตะวันตก (ที่ผมอยากเรียกว่า "ผรังคิวิทยา") เป็นที่น่าเสียดายมากว่าหลัง 2475 ชนชั้นปกครองใหม่รังเกียจเจ้านายรุ่นเก่า, จนบัดนี้จึงไม่มีการศึกษาบทบาทของวัดบวรฯ ครั้งคริสต์ศตวรรษที่ 19 ตอนกลาง (ผมหมายถึงการศึกษาเชิงวิเคราะห์, ไม่ใช่สรรเสริญหรือติเตียน)
/> การเปลี่ยนแปลงทางปัญญา
ระหว่างต้นรัชกาลที่ 1 กับปลายรัชกาลที่ 3 สภาพภายนอกและภายในของสยามได้เปลี่ยนไปมาก /> แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการเปลี่ยนทรรศนะของปัญญาชนชั้นเจ้านายครั้งรัชกาลที่ 3 (ปัญญาชนชาวบ้านยังไม่มีเสียง)
ในรัชกาลที่ 3 มีเจ้านายหลายคนว่างราชการ จึงมีเวลาว่างติดตามความสนใจของตน อย่าคิดว่ามีพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎเพียงองค์เดียว ในกลุ่มปัญญาชนครั้ง ร.3 ยังมีอีกหลายๆ คน เช่น เจ้าฟ้าจุฑามณี (ที่พ่อขนานนามว่า George Washington ตามผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐ)
พระองค์เจ้าวงศาธิราชที่ได้ประกาศนียบัตรทางการแพทย์ (ทางไปรษณีย์) จากสหรัฐ และคงมีอีกหลายๆ ท่านที่ประวัติศาสตร์ลืมหรือตั้งใจเขี่ยไม่ให้ใครรู้ไม่ให้ใครจำ เจ้าฟ้าจุฑามณีถนัดภาษาอังกฤษ, ถนัดการฝึกทหารแบบตะวันตก และยังใฝ่ใจกลศาสตร์และเทคโนโลยีถึงได้ต่อเรือกลไฟลำแรกของสยาม
/> อย่างไรก็ตาม พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎเป็นปัญญาชนรุ่น ร.3 ที่น่าสนใจที่สุด (และติดตามได้ง่ายที่สุดเพราะมีหลักฐานสมบูรณ์ที่สุด)
พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎเป็นปัญญาชนสมบูรณ์แบบ (RenaissanceMan) ที่รวบรวม "โบราณวิทยา" (ความรู้ที่รับมาจากอดีต เช่น ภาษามคธ และพุทธศาสน์) กับ "ผรังคิวิทยา" (ความรู้ใหม่ที่รับมาจากตะวันตก เช่น ภาษา วิทยาศาสตร์ และทฤษฎีการปกครองสมัยใหม่) ในองค์เดียวกัน อย่าให้ผมรายงานทั้งหมด ซึ่งปรากฏมากมายก่ายกองในที่อื่น
ผมขอยกสอง-สามประเด็นที่เห็นว่าสำคัญมากและน่าควรศึกษาอีกต่อไป
/> ประการแรก คือ พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ (ที่ถนัดภาษามคธ) เคยศึกษาภาษาละตินกับ "สังฆราช" ปาลเลกัว (พ่อเจ้าวัด Conception สามเสนปัจจุบัน) และนับถือท่านเป็นพระอาจารย์ที่บ้านเขมร ภาษาละตินเป็นภาษาราชการของจักรวรรดิโรมันเมื่อ 2,000 ปีที่แล้วและเป็นภาษาโบราณหลักๆ ของวัฒนธรรมตะวันตก ประเด็นสำคัญคือ ภาษาละตินและมคธมีลักษณะทางภาษาศาสตร์ (ทั้งไวยากรณ์และศัพท์) ที่แสดงว่าเป็นญาติกันอย่างสนิท
ผมไม่มีหลักฐานว่า ท่านเรียนละตินแล้วคิดอย่างไร (เพราะไม่มีบันทึก) แต่ขออนุมานว่าพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎคงจับความได้ทันทีว่า ชาติฝรั่งที่ใช้ภาษาละตินเป็นหลักทางวัฒนธรรมนั้น น่าจะเป็นอารยชนที่อยู่ในตระกูลเดียวกันกับ ศากยมุนี ที่พูดมคธเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว นี่คือการปฏิวัติทางทัศนคติว่า พวกฝรั่งไม่ได้เป็น "ยักษ์เป็นมาร" ดั่งที่คิดมาก่อน หากเป็น "นานาอารยประเทศ" คำนี้เป็นคำที่จะได้ยินบ่อยมากในรัชกาลที่ 5 ต่อไป
/> ประการที่สอง คือ ศิลาจารึกหลักที่ 1 สุโขทัย (จารึกพ่อขุนรามคำแหง) ซึ่งผมไม่อาจเชื่อได้ว่าเป็นงานใน คริสต์ศตวรรษที่ 13 ผมเชื่อว่าพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎคงได้วานให้คณะบัณฑิตทำขึ้นมา ไม่ใช่เพื่อหลอกใครแต่เพื่อเชื่อมโยงระหว่างอดีตที่นับถือ (Ideal Past) กับอนาคตที่ฝันหา (Ideal Future) ว่าอีกนัยหนึ่ง, จารึกหลักที่ 1 ไม่ได้เป็นเอกสารโบราณ "ปลอม" (Fake) หากเป็นพิมพ์เขียวสำหรับอนาคตอันอุดมในรูปของวรรณกรรมโบราณ จารึกหลักนี้สนองความต้องการของสังคมไทยกลาง คริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่ต้องการการสืบสันตติวงศ์แบบตะวันตก, การค้าเสรี ฯลฯ ที่ชนชั้นปกครองทั่วโลกไม่เคยนึกถึงในคริสต์ศตวรรษที่ 13 (โปรดดูศิลปวัฒนธรรมปีที่ 21 ฉบับที่ 9)
/> นอกจากปัญญาชนในบรมวงศ์แล้ว ผมเชื่อว่ายังคงมีอีกหลายคนที่ช่วยปฏิวัติความคิดครั้งนั้น เช่น เจ้านายในตระกูลบุนนาค
นักประวัติศาสตร์มักเสนอว่าพวกบุนนาคนั้นเป็นพวก "อนุรักษนิยม" บ้าง, "หัวโบราณ" บ้าง, แต่จากจดหมายเหตุฝรั่งจะเห็นได้ชัดว่าผู้นำตระกูลบุนนาค (อย่างน้อยดิศและช่วง) ทำการค้าขายกับต่างประเทศ ถนัดภาษาอังกฤษ และติดตามข่าวในยุโรปและอเมริกา (จากหนังสือพิมพ์สิงคโปร์และฮ่องกง ?) ดังนั้น เราไม่ควรมองข้ามบทบาทของตระกูลบุนนาค
ในขณะที่ปัญญาชนชาวเมืองหลวงเริ่มแปรพักตร์ไปสู่ทิศตะวันตกและผดุงวัฒนธรรมใหม่นั้น ยังได้เกิดวิวัฒนาการทางปัญญาอีกขนานหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเป็นคู่ (หรือเป็นลูก) ของทัศนคติใหม่ของชนชั้นปกครอง นั่นคือ ในสายตาของคน "เจริญ" ในเมืองหลวง ชาวชนบท (ไม่ว่าเป็น ไทย, ลาว, มอญ, เขมร) กลายเป็นคนล้าหลัง ไม่มีปัญญา ไม่มีวัฒนธรรมที่น่าเคารพหรือควรปรึกษา
นี่คือจุดเริ่มต้นของช่องว่างระหว่างนักปกครอง (ข้าราชการ) และผู้ที่ถูกปกครอง (ราษฎร) ที่ยังอยู่กับเราจนทุกวันนี้และแก้ไม่ตก เพราะไม่มีใครยอมรับว่าสาเหตุเป็นเช่นนี้
อาจจะเป็นเพราะกลัวจะต้องโทษท่านหรือชนชั้นของท่าน
/> ในเรื่องนี้ผมไม่เห็นทางที่จะโทษใคร หรือโทษชนชั้นใด เรื่องแบบนี้เป็น "กรรม" ที่กลิ้งเหมือนกงล้อตามรอยตีนของวัวลาก
คนทุกคนเกิดในกาลสมัยของตนและเผชิญปัญหาเฉพาะของตนด้วยปัญญาเท่าที่มีในยุคนั้นๆ ดังนั้น คนปัจจุบันจะติเตียนคนในอดีตไม่ได้
หรือว่านักประวัติศาสตร์ไทยจะโทษฝรั่งชั่ว ? ก็โทษฝรั่งได้ และคงสร้างความอบอุ่นใจ ความพอใจไม่น้อย
แต่ตราบเท่าที่คนไทยโทษชาติอื่นในความเจ็บปวดของตน ก็เท่ากับว่าคนไทยไม่ต้อง (และไม่มีทาง) แก้ปัญหาของตนเอง
สรุป
/> สุดท้ายนี้ผมขอเสนอว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดในรัชกาลที่ 5, รัชกาลที่ 6, รัชกาลที่ 7 และสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม นั้น ล้วนแต่น่าสนใจอย่างยิ่ง />
อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงทางทัศนคติ และวิวัฒนาการทางปัญญาที่เกิดครั้งรัชกาลที่ 3 นั้น สำคัญกว่ากันมาก /> เพราะเป็นจุดกำเนิดของปัญหาปัจจุบัน
|