ขอตอบเรียงที่ละประเด็นนะครับ
1. ทำไมงานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ถึงไม่ทำต่อล่ะครับ
เพราะเหตุว่า เป็นงานที่จัดขึ้นวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมเด็จพบรมมหาอัยยิกาธิราช (ปู่ทวด) แต่เสด็จสวรรคตเสียก่อน
2. งานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ ไม่ใช่งานเดียวกันกับงานแสดงพานิชย์และเกษตรที่คุณ pipat กรุณานำมาโพสต์ไว้ ในเกร็ดบางเรื่องเกี่ยวกับรัชกาลที่ 6 นะครับ Exhibition of Agricultural & Commerce "Report of the First and the Second Exhibition of Agricultural & Commerce, Bangkok 1910, 1911"
งานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า The Kingdom of Siam Exhibition โดยความหมาย คือ งานแสดงสินค้านานาชาติ ที่มุ่งเน้นการส่งออกและส่งเสนิมการท่องเที่ยวประเทศสยาม แต่งานแสดงพานิชย์และเกษตรที่คุณ pipat กรุณานำมาโพสต์ไว้ ในเกร็ดบางเรื่องเกี่ยวกับรัชกาลที่ 6 ที่ใช้ชื่อว่า Exhibition of Agricultural & Commerce ซึ่งจัดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ - ๕๔ นั้นเป็นการส่งเสริมกิจการพาณิชยกรรมและกสิกรรมภายในประเทศ เป็นงานที่มีจุดมุ่งหมายต่างกัน
3. สมัยนั้นผลตอบรับเป็นอย่างไรบ้างครับดุสิตธานี หลังจากนั้นไม่มีกิจกรรมเรียนรู้ประชาธิปไตยต่อเหรอครับ จู่ๆ ประชาธิปไตยก็กลายเป็นประชาธิปไตยของคนจบนอกฯไปซะงั้น ไพร่ฟ้าหน้าใส ตาสีตาสาไม่เห็นเขารับรู้กันซะเท่าไรเลยน่ะครับ แล้วจะเรียกว่าประชาธิปไตยได้หรือไม่ล่ะครับ นั่นหมายความว่าผลของดุสิตธานีใช้ได้ผลเหรอครับ
เรื่องการทดลองประชาธิปไตยในดุสิตธานีนั้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ ทรงพระราชวิจารณ์ว่า คณะผู้การ ร.ศ. ๑๓๐ นั้น เพียงแต่รู้เรื่องคอนสติวตูชั้นกันอย่างงูๆ ปลาๆ ก็จะมาคิดอ่านเปลี่ยนแปลงการปกครอง และเพราะเห็นพวกเก๊กเหฒ็ง (พรรคก๊กมินตั๋ง) สามารถล้มระบอบกษัตริย์ในประเทศจีนได้แล้ว ก็คิดว่าระบอบประชาธิปไตยนั้นจะนำมาใช้กับเมืองไทยได้ ทั้งที่สาเหตุการโค่นล้มระบอบกษัตริย์ในจีนนั้นเกิดจากปัญหาที่สุกงอมจนราษฎรไม่สามารถที่จะทนอยู้กับระบอบกษัตริย์ที่ไม่ยึดมั่นในทศพิธราชธรรมอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้จึงได้ทรงพระชวิจารณ์เรื่องระบอบการปกครองไว้ในสมุดจดหมายเหคุรายวันส่วนพระองค์ว่า ระบอบบอลเชวิค (ตอมมิวนิสต์) นั้นเป็นเรื่องเพ่อฝันที่ไม่อาจเป็นไปได้จริง ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างตกเป็นของรัฐแล้ว ย่อมไม่เกิดแรงจ฿งใจให้เกิดการผลิต และจะพาให้ระบบนี้ต้องล่มสลายโดยตัวเอง ซึ่งเวลานี้ก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นดังพระราชวิจารณ์ ส่วนระบอบประชาธิปไตยนั้นทรงพระราชวิจารณ์ว่า ถ้าคนมีเงินหรือมีอิทธิพล แล้วใช้อำนาจเงินหรืออิทธิพลที่มีอยู่โน้มน้าวผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนให้เลือกพวกตนเข้าไปในสภา ก็เท่ากับมอบอำนาจของปวงชนนั้นให้แก่ผู้มีเงินหรือมีอิทธิพลนั้น เมื่อได้อำนาจบริหารประเทศแล้ว คนเหล่านั้นย่อมคิดถึงแต่เงินหรืออิทธิพลที่ได้ลงทุนไป จึงมักจะคิดถึงประโยชน์ของกลุ่มตนก่อนประโยชน์ของประเทศชาติ สุดท้ายผู้ที่รับกรรมคือ ประชาชนผู้ที่เลือกคนเหล่านั้นเข้าไป สำหรับประเทศไทยทรงพระราชดำริว่า ระบอบที่เหมาะสมที่สุด คือ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และมีทศพิธราชธรรมเป็นเครื่องกำกับการใช้พระราชอำนาจ ยามใดที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงอยู่ในทศพิธราชธรรม ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ประชาชนก็จะพร้อมกันถอดพระมหากษัตริญ์พระองค์นั้น แล้วเชิญบุคคลที่เหมาะสมขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ดังมีความปรากฏในพระราชพงศาวดารแต่ก่อนมา
ถึงแม้จะมีพระราชวิจารณ์ดังว่า แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงตระหนักดีว่า ถึงวันหนึ่งประเทศไทยจะต้องเป็นประชาธิปไตย ดังจะเห็นได้ว่า ได้ทร.สึกษาเรื่องประชาธิปไตยมาตั้งอต่ประทับทรงศึกษาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ทรงจัดตั้ง The New Republic ขึ้นกับพระสหายชาวอเมริกัน เมื่อเสด็จฯ กลับเมืองไทยก็ทรงเล่น "เมืองมัง" ที่พระตำหนักจิตรลดา ครั้นเสด็จขึ้นครองราชย์ฯ แล้วก็ทรงเล่น "เมืองทราย" ที่ค่ายหลวงหาดเจ้าสำราญ จนมาเกิดเป็นเมืองจำลองดุสิตธานี ท่านผู้นใจเรื่องนี้ขอได้โปรดหาหนังสือเรื่อง ประชาธิปตยแบบต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ของหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล มาอ่าน จะทราบแนวพระราชดำริที่พัฒนามาตั้งแต่ประทับทรงศึกษาที่อังกฤษตราบจนเสด็จสวรรคต
4. ในดุสิตธานีน่ะครับผมเคยจำๆ มาว่าทรงสร้างดุสิตธานีเพื่อเป็นเมืองจำลองประชาธิปไตย นอกจากนั้นก็ไม่ทราบเลยครับว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ในนั้นทำอะไรกันบ้าง มีกิจกรรมอะไร(เคยเรียนมาว่ามีการเลือกตั้ง: เขาทำกันอย่างไรน่ะครับ) ดุสิตธานีเคยตั้งอยู่ที่ไหน แล้วตอนนี้หายไปไหน ทำไมหายไป
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างดุสิตธานีเป็นเมืองจำลอง ประกอบไปด้วยอาคารขนาดเล็กความสูงประมาณ ๓๐ - ๖๐ เซนติเมตร แต่บางหลังก็สูงกว่านั้น อาคารบางหลังจำลองมาจากอาคารจริงในอัตราส่วน ๑ : ๒๐ หรือ ๑ : ๒๕ เช่น พระที่นั่งไพชยน์มหาปราสาท จำลองมาจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระที่นั่งเทวอาสน์จำรูญ จำลองมาจาก พระที่นั่งภานุมาศจำรูญ (ปัจจุบันคือ พระที่นั่งบรมพิมาน) อาคารในดุสิตธานีมีหลากหลายสถาปัตยกรรม ผู้สนใจเข้าไปชมได้ที่
http://www.krama6.su.ac.th/tour/tour00.htm พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพลเมืองคนหนึ่งของดุสิตธานี ทรงใช้พระนามแฝงว่า "นายราม ณ กรุงเทพ" มีอาชีพเป็นทนายความ และอีกสถานะหนึ่งทรงเป็น "พระรามราชมุนี" เจ้าอาวาสวัดธรรมาธิปไตย โปรดสังเกตชื่อวัด ซึ่งทรงเน้นคำว่า "ธรรมาธิปไตย" หรืออธิปไตยที่มีธรรมเป็นเครื่องกำกับ เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๑ สงบลง พระรามราชมุนีได้แสดงพระธรรมเทศนาปรารภเหตุแห่งธรรมในการบพเพ็ญกุศลให้แก่ทหารที่เสียชีวิตในสงครามครั้งนั้น และอีกครั้งหนึ่งเมื่อมีการบำเพ็ญกุศลให้ นายจ่ายวด (ปาณี ไกรฤกษ์) มหาดเล็กคนหนึ่งที่ประอุบัติเหตุถึงแก่กรรมเมื่ออายุเพียง ๒๑ ปี
เมื่อมีการเลือกตั้งครั้งแรกในดุสิตธานี ทวยนาคร (คือ พลเมือง) ของดุสิตธานีได้พร้อมกันไปเชิญท่านราม ณ กรุงเทพ ซึ่งเป็นนักเรียนนอก เคยเห็นฝรั่งลือกตั้งมาเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งคนแรกของดุสิตธานี ท่านรามได้จัดการเลือกคั้งในดุสิตธานีจนสำเร็จเรียบร้อยไม่มีบัตรผี ไพ่ไฟ เช่นในยุคต่อมา ในการเลือกตั้งครั้งที่สองท่านรามมีธุระไม่สามารถมาจัดการเลือกตั้งได้ แต่ได้แนะนำให้ไปเชิญพระยาสุนทรพิพิธ (เชย มัฆวิบูลย์) จากกระทรวงมหาดไทยมาจัดการเลือกตั้งแทน การเลือกตั้งก็เป็นไปโดยเรียบร้อย และท่านรมก็ไม่เคยมาอำนวยการเลือกตั้งอีกเลยจนดุสิตธานียุบเลิกไป
การเลือกตั้งในดุสิตธานีมีทั้งแบบทวยนาครเลือกนคราภิบาล (คือ นายกรัฐมนตรี) โดยตรง และเลือกเชษฐบุรุษ หรือผู้แทนของอำเภอให้ไปเลือกนคราภิบาล ซึ่งเป็นการเลือกตั้งโดยอ้อมอีกวิธีหนึ่ง นคราภิบาลคนแรก คือ พระยาอุดมราชภักดี (โถ สุจริตกุล) ซึ่งเป็นมหาดเล็กผู้ใหญ่ การเลือกตั้งในเวลาต่อมามีการแบ่งเป็นพรรคแพรแถบสีแดง และแพรแถบสีน้ำเงิน มีการส่งผู้สมัครเข้าแข่งขันกัน ดุสิตธานีมีการเลือกตั้งหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายได้นายลิขิตสารสนอง (ชัพน์ บุนนาค) ลูกเสือไทยคนแรก เป็นนคราภิบาลที่มีอายุน้อยที่สุด และอยู่ในตำแหน่งนานที่สุด จนถึงแก่กรรมเมื่ออายุกว่า ๘๐ ปี ข้อสังเกตเรื่องนคราภิบาล คือ โปรดให้ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยได้มีโอกาสแสดงความสามารถ ซึ่งในสถานการณ์จริงผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งก็อาจมีได้ทั้งผู้ใหญ่และผู้ที่อายุยังน้อย
ในดุสิตธานีนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยเสก็จไปในฐานะพระมหากษัตริญเพียง ๒ ครั้ง คือ เมื่อคราวเสด็จไปทรงเปิดศาลารัฐบาลมณฑลดุสิตราชธานี ซึ่งในครั้งนั้นมีพระราชกระแสว่า วิธีการใดๆ ในธานีเล็กๆ แห่งนี้ ก็หวังใจว่าจะได้นำไปใช้กับประเทศสยามต่อไป และอักคราวหนึ่ง คือ การเสด็จไปทรงวางพวงมาลาอนุสาวรีย์ทหารอาสาในดุสิตธานีเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๑ จบลง
วิธีการปกครองในดุสิตธานีนั้น มีรูปลักษณะการปกครองท้องถื่น เน้นเรื่องสุขอนามัยเป็นหลัก มีการเก็บภาษีและเบี้ยปรับต่างๆ รวมทั้งมีการออกหนังสือดุสิตสมิตโดยทุนส่วนพระองค์ แต่รายได้จากภาษีและค่าปรับรวมตลอดทั้งค่าเช่าบ้านของพระคลังข้างที่และรายได้จากหนังสือดุสิตสมิตโดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดไ ทั้งสิ้น ล้วนถูกส่งไปสมทบซื้อเรือหลวงพระร่วงและบำรุงการกุศลสาธารณะ เช่น สภากาชาด เป็นต้น
แต่คำตอบสุดท้ายสำหรับพระราชกรณียกิจต่างในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น น่าจะจบลงตรงกระแสพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระอนุชาธิราชร่วมพระอุทร ซึ่งหม่อมเจ้าหญิงพูนพิสมัย ดิศกุล ทรงบันทึกไว้ในสิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็นว่า "สวรรค์ให้ฉันมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินเพื่อจะล้มล้างสิ่งที่รัชกาลที่ ๖ ทำเอาไว้" กระแสพระราชดำรัสดังกล่าวเป็นเครื่องพิสูจน์กระแสพระราชดำรัสในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ที่ว่า "กว่าคนเขาจะรู้ว่า ข้าทำอะไรไว้แก่แผ่นดิน ข้าคงตายไปหลายสิบปีแล้ว"