SILA
|
ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อ 03 ต.ค. 08, 15:57
|
|
ความสัมพันธ์ของเธอและเดนิสเริ่มบนพื้นฐานที่ต่างยอมรับในความเป็นอิสระของทั้งสองฝ่าย แต่ เมื่อเวลาผ่านไป เธอก็กลับกลายเป็นฝ่ายผูกพันเฝ้ารอคอยการมาถึงของเขา เธอจะใช้เวลานานเป็นสัปดาห์เป็นเดือนในการตระเตรียมสรรพสิ่งเพื่อต้อนการกลับมาของเขา และ เมื่อเขาจากไปเธอก็จะตกอยู่ในอาการซึมเศร้าอยู่นานนับสัปดาห์นับเดือน ดังที่เธอเขียนไว้ในจดหมายฉบับหนึ่งว่า
"to love the ground he walks upon, to be happy beyond words when he is here, and to suffer worse than death many times when he leaves."
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อ 03 ต.ค. 08, 16:05
|
|
เดนิสย้ายเข้ามาอยู่กับคาเรนในปี 1924 ก่อนหน้าที่เธอจะหย่าขาดอย่างเป็นทางการจากสามีในเดือนมกราคม 1925 เขาดำเนินอาชีพพาคนมั่งมีท่องซาฟารีโดยมีคนสำคัญที่มีชื่อเสียงหลายคนได้เคยมาใช้บริการจากเขา ในปี 1926 คาเรนอาจจะเข้าใจผิดว่าตั้งครรภ์ หรือตั้งครรภ์แล้วตกไปอีก ความสัมพันธ์ของเธอกับเดนิสปรากฏ ความไม่ลงรอยเนื่องมาจากเขากลัวการผูกมัด เมื่อเธอส่งโทรเลขไปบอกข่าวทารกในครรภ์กับเดนิสโดยใช้คำว่า Daniel แทน เดนิสได้ตอบทางโทรเลขกลับมาว่า
"Reference your cable and my reply please do as you like about Daniel as I should welcome him if I could offer partnership but this is impossible STOP You will I know consider your mother's views Denys."
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อ 03 ต.ค. 08, 16:08
|
|
ปี 1927 เป็นปีแห่งความสุขเมื่อเดนิสให้เวลาอยู่กับเธอมากขึ้น เธอได้มีโอกาสถวายการต้อนรับเจ้าชายแห่งเวลซ์ (พระเจ้าเอ็ดเวิร์ด และสุดท้ายท่านดยุคแห่งวินเซอร์ในกาลต่อมา) ในเดือนธันวาคม 1928 โดยมีเดนิสและบรอร์นำเจ้าชายเสด็จซาฟารี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 18 เมื่อ 03 ต.ค. 08, 16:11
|
|
เดนิสได้เข้าเรียนการบินในปี 1929 แล้วซื้อเครื่องบินมาใช้ในฤดูร้อนปีต่อมา ในสมัยนั้นการเรียน การมีเครื่องบิน ไม่ได้เป็นเรื่องยาก เขาประสบอุบัติเหตุขณะบินในอังกฤษจนต้องส่งซ่อมก่อนจะนำลงเรือกลับมา แล้วพาคาเรนและเพื่อนๆ ซึ่งรวมทั้ง Beryl Markham * ขึ้นบินชมทัศนียภาพงามงดของแอฟริกาทางอากาศ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อ 03 ต.ค. 08, 16:13
|
|
ปี 1930 เป็นปีวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำ ส่งผลอย่างหนักต่อฐานะการเงินของไร่กาแฟซึ่งให้ผลผลิตไม่ดี เนื่องจากดินไม่เหมาะกับการปลูกกาแฟ เดนิสตั้งชื่อเครื่องบินที่เขาซื้อมาว่า Nzige (แปลว่าเจ้าตั๊กแตน) เขาพาเธอบินเหนือผืนแผ่นดินแอฟริกาที่เธอรัก
เธอได้เขียนบรรยายว่า
"To Denys Finch-Hatton I owe what was, I think, the greatest, the most transporting pleasure of my life on the farm: I flew with him over Africa."
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อ 03 ต.ค. 08, 16:17
|
|
* Beryl Markham สาวชาวอังกฤษย้ายมาเคนยากับครอบครัวตั้งแต่ยังเล็ก มีความสัมพันธ์กับเดนิสในช่วง ปี 1930-31 ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เธอเป็นนักบินหญิงคนแรกที่บินเดี่ยวข้ามมหาสมุทรแอ็ตแลนติก จากฝั่งตะวันออกไปตะวันตก ในหนังคือตัวละครสาวนามว่า Felicity
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 21 เมื่อ 05 ต.ค. 08, 09:27
|
|
ทว่าช่วงเวลาแห่งความสุขนี้มีวันสิ้นสุด เธอจำต้องขายไร่กาแฟไปในเดือนมีนาคมปีต่อมา ในขณะที่สายสัมพันธ์กับเดนิสก็คลอนคลายด้วยฝ่ายชายกลัวการผูกมัด คาเรนซึ่งอยู่ในฐานะแม่ม่าย ไร้ทรัพย์สิน ไม่มีใคร ไม่เหลืออะไร ไม่มีเหตุใดให้อยู่ที่นี่ต่อไป (ยกเว้นว่าเธอจะได้แต่งงานอยู่กับเดนิส ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้) เธอไม่มีทางเลือกอย่างอื่นนอกจากการลาจากแอฟริกากลับคืนบ้านเกิด นักชีวประวัติบางคนบอกว่า ความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่ในภาวะจืดจางลงแล้ว และเดนิสได้ทิ้งคาเรน ไปหา Beryl ที่สาวกว่าและเป็นนักบินเช่นกัน บางคนว่าเดนิสอยู่กับคาเรนจนกระทั่งสองสามสัปดาห์ ก่อนเที่ยวบินสุดท้ายของเขา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อ 05 ต.ค. 08, 09:31
|
|
ในเดือนพฤษภาคม 1931 เดนิสบินไปกระท่อมริมทะเลที่มอมบาซา แล้วบินกลับมาเพื่อมองหา โขลงช้างทางอากาศโดยมีคนรับใช้ร่วมโดยสาร 14 พฤษภาคม 1931 หลังจากที่เครื่องบินของเขาทะยานขึ้นได้ไม่นาน เครื่องยนต์เกิดขัดข้อง ทั้งเดนิส และคนรับใช้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกไฟลุกไหม้
(บางคนกล่าวว่าเดนิสมีนัดพบกับผู้หญิงคนใหม่ - Beryl ในการเดินทางครั้งนี้ บ้างบอกว่าในเที่ยวบินสุดท้ายนั้น แต่แรก Beryl จะร่วมโดยสารไปด้วย แต่คนรับใช้ชาวพื้นเมืองซึ่งมีอำนาจพิเศษได้ห้ามเธอไว้)
ร่างของเขาถูกนำกลับมาแล้วทำพิธีฝังไว้ที่เนินเขา Ngong ที่ซึ่งเขาเคยเอ่ยไว้ว่าปรารถนาจะอยู่ที่นี่ มีเรื่องเล่าในเวลาต่อมาเมื่อเธอกลับไปอยู่ที่เดนมาร์กแล้วว่าสิงโตทั้งเพศผู้และเมียชอบขึ้นมาเยี่ยมเยียน และนอนรับแสงแดดอุ่นสบายที่หลุมศพแห่งนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อ 05 ต.ค. 08, 09:35
|
|
ช่วงเวลาสุดท้ายก่อนเดินทางกลับเดนมาร์กนี้ คือวันคืนแห่งห้วงอารมณ์สูญเสียรุนแรงเป็นทวีคูณของคาเรน ทั้งแผ่นดินที่เธอรักแต่ต้องพรากจาก ทั้งชายผู้เป็นคนรักแห่งชีวิตของเธอ แต่ แม้จะดูเหมือนว่าในขณะนั้น ณ ที่นี้ เธอไม่มีใคร ไม่เหลืออะไรแล้ว ถึงกระนั้นเธอก็ยังไม่ลืมชาวพื้นเมือง คิคูยูของเธอ ก่อนกลับบ้านเกิดเธอได้ดำเนินการเพื่อหาที่ดินให้แก่ชนเผ่าต่างๆ เป็นผลสำเร็จ พวกเขาได้อาศัยอยู่ ในพื้นที่ส่วนหนึ่งไม่ไกลจากไร่ของเธอ
ที่สถานีรถไฟ คาเรนอำลาแอฟริกา และ Farah ผู้ที่เป็นทั้งพ่อบ้าน ผู้ช่วยงาน และเพื่อนสนิทของเธอตลอดช่วงเวลา ในแอฟริกา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 24 เมื่อ 06 ต.ค. 08, 09:42
|
|
คาเรน เดนิส - คู่สร้าง คู่สม ที่ไม่อาจสมหวังในรัก
ทั้งคาเรนและเดนิส ต่างเป็นศิลปิน นักคิด นักสนทนา และนักล่าผู้มีฝีมือ ทั้งสองคือคู่ที่เหมาะสมราวกับว่า ต่างก็เกิดมาเพื่อกันและกัน เป็นคู่แท้ที่แม้อยู่ห่างกันแสนไกลแต่ก็ได้ข้ามมหาสมุทรเพื่อมาพบกันที่แอฟริกา ทว่าสุดท้ายแล้วในความสัมพันธ์ที่เข้ากันได้ดีนั้น กลับปรากฏจุดขัดแย้งหรือจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้ สายสัมพันธ์นั้นกลับกลาย สำหรับเธอ สายสวาทไม่อาจพาไปถึงจุดหมายคือการครอบครองคู่อยู่ด้วยกันมั่นคง สำหรับเขา สายใยนั้นคือพันธนาการที่ไม่อาจทานทนได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 25 เมื่อ 06 ต.ค. 08, 09:50
|
|
ไม่น่าแปลกใจอย่างใดเลยที่คาเรนจะตกหลุมรักเข้าอย่างจังในชายคนนี้ที่ชื่อ เดนิส เดนิสผู้มีรูปงามสะดุดสายตา เข้มแข็ง ฉลาด กล้าหาญ เป็นสุภาพบุรุษยุคเอ็ดเวิร์ด เป็นวีรบุรุษสงคราม ผู้รักอุปรากรและวรรณคดี เป็นเทพศิลป์ผู้ช่วยพาเธอผ่านช่วงเวลาทดท้อ จากชีวิตการแต่งงานที่ปราศจากความรัก ธุรกิจทำไร่ที่ไม่ประสบความสำเร็จ และซิฟิลิส เขาคือภาพในฝันที่เป็นจริงของพระเอกนายพรานผู้ปราบสิงห์ร้ายในกาฬทวีป มีตัวตนให้เธอได้สัมผัส ได้ฟังเขาท่องบทกลอนและสำราญสนทนาระหว่างการหยุดพักแรมระหว่างท่องซาฟารี เขาคือชายผู้พร้อม ด้วยคุณสมบัติเท่าเทียบกับบิดาผู้เป็นที่รักของเธอ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 26 เมื่อ 06 ต.ค. 08, 09:57
|
|
เมื่อเขาเดินทางมาแอฟริกา ดินแดนนี้คือเวทีชีวิตที่ชาวยุโรปขึ้นมารับบทวีรบุรุษในอุดมคติ หรือ เวทีสร้างฝันให้เป็นจริง สำหรับเดนิสแล้ว เป้าหมายหลักแห่งชีวิตของเขาได้รับการเติมเต็มที่นี่ ด้วยพื้นที่โล่งกว้างใหญ่ไพศาล การบินทะยานเหนือน่านฟ้า และผู้หญิงแบบโบฮีเมียน
ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาไปปฏิบัติหน้าที่รับใช้ชาติ รอดชีวิตจากกองทัพเยอรมันและไข้จับสั่น ที่สมรภูมิแอฟริกาตะวันออก ในขณะที่บรรดาเพื่อนในวัยเรียนของเขาต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้ในแนวรบยุโรป หลังสงครามโลกสงบ สรรพสิ่งเปลี่ยน ยุคเอ็ดเวิร์ดสิ้นสุด ทรัพย์สมบัติของครอบครัวถดถอยลดน้อยลง เดนิสหันมาจับอาชีพพาบุคคลสำคัญ ร่ำรวยท่องซาฟารี ซึ่งรวมถึงบรรดานักธุรกิจอุตสาหกรรมชาวอเมริกัน และ เจ้าชายแห่งเวลซ์ (พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดและท่านดยุคแห่งวินเซอร์ ในกาลต่อมา) ผู้ทรงสนพระทัยทั้งการล่าสัตว์และ ภรรยาของชาวผิวขาวที่มาตั้งรกรากที่นั่น ช่วงเวลาทศวรรษที่ 20 นั้น เป็นยุคทองสั้นๆ ของอาณานิคมเคนยา และเป็นช่วงเวลาแห่งความสัมพันธ์ของ เดนิสและคาเรน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 27 เมื่อ 06 ต.ค. 08, 10:04
|
|
เธอทรงเสน่ห์ เป็นศิลปินปนความเพี้ยนเล็กๆ (เธอเคยกล่าวว่า “it was worth having syphilis to become a baroness.”) ทั้งสองอ่านหนังสือ ดื่มดำบทเพลงของโมสาร์ทด้วยกัน ที่บ้านของเธอในยามเย็นหลังอาหาร เดนิสจะเอ่ยประโยคแรกเริ่มขึ้นมาแล้วให้เธอเล่าต่อเป็นเรื่องเป็นราวยาวเหยียด คล้ายกับนางเฌอเหราสาด (Scherherazade) เล่านิทานอาหรับราตรี เป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งของสองคนที่เป็นนักคิด นักอ่าน นักฉลาดสนทนา ในดินแดนห่างไกล ในยุคสมัยที่ไร้วิทยุ โทรทัศน์ ฯ บางครั้งเขาและเธอไปซาฟารี บางทีก็ไปปิคนิคใต้ฟากฟ้าแอฟริกา ในช่วงหลังบางเวลาเดนิสขับเครื่องบิน พาเธอท่องแอฟริกาทางอากาศ ภูมิทัศนียภาพรอบกายอันทรงพลังโอบทั้งสองไว้ด้วยกัน Simple pleasures took on a heightened intensity: the smell of camel milk in a smoke-cleansed gourd, the thin yelling of Somali singing on five sad notes, the purple hieroglyphs of shadow on the sand below a thorn tree.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 28 เมื่อ 06 ต.ค. 08, 10:12
|
|
ในช่วงแรกนั้นคาเรนจะคอยบอกกับตัวเองว่าความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างไม่มีกฎเกณฑ์เงื่อนไขนี้ เหมาะสมดีแล้วสำหรับเธอ ในที่สุด เดนิสผู้ไม่คิดจะหยุดพักพิงก็เลือกที่จะรักในแผ่นดินซึ่งเป็นตัวแทนของเสรีภาพมากกว่าเธอ เขาเจ็บปวดกับการเปลี่ยนแปลงที่นำมาซึ่งความสูญเสียของแดนเถื่อน เมื่อมองมาจากเครื่องบินภาพฝูงสัตว์อพยพเบื้องล่าง ช่างน่าเป็นห่วง เดนิสทำการรณรงค์เพื่อมวลหมู่ชีวิตเหล่านั้นได้ผลสำเร็จ ทำให้มีการจัดตั้งเขตพิทักษ์รักษาพันธุ์สัตว์ป่า แถบแอฟริกาตะวันออก และมีการออกกฎห้ามล่าสัตว์จากยานพาหนะด้วย
แม้เขาจะเป็นคนที่ดำเนินชีวิตอย่างมีจุดหมาย แต่เขาไม่ยอมหยุดอยู่กับที่ สุดท้ายเขาก็ทิ้งคาเรนไปหาหญิงอื่นที่สาวกว่า และเป็นนักบินเหมือนกัน นามว่า Beryl Markham ในตอนที่คาเรนกำลังจะสูญเสียไร่กาแฟไป และไม่นานนัก หลังจากนั้นเขาก็จากทุกๆ คนไปด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตกด้วยวัย 44 ปี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 29 เมื่อ 06 ต.ค. 08, 10:19
|
|
แม้ว่าเดนิสจะเป็นผู้ทอดทิ้งทำให้คาเรนต้องเจ็บปวดผิดหวัง แต่สิ่งสุดท้ายที่เขาได้มอบให้เธอ หลังจากความตายคือ ความสำเร็จรุ่งโรจน์จากผลงาน Out of Africa ที่สร้างชื่อระบือไกล ได้รับการพิจารณา สำหรับรางวัลโนเบล
ทุกคนที่ได้พบเดนิสเป็นต้องชอบเขา หลายคนรักเขา แต่น้อยคนนักที่จะรู้จักเขาดี สุดท้ายแล้วไม่มีใคร สามารถเข้าใจเขาอย่างถ่องแท้ แม้แต่คนรักหรือคนศึกษาชีวประวัติของเขา
คาเรนเลือกร้อยกรองกรีกเป็นคำจารึกบนหลุมฝังศพ "Though in death fire be mixed with my dust, yet care I not, for with me now all is well."
ต่อมาญาติของเขาได้สร้างแท่งหินตั้งขึ้นเหนือหลุมศพ และจารึกข้อความจากร้อยกรองที่เดนิสชื่นชอบ
"Denys George Finch Hatton" - "He prayeth well who loveth well both man and bird and beast."
(from The Rime of the Ancient Mariner)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|