เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์โลก => ข้อความที่เริ่มโดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 11:30



กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 11:30
ผมใช้เวลาว่างสองสามวันมานี้หางานให้ตนเองด้วยการรื้อกรุหนังสือออกมาดู เลยได้เจอเล่มนึงที่ได้รับจากท่านทูตไทยประจำโตเกียวเนื่องในโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตไปเป็นแขกเรือนของท่าน เป็นเรื่องเกี่ยวกับทำเนียบของเอกอัครราชทูตไทยซึ่งผมได้ไปอาศัยอยู่หลายวันนั่นเอง

ทำเนียบดังกล่าวคือบ้านหลวงที่ท่านทูตอยู่ แต่เป็นบ้านที่ต้องเรียกว่าคฤหาสน์เพราะความใหญ่โตโอ่อ่า ตั้งอยู่บนที่ดิน๕ไร่เศษของอำเภอกามิ-โอซากิ ตำบลชินางาวา ซึ่งเป็นที่ทำการของสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโตเกียวด้วย  ตอนสร้างเป็นชานเมืองแต่เดี๋ยวนี้ถือว่าอยู่กลางกรุงโตเกียวทีเดียว

ตำนานที่ว่า"พลังรักสองแผ่นดิน" คือความรักระหว่างเจ้าชายฟูเกะซึ ไอชินกากุระ กับนางฮิโระ ซะงะ ราชนิกุลของญี่ปุ่น ถ้าเล่าแค่นี้ก็งั้นๆ ต้องขยายความต่อว่าเจ้าชายฟูเกะซึ ไอชินกากุระนั้น เป็นชื่อที่จักรวรรดินิยมญี่ปุ่นตั้งให้แก่ เจ้าชายปูเจี้ย พระอนุชาแท้ๆของพระเจ้าปูยี จักรพรรดิ์องค์สุดท้ายของจีนที่ญี่ปุ่นเชิดขึ้นเป็นพระเจ้าจักรพรรดิแห่งแมนจูกัว อาณานิคมบนจีนแผ่นดินใหญ่ของตนก่อนสงครามโลกครั้งที่๒จะระเบิดขึ้น เจ้าชายปูเจี้ยต้องมาอยู่ญี่ปุ่นในฐานะตัวประกัน และถูก“จัดให้”อภิเษกกับสาวญี่ปุ่น และกลายเป็นความรักในตำนานมีการทำเป็นหนังซีรีย์ทางทีวีแฟนๆญี่ปุ่นติดกันเกรียว มีการนำมาออกอากาศในเมืองไทยด้วย


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 11:34
ลอกเอามาแปะ

"พลังรักสองแผ่นดิน" เป็นละครรักอิงประวัติศาสตร์ของสาวญี่ปุ่นกับอนุชาจักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีน ซึ่งทำเรตติ้งสูงและโด่งดังที่สุดจากญี่ปุ่น มาลงฉายในไทยทุกวันเสาร์หลังข่าวทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี ออกอากาศเสาร์ที่ 5 มิ.ย.นี้ โดยจะนำเบื้องหลังการถ่ายทำ ออกอากาศในวันเสาร์ที่ 5 มิถุนายนนี้ด้วย

"พลังรักสองแผ่นดิน" เป็นละครชุดอิงประวัติศาสตร์จีนที่นอกจากจะให้ความบันเทิงแล้ว ยังให้ความรู้และเปิดโลกทัศน์ด้านประวัติศาสตร์แก่ผู้ชม นำเสนอเรื่องราวที่น่าทึ่งของครอบครัวชาวตะวันออกและความแข็งแกร่งในรากฐานของความรัก ละครเรื่องนี้เป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพระหว่างญี่ปุ่น-จีน และสนธิสัญญาแห่งสัมพันธภาพไมตรี สร้างโดยทีวีอาซาฮี ด้วยเงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านเยน หรือประมาณ 360 ล้านบาท เนื่องจากต้องการมีการลงทุนเพื่อความสมจริงทางด้านประวัติศาสตร์ของยุคนั้น โดยเฉพาะเรื่องของฉากและเครื่องแต่งกายของนักแสดง ซึ่งในประเทศญี่ปุ่น ละครเรื่องนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก สามารถทำเรตติ้งสูงถึงร้อยละ 25.3 และได้รับรางวัล ต่าง ๆ มากมายอาทิ รางวัลนักแสดงนำฝ่ายชายยอดเยี่ยม รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เป็นต้น รวมทั้งได้แพร่ภาพดาวเทียมภาพยนตร์ชุดนี้ไปยังประเทศต่าง ๆ กว่า 50 ประเทศด้วย

เรื่องย่อละคร "ฮิโระ" บุตรสาวของขุนนางจากประเทศญี่ปุ่นได้แต่งงานกับชายผู้มีศักดิ์เป็นน้องขององค์จักรพรรดิปูยี ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์จีน และถึงแม้การแต่งงานครั้งนี้จะเกิดขึ้นด้วยเหตุทางการเมือง แต่ทั้งสองก็เรียนรู้ที่จะความเคารพในวัฒนธรรมการดำเนินชีวิตที่แตกต่างและปรับตัวเข้าหากันและกัน จนพัฒนาเป็นความรัก แต่แล้วความสุขนั้นก็อยู่เพียงไม่นาน เมื่อสงครามระหว่างจีนและญี่ปุ่นได้อุบัติขึ้นและความรักของทั้งสองถูกจับตาและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ท่ามกลางความขัดแย้งที่ทวีมากขึ้นทุกขณะ ท้ายที่สุดฮิโระถูกกล่าวหาว่าเป็นสายสืบมาจากรัฐบาลญี่ปุ่น แต่ทั้งสองยังคงเชื่อมั่นในรักแท้ แม้ว่าจะถูกพลัดพรากจากกันเป็นเวลานานถึง 16 ปี ทั้งคู่ยังคงซื่อสัตย์และยึดมั่นในความรักที่มีต่อกัน และเชื่อว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 13 ส.ค. 12, 11:44
ความรักสายสัมพันธ์ทั้งสองแผ่นดินจีนและญี่ปุ่น เคยดูและติดงอมแงมครับ  ;D

แทรกภาพพระอนุชาปูเจี๋ย (ขวา) และจักรพรรดิปูยี (ซ้าย - แว่น) ถ่ายที่สวนในวังกู้กง


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 12:20
^
สมเด็จพระจักรพรรดิ์ญี่ปุ่นพระราชทานพระนามพระเจ้าปูยี จักรพรรดิ์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ชิงให้ใหม่ว่า สมเด็จพระเจ้าฟูงี ไอชินกากุระ ส่วนเจ้าชายปูเจี้ย พระอนุชาได้รับพระราชทานพระนามว่าเจ้าชายฟูเกะซึ ไอชินกากุระ ทรงถูกส่งให้เข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยโตเกียว สำเร็จการศึกษาระดับเกียรตินิยม

ขณะที่มีพระชนมายุได้๓๐พรรษา รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการให้พระองค์ได้อภิเษกสมรสกับคนญี่ปุ่น เพื่อหวังผลทางการเมืองการปกครองในอนาคตหากจะส่งพระองค์กลับไปเมืองจีน จึงจัดการเฟ้นหากุลสตรีที่เหมาะสมมาสนองนโยบายลับนี้ และคำตอบมาตกที่แม่นางฮิโระ ซึ่งเป็นผู้ดีมีสกุลมีเชื้อของพระราชวงค์ฮิโรฮิโตอยู่ และอาศัยแม่สื่อชักนำจัดงานใหญ่ให้ทั้งสองมาดูตัวกันที่คฤหาสน์แห่งนี้

ครั้งแรกที่แม่นางฮิโตะรู้ว่าเขาจะจัดให้เธอไปถูก“ดูตัว”ก็ไม่พอใจ แต่ก็โดนเกลี้ยกล่อมให้ไปจนได้ ดังนั้นเมื่อวันที่๑๘มกราคม๒๔๘๐ ทั้งสองจึงได้พบกันตามแผนของกามเทพสะพายซามูไร โชคดีที่เจ้าชายปูเจี้ยทรงพอพระทัย เมื่อได้มานั่งร่วมโต๊ะเสวยต่างก็รู้สึกประทับใจซึ่งกันและกัน และด้วยแรงยุของแม่สื่อแม่ชัก เจ้าชายก็เสด็จมาที่คฤหาสน์แห่งนี้เพื่อมาพบแม่นางบ่อยครั้ง โดยพากันเดินชมและเกี้ยวพาราสีกันในสวนสวยงามทางด้านหลังคฤหาสน์ จนในที่สุดก็ทรงสามารถพิชิตหัวใจราชนิกุลสาวชาวญี่ปุ่นนั้นได้ และประกาศหมั้นกันในเดือนกุมภาพันธุ์ หลังจากนั้นรัฐบาลญี่ปุ่นก็ได้จัดพิธีอภิเษกสมรสให้อย่างสมพระเกียรติอย่างรวดเร็วเมื่อวันที่๓เมษายน ปีเดียวกัน

ไหนครับ..ทำไมถึงมาจัดฉากกันที่บ้านพักท่านทูตสยามหรือครับ เดี๋ยวครับ..เดี๋ยวมีคำตอบ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 12:51
ภาพจากหนังสือ

สวนญี่ปุ่นหลังทำเนียบในเดือนมีนา-เมษา ซากุระคงบานสะพรั่งอย่างนี้


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 13:10
ผมไปอาศัยอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ประมาณเดือนตุลาหรือพฤศิกาอะไรนี่  ถ้าผิด นายตั้งซึ่งเป็นผู้ช่วยทูตจากกรมทรัพย์ในโตเกียวตอนนั้นถ้าเข้ามาดูก็กรุณาช่วยแก้ไขหน่อย เพราะได้เจอกันที่นั่นด้วย ภาพนี้มาจากอัลบั้มส่วนตัว ต้องการโชว์สวนหลังบ้านอันอลังการ ต้องขออภัยเผอิญติดเอาผู้ปกครองของผมเข้าไปด้วย

ขณะนั้นเริ่มจะเข้าปลายของฤดูใบไม้ร่วง สวนสวยที่ใบไม้เปลี่ยนสี สีแดงนั้นเมเปิ้ล สีเหลืองน่าจะเป็นแปะก๊วย หน้าบ้านมีต้นอย่างนี้ต้นหนึ่งใหญ่โตมหึมากว่าที่เห็นในภาพมาก ลูกหล่นมาเกลื่อนถนน คนขับรถท่านทูตเอามาแช่น้ำไว้ ผมอยากพิสูจน์ว่ามันเหม็นแค่ไหนก็ไปดมดู …เฮ้อ..ไม่น่าเล้ยตู


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 13:25
ภาพจากหนังสือ สวนในฤดูใบไม้ร่วงที่งดงามเต็มที่


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 13:34
ความสวยจะอยู่ไม่ได้นานตามสัจธรรม พอถึงธันวาคมใบไม้จะร่วงหมดต้นเพราะทนอากาศหนาวไม่ไหว ต้นไม้ทั้งหลายเหมือนยืนต้นตายหาความสวยมิได้ มกรากุมภาในโตเกียวเผลอๆมีหิมะตกด้วย ผมสงสัยจึงว่า เจ้าชายปูเจี้ยกับแม่นางฮิโตะจะไปเดินจีบกันในสวนไหวหรือในช่วงนั้น เดี๋ยวได้ปอดบวมตาย

สงสัยคนเขียน(จำไม่ได้แล้วว่าไปเอาจากเวปใด)จะมั่วเอาเองมากกว่า


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 13 ส.ค. 12, 14:13
คั่นรายการด้วยฉากติดหูเพราะเพลงไพเราะจากซีรี่ส์ พลังรักสองแผ่นดิน ครับ

เพลง  When Shall You Return? จากเสียงของ Yuki Amami

         http://www.youtube.com/watch?v=yvOI_6xHSlc&feature=related


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 13 ส.ค. 12, 14:48
จากนิตยสารคู่สร้างคู่สม ปีที่ ๒๙ ฉบับที่ ๕๙๐ ประจำวันที่  ๑๐-๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑

พลังรัก ๒ แผ่นดิน
รักข้ามพรมแดน
ที่ทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว


สันติ อิ่มใจจิตต์

(http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2008/02/K6302597/K6302597-14.jpg)

แฟน ๆ คู่สร้างคู่สมขนานแท้ เมื่อได้เห็นคฤหาสน์หลังงามที่แฝงไว้ด้วยความน่ากลัว น่าเกรงขามดังในภาพแล้วคงจำกันได้ว่าเป็นทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว ที่ " คู่สร้างคู่สม " เคยลงในประวัติสถานที่แห่งนี้อย่างละเอียดไปเมื่อประมาณ ๒ ปีที่ผ่านมา

นอกจากภายนอกทำเนียบเอกอัครราชทูตไทยที่สวยงามและโดดเด่นแล้ว การตกแต่งภายในก็ทำได้สวยงามหรูหราไม่แพ้กันภาพวาดที่วาดโดยฝีมือของจิตรกรระดับโลกหลายภาพที่ติดไว้ในที่อันเหมาะสมภายในทำเนียบนั้นมีมูลค่ามหาศาลจนประเมินค่าไม่ได้

ตัวคฤหาสน์ที่เป็นทำเนียบเอกอัครราชทูตนั้น ทางการไทยซื้อมาจากคหบดีชาวญี่ปุ่นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ในราคา ๑๐ ล้านเยน คิดเป็นเงินไทยประมาณ ๓ ล้านบาทปัจจุบันนี้ แค่เฉพาะตัวคฤหาสน์อย่างเดียว บริษัทประกันภัยมิตซุยได้ตีราคาถึง ๙๖๐ ล้านเยน หรือประมาณเกือบ ๓๐๐ ล้านบาท โดยไม่รวมเครื่องตกแต่ง รูปภาพที่ประเมินค่ามิได้อีกหลายภาพ

และยังไม่รวมมูลค่าที่ดินกว่า ๕ ไร่ ซึ่งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียวที่คิดราคาซื้อขายกันเป็นตารางฟุต รวมแล้วเป็นสมบัติของชาติไทย ที่มีมูลค่ามหาศาลในประเทศญี่ปุ่นและทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียวแห่งนี้ ยังเป็นสถานที่ต้อนรับบุคคลสำคัญ ๆ ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายญี่ปุ่นอยู่เสมอ ๆ

แค่นั้นยังไม่พอ ที่ทำเนียบเอกอัครราชทูตไทยแห่งนี้ ยังเป็นประวัติศาสตร์เกี่ยวกับความรักข้ามพรมแดน  ความรักระหว่างรบของเจ้าหญิงญี่ปุ่นและเจ้าชายจากประเทศจีน จนเป็นที่กล่าวขานในเรื่องความรักแท้ และเล่าต่อกันมาอย่างไม่รู้จบทั้ง ๒ ประเทศ

สืบเนื่องจากก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ จะบังเกิดขึ้น กองทัพของประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีแสนยานุภาพมหาศาลได้กรีฑาทัพเข้าตีประเทศจีน ยึดแมนจูเลียไว้ได้ก็พยายามจะครอบครองประเทศจีนต่อให้ได้ จึงยกทัพเข้าไปตีปักกิ่ง ทางกองทัพจีนได้พยายามต่อต้าน แต่ก็ต้านทานไว้ไม่ไหว ทัพของญี่ปุ่นยึดปักกิ่งได้ และก็ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น ยังบุกต่อไป ยึดได้เซี่ยงไฮ้และเมืองหลวงของจีน คือ นานกิง อีกด้วย

เนื่องจากประเทศจีนมีอาณาเขตกว้างใหญ่มากเหลือเกิน กองทัพญี่ปุ่นที่เข้ามาทำสงครามเริ่มอ่อนล้า จึงควบคุมการบริหารงานอยู่ที่ปักกิ่งเท่านั้น โดยสถาปนาจักรพรรดิปูยี แห่งราชวงศ์ชิง ให้เป็นจักรพรรดิแมนจูกัว ขึ้นปกครองจีน

ระหว่างที่ควบคุมบริหารงานที่ปักกิ่งนั้น อาจจะเป็นด้วยวิเทโศบาย หรือเพื่อความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทางการญี่ปุ่นได้นำเอาเข้าชายฟุเคทสึ ไอซิงคาคุระ พระอนุชาของจักรพรรดิปูยี มาศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่น (ซึ่งอาจจะคล้าย ๆ กับสมัยกรุงศรีอยุธยาที่พม่านำตัวสมเด็จพระนเรศวรไปอยู่พม่าเพื่อเป็นตัวประกันก็ได้ )

เจ้าชายฟุเคทสึได้มาเรียนวิชาการทางด้านทหารที่ญี่ปุ่น จนใกล้จะจบหลักสูตร ทางการญี่ปุ่นก็มีความคิดว่า เพื่อเป็นการผูกสัมพันธ์ไมตรีให้แน่นแฟ้นระหว่างทั้ง ๒ ประเทศ และเพื่อลดกระแสความเกลียดชังของชาวจีนที่มีต่อชาวญี่ปุ่นที่ไปข่มเหงรุกรานจีน จึงคิดหาคู่ครองให้กับเจ้าชายฟุเคทสึ แต่จะหาใครล่ะ ที่มีศักดิ์ศรี ฐานันดรศักดิ์เสมอกัน เพราะทางจีนนั้นก็เป็นถึงเจ้าชาย

เมื่อค้นหาไปก็มาตกลงที่เจ้าหญิงฮิโร ที่มีเชื้อสายของจักรพรรดิเมจิ ซึ่งเป็นหลานสาวของเจ้าของคฤหาสน์ทำเนียบเอกอัครราชทูตไทยแห่งนี้ นับว่าเป็นผู้ที่มีความเหมาะสมที่สุด

จากนั้นก็เริ่มทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกัน โดยแม่สื่อแม่ชักจะนำรูปถ่ายของแต่ละคนมาแลกให้กันดู และนัดดูตัวกันที่คฤหาสน์แห่งนี้ ซึ่งทั้งเจ้าชายฟุเคทสึและเจ้าหญิงฮิโร ต่างก็ไม่พอใจ และไม่เต็มใจ เพราะต่างก็รู้ดีว่านี่เป็นแผนการเกี่ยวกับการเมืองระหว่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องความรัก แต่ทั้งคู่ก็ขัดใจผู้ใหญ่ไม่ได้

เมื่อถึงวันนัดดูตัวกัน พอได้มานั่งร่วมโต๊ะเสวยด้วยกันดังในภาพ ต่างก็รู้สึกประทับใจซึ่งกันและกัน เริ่มสนใจกัน และด้วยแรงยุของแม่สื่อแม่ชัก เจ้าชายก็เสด็จฯ มาที่คฤหาสน์แห่งนี้ เพื่อมาพบเจ้าหญิงบ่อยครั้งขึ้น โดยพากันเที่ยวในสวนสวยงามทางด้านหลังคฤหาสน์ที่มีเนื้อที่กว่า ๕ ไร่ จนเกิดความรักซึ่งกันและกัน จึงได้ประกาศหมั้นกันในเดือน ก.พ. ๒๔๘๐ โดยทางการญี่ปุ่นได้จัดพิธีอภิเษกสมรสให้อย่างสมพระเกียรติในเดือน เม.ย. ๒๔๘๐

นับว่าคฤหาสน์ที่เป็นทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียวแห่งนี้ เป็นบ่อเกิดของความรักระหว่างเจ้าชายจีนฟุเคทสึและเจ้าหญิงญี่ปุ่นฮิโรก็ไม่ผิด

ทั้งสองมีพระธิดา ๒ พระองค์

ถ้าเป็นเพียงแค่นี้ เรื่องก็จะจบแบบแฮปปี้ เอนดิ้ง แต่ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ทราบว่าเป็นคำกล่าวของใครที่ว่า "รักแท้ต้องมีอุปสรรค" แต่อุปสรรคระหว่างเจ้าหญิงญี่ปุ่นกับเจ้าชายจีนนี้ใหญ่หลวงนัก เพราะขณะนั้นประเทศจีนกำลังวุ่นวายมาก เกิดการแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่าเพื่อแย่งชิงการปกครอง กลุ่มที่มีกำลังแข็งแรงมาก คือกลุ่มของเหมาเจ๋อตุง จักรพรรดิปูยีจึงมีความต้องการให้ระอนุชาเสด็จฯ กลับประเทศจีน เพื่อช่วยเหลือในการปกครองประเทศ เจ้าชายฟุเคทสึจึงต้องพาเจ้าหญิงฮิโรเสด็จฯ ไปประเทศจีนด้วย

ระหว่างที่อยู่ประเทศจีน เจ้าหญิงฮิโรรู้พระองค์ดีว่า ชาวจีนไม่ชอบและแสดงความเกลียดชังพระองค์ เนื่องจากญี่ปุ่นเข้ารุกรานยึดครองประเทศจีนนานถึง ๑๕ ปี แต่พระองค์ก็พยายามทำความดีทุกอย่างเพื่อลดความบาดหมางซึ่งกันและกัน แม้กระทั่งจักรพรรดิปูยีซึ่งไม่มีพระโอรสก็ยังไม่ค่อยไว้ใจเจ้าหญิงฮิโรนัก สร้างความลำบากใจให้กับเจ้าหญิงฮิโรเป็นอย่างยิ่ง และใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่มีความสุขนัก

เมืองจีนขณะนั้นก็ไม่สงบ มีการรบพุ่งกันตลอดเวลา กลุ่มของเหมาเจ๋อตุงได้ร่วมมือกับรัสเซียบุกยึดปักกิ่งได้ จักรพรรดิปูยีและเจ้าชายฟุเคทสึต้องหลบหนีออกจากวังไปทางหนึ่ง เจ้าหญิงฮิโรและพระมเหสีของจักรพรรดิปูยีก็หนีไปอีกทางหนึ่ง ระหว่างที่หลบหนี พระมเหสีองค์จักรพรรดิปูยีได้สิ้นพระชนม์ เจ้าหญิงฮิโรเลยต้องหนีไปอย่างตกระกำลำบาก ทั้งต้องระวังกองทหารจีนที่ตามจับตัวและการเดินทางที่แสนทุรกันดาร แต่โชคดีที่หนีกลับญี่ปุ่นจนได้

ส่วนจักรพรรดิปูยีและเจ้าชายฟุเคทสึถูกจับได้ และถูกคุมขังอยู่ในคุก

ระหว่างที่อยู่ประเทศญี่ปุ่น เจ้าหญิงและลูก ๆ ที่ให้ยายเลี้ยงไว้ ก็ได้เสด็จฯ มาที่คฤหาสน์ที่เป็นทำเนียบเอกอัครราชทูตไทยในปัจจุบัน สถานที่พบรักกับเจ้าชายฟุเคทสึอยู่มิวาย เพราะตั้งแต่เริ่มรักกันก็ไม่เคยจากกันเลย ทรงคิดถึงพระสวามี เพราะไม่ทราบว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร

เจ้าหญิงได้เขียนจดหมายถึงเจ้าชายฟุเคทสึทุกวัน

ระหว่างที่เขียนไปก็ร้องไห้ไป แต่ไม่ได้ส่งจดหมาย เพราะทราบดีว่าส่งอย่างไรก็ไม่ถึง ลูกสาวคนโตที่ได้เห็นแม่โศกเศร้าร้องไห้ทุก ๆ วัน ก็อดรนทนไม่ไหว จึงได้เขียนจดหมายไปถึงนายกรัฐมนตรีของจีนสมัยนั้น ในจดหมายเขียนเล่าให้ฟังถึงความคิดถึงของแม่ที่มีต่อพ่อของตน ขอให้ช่วยนำจดหมายที่แม่เขียนถึงพ่อทุก ๆ วัน ส่งให้ด้วยซึ่งก็ได้ผล

จดหมายฉบับที่เจ้าหญิงฮิโรเขียนได้ถึงมือของเจ้าชายฟุเคทสึที่ถูกคุมตัวอยู่ในห้องขัง

ต่อมาทางการจีนได้ปล่อยตัวเจ้าชายฟุเคทสึออกจากที่คุมขัง เจ้าชายจึงขอให้เจ้าหญิงเดินทางมาอยู่ด้วยกันที่ประเทศจีน และใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจนสิ้นพระชนม์

ส่วนลูกสาวคนโตนั้นทราบข่าวว่าได้เสียชีวิต โดยการกระโดดภูเขาเพื่อฆ่าตัวตาย

ลูกสาวคนเล็ก ปัจจุบันนี้ยังมีชีวิตอยู่ โดยอาศัยอยู่ที่เมืองโอซากา

ด้วยเหตุที่ทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว มีประวัติศาสตร์เรื่องความรักอันยิ่งใหญ่ของเจ้าหญิงฮิโรและเจ้าชายฟุเคทสึ จนเป็นที่กล่าวขานกันอย่างไม่จบสิ้น ทำให้สถานีโทรทัศน์อาซาฮีของประเทศญี่ปุ่นได้ติดต่อมายังสถานทูตไทย เพื่อขอความร่วมมือถ่ายทำสารคดีจากชีวิตจริงเกี่ยวกับความรักของทั้งคู่ และเนื่องในโอกาสครบรอบ ๔๐ ปี ของสถานีโทรทัศน์อาซาฮี โดยใช้ทำเนียบเอกอัครราชทูตเป็นฉากจริง แต่สถานที่ถ่ายทำจริง  ๆ นั้นเป็นสถานที่ที่ไม่ไกลจากคฤหาสน์มากนัก ใช้เวลาเดินไปประมาณ ๕ นาทีก็ถึง เป็นสวนสาธารณะและพิพิธภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกับคฤหาสน์ที่เป็นทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย

เมื่อสถานีโทรทัศน์อาซาฮีนำสารคดีเรื่องนี้ฉายทางทีวี ก็ได้รับความสนใจและสะเทือนใจไปทั่วทั้งประเทศญี่ปุ่น จนกระทั่งทางสถานีโทรทัศน์ในประเทศไทยช่องหนึ่งได้ทราบเรื่องอันสะเทือนใจนี้ จึงได้ซื้อสารคดีชุดนี้มาฉายในประเทศไทยโดยตั้งชื่อว่า "พลังรักสองแผ่นดิน" จนเป็นที่ฮือฮาเมื่อไม่นานมานี้

 :(


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 13 ส.ค. 12, 15:00
ข่าวการแต่งงานลงในหนังสือพิมพ์อาซาฮีฉบับวันที่ ๔ เมษายน  ปีโชวะที่ ๒๐ (พ.ศ. ๒๔๘๐)


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 15:04
^
นั่นก็เวอร์ชั่นนึง ของผมก็คงจะอีกเวอร์ชั่นนึง
เน้นเรื่องพาดูพาชมคฤหาสน์ พร้อมมีฝอยแถม

คฤหาสน์หลังนี้เดิมเป็นของตระกูลฮามางูจิ ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจการผลิตน้ำซีอิ๊วญี่ปุ่นหรือโชยุที่จังหวัดวากายามา ทางตะวันตกของญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นรู้จักและนิยมมาเป็นเวลาหลายร้อยปี  สืบจนมาสิบชั่วคนจนถึงนายคิจิเอมอง ฮามางูจิที่๑๐ ผุ้เกิดเมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๒๖
 
คิจิเอมองท่านนี้จบการศึกษาจากวิทยาลัยซึ่งเดี๋ยวนี้เป็นมหาวิทยาลัยวาเซดะที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดของญี่ปุ่นและอยู่อันดับต้นๆของโลก จบแล้วบิดาก็ส่งไปศึกษาต่อที่เมืองนิวฮาเวน มลรัฐคอนเนตทิคัต สหรัฐอเมริกาอยู่หลายปีก่อนจะกลับมาสืบสานธุรกิจของตระกูลต่อ จวบจนในปี๒๔๗๓ ขณะอายุเพียง๔๗ ปี ก็มอบให้กิจการทำโชยุให้แก่ลูกชายคนโต เพราะตนมีปัญหาด้านสุขภาพ แล้วผันตัวเองมาอยู่ที่ในโตเกียวเมืองหลวง เพื่อใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายในฐานะผู้รักการเรียนรู้และชำนาญการด้านศิลปะ

ไม่มีใครทราบแน่ว่านายคิจิเอมอง ฮามางูจิที่๑๐ย้ายมาอยู่ที่อำเภอกามิ-โอซากิเมื่อไร แต่ทราบว่าได้ซื้อที่บ้านนี้จากนายโมโมซุเกะ ฟูกูซาวะ บุตรบุญธรรมของยูกิจิ ฟูกูซาวะ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเคโอะ นี่ก็มหาวิทยาลัยดีเด่นอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น มีคนดังๆของเมืองไทยไปเรียนจบกันมาแยะ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 17:18
นายคิจิเอมองเป็นมหาเศรษฐีผู้รักงานศิลปะของอิตาลีเป็นพิเศษ ทั้งที่เป็นงานจิตรกรรมและปฏิมากรรม จึงได้ซื้อปฏิมากรรมหินอ่อนแกะสลักอิตาลี และจิตรกรรมขนาดใหญ่จากสถานทูตอิตาลีไว้หลายชิ้น ภาพเขียนที่ซื้อมาภาพหนึ่งใหญ่เกินไปเอาเข้าบ้านที่อยู่เดิมไม่ได้ เลยตัดสินใจจะสร้างคฤหาสน์ขึ้นมาใหม่ เพื่อเอางานศิลปะที่ซื้อไว้แล้วนี้ไปประดับ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 17:31
ภาพสีน้ำมันชิ้นนี้ขนาดใหญ่มโหฬาร เป็นฝีมือศิลปินอิตาเลี่ยนนามใดไม่ปรากฏ เขียนภาพคนงานในโรงเหล้าที่กำลังเมาในเทศกาลรื่นเริงวาระหนึ่ง ติดตั้งบนโถงบันไดชั้นสอง


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 17:35
ภาพนี้ผมถ่ายไว้เอง


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 17:49
ภาพนี้เขียนโดยกามีย์ ปีซาโร(Camille Pissarro)ศิลปินแนวImpressionismชาวฝรั่งเศส เดิมอยู่ในคฤหาสน์นี้ แต่ถูกนำกลับไปกรุงเทพแต่ครั้งไหนจำไม่ได้แล้ว เห็นว่าศิลปวัตถุที่นี่ถูกโยกย้ายไปหลายชิ้นอยู่เหมือนกัน แต่ภาพของปีซาโรชิ้นนี้ปัจจุบันพบว่าอยู่ในห้องทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 17:58
ภาพสีน้ำมัน ฝีมือGiratelliศิลปินอิตาเลี่ยน


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 18:19
ภาพที่เขียนโดยศิลปินฝรั่ง คนญี่ปุ่นก็ตื่นเต้นเหมือนกัน แต่ไม่เท่าที่เขียนโดยศิลปินดังของเขาเอง อย่างนายชุนสุเกะ ริยูว(Shunsuke Ryu)คนนี้ ถนัดวาดแต่ภาพภูเขาไฟฟูจีดังตัวอย่าง


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 18:21
ที่ทำเนียบทูตก็มีอยู่ภาพหนึ่งเหมือนกัน


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 18:23
แต่ที่เด็ดจริงๆคือภาพนี้ครับ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: piyasann ที่ 13 ส.ค. 12, 18:36
นายคิจิเอมองเป็นมหาเศรษฐีผู้รักงานศิลปะของอิตาลีเป็นพิเศษ ทั้งที่เป็นงานจิตรกรรมและปฏิมากรรม จึงได้ซื้อปฏิมากรรมหินอ่อนแกะสลักอิตาลี และจิตรกรรมขนาดใหญ่จากสถานทูตอิตาลีไว้หลายชิ้น ภาพเขียนที่ซื้อมาภาพหนึ่งใหญ่เกินไปเอาเข้าบ้านที่อยู่เดิมไม่ได้ เลยตัดสินใจจะสร้างคฤหาสน์ขึ้นมาใหม่ เพื่อเอางานศิลปะที่ซื้อไว้แล้วนี้ไปประดับ

อ่านแล้ว ขนลุกซู่ ..... ชอบจังครับ

เพิ่งอ่าน เรื่อง เฮนรี่ ฟูยี กับเมียทั้ง ๕ (เรียกรวมๆ กัน เพราะบางคนเป็นพระมเหสี ฮองเฮา บางคนเป็นแต่ เมีย เพราะถูกถอดแล้ว)

มีคนแปลให้อ่าน สองสามเล่ม (แต่นักเขียน-แปล คนไทยจับความมาได้ไม่จุใจ) รออ่านจากคุณ NAVARAT.C แถมได้ชมสถานที่จริง

ขอบพระคุณครับ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 18:56
เห็นว่าขนลุกซู่ เลยขอสลับฉากหน่อย

เอารูปสวนด้านหลังของทำเนียบในช่วงมกรา-กุมภายามหิมะตกมาให้ดูเพื่อเปลี่ยนอารมณ์ ที่เขาบรรยายว่าเจ้าชายปูเจี้ยและและแม่นางฮิโระเดินจีบกันในสวนประสาคู่รักใหม่ อะไรๆก็เป็นสีชมพูไปหมดนั้น สงสัยว่าทั้งคู่คงจะฟังเสียงฟันกระทบกั่กๆๆๆกันเป็นเสียงดนตรีไปด้วย ช่างหวานฉ่ำเหมือนไอติมสตรอเบอรี่จริงๆ




กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 13 ส.ค. 12, 19:23
คั่นรายการด้วยฉากติดหูเพราะเพลงไพเราะจากซีรี่ส์ พลังรักสองแผ่นดิน ครับ

เพลง  When Shall You Return? จากเสียงของ Yuki Amami

         http://www.youtube.com/watch?v=yvOI_6xHSlc&feature=related

Yuki Amami ในคลิปนี้รับบทหลี่เซียงหลาน นักร้องผู้มีชีวิตที่มีสีสันมากพอตั้งกระทู้ได้อีกกระทู้หนึ่ง ในขณะที่เพลงในคลิปนี้ When Shall You Return หรือชื่อจีนคือ เหอรื่อจวินไจ้ไหล ต้นตำหรับเป็นเพลงของโจวเสวียน ซึ่งเป็นสุดยอดนักร้องหญิงอภิมหาอมตะนิรันดร์กาล เขียนได้อีกกระทู้หนึ่งเป็นอย่างน้อยเหมือนกันครับ

 :)


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ส.ค. 12, 19:31

ประกาศหมั้นกันในเดือนกุมภาพันธุ์ หลังจากนั้นรัฐบาลญี่ปุ่นก็ได้จัดพิธีอภิเษกสมรสให้อย่างสมพระเกียรติอย่างรวดเร็วเมื่อวันที่๓เมษายน ปีเดียวกัน

ไปเจอรูปวันอภิเษกสมรสเข้าอีกรูปหนึ่งค่ะ    ชัดกว่ารูปแรก เลยเอามาลงให้ยลโฉมพระเอกนางเอกชัดๆ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ส.ค. 12, 19:32
รูปหลังอภิเษกสมรสแล้ว


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 19:39
กลับมาชมทำเนียบกันต่อ

ภาพคลื่นซัดฝั่งดังที่ให้ชมไปแล้วนั้น ฝีมือของคันจิ มาอีตะ(Kanji Maeta) ใช้สีน้ำมันเขียนขึ้นในราวพ.ศ. ๒๔๗๒ เป็นรูปของทะเลในจังหวัดชิบะยามมีพายุ ส่งเข้าประกวดได้รับรางวัลหลวง(Imperial Award) หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ตายจากอาการป่วยที่เรื้อรัง ภาพที่เขียนขึ้นเป็นภาพสุดท้ายนี้ถือเป็นMasterpieceของเขาเลยทีเดียว

ทุกๆปีจะมีชมรมต่างๆ เช่นชมรมอนุรักษ์ศิลปะบ้าง ชมรมศิลปินบ้าง ขอจัดคณะมาชมงานชิ้นนี้เสมอปีละหลายคณะ ท่านทูตทั้งหลายก็ให้ภรรยารับรองกันไป ผมได้ยินว่าทางราชการเคยจ้างบริษัทประเมินมูลค่าทรัพย์สินมาประเมินทำเนียบและข้าวของต่างๆ งานชิ้นนี้ชิ้นเดียวก็ปาเข้าไปหลายสิบล้านบาทแล้ว


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 19:45
ภาพทั้งสองนี้ถ่ายหน้าประตูใหญ่ของทำเนียบ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 19:55
ภาพแกะสลักไม้นี้ก็เป็นศิลปวัตถุอีกชิ้นหนึ่งที่คณะเยี่ยมชมชาวญี่ปุ่นมายืนซี๊ดปากกัน แต่คนไทยดูแล้วก็เฉยๆอ่ะ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 20:06
อย่างไรก็ตาม เพราะศิลปวัตถุเหล่านี้เอง คิจิเอมอง ฮามากูจิจึงให้สถาปนิกชื่อวาดะ ซึ่งจบวิชาศิลปะจากมหาวิทยาลัยโตเกียวออกแบบ และแก้แบบอยู่ถึง 21 ครั้ง จึงเป็นที่พอใจของเจ้าของงาน(น่ายกย่องสถาปนิกคนนี้มากที่ไม่ทิ้งงานที่เจ้าของคงโครตจะจู้จี้นี้ไปเสียก่อน)
คฤหาสน์หลังนี้มี๒ชั้น แถมชั้นใต้ดินและห้องใต้หลังคาเป็นที่เก็บของ รวมพื้นที่ทั้งหมดประมาณหนึ่งพันตารางเมตร สร้างเสร็จและมีพิธีขึ้นบ้านใหม่เมื่อวันที่๓๐พฤษภาคม๒๔๗๘

เอารูปคิจิเอมอง ฮามากูจิที่๑๐ เจ้าของคนแรกมาให้รู้จักหน้าค่าตากันหน่อย


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 20:13
แบบดูคล้ายๆสถาปัตยกรรมแบบจอมพลป.นะครับ ดูคล้ายจะมีเหงาคล้ายจะเป็นไทยๆด้วย แต่เขาสร้างก่อนถึงยุคของท่านเกือบสิบปี


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 20:19
ที่สร้างจริงๆก็ไม่เหมือนแบบเมื่อกี้อีกนั่นแหละ คงมีแก้กันอีก
คฤหาสน์หลังนี้ถือเป็นนีโอ-คลาสสิกแบบกอธิก ผนังชั้นนอกเป็นหินแกรนิตสีเทาเข้ม


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 20:25
เหงาก็ไม่เป็นไทยๆแล้ว คราวนี้ดูเป็นฝรั่งจ๋า


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 20:35
ภายในบุด้วยไม้โอ๊คแกะสลักแบบอิตาเลียน เตาผิงเป็นหินอ่อนสีแดงสั่งมาจากอิตาลี ซึ่งพบว่ามีเพียงสองแห่งในกรุงโตเกียวเท่านั้นที่ใช้ คือที่นี่กับพระราชวังอากาซากะขององค์มกุฎราชกุมาร
ประตูหน้าตึกทำด้วยทองแดง ลวดลายแบบคลาสสิกบานใหญ่


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 20:56
คิจิเอมองเจ้าของบ้านมีน้องชาย๓คน และน้องสาว๒คน น้องสาวคนโตชื่อ ฮิซาโกะ ไปแต่งงานกับขุนนางเชื้อพระวงศ์ในราชสำนัก ชื่อท่านซาเนโตะ ซางะ ซึ่งเป็นพระญาติกับสมเด็จพระจักรพรรดิ  ท่านซาเนะโตะและนางฮิซาโกะ มีบุตรชายคนหนึ่ง บุตรสาว๔คน ลูกสาวคนโต ฮิโระ ได้มาอยู่กับลุงตั้งแต่เด็กที่คฤหาสน์แห่งนี้

แม่นางฮิโระสำเร็จการศึกษาด้านศิลปะที่โรงเรียนการเรือนกุลธิดา เดี๋ยวนี้คือมหาวิทยาลัยกากุชิอิง


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 21:05
ภาพอิริยาบทต่างๆที่แม่นางถ่ายในคฤหาสน์ของลุง


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 21:07
ภาพถ่ายโดยใช้ด้านหลังของคฤหาสน์เป็นฉาก


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 21:08
ในสวนสวย


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 21:37
หลังอภิเษกสมรส เจ้าหญิงฮิโระได้เสด็จออกจากบ้านของคุณลุง เพื่อไปประทับกับพระสวามีที่วังในอำเภออินาเงะ จังหวัดชิบา และต่อจากนั้นหกเดือน ทั้งสองก็เสด็จไปประทับที่เมืองมุกเดน ประเทศแมนจูกัวที่ญี่ปุ่นสถาปนาขึ้นเมื่อยึดแมนจูเรียจากสาธารณรัฐจีนได้สำเร็จ

หลังสงครามโลกครั้งที่๒ระเบิดขึ้นและทำให้โตเกียวไม่ปลอดภัยจากเครื่องบินสหรัฐอีกต่อไป ท่านมหาเศรษฐีคิจิเอมอง ฮามางูจิ จึงต้องการขายคฤหาสน์หลังนี้พร้อมทุกสิ่งทุกอย่างด้วยราคาต่ำกว่าทุนมหาศาล เพื่อย้ายไปพำนักในที่ซึ่งปลอดภัยกว่า ขณะนั้นดร.ดิเรก ชัยนามเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำญี่ปุ่นได้ทราบข่าว  จึงปรึกษามาทางรัฐบาลซึ่งเป็นพันธมิตรของญี่ปุ่น จอมพล ป.พิบูลสงครามเห็นด้วยจึงมอบหมายให้ท่านดิเรกเป็นตัวแทนรัฐบาลไทย เจรจาต่อรองซื้อคฤหาสน์แห่งนี้มาด้วยราคา๑ล้านเยนหรือประมาณ๓ล้านบาทในขณะนั้น เพื่อใช้เป็นทำเนียบเอกอัครราชทูตไทยประจำญี่ปุ่นตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา

มูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดประเมินเดี๋ยวนี้คงมีค่าต่ำกว่าห้าร้อยล้านบาทไปสักไม่เท่าไหร่


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 22:25
มาชมทำเนียบกันต่อ

ห้องรับแขก ตกแต่งและใช้เฟอร์นิเจอร์แบบหลุยส์ของฝรั่งเศส พื้นไม้ปาร์เกต์ไม้สนสลับลวดลาย ฝ้าเพดานเป็นปูนปลาสเตอร์หล่อแบบหลุยส์ หน้าต่างแบบฝรั่งเศสใช้บานกระจกเจียรนัย ด้านตะวันตกห้องรับแขกเป็นห้องนั่งเล่นรับแสงพระอาทิตย์ ฝาบุด้วยไม้โอ๊กแกะสลัก ปูด้วยพรมเปอร์เซียบนพื้นไม้ปาร์เกต์สลับสี


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 22:27
รายละเอียดต่างๆ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 22:31
บันไดสู่ชั้นที่สองเป็นแบบยุโรป เกาะกับฝาผนังไม่มีเสา ราวบันไดข้างบนเป็นไม้โอ๊ก ลูกกรงเป็นโลหะผสม หล่อเป็นลวดลายยุโรปแบบคลาสสิก

ชั้นที่สอง มีห้องพระอยู่หน้าห้องนอนใหญ่ ชั้นล่างของโถงบันไดเป็นห้องรับรองส่วนนอก


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 22:34
ในโถงบันไดชั้นล่างนั้น วางแกรนด์เปียนโนไว้ อายุเกือบร้อยปีแต่ยังใช้เล่นได้ดี


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 12, 22:44
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินเยือนญี่ปุ่นในระหว่างวันที่ ๒๗ พฤษภาคมถึง๔มิถุนายน๒๕๐๖นั้น ได้เสด็จมาที่ทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียวแห่งนี้ด้วย


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ส.ค. 12, 23:03
ทำเนียบทูตไทยอลังการ น่าตื่นตาตื่นใจมากค่ะ
พรุ่งนี้จะหาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเรื่องเจ้าชายเจ้าหญิงมาตัดซอยแยกออกไปจากกระทู้ใหญ่  คงได้สักซอยสองซอย
ส่วนวันนี้ เลยเวลาทำโอ.ที. แล้ว  ค่ะ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ส.ค. 12, 08:18
เข้าไปอ่านในเว็บของคุณเอกชัย เอก ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า ที่เคยไปพักค้างคืนที่ทำเนียบแห่งนี้มาเหมือนกัน ได้เรื่องและรูปมาเสริมให้ท่านผู้อ่านกระทู้ของผมอีกหน่อย

คุณเอกเล่าว่า
สถาปนิกผู้ออกแบบถนัดทำแบบบ้านลักษณะนี้โดยสร้างขึ้นมาจำนวน ๑๐๓ หลังในญี่ปุ่น หลังนี้มี ๕ ห้องนอน เจ้าของบ้านแก้แบบ ๒๑ ครั้ง โคมไฟ ลายไม้ปาเก้ปูพื้นจะออกแบบโดยเจ้าของทั้งหมด ปัจจุบันที่สร้างไปเหลืออยู่ ๘ หลังรวมทั้งหลังนี้ สาเหตุที่หายไปเกือบร้อยหลังเพราะ เกิดแผ่นดินไหวบ้าง ไฟไหม้บ้าง พายุ ทุบทิ้งเพราะทนภาษีไม่ไหวก็มี ภาระภาษีมรดกในญี่ปุ่นแพงมากๆว่ากันว่าแม้แต่พระจักรพรรดินีได้สมบัติเป็นวังมายังต้องยกให้หลวง ความที่เจ้าของบ้านหลังนี้รักบ้านมากหากทุบทิ้งก็เสียดาย และทราบว่าถ้าเป็นของรัฐบาลต่างชาติแล้วก็จะรักษาไว้ได้เพราะไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายญี่ปุ่น จึงพยายามขายให้ประเทศไทย

ผมขอเสริมว่า ผมเคยเจอกับเพื่อนคนญี่ปุ่นคนหนึ่ง เห็นเขาสวมแขนทุกข์ก็ถามจึงเล่าว่าบิดาเพิ่งเสียชีวิต และเขาซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวได้รับมรดกมา แต่จะต้องโดนเก็บภาษีมรดกถึง๗๕% แล้วบ่นต่อมากมายจนผมคิดว่า เขาคงไว้ทุกข์ให้พ่อ๒๕% ที่เหลือไว้ทุกข์ให้ตนเอง เพราะเขาว่าพ่อยืดยาวว่าประมาทไปคิดว่าจะไม่ตายเร็ว เพราะถ้าเอากิจการจดเป็นบริษัทเสียก่อน แล้วให้เป็นหุ้น ก็จะโดนภาษีน้อยลงมาก

ผมเอารูปที่คุณเอกถ่ายห้องใต้ดิน ที่ใช้เป็นห้องเย็นเก็บอาหารและครัวมาให้ชม ผมเคยลงไปดูแล้ว ไม่สงสัยเลยว่าเวลาสถานทูตจัดเลี้ยงคน ไม่ว่าจะเป็นสิบเป็นร้อย จะทำได้อย่างไรไม่โกลาหลเป็นงานวัดอย่างบ้านเรา


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ส.ค. 12, 08:44
เจ้าชายปูเจี้ยและพระนางฮิโระชายาชาวญี่ปุ่นนั้น มีชีวิตที่เข้มข้นระหกระเหินอย่างไร เดี๋ยวคงมีคนมาช่วยผมเสริม แต่ท้ายที่สุดก็น่าจะHappy Endingเพราะได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกในญี่ปุ่น

ทั้งสองพระองค์ก็ยังหาโอกาสมาเยี่ยมเยือนบ้านเก่าของตนเป็นครั้งคราว โดยมีหลักฐานว่าทั้งสองมาด้วยกันเมื่อ๑๑ธันวาคม๒๕๒๓ สมัยที่ดร.วิเชียร วัฒนคุณ เป็นเอกอัครราชทูต ก่อนที่พระนางฮิโระจะสิ้นพระชนม์ในปี๒๕๓๐

หลังจากนั้นเจ้าชายปูเจี๋ยก็ได้มาขอเยี่ยมอีกครั้งหนึ่งในสมัยที่ ม.ร.ว.พีระพงศ์ เกษมศรี เป็นเอกอัครราชทูตเมื่อปี ๒๕๓๓

เจ้าชายปูเจี้ยสิ้นพระชนม์ในปี ๒๕๔๐ที่กรุงปักกิ่ง


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: visitna ที่ 14 ส.ค. 12, 10:25
In addition, he served as a technical advisor on the 1987 film The Last Emperor.
เจ้าชายปูเจี้ย( pujie) เป็นที่ปรึกษาในการถ่ายทำหนังเรื่อง  The Last Emperor

ท่านมีลูกสาวสองคนตามที่กล่าวไว้แล้ว

1-Huisheng 慧生 (1939–1957) - H.H. Princess (Chün Chu Kung Chu) Huisheng, was born at Hsinking on February 1938 and educated privately and then studied at Gakushuin University. She was killed (murdered) on 10 December 1957 in what appears to have been a murder-suicide.
2-Yunsheng 嫮生 (born 1941) - H.H. Princess (Chün Chu Kung Chu) Yunsheng was educated privately and then studied at Gakushuin Women's University in Tokyo. She later married Kosei Fukunaga, a Japanese aristocrat employed in the automobile industry in Tokyo. She has five children.


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ส.ค. 12, 11:13
    เรื่องของเจ้าชายปูเจี๋ยและพระชายาฮิโระ เรียกว่าเป็น "คู่กรรม" ฉบับญี่ปุ่นเห็นจะได้     เพราะสององค์นี้เสกสมรสกันด้วยเหตุผลทางการเมืองเหมือนโกโบริกับอังศุมาลิน    ตอนแรกเจอกันก็ไม่เต็มใจจะคบหาสมาคมกันแบบเดียวกัน   แต่ต่อมาก็เกิดรักแท้แบบเดียวกันอีก   แต่คู่กรรมเวอร์ชั่นญี่ปุ่นนี้จบแบบคนดูไม่ต้องร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่า   แต่ยิ้มออกมาได้ในตอนจบ   คือพระเอกนางเอกที่พลัดพรากกันไปนานหลายปีก็ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง แล้วอยู่ด้วยกันอย่างเป็นสุขจนความตายมาพรากจากกัน
    ถ้าหากว่าชีวิตของเจ้าชายและพระชายาเป็นวรรณกรรม   ความทุกข์ในเรื่องนี้เกิดจาก ข้อขัดแย้งภายนอก (External conflict)   คือตามหลักของการเขียนพล็อตเรื่อง  มันจะต้องเป็นเรื่องขัดแย้งของตัวเอกกับอะไรสักอย่าง  ที่เรียกว่า man vs ..... แบ่งเป็นหลักใหญ่ๆคือข้อขัดแย้งภายนอก กับข้อขัดแย้งภายในใจตัวเอกในเรื่องเอง     กรณีพระเอกนางเอกของเราในชีวิตจริงเรื่องนี้ เรียกว่า man against society   คือสังคมภายนอกขัดขวางมิให้อยู่กันได้อย่างสงบสุขอย่างที่ควรจะเป็น     
     ถ้าหากว่าเจ้าชายปูเจี๋ยและพระชายาเป็นคนธรรมดาๆเชื้อชาติเดียวกัน   แต่งงานกันเสร็จก็คงอยู่กันมีลูกหลานจนแก่ชราไปด้วยกันอย่างสามีภรรยาอื่นๆทั่วโลก     แต่นี่ พลังภายนอกอันมหาศาล เรียกว่าพลังของสังคม(ในที่นี้คือสังคมการเมือง) ได้ยื่นเข้ามาก้าวก่ายหนุ่มสาวคู่นี้ตั้งแต่ก่อนพบกันทีเดียว
    กล่าวคือคู้นี้เขาอยู่ของเขากันดีๆคนละแห่ง  พลังการเมืองก็ยื่นมือจับทั้งคู่มาคลุมถุงชนกัน    ไม่อยากแต่งก็ต้องแต่ง   พอแต่งแล้วเกิดปรับตัวเข้าหากันได้   อยู่กันจนมีลูกเต้าสงบสุขดีแล้ว  พลังการเมืองก็เอื้อมมากระชากเจ้าชายออกไปทำหน้าที่พระอนุชาจักรพรรดิ   จนต้องพลัดพรากจากครอบครัว    กระเด็นกันไปแบบไม่มีโอกาสจะพบกันอีก
    แต่อย่างไรก็ตาม  พระพรหมก็มิได้โหดร้ายต่อพระเอกนางเอกจนเกินไป เหมือนที่ทำกับพระเอกนางเอกในประวัติศาสตร์โดยมาก   เจ้าชายก็ยังคงดำรงพระชนม์ชีพอย่างทรหดในฐานะนักโทษ รอดมาจนได้ จนได้รับอิสรภาพกลับมาหาพระชายา   เรื่องจึงจบอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง  คนดูโล่งใจ
     


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 14 ส.ค. 12, 11:32
ท่านมีลูกสาวสองคนตามที่กล่าวไว้แล้ว

1-Huisheng 慧生 (1939–1957) - H.H. Princess (Chün Chu Kung Chu) Huisheng, was born at Hsinking on February 1938 and educated privately and then studied at Gakushuin University. She was killed (murdered) on 10 December 1957 in what appears to have been a murder-suicide.
2-Yunsheng 嫮生 (born 1941) - H.H. Princess (Chün Chu Kung Chu) Yunsheng was educated privately and then studied at Gakushuin Women's University in Tokyo. She later married Kosei Fukunaga, a Japanese aristocrat employed in the automobile industry in Tokyo. She has five children.

๑. ฮัวเชิง 慧生

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/c/c1/Princess_hui_sheng.jpg/178px-Princess_hui_sheng.jpg)

๒. ยุนเชิง 嫮生 (คนซ้ายมือ)

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/5/56/Princess_yun_sheng.jpg)

 ;D


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 14 ส.ค. 12, 11:36
ข่าวการเสียชีวิตของฮัวเชิง หนังสือพิมพ์อาซาฮี

:(


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ส.ค. 12, 11:59
ทั้งเจ้าชายปูเจี๋ยและจักรพรรดิผู่อี๋ ตกอยู่ในเงื้อมมือของชะตากรรมที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเองทั้งคู่  อันได้แก่ชะตากรรมทางการเมืองอย่างที่เล่ามาแล้ว      ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2   นโยบายญี่ปุ่นที่หมายสูงถึงขั้นเป็นเจ้าแห่งโลกตะวันออก ทำให้กล้าเหยียบจมูกจีนเข้ายึดแมนจูเรีย  สถาปนาประเทศแมนจูกัวขึ้นมาโดยตั้งให้ผู่อี๋เป็นจักรพรรดิหุ่นเชิด ของตนในปี ค.ศ. 1934    
เท่านั้นยังไม่พอ  ญี่ปุ่นยังบังคับให้จักรพรรดิผู่อี๋เสกสมรสใหม่กับสาวญี่ปุ่น   แต่ไม่สำเร็จ  ผู่อี๋ยืนกรานไม่ยอม แต่กลับไปได้พระสนมชาวแมนจูตามประเพณีดั้งเดิมของราชวงศ์ ชื่อถานอี้หลิง วัย 17 ปีแทน      ญี่ปุ่นกลับไปประสบความสำเร็จที่จับคู่เจ้าชายปูเจี๋ยกับฮิโระได้ดังประสงค์    พอสมหวังข้อนี้ก็วางแผนต่อไปขั้นเปลี่ยนแปลงกฎการสืบราชสันตติวงศ์ของแมนจูกัวใหม่   เตรียมแผนการณ์ว่าเจ้าชายปูเจี๋ยมีพระโอรสเมื่อไรก็จะให้เจ้าชายน้อยครึ่งจีนครึ่งญี่ปุ่นขึ้นเป็นจักรพรรดิแมนจูกัวในวันหน้า    แผนรู้ไปถึงผู่อี๋ ก็กริ้วโกรธญี่ปุ่นมากว่าหนักข้อไปหน่อยแล้ว   จึงแก้เผ็ดด้วยการปล่อยข่าวว่าถานอี้หลิงกำลังตั้งครรภ์    หมายความว่าคลอดเด็กออกมาเป็นชายเมื่อใด   เด็กน้อยก็จะได้สืบบัลลังก์จีนต่อไป   ไม่ใช่ทางสายของเจ้าชายปูเจี๋ย

ญี่ปุ่นเกรงว่าแผนจะล้ม  จึงให้หมอญี่ปุ่นลอบวางยาพิษถานอี้หลิง จนเสียชีวิตเมื่อเธอป่วยเป็นไข้ธรรมดา   พอกำจัดคนเก่าไปก็หนุนหลังให้ผู่อี๋หาคนใหม่มาแทน  ได้อี้จิน เด็กสาววัย 14 ปีมาเป็นพระสนาม  แต่ก็อยู่กันได้ไม่นานยังไม่ทันมีรัชทายาท   สงครามใหญ่ระหว่างจีนที่ทำกันมายืดเยื้อตั้งแต่ ค.ศ. 1937 ก็ได้ลุกลามกลายเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในที่สุด

ปลายสงครามโลกใน ค.ศ. 1945   รัสเซียซึ่งอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตรบุกยึดแมนจูกัว  จักรพรรดิผู่อี๋และปูเจี๋ยตกเป็นเชลยฝ่ายรัสเซียขณะที่กำลังหนีไปญี่ปุ่น   แล้วถูกส่งตัวไปกักกันอยู่ที่ไซบีเรียจนถึง ค.ศ. 1950 จึงได้ส่งตัวทั้งสองกลับมาให้จีน ซึ่งตอนนั้นกลายเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน มีผู้นำใหม่คือเหมาเจ๋อตุง ซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับคอมมิวนิสต์รัสเซีย

หมายเหตุ  แก้ตัวสะกดชื่อตามที่คุณม้าโพสต์ให้ทราบค่ะ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 14 ส.ค. 12, 12:18
ขออนุญาตเล่าเรื่องเบา ๆ คั่นรายการ

เคยไปงานเลี้ยงที่สถานทูตไทยในโตเกียว แต่ตอนนั้นมืดแล้วไม่ทันได้สังเกตความสวยงามของสถานที่และบรรยากาศรอบ ๆ ทำเนียบ

คุณวีรพงษ์ รามางกูร  (http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2008q3/2008september29p1.htm) บรรยายถึงบรรยากาศนอกทำเนียบไว้ว่า

สนามหน้าบ้านกว้างไม่เท่าสนามหลังบ้าน จากการสำรวจของเทศบาลชินากาวะ สถานเอกอัครราชทูตไทยมีต้นไม้ขนาดใหญ่ถึง ๗๐ ต้น มีต้นแดงญี่ปุ่นที่หายาก ต้นซีดาร์หิมาลัย ต้นแมกโนเลีย ต้นเมเปิลญี่ปุ่น ต้นแปะก๊วย หรือกิงโกะ ต้นซากุระขนาดใหญ่มีอายุเท่า ๆ กับบ้าน

สนามหลังบ้านจัดเป็นสวนญี่ปุ่นมีต้นไม้ยืนต้นสีต่าง ๆ อย่างที่กล่าวมาแล้ว มีสนแคระแบบญี่ปุ่น มีการวางหินขนาดใหญ่ กลาง เล็ก ราว ๆ กลางเดือนเมษายน ต้นซากุระออกดอกสีชมพูอ่อนสะพรั่งไปทั้งต้น

ภาพประกอบของคุณนวรัตน

ภาพนี้มาจากอัลบั้มส่วนตัว ต้องการโชว์สวนหลังบ้านอันอลังการ ต้องขออภัยเผอิญติดเอาผู้ปกครองของผมเข้าไปด้วย

ขณะนั้นเริ่มจะเข้าปลายของฤดูใบไม้ร่วง สวนสวยที่ใบไม้เปลี่ยนสี สีแดงนั้นเมเปิ้ล สีเหลืองน่าจะเป็นแปะก๊วย หน้าบ้านมีต้นอย่างนี้ต้นหนึ่งใหญ่โตมหึมากว่าที่เห็นในภาพมาก ลูกหล่นมาเกลื่อนถนน คนขับรถท่านทูตเอามาแช่น้ำไว้ ผมอยากพิสูจน์ว่ามันเหม็นแค่ไหนก็ไปดมดู …เฮ้อ..ไม่น่าเล้ยตู

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5274.0;attach=34728;image)

สวยทั้งคนทั้งสวน

 ;D


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 14 ส.ค. 12, 12:48
มาถอดเสียงในฟิล์มครับ

pu yi - ผู่อี (หรือ ผู่ยี)
pu jie - ผู่เจี๋ย
aixinjueluo - ชื่อราชสกุล อ้ายซินเจฺวี๋ยลฺว๋อ
hui sheng - ฮุ่ยเซิง (ญี่ปุ่นว่า เอย์เซย์)
yun sheng - ชื่อนี้มีปัญหา เพราะตัว 嫮 ต้องอ่านว่า ฮู่ (hu4) ซึ่งญี่ปุ่นจะว่า โคะเซย์ ซึ่งสอดคล้องกัน (เสียง h จีนกลางออกเสียง ฮ ลงคอหนัก คล้ายๆ ครึ่ง ฮ ครึ่ง ค) ชื่อนี้จึงน่าจะอ่านว่า ฮู่เซิง มากกว่า ยุน (ไม่รู้ว่าวรรณยุกต์ใด)เซิง


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ส.ค. 12, 13:18
ขอบคุณค่ะคุณม้า  กำลังนึกถึงอยู่พอดี   ถ้าเรียกชื่อผิดอีกก็โปรดทราบด้วยว่า ภาษาจีนยังไม่เข้าหัวนะคะ

การพลัดพรากของคู่สามีภรรยาเกิดขึ้นตอนลี้ภัยออกจากจีนนี่เอง    เจ้าชายปูเจื๋ย หรือผู่เจี๋ยกับจักรพรรดิพี่ชายหลบหนีไปทางเครื่องบิน    ฮองเฮาหวั่นหรง (ฝรั่งสะกดว่า Wan rong) กับเจ้าหญิงฮิโระพร้อมด้วยพระธิดาองค์เล็กหนีไปโดยทางรถไฟเพื่อจะออกไปเกาหลี    แต่ถูกกองทหารคอมมิวนิสต์สะกัดจับได้ก่อนออกพ้นชายแดน  จึงถูกนำไปคุมขังที่สถานีตำรวจ  แล้วก็ถูกย้ายไปอีกหลายแห่งด้วยกันในฐานะนักโทษการเมือง
ชะตากรรมของสตรีสูงศักดิ์ทั้งสองน่าสลดใจมาก     ฮองเฮาหวั่นหรงติดฝิ่นงอมแงมมาตั้งแต่อยู่ในพระราชวังแล้ว   ต้องมีฝิ่นให้เสพอยู่เสมอๆขาดไม่ได้    พอมาถูกคุมขังหลายวันเข้าฝิ่นก็หมด    เกิดอาการทุรนทุราย   ผู้คุมก็ไม่ไยดีปล่อยให้ทรมานไปตามยะถากรรม    มีแต่เจ้าหญิงฮิโระเท่านั้นที่ต้องคอยดูแลพยาบาลพี่สะใภ้ของพระสวามี ทั้งๆฮองเฮาหวั่นหรงก็ไม่ชอบหน้าเธอเพราะเป็นชาวญี่ปุ่น
ในที่สุด  ฮองเฮาก็ถึงจุดจบ สิ้นพระชนม์เพราะขาดอาหาร และลงแดงตายในที่คุมขังนั่นเอง  พระชนม์แค่ 39 ปี  
(ชื่อคุก  ฝรั่งเรียกว่า Yanji Prison อ่านว่า เอี๋ยนจี๋ (หรือเหยียนจี๋)  อยู่ใน Jilin Province (มณฑล จี๋หลิน)  สะกดตามคุณม้ามาถอดเป็นไทยสำเนียงจีนให้ ข้างล่างนี้ค่ะ)

 ส่วนเจ้าหญิงรอดตายไปได้หลังจากถูกคุมขังแห่งสุดท้ายในเซี่ยงไฮ้ หลังจากนั้นก็พ้นโทษถูกส่งตัวกลับบ้านเกิดเมืองนอน   ขณะที่ชะตากรรมของพระสวามียังทรมานทรกรรมในฐานะนักโทษของพรรคคอมมิวนิสต์จีน


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ส.ค. 12, 13:19
เจ้าชายผู่เจี๋ย เจ้าหญิงฮิโระ และพระธิดาองค์แรก


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ส.ค. 12, 13:22
จักรพรรดิผู่อี(หรือปูยี) กับฮองเฮาหวั่นหยง
จักรพรรดิ และจักรพรรดินีคู่สุดท้ายของจีน


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 14 ส.ค. 12, 20:05
ขออภัยครับ แก้เสียงพระนามจักรพรรดิ ผู่อี๋ ครับ เสียงจัตวา ไม่ใช่สามัญ

จักรพรรดินี หวั่นหรง
คุกเอี๋ยนจี๋ (หรือเหยียนจี๋) อยู่ใน จี๋หลิน ครับ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ส.ค. 12, 09:20
ย้อนกลับมาดูชะตากรรมทางฝ่ายพระเอกของเราบ้าง
หลังจากเจ้าชายผู่เจี๋ย และจักรพรรดิตกเป็นเชลยสงคราม ถูกส่งไปจองจำอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บสาหัสและความขาดแคลนไปทุกด้านทั้งเสื้อผ้าและอาหาร ที่ไซบีเรียถึง 5 ปี  ก็ถูกส่งตัวกลับมาให้รัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ในค.ศ. 1950 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบไปแล้วถึง 5 ปี
ทั้งคู่ถูกคุมขังในฐานะอาชญากรสงครามในคุก Fushun (เดือดร้อนคุณม้ามาออกเสียงให้อีกแล้ว)  เพื่อจะ "เรียนรู้ผ่านแรงงาน" หรือพูดให้ถูกคือค่ายแรงงานที่ว่านี่ก็คือใช้งานนักโทษอย่างกรรมกรทาสเราดีๆนี่เอง     ในช่วงที่เจ้าชายกลายเป็นกรรมกรทาสอยู่ในค่ายนี้เอง   ก็ได้จดหมายจากพระชายาว่าพระธิดาองค์ใหญ่ถูกฆาตกรรมสิ้นพระชนม์     คงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าชายจะทุกข์ระทมหนักขนาดไหน
เรื่องเจ้าหญิงพระธิดาสิ้นพระชนม์นี้  ในอินทรเนตรเอ่ยไว้กำกวมว่า ฆาตกรรม-อัตวินิบาตกรรม    มีรูปลงในหนังสือพิมพ์ในค.ห.บนๆนี้แต่เป็นภาษาจีนเลยอ่านไม่ออกค่ะ

ไม่รู้ว่าวิธีล้างสมองให้ยึดมั่นในอุดมการณ์ของจีนคอมมิวนิสต์ได้ผล   หรือว่าเจ้าชายจำเป็นต้องโอนอ่อนผ่อนตาม ลู่ลมไปกับทางการจีนเพื่อการอยู่รอดกันแน่  แต่เจ้าชายผู่เจี๋ยก็ทรงปฏฺิบัติตามคำสั่ง  มิได้ทรงต่อต้านลัทธิหรืออุดมการณ์ใดๆของคอมมิวนิสต์  แม้ว่าทรงเป็นศักดินาโดยกำเนิดก็ตาม    จนทางการจีนแถลงชมเชยว่า เจ้าชายทรงเป็น 'นักโทษตัวอย่าง'
ในช่วงปลายก่อนได้รับอิสรภาพ  เจ้าชายทรงประพันธ์บทละครชวนเชื่อให้คอมมิวนิสต์จีน สรรเสริญอุดมการณ์ของเหมาเจ๋อตุง  และเสียดสีฝ่ายตรงกันข้ามกับคอมมิวนิสต์ด้วย 


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 15 ส.ค. 12, 10:16
เรื่องเจ้าหญิงพระธิดาสิ้นพระชนม์นี้  ในอินทรเนตรเอ่ยไว้กำกวมว่า ฆาตกรรม-อัตวินิบาตกรรม    มีรูปลงในหนังสือพิมพ์ในค.ห.บนๆนี้แต่เป็นภาษาจีนเลยอ่านไม่ออกค่ะ

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5274.0;attach=34783;image)

ตัวหนังสือในหนังสือพิมพ์เป็นอักษรภาษาญี่ปุ่น มีอยู่ ๓ แบบคือคันจิหน้าตาเหมือนอักษรจีน, ฮิรางานะ ใช้เขียนคำภาษาญี่ปุ่นพื้นฐาน และคาตาคานะ ใช้เขียนคำที่มาจากภาษาต่างประเทศ

แถวขวาสุดจากบนลงล่าง  慧生さんと大久保 อ่านได้ว่า เอเซซังโต๊ะโอกุโบ เอเซซังคือคุณเอเซ คือพระธิดาที่สิ้นพระชนม์ โตะ คือ และ  ส่วนโอกุโบเป็นชื่อของเพื่อนนักเรียนชายร่วมชั้นที่หลงรักคุณเอเซ

さんと ซังโต๊ะ เป็นอักษรฮิรางานะ ที่เหลือเป็นคันจิ

อ่านได้เพียงนี้ มากกว่านั้นเกินความสามารถ

 ;D


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ส.ค. 12, 10:29
โอ้ว! คุณเพ็ญชมพูอ่านภาษาญี่ปุ่น...   :o

อินทรเนตรช่วยมองหาชื่อเจ้าหญิงเอเซให้ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ

Princess Aisin-Gioro Huisheng 慧生 (1938–1957) - H. H. Princess (Chün Chu Kung Chu) Huisheng, was born at Hsingking on February 1939 and educated privately and then studied at Gakushuin University. She was killed in Izu, near Tokyo on 10 December 1957 in what appears to have been a double-suicide.

ก็ยังมีเงื่อนงำกำกวมอยู่นั่นเอง   สองคนฆ่าตัวตายตามกัน? คงหมายถึงเจ้าหญิงกับโอกุโบ
อย่างไรก็ตาม พอคาดคะเนได้ว่าเป็นเรื่องส่วนตัว  ไม่ใช้การเมือง


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 15 ส.ค. 12, 11:25
Fushun อ่านว่า ฝู่ซุ่น ครับ

ข่าวเจ้าหญิงเอย์เซย์

สี่ตัวล่างของแถวขวาสุดแปลว่า ร่างเสียชีวิตถูกพบ

แถวถัดมา
天城 คือภูเขา Amagi ที่พบพระศพ
ピストル เป็นตัวคะตะคะนะ อ่านว่า ปิสึโตะหรุ คือ pistal ปืนพก ครับ
心中 แปลว่ากลางหัวใจ

ไม่ตรงกับข้อมูลจาก wiki ที่ระบุว่าทรงถูกยิงที่พระเศียรครับ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ส.ค. 12, 11:45
ขอบคุณค่ะคุณม้า
น่าสงสารเจ้าหญิง อายุแค่ 19 ปีเท่านั้นเอง 


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 15 ส.ค. 12, 12:05
心中 แปลว่ากลางหัวใจ

ไม่ตรงกับข้อมูลจาก wiki ที่ระบุว่าทรงถูกยิงที่พระเศียรครับ

心中 อ่านว่า ชินจู ไม่ได้แปลตรง ๆ ว่า กลางหัวใจ (心=หัวใจ, 中=ตรงกลาง) อย่างคุณม้าว่าหรอก แต่แปลว่า การฆ่าตัวตายของคู่รัก (http://en.wikipedia.org/wiki/Shinj%C5%AB)

 ;D


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 15 ส.ค. 12, 12:33
心中 แปลว่ากลางหัวใจ

ไม่ตรงกับข้อมูลจาก wiki ที่ระบุว่าทรงถูกยิงที่พระเศียรครับ

心中 อ่านว่า ชินจู ไม่ได้แปลตรง ๆ ว่า กลางหัวใจ (心=หัวใจ, 中=ตรงกลาง) อย่างคุณม้าว่าหรอก แต่แปลว่า การฆ่าตัวตายของคู่รัก (http://en.wikipedia.org/wiki/Shinj%C5%AB)

 ;D

ขอบคุณครับ อย่างนี้นี่เอง


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ส.ค. 12, 08:15
กลับมาสู่เรื่องพระเอกนางเอกของเราในตอนจบค่ะ
เจ้าชายผู่เจี๋ยทรมานทรกรรมอยู่ในคุกเมืองจีนยาวจนถึงค.ศ. 1961  รวมเวลาแล้ว 16 ปี   ก็ได้รับอิสรภาพในที่สุด    พระชายาฮิโระยังรอคอยสามีอยู่ด้วยความซื่อสัตย์     เธออพยพโยกย้ายจากบ้านเกิดเมืองเพื่อไปอยู่กับพระสวามีในจีนแผ่นดินใหญ่  เริ่มต้นชีวิตกันอีกครั้ง เหมือนไม่เคยพลัดพรากจากกันมาก่อน
เจ้าชายผู่เจี๋ยสูญเสียทุกอย่าง ไม่ว่าตำแหน่ง ฐานันดร ทรัพย์สิน   เหลือแต่ชีวิตในวัย 54 ปีเท่านั้นที่จะต้องดำเนินต่อไป     เจ้าชายเลือกที่จะอาศัยอยู่ในประเทศบ้านเกิดเมืองนอน  แม้ว่าไม่มีศักดินาหลงเหลืออยู่แล้วก็ตาม    ทำงานเป็นข้าราชการให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน      จะว่าไปคอมมิวนิสต์ทำแบบนี้กับเจ้าชายไม่ใช่ด้วยความปรานีหรือเห็นอกเห็นใจ  แต่เป็นเพราะอยากจะอวดผู้คนว่า "เห็นไหม  คอมมิวนิสต์ก็ทำให้ศักดินากลับใจได้เหมือนกัน"

พระพรหมชดเชยความทุกข์ที่พรากคู่นี้จากกันถึง 16 ปี ด้วยการให้สามีภรรยาครองคู่กันสงบสุขยาวนานถึง 26 ปีหลังจากนั้น    ก่อนเจ้าหญิงฮิโระจะถึงแก่กรรมในค.ศ. 1987  ยังความเศร้าโศกเสียใจอย่างใหญ่หลวงให้เจ้าชาย     แต่เจ้าชายมีชีวิตยืนยาวมาจนเห็นความเปลี่ยนแปลงอีกหลายอย่างในบ้านเมือง   นอกจากเห็นการสิ้นสุดของยุคเหมาเจ๋อตุง  ก็ยังเห็นจีนเปิดประเทศในยุคของเติ้งเสี่ยวผิง    เห็นรัฐบาลจีนเปิดพระราชวังต้องห้ามให้ฮอลลีวู้ดเข้ามาถ่ายทำหนัง The Last Emperor เป็นครั้งแรก      เจ้าชายเองก็ได้รับตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาให้กับทีมงานหนังเรื่องนี้
เจ้าชายมีอายุยืนยาวมาจน 86 ปี ก่อนสิ้นพระชนม์ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์  1994


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ส.ค. 12, 09:36
รูปนี้ เจ้าชายและพระชายาไปเที่ยวพระราชวังต้องห้ามซึ่งเคยเป็นที่อยู่ในวัยเยาว์ของเจ้าชาย   ระหว่างอาศัยอยู่ด้วยกันในปักกิ่งหลังจากได้รับอิสรภาพแล้ว


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 ส.ค. 12, 09:45
คลิปตอนจบของซีรีส์ พลังรักสองแผ่นดิน ครับ

       http://www.youtube.com/watch?v=1PeKrF5FMfM

     


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 ส.ค. 12, 09:46
หนังจบลงด้วยภาพถ่ายของทั้งสองพระองค์ในตอนบั้นปลายและตอนสิ้นพระชนม์ด้วย

        http://www.youtube.com/watch?v=Wg00Tb9N6_E


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ส.ค. 12, 10:59
สร้างได้ประทับใจ   :'(
ดาราชายที่เล่นเป็นเจ้าชายผู่เจี๋ย แสดงมาดเจ้าชายออกมาชัดมาก ตอนพาพระชายาเดินไปในบริเวณพระราชวังต้องห้าม


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ส.ค. 12, 11:12
ขอต่อท้ายอีกนิด
ในเมื่อเจ้าชายผู่เจี๋ยไม่มีพระโอรส  มีแต่พระธิดา  ตำแหน่งการสืบราชบัลลังก์(ซึ่งถึงแม้ไม่มีบัลลังก์เหลืออยู่แล้ว) ก็ต้องตกไปที่พระราชวงศ์ฝ่ายชายที่มีสายเลือดใกล้ชิดที่สุด  
เขาผู้นั้นคือพระอนุชาต่างมารดา ชื่อ Jin Youzhi  หรือ Puren  (ผู่หรง)  ???  อายุ 94 ปี  อาศัยอยู่ในปักกิ่ง  มีอาชีพเป็นครู เกษียณเมื่อค.ศ. 1988  ใช้เวลาหลังเกษียณเขียนหนังสือทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับราชวงศ์ชิง   เจ้าชายประกาศสละสิทธิ์ในตำแหน่งจักรพรรดิไปแล้ว    แต่ก็ยังเป็นที่เคลือบคลุมอยู่ เพราะจักรพรรดิปูยีเคยตั้งพระทัยจะให้พระญาติห่างๆชื่อ Yuyan รับตำแหน่งนี้ต่อจากพระองค์ หากว่าทรงเป็นอะไรไปในระหว่างถูกคุมขังที่ไซบีเรีย

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพลังรักสองแผ่นดิน   กลายเป็นอีกหัวข้อหนึ่ง  ใครสนใจเชิญค้นคว้าต่อเองตามอัธยาศัยนะคะ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 16 ส.ค. 12, 19:32
ไม่อยู่บ้านหลายวัน เพิ่งจะกลับมาในวันนี้

ขอขอบคุณทุกท่านที่นำข้อมูล เรื่องราว และความรู้เข้ามาช่วยเติมเต็มเป็นที่ยิ่งครับ
ทำให้กระทู้นี้จบลงได้อย่างสมบูรณ์


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: ดีเจกบ ที่ 16 ส.ค. 12, 22:55
สนุกสนานมากค่ะไม่ผิดหวังที่ติดตามมาตลอดค่ะ หวังอย่างยิ่งจะได้อ่านเรื่อ งนุก ๆ อีกนะคะ :)


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 ส.ค. 12, 09:25
ผมมีรูปภายในของทำเนียบในยุคต้นค้างอยู่ ขอเอามาลงไว้ให้ครบครับ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 ส.ค. 12, 09:27
ห้องอาหาร สมัยรับเสด็จเจ้าชายจากเมืองจีน อลังการมาก


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 ส.ค. 12, 09:29
ห้องนั่งเล่น หน้าเตาผิงหินอ่อนสีแดงอันแพงระยับจากอิตาลี


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 ส.ค. 12, 09:31
ห้องรับแขก


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 ส.ค. 12, 09:33
ห้องรับรองแบบหลุยส์ ห้องนี้จัดงานเลี้ยงแบบCocktail Partyได้นับร้อยคน


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 ส.ค. 12, 09:35
ห้องนอนใหญ่ของเจ้าของบ้าน


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 ส.ค. 12, 09:37
ห้องพักผ่อนติดกับห้องนอน


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 ส.ค. 12, 09:40
ฝ้าเพดานในห้องโถง


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 ส.ค. 12, 09:43
หมดแล้วครับ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 17 ส.ค. 12, 09:44
ห้องนั่งเล่น หน้าเตาผิงหินอ่อนสีแดงอันแพงระยับจากอิตาลี

ศิลปะในยุคนี้ควรจะถือว่าจัดอยู่ในช่วง Art Deco (1920's - 1940's) หรือเปล่าครับ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 12, 09:50
แต่ละห้อง น่าตื่นตาตื่นใจมาก  ขอบคุณที่นำมาให้ชมค่ะ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 ส.ค. 12, 10:19
^
ครับ ไปเห็นของจริงมาแล้วต้องนึกถึงคุณงามความดีของท่านดิเรก ชัยนาม ข้าราชการที่ซื่อสัตย์ต่อชาติและประชาชน ที่จัดซื้อของดีราคาถูก(ต้อง)โดยไม่ฉ้อฉล ให้ผู้ขายบวกโน่นบวกนี่อัพราคาให้ชาติต้องจ่ายแพงๆ แล้วตัวเองรับค่าส่วนต่างอย่างที่สมัยหลังๆเขาทำกันอย่างไม่ละอายต่อบาป


ส่วนคุณหนุ่มสยามถามว่า ศิลปะในยุคนี้ควรจะถือว่าจัดอยู่ในช่วง Art Deco (1920's - 1940's) หรือเปล่า ในหนังสือบอกว่าเป็นNeo-Classicครับ แต่มันอาจปนๆกันได้ตามรสนิยมของเจ้าของ ไม่มีกฏเกณฑ์ใดๆบังคับ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 12, 10:33
ภาพนี้เขียนโดยกามีย์ ปีซาโร(Camille Pissarro)ศิลปินแนวImpressionismชาวฝรั่งเศส เดิมอยู่ในคฤหาสน์นี้ แต่ถูกนำกลับไปกรุงเทพแต่ครั้งไหนจำไม่ได้แล้ว เห็นว่าศิลปวัตถุที่นี่ถูกโยกย้ายไปหลายชิ้นอยู่เหมือนกัน แต่ภาพของปีซาโรชิ้นนี้ปัจจุบันพบว่าอยู่ในห้องทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ

นำภาพวาดอื่นๆฝีมือปีซาโรมาเสริม  ให้ชมกันค่ะ   


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 12, 21:15
ภาพจริง กับภาพตัวแสดง   ผู้สร้างรักษารายละเอียดเอาไว้ใกล้เคียงความจริง เว้นแต่หมวกของพระเอก


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 17 ส.ค. 12, 21:18
ภาพจริง กับภาพตัวแสดง   ผู้สร้างรักษารายละเอียดเอาไว้ใกล้เคียงความจริง เว้นแต่หมวกของพระเอก

ดูดีๆ พู่ขนนกอยู่ริมภาพ ตกเฟรมไปนะครับ หนังระดับร่วมทุนสร้างแบบนี้ ฝ่ายคอสตูมคงไม่ยอมตกม้าตายหรอกครับ  ;D ;D


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 12, 21:20
กำลังจะมาเติมถ้อยคำ      เจอคุณหนุ่มสยามปาดหน้าไปเสียแล้ว  ;)


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 18 ส.ค. 12, 17:43
ขออนุญาตพาชมทำเนียบท่านทูตที่โตเกียวต่อ เป็นภาพจาก กระทู้ของคุณกุ้งนาง (http://bbznet.pukpik.com/scripts/view.php?user=kungnang&board=1&id=9&c=1&order=numview) คุณกุ้งนางเล่าว่าทำเนียบนี้เป็นสถานที่ที่คนญี่ปุ่นสนใจ ต้องมีการจองคิวเพื่อเข้ามาเยี่ยมชมกัน

เริ่มต้นจากข้างหน้าประตูทางเข้า มีภาพคุณกุ้งและลูกสาวคอยต้อนรับอยู่ที่หน้าประตู

 ;D



กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 18 ส.ค. 12, 17:53
ผ่านประตูเข้ามา



กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 18 ส.ค. 12, 18:08
เดินดูความสวยงามรอบนอกทำเนียบ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 18 ส.ค. 12, 18:15
ความงามภายในทำเนียบท่านทูต  

มีรูปนางแบบแถมมาด้วย

 ;D



กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 18 ส.ค. 12, 18:26
ภาพคลื่นซัดฝั่งดังที่ให้ชมไปแล้วนั้น ฝีมือของคันจิ มาอีตะ(Kanji Maeta) ใช้สีน้ำมันเขียนขึ้นในราวพ.ศ. ๒๔๗๒ เป็นรูปของทะเลในจังหวัดชิบะยามมีพายุ ส่งเข้าประกวดได้รับรางวัลหลวง(Imperial Award) หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ตายจากอาการป่วยที่เรื้อรัง ภาพที่เขียนขึ้นเป็นภาพสุดท้ายนี้ถือเป็นMasterpieceของเขาเลยทีเดียว

ทุกๆปีจะมีชมรมต่างๆ เช่นชมรมอนุรักษ์ศิลปะบ้าง ชมรมศิลปินบ้าง ขอจัดคณะมาชมงานชิ้นนี้เสมอปีละหลายคณะ ท่านทูตทั้งหลายก็ให้ภรรยารับรองกันไป ผมได้ยินว่าทางราชการเคยจ้างบริษัทประเมินมูลค่าทรัพย์สินมาประเมินทำเนียบและข้าวของต่างๆ งานชิ้นนี้ชิ้นเดียวก็ปาเข้าไปหลายสิบล้านบาทแล้ว

ภาพมูลค่าหลายสิบล้านอยู่ที่นี่เอง

 ;D


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 18 ส.ค. 12, 21:46
กระทู้นี้มาในช่วงที่ผมไม่อยู่ ไปต่างจังหวัดพอดี กลัีบมาอ่านด้วยความรวดเร็ว  น่าสนใจมากครับ

เป็นความบังเอิญที่ผมเคยไปประจำการอยู่ในพื้นที่ของสถานทูตแห่งนี้  จึงพอจะมีเรื่องเล่าแซมได้บ้่าง แต่จะขอเป็นพรุ่งนี้นะครับ

 



กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 19 ส.ค. 12, 13:11
ภาพกิจกรรมที่สถานทูต ๑๖ สิงหาคม ปีที่แล้ว (http://www.thaiembassy.jp/rte3/index.php?option=com_content&view=article&id=1167&catid=41&Itemid=93)

นักเรียนญี่ปุ่นชั้นประถมศึกษาและผู้ปกครอง เข้าเยี่ยมชมทำเนียบท่านทูต


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 19 ส.ค. 12, 13:16
รับประทานอาหารกลางวัน


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 19 ส.ค. 12, 13:17
การละเล่นแบบไทย ๆ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 19 ส.ค. 12, 13:19
ถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึก


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 19 ส.ค. 12, 14:57
นักเรียนประถมและผู้ปกครองเข้าเยี่ยมชมปีที่สอง ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ (http://www.thaiembassy.jp/rte3/index.php?option=com_content&view=article&id=1459&catid=44&Itemid=97)


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 19 ส.ค. 12, 20:32
คงจะเข้ามาแจมในเรื่องของวัตถุทางประวัติศาสตร์ชิ้นนี้ได้บ้างเล็กน้อยนะครับ รู้สึกเสียดายที่จำส่วนของหลายเรื่องราวจากการบอกเล่าของคนที่สนใจไม่ได้ทั้งหมด  คงจะเป็นเรื่องที่กระท่อนกระแท่นมากๆนะครับ  และก็คงจะเป็นเรื่องเล่าที่ไม่มีเอกสารอ้างอิง  แล้วก็จะขออนุญาตไม่อ้างถึงความเห็นทั้งหลายในกระทู้นี้ด้วยนะครับ
 
ทำเนียบเอกอัครราชทูตไทยในโตเกียวนี้ จัดได้ว่าเป็นวัตถุทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่คนญี่ปุ่นให้ความสนใจในหลายๆแง่มุมเลยทีเดียว 
สำหรับญี่ปุ่นนั้นมีทั้งประวัติศาสตร์ในส่วนที่ดีงามและไม่ดีงาม แต่ญี่ปุ่นก็ไม่เคยที่จะละทิ้งการบอกเล่า (สอนหรือบอกเล่าให้ทราบ) ให้คนในรุ่นหลังๆได้ทราบ บางเรื่องก็บอกเล่ากันตั้งแต่เด็ก (ดังที่ได้เห็นภาพเด็กๆมาเยี่ยมชมกันแสดงอยู่ในกระทู้นี้) บางเรื่องก็สอนอยู่ในวิชาประวัติศาสตร์ในช่วงการเรียนของวัยรุ่น บางเรื่องก็บอกกล่าวเล่าให้ฟังในช่วงสุดท้ายก่อนที่จะเรียนจบในภาคบังคับ (เล่าให้ฟังเพื่อทราบเพียงครั้งเดียว)    ดูจะต่างไปจากของเราที่ทั้งพยายามจะไม่สอนหรือเลิกสอนกัน (ในระดับการศึกษาภาคบังคับ) และรวมทั้งพยายามจะละการเล่าส่วนที่ดีที่เกี่ยวกับพลวัติในประวัติศาสตร์ไปเล่าในส่วนที่เป็นเรื่องปลีกย่อย

ความน่าสนใจเรื่องแรก คือ อาคารทำเนียบหลังนี้สร้างขึ้นมา (ในปี พ.ศ.2478) ในสมัยหลังจากการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ถล่มกรุงโตเกียวจนราบในปี พ.ศ.2466 (ซึ่งเหลืออยู่แต่โรงแรม อิมพีเรียลที่ออกแบบโดย Frank lloy wright)   ฟังมาว่า แต่เดิมนั้นอาคารทำเนียบนี้ได้มีการออกแบบและจะก่อสร้างในช่วงประมาณปีที่เกิดแผ่นดินไหวนั้นเอง เมื่อเกิดแผ่นดินไหวจึงมีการออกแบบใหม่ให้มีความแข็งแรงและทนทานมากขึ้น ระยะเวลาการแก้ไขแบบก่อนที่จะพอใจและตัดสินใจก็พอๆกับระยะเวลาที่มีการเล่าในกระทู้นี้   ซึ่งก็ได้ดังใจคาดหวัง อาคารหลังนี้ได้ผ่านการทดสอบจากธรรมชาติ (แผ่นดินไหว) มาหลายสิบครั้งตั้งแต่สร้างเสร็จมา ไม่เคยได้รับความเสียหายในเชิงของโครงสร้างใดๆ จึงยังคงยืนยงคงกระพันมาจนถึงทุกวันนี้  เราเคยขอให้วิศวกรญี่ปุ่นมาตรวจสอบ เขาก็ว่ายังแข็งแรงดี แต่ถ้่าจะให้ดีกว่านี้ก็คงจะต้องทำเป็นโครงการใหญ่เพื่อการปรับปรุงเลยทีเดียว ซึ่งค่าใช้จ่ายอาจจะมากพอๆกับการสร้างใหม่เลยทีเดียว    อาคารหลังนี้ได้เคยมีการซ่อมแซมใหญ่มาแล้วครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะภายใน ผมจำไม่ได้ว่าเมื่อใด คิดว่าสักประมาณ 10 กว่าปีมานี้
ผมคิดว่าเป็นเรื่องน่าสนใจที่ฝ่ายราชการไทย รวมทั้งองค์กรทางสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมของไทยน่าจะได้ร่วมแรงกันทำโครงการศึกษาและแกะรายละเอียดต่างๆที่เกี่ยวข้องกับผังแบบ การออกแบบและการคำนวนทางวิศวกรรมของอาคารหลังนี้ เก็บไว้เป็นข้อมูลสำหรับคนรุ่นหลังๆและเป็นการ contribute ให้กับสังคมนานาชาติ   อย่างน้อยที่สุด ก็เป็นอาคารที่เกี่ยวกับเสี้ยวหนึ่งของประวัติศาสตร์ในภูมิภาคเอเซียซึ่งอยู่ในเขตอำนาจอธิปไตยของไทย  ญี่ปุ่นเขาอยากจะทำครับแต่มันอยู่นอกเขตอธิปไตยของเขา     

 


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 19 ส.ค. 12, 21:50
เห็นภาพการตกแต่งภายในแล้ว ค่อนข้างจะมีกลิ่นอายยุโรป ถ้าได้เข้าไปเยี่ยมชมการตกแต่งภายใน

คงอดเพลิดเพลินกับศิลป์ต่างๆไม่ได้  ถ้าได้นั่งดื่มชา หรือกาแฟ ริมหน้าต่างกระจก ทอดสายตาออกไปดูใบไม้เปลี่ยนสี

คงจะประทับใจ ในภาพนั้นมิรู้ลืมแล้วใช่ไหมคะ  ถ้าหน้าหนาวบรรยากาศจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างคะ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 20 ส.ค. 12, 09:34
หน้าทำเนียบ (http://takuan21a.exblog.jp/17868005/)

๑๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕

;D


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 ส.ค. 12, 11:27
ช่วงที่ผมไป ประมาณกลางๆพฤศจิกา ลูกแปะก๊วยจากต้นนี้หล่นเกลื่อนถนน

ส่วนรูปนี้ น่าจะถ่ายเดือนเมษา ซากุระบานสะพรั่ง


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 20 ส.ค. 12, 12:18
คุณ takuan21a (http://takuan21a.exblog.jp/17868005/) เจ้าของภาพ บรรยายไว้ดังนี้

2012年 03月 14日
タイ王国大使館(旧浜口邸)  

竣工:1934年(昭和9年)
場所:品川区上大崎3-14


๑๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
สถานเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรไทย (บ้านเก่าของตระกูลฮามากุจิ)

สร้างเสร็จ : พ.ศ. ๒๔๗๗ (ปีโชวะที่ ๙)
ที่ตั้ง : ๓-๑๔ คามิโอซากิ เขตชินากาวา

ขออภัย

เลื่อนลงไปใต้ภาพทั้งหมดพบกุญแจไขวันเวลา

撮影日:2009年4月

ถ่ายภาพ : เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๒

ตรงตามที่คุณนวรัตนคาดคะน

 :-[



กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 20 ส.ค. 12, 16:47
ภาพวาดของศิลปินญี่ปุ่น (http://www.ne.jp/asahi/fjk/art/YMT-gotanda.htm)


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 20 ส.ค. 12, 16:50
แห่ะๆ เข้ามาถามแทนหลายๆ คนที่อาจจะอยากถามแบบผม

ที่นี่มีเรื่องผีๆ เป็นตำนานเล่าขานบ้างหรือเปล่าครับ  :D
สงสัยช่วงนี้หมกมุ่นเรื่องสุสานมากไปหน่อย


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 ส.ค. 12, 17:26
แหะๆ เหมือนกัน

ถ้าถามผม ไปอาศัยท่านอยู่อาทิตย์นึงก็หลับสบายทุกคืนครับ ไม่เห็นมีอะไรที่พอจะอนุมานว่าเป็นผีเป็นสางได้เลย
ไม่แน่ ต้องลองถามพวกที่อยู่นานๆเช่นคุณตั้ง อาจจะมีตำนานบ้างก็ได้ นี่เข้ามาเลกเซ่อร์เรื่องแผ่นดินไหวในโตเกียวได้ยกเดียว ก็พักไปกรึ๊บซะหลายจอกแล้ว


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ส.ค. 12, 17:57
อดเจอของดีเลยค่ะ   ;)


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 20 ส.ค. 12, 21:23
มากันได้อย่างไรหนอ

 ;D  ???  ;D


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 20 ส.ค. 12, 21:52
เรื่องผีนี้
จำได้ว่า มีคนเล่าว่า เคยมีกรณีคนตายสองสามคนสมัยนานมาแล้ว   หากยืนหันหน้ามองอาคาร เหตุการณ์จะเกิดอยู่ทางมุมขวาด้านหลังของตัวตึก  เรื่องได้ยินเป็นเสียงนั้น รู้สึกว่าจะมีคนเล่าให้ฟังบ้าง ไม่แน่ใจนัก
แต่ที่แน่ๆ ที่ศาลาพระทางด้านขวาของประตูทางเข้าสถานทูตนั้น มีกล่องกระดาษใส่โถบรรจุอังคารวางอยู่ไม่ขาดตลอดทั้งปี  เป็นอังคารของคนไทยที่เสียชีวิติในญี่ปุ่น ที่สถานทูตจะส่งกลับไปให้ญาติในเมืองไทย  ตัวเลขก็ไม่มากไม่น้อย ปีละประมาณ 50+ คน หากจะเฉลี่ยก็ประมาณสัปดาห์ละคน 
ในบริเวณสถานทูตนี้มีบ้านเก่าๆอยู่สองหลังตั้งอยู่ในส่วนที่เป็นลาดเนินด้านหลังของพื้นที่ลงไป  มีคนหลายคนเคยเจอ  ผมเคยสนทนากับพระที่มาพักขณะมาปฏิบัติกิจทางสงฆ์ ท่านก็เล่าว่า มีเยอะแยะมาชุมนุมกันทุกคืน แต่ก็ไม่ได้มาร้ายประการใด
ผมเองก็เคยได้ยินเสียง เป็นลักษณะของการขยับของบ้าง ของหล่นบ้างทำนองนี้   


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 20 ส.ค. 12, 22:02
มากันได้อย่างไรหนอ

 ;D  ???  ;D

รถแท็กซี่และตุ๊กๆนี้ เท่าที่พอทราบ ไม่มีการนำไปใช้ในทางสาธารณะใดๆ   จุดประสงค์หลัก คือ นำไปตั้งแสดงอยู่หน้าร้านอาหาร โดยเฉพาะหน้าร้านบางร้านในวันงาน Thai Food หรือ Thai Festival ที่สวนโยโยงิ ซึ่งจัดเป็๋นประจำในช่วงสัปดาห์แรกของต้นเิืดือนพฤษภาคมทุกปี ครับ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 20 ส.ค. 12, 22:08
แต่ที่แน่ๆ ที่ศาลาพระทางด้านขวาของประตูทางเข้าสถานทูตนั้น มีกล่องกระดาษใส่โถบรรจุอังคารวางอยู่ไม่ขาดตลอดทั้งปี  เป็นอังคารของคนไทยที่เสียชีวิติในญี่ปุ่น ที่สถานทูตจะส่งกลับไปให้ญาติในเมืองไทย  ตัวเลขก็ไม่มากไม่น้อย ปีละประมาณ 50+ คน หากจะเฉลี่ยก็ประมาณสัปดาห์ละคน 



กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 21 ส.ค. 12, 21:45
ดูจากรูปด้านหลังของทำเนียบ ที่เป็นสวนนั้น
ทำให้นึกขึ้นได้ว่า เคยทราบว่ามีซินแสที่ดูฮวงจุ้ยมาเิดินดู แล้วบอกว่า จะต้องมีหินกี่ก้อน ทรงใด รูปใด วางเรียงในลักษณะใด เป็นอันว่า การจัดสวนหลังอาคารนั้นเป็นไปตามลักษณะฮวงจุ้ยที่ดีเยี่ยม จากภาพก็เห็นว่าไม่เคยมีการจัดสวนใหม่หรือมีการย้ายก้อนหินไปมา ยังคงเหมือนกับที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน

ยังมีเรื่องที่นาสนใจอยู่อีกบ้าง  ด้านซ้ายมือริมรั้วของทำเนียบ (เดินเข้าหาตัวอาคาร) นั้น มีต้นไม้ไหญ่เรียงกันอยู่หลายต้น ทราบมาว่าเป็นต้นไม้ที่ขุดยกทั้งต้นมาปลูก (ไม่มีรากแก้ว)  ดูเหมือนว่าเหล่าต้นไม้ใหญ่ๆหลายต้นในสวนหลังทำเนียบก็จะเป็นเช่นนั้น  อีกนัยหนึ่งก็คือ ทั้งพื้นที่สถานทูตนี้ได้ถูกบรรจงสร้างสรรค์ขึ้นมาให้สอดคล้องกับลักษณะของฮวงจุ้ยที่ดี   ผมคิดว่าบางส่วนในพื้นที่ส่วนหลังได้มีการพยายามปลูกต้นไม้ใ้ห้เป็นป่าเพื่อลวงตามิให้มีการทิ้งระเบิดในช่วงสงคราม  ในพื้นที่ส่วนนี้มีหลุมหลบภัย (ทรงโดมครึ่งวงกลม) สร้างด้วยคอนกรีตหนาทีเดียว   


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 ส.ค. 12, 22:14
สวนหลังทำเนียบ


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 ส.ค. 12, 22:49
อ้างถึง
ยังมีเรื่องที่น่าสนใจอยู่อีกบ้าง  ด้านซ้ายมือริมรั้วของทำเนียบ (เดินเข้าหาตัวอาคาร) นั้น มีต้นไม้ไหญ่เรียงกันอยู่หลายต้น ทราบมาว่าเป็นต้นไม้ที่ขุดยกทั้งต้นมาปลูก (ไม่มีรากแก้ว)  ดูเหมือนว่าเหล่าต้นไม้ใหญ่ๆหลายต้นในสวนหลังทำเนียบก็จะเป็นเช่นนั้น  อีกนัยหนึ่งก็คือ ทั้งพื้นที่สถานทูตนี้ได้ถูกบรรจงสร้างสรรค์ขึ้นมาให้สอดคล้องกับลักษณะของฮวงจุ้ยที่ดี

ประจักษ์พยาน


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 ส.ค. 12, 22:57
^
แต่ก็เอาไว้ไม่อยู่เหมือนกัน

ปีที่ผมไป ไม่เห็นสนต้นเบ้อเริ่มนั้นแล้ว


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 ส.ค. 12, 23:02
ยังมีเรื่องที่นาสนใจอยู่อีกบ้าง  ด้านซ้ายมือริมรั้วของทำเนียบ (เดินเข้าหาตัวอาคาร) นั้น มีต้นไม้ไหญ่เรียงกันอยู่หลายต้น ทราบมาว่าเป็นต้นไม้ที่ขุดยกทั้งต้นมาปลูก (ไม่มีรากแก้ว) 

ภาพจากคุณกุ๊ก

 ;D


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 22 ส.ค. 12, 19:20
ยังมีอีกอย่างหนึ่ง คือ บ่อน้ำบาดาล อยู่ริมรั้วของสวนหลังอาคาร ผมไม่ทราบว่าทำการเจาะเพื่อเอาน้ำมาใช้กันในสมัยใด น่าจะเจาะกันนานมาแล้ว  จะว่าเจาะในภายหลังที่สร้างอาคารเสร็จแล้ว ก็คงจะต้องเอาเครื่องเครื่องเจาะผ่านเข้าไปในสวน ข้ามบรรดาก้อนหินที่วางไว้อย่างสวยงามและถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย  คงมีอยู่สองช่วงเท่านั้นที่จะเจาะบ่อน้ำบาดาล คือ ในระหว่างการสร้างอาคาร กับช่วงหลังสงครามไม่นาน

นึกออกอีกอย่างหนึ่ง  จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า ก้อนหินใหญ่ในสวนหลังบ้านก้อนหนึ่งนั้น เป็นตัวแทนของราชสีห์เพื่อเฝ้าหลังบ้าน

ดูๆไปการวางตัวและการออกแบบอาคาร (อันนี้เดาเลยครับ) ตามลักษณะฮวงจุ้ยที่ดีนั้น ด้านหลังจะต้องเป็นเนิน ด้านหน้าจะต้องเป็นที่ราบต่ำ มีน้ำไหลผ่านด้านข้าง เพื่อให้ซี่ไหลได้ดี   อาคารทำเนียบนี้มีครบทุกองค์ประกอบ   แต่ดูเผินๆเหมือนจะกลับทางกัน คือ ด้านหน้ากลายเป็นด้านหันเข้าหาเนิน ด้านหลังกลายเป็นที่ต่ำ มีคลองเมกุโระอยู่ด้านข้าง ซึ่งน้ำไหลจากด้านหน้าไปสู่ด้านหลัง   ผมคิดว่าสถาปนิกเขาเก่งนะครับ เขาแก้ได้อย่างชาญฉลาด คือ ส่วนด้านหน้าที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ดูไปดูมามันเป็นส่วนด้านหลังอาคาร ที่ไม่มีอะไรแสดงความเป็นด้านหน้าบ้านเอาเสียเลย แต่ด้านที่เราเรียกว่าด้านหลังบ้านนั้นกลับกลายเป็นลักษณะของหน้าบ้านของอาคารต่างๆตามปรติ ทิศทางการไหลของน้ำในคลองเมกุโระที่อยู่ด้านข้างก็จะกลายเป็นไหลจากทิศหลังบ้านออกไปทิศหน้าบ้าน  แถมที่ว่ามีก้อนหินตัวแทนราชสีห์อยู่ในสวนนั้น ก็จะกลับกลายเป็นว่ามีราชสีห์เฝ้าอยู่หน้าบ้าน  ส่วนต้นไม้ใหญ่ก็มีการปลูกในส่วนที่จะทำให้เป็นลักษณะของป่าหลังบ้าน ทำให้เป็นสวนในส่วนที่จะทำให้ดูเป็นหน้าบ้าน

ซินแสปลอมเห็นอย่างนี้ ครับผม


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 22 ส.ค. 12, 20:10
แถมที่ว่ามีก้อนหินตัวแทนราชสีห์อยู่ในสวนนั้น ก็จะกลับกลายเป็นว่ามีราชสีห์เฝ้าอยู่หน้าบ้าน

ใช่ก้อนหินพวกนี้หรือเปล่าหนอ

เดือนกุมภาพันธ์ ต้นไม้อื่นทิ้งใบเหลือเพียงสนญี่ปุ่นที่ยังคงเขียวขจี

 ;D


กระทู้: พาชมทำเนียบทูตไทย จุดกำเนิด"พลังรักสองแผ่นดิน"
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 23 ส.ค. 12, 21:53
^

ก้อนหินเหล่านี้แหละครับ แต่ไม่ทราบก้อนใหนแทนอะไรบ้างครับ

ย้อนกลับไปดูภาพในกระทู่นี้ที่ต้อนรับคณะเด็กๆ    เห็นผู้หญิงอยู่สองคน คนหนึ่งสวมชุดไทยสีฟ้า อีกคนขุดสีแดง คนสวมชุดสีฟ้านั้นเป็นคนญี่ปุ่น เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของสถานทูต อีกคนก็เข้าใจว่าใช่เหมือนกัน  เห็นในอีกภาพว่าทั้งสองคนนี้กำลังสาธิตเพลงไทยเดิม คนสีฟ้าสีซออี้และสีแดงสีซออู้ กับผู้ชายกำลังตีขิม คิดว่าคนผู้ชายก็เป็นคนญี่ปุ่นครับ คนพวกนี้พูดไทยได้ อ่านภาษาไทยออก พิมพ์ภาษาไทยได้ครับ รักเมืองไทยพอที่จะรวมกลุ่มกันเป็นชมรมชื่ออะไรสักอย่างที่สอนรำไทย ร้องเพลงไทย ฯลฯ

แล้วก็ย้อนกลับไปภาพสีน้ำมันที่คุณนวรัตน์บอกว่า ทีเด็ดจริงๆ ในความเห็นที่ 19 นั้น   ภาพนี้มีค่ามาก เป็นภาพขนาดใหญ่ เป็นหนึ่งในไม่กี่ภาพที่ศิลปินผู้นี้เขียนขึ้น รู้สึกว่าได้มีความพยายามจะรวบรวมภาพของศิลปินผู้นี้ไว้ในพิพิธภัณฑ์ และเคยขอจากสถานทูตด้วย ในที่สุดก็ยอมรับว่าชิ้นงานสำคัญของศิลปินผู้นี้ได้รับการดูและรักษาอย่างดีและแสดงอยู่ทีสถานทูตไทย

ผมคิดว่าผมได้เคยเห็นสถานที่จริงที่ศิลปินผู้นี้นำมาเขียนเป็นภาพ อยู่ในสถานที่เล็กๆ ที่ตั้งของประภาคาร อยู่บนเส้นทางเลาะชายฝั่งทะเลเลยเมือง Atami ลงไปทางแหลม Isu จำชื่อสถานที่ไม่ได้ครับ